ญาณ ปัญญา ต้องมีสมาธิเป็นเหตุหรือสมาธิรองรับเท่านั้น ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย เสขะ บุคคล, 4 มิถุนายน 2015.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    [​IMG]

    ญาณ ปัญญา ต้องมีสมาธิเป็นเหตุ หรือสมาธิเป็นผลรองรับ เท่านั้น ?

    ปัญญาขั้นต้นแยกรูปแยกนาม ถ้าไม่มีสมาธิระดับฌานมาก่อน หรือ สมาธิเป็นผล
    มันจะไม่เป็นปัญญาให้ เพียงแต่สัญญา เพราะไม่เห็นประจักษ์และสัมผัสด้วยใจว่า ใจคนละส่วนกับกาย กายคนละส่วนกับใจ แบบนี้เข้าใจถูกไม๊ครับ ?

    เชิญครับ
    rabbit_run_away
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p22.gif
      p22.gif
      ขนาดไฟล์:
      83.4 KB
      เปิดดู:
      522
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ผมว่าสมาธิขั้นแยกรูปแยกนาม มันขั้นสูงมากนะครับ ไม่ใช่ขั้นต้นๆ เผลอๆ ต้องระดับฌาณ 4 แต่การที่จิตจะตะหนักรู้ในอนิจจลักษณะ กับทุกขลักษณะ แล้วอาศัยการพิจารณาให้เนืองๆ โดยอาศัยสมาธิระดับฌาณที่วิ่งขึ้นระหว่างอุปจารกับปฐมฌาณ นี่น่าจะเรียกว่าขั้นต้น ถ้าเอาระดับขั้นต้นนี้ พิจารณารูปธรรม หรือนามธรรม ก็เอาสักอย่าง เช่น พิจารณาองค์ธรรมที่มันเกิดดับในฝ่ายนามขันธ์ ซึ่งจิตระดับนั้นมันยังรับรู้ร่างกายอยู่ด้วย หรือจะเอาไปพิจารณาร่างกายอย่างเดียว คือเลือกเพ่งพิจารณาก่อน ยังไม่พิจารณาฝ่ายนามธรรม ถ้าทำให้เนืองๆ ก็เห็นอนิจจลักษณะ กับทุกขลักษณะ ส่วนอนัตตลักษณะจิตที่ทรงฌาณระหว่างอุปจารกับปฐมฌาณน่าจะทำได้ยาก เพราะต้องระดับจิตที่มีสมาธิฌาณระดับแยกรูปแยกนามได้ ถ้าทำไปในระดับขั้นต้นที่ยังไม่ถึงระดับที่จิตจะแยกรูปนาม มันเป็นวิปัสสนึกแน่นอนครับ

    หรือว่าจิตที่มีสมาธิฌาณระดับอุปจาร ปฐมฌาณ สามารถเห็นหรือตะหนักรู้แยกรูปนามได้แล้ว แต่ผมพิจารณาไม่เป็น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2015
  3. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เข้าใจ ถูก จิฮับ แต่.....

    ต้อง สาวไปหาเหตุ ต่อเนื่อง จิฮับว่า อะไรเป็น " เหตุให้เกิดสมาธิ "

    สมมติว่า ไปเอา บริกรรมรหัสพ่อรหัสแม่ มาเป็น ตัวสมาธิ อันนี้ จาติง้าวฮับ !!

    เพราะอะไร

    เพราะ มันไม่ใช่ เหตุของสมาธิ ......

    เหตุของ สมาธิคือ " จิตที่เป็นสุข " สุขในที่นี้ไม่ใช่ สุขกระดี้กระด้า ( แต่ก็ อนุโลมได้ )

    สุข ...ในความหมายของ เหตุใกล้ให้เกิด ก็หมายถึง " สุขอันเกิดจากจิตปราศจากอุปกิเลส "

    เน้นหน่าคร้าบว่า จิตปราศจาก " อุปทาน " อันมี ราคะ ตัณหา เป็นเหตุ(สาวขึ้นไปอีก)

    พอแทงตลอดด้วยปัญญาอย่างนี้ จะไม่ หน้าส้นตี อ้างบริกรรม กระทืบกรรมฐานชาวบ้าน
    อย่างพวก จาติง้าว

    แต่จะรู้เลยว่า กิจอันใดก็ตามที่ทำเพื่อ นมสิการ จิตให้ห่างจาก อุปกิเลส ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    ในวิญญาณ ในสังขาร ในสัญญา ในรูป ในเวทนา นั่นแหละ ใช้ได้หมด

    ยกตัวอย่าง พวกหน้าส้นสิบ มันบอกว่า " จิตไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีวันตาย " เนี่ยะ กล่าวอะไร
    แบบนี้ กล่าวด้วย อุปทานในวิญญาณหรือเปล่า ถ้าใช่ ภาวนาให้ตายฮา ก็ ล้มลุกคลุก
    คลาน ลูบคลำ ศีล พรต อยู่อย่างนั้น จะมาอ้างว่า " จิตมีสุข " ก็เอา ส้นสิบไปรับประทาน
    ได้เลย ....

    แต่ถ้า กล่าวไปอย่างนั้น ตะล่อมหลอกเด็กให้ หัดรู้ หัดดู สนใจลูบคลำศีล พรต ไปก่อน
    แล้ว รอโอกาสให้มีคน มาแงะ มางัด มาแก้กรรมฐาน มันก็ดีกว่า ปล่อยไป พาเป็ดไป
    เดินเล่นกิโลเจ็ด จริงไหม


    แล้ว ธรรมะ ระดับ ฟังให้เข้าถึง การกำหนดรู้การสิ้นไป ดับไปของ อุปกิเลส ตัณหา ราคะ ...หากใคร
    แสดงธรรมหน้าส้นสิบว่า สัมมาทิฏฐิแบบนี้ ต้องฌาณสี่ก่อน ถึง จะ อะอื้ม นมสิการได้ ก็ช่างหัว
    รหัสพ่อรหัสแม่มัน ที่เกิดมาโง่ ไม่ใส่ใจ สัมมาทิฏฐิพื้นๆ ไปสำคัญ ด้นเด้า เดาเอาว่า ต้องฌาณสี่
    ก่อน ถึงจะ นมสิการได้ ..............เวรกรรม




    ปล. สังเกตนะฮับ ไอ้ที่กล่าวธรรมหน้าส้นตีสรณจิก ว่า " สัญญา มึงติดสัญญา " เนี่ยะ มันต้องฟังให้
    เป็นว่า " เขากำหนดรู้การเกิดของสัญญา ดับไปของสัญญา " ...พระพุทธองค์ตรัสฏีกาเอาไว้ว่า คนที่
    พึงยกการเห็นอยู่อย่างนี จะถือเป็นผู้ภาวนาเพื่อความสิ้นไปของอุปทาน อาสวะ บรรลุนิพพานได้ในชาติ
    ปัจจุบันนันเทียว ....เขากำหนดรู้เพื่อละอุปทาน เพื่อให้จิตมัน อิสระ เกิด อวิปฏิสาร เกิดศีลอัตโนมัติ
    สมาธิมันก็มีเหตุใกล้ให้เกิด ปัญญาแทงตลอดในการพ้น พ้นจิต ก้าวข้ามแม้นจิต ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    แม้ " จิตผู้รู้ " มันจะเอาอะไรมาง้างว่า ติดสัญญา สัญญาล้วนๆ หมาเห่าใบตองแห้ง กันหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2015
  4. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ถ้านั่งสมาธิ ยังไม่ต้องได้ฌาณใดๆ จิตจะรับรู้หลายทางอยู่ สามารถรับรู้รูปนามได้ จิตพอแยกรูปนามได้ แต่มันเบาบางมาก เพราะมันยังฟุ้งอยู่มาก เสียงภายนอก ความคิดภายในที่ผุดขึ้นมา กับที่เราพยายามให้จิตจ่อที่คำบริกรรมอย่างเดียว พอเริ่มจะจ่อที่บริกรรมได้ ไม่ใส่ใจทั้งภายนอกและที่ฟุ้งภายในเป็นระยะๆ ก็เริ่มจับ รูปนามได้ แต่เบาบางมาก พอจิตไม่สนใจภายนอก คือ แม้ยังรับรู้ภายนอกได้แต่จิตไม่ใส่ใจ จิตก็ประคองที่คำบริกรรมอยู่อย่างเดียว เพราะมัวแต่บริกรรม จิตก็รับรู้ไม่ชัด แต่ถ้าเลยระดับละคำบริกรรม ไปแล้วถึงฌาณ 4 มันเห็นชัดคือ จิตมันรู้ชัดเจนแยกรูปแยกนาม แบบจะแจ้งเลย

    ส่วนถ้านั่งแบบดูเวทนา จิตไม่ดิ่งไปถึงฌาณเพราะจะดูเวทนา สักพัก จะแยกเวทนาได้ แต่เพราะเวทนาแรงไป จิตก็ดิ่งไปจับบ้าง ไม่จับบ้าง ถ้าดูมากไปจิตได้สมาธิ ก็ดับเวทนาอีก ไม่ปะติดปะต่อ การดูเวทนาเลยต้องใช้ขันติมาก ไม่ให้ดิ่งฌาณสูงถึงระดับฌาณ 4 เวทนามันหายเกลี้ยงแม้เข้าไปแว่บเดียว การนั่งดูเวทนามันเลยสวิงตัวตั้งแต่คุมบริกรรมให้อยู่แต่ไม่เน้นบริกรรมเน้นดูเวทนา จุดๆหนึ่งจะถึงปฐมฌาณก็แค่แว่บหนึ่ง จิตจะเลื่อนต่อไป 2 3 4 ก็ต้องคอยเลื่อนออก การแยกรูปแยกนามแบบนี้มันก็จะวูบไหว ไปตามเวทนา พูดง่ายๆ สติยังไม่มั่นคง

    ผมจะใช้นั่งแบบขัดเพชรนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มิถุนายน 2015
  5. ABT

    ABT เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    232
    ค่าพลัง:
    +1,524
    ขออนุญาตครับ เพราะว่าเป็นสมมุติก่อน เมื่อพิจารณากลับไปกลับมา กลับมากลับไป จนรู้แจ้งสมมุติจึงเป็นวิมุติ จริตบางท่าน ใช้สมาธิเริ่มไม่ได้ครับ ไม่ยอมลง จึงต้องใช้ปัญญาพิจารณาไปจนตกผลึกนิ่งลงสู่สมาธิ แล้วจึงเดินปัญญาขั้นละเอียดได้ต่อไป บางท่านใชัปัญญา ใช้สมาธิไม่ลงก็ใชัสติจับการเคลื่อนไหวจนมีสติตั้งมั่นเกิด ฌาน เกิดสมาธิได้ครับ แล้วแต่จริตครับ ขออนูโมทนา ธรรมของพระพุทธเจ้ายิ่งใหญ่ลึกซึ่งมาก เกิดกว่าจะรู้แจ้งได้หากไม่ลงมือปฏิบัติ ขอนุโมทนากับผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบทุกท่าน ได้พบหนทางของตนหมดทุกข์เร็ววันด้วยเทอญ
     
  6. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    เราจะแยกจิตจากอารมณ์ อันเกิดแต่อายตนะตา หู จมูก ลิ้น กาย
    ทำยังไงครับ ?/สามารถทำได้ไหมครับ ?
    (อายตนะมีอยู่ อารมณ์มีอยู่ จิตอยู่คนละส่วน)
     
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แยกไม่ได้ด้วยการ ปฏิโลม จะกลายเป็น ตัณหาซ้อนตัณหา

    พระพุทธองค์ กล่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวทนาไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง
    แต่ ส่วนใหญ่ไม่นิยม อ้างว่า ใช้ปัญญามากไป สัญญามันจะกัดเอา
    ก็เลยไป บริกรรมอยู่นั่น(ใช้สัญญา ใช้้ความคิด) จนกระทั่ง สัญญา
    ที่ด่าเขานักหนาแต่ตัวเองใช้ไม่เลิก มันแสดงไตรลักษณ์ ก็เลยส้มหล่น
    เห็น สัญญาไม่เที่ยง ฝลุคซ้ำสองไปเห็นเวทนาไม่เที่ยง แต่ จิตไม่เที่ยง
    เห็นไม่ชัด อยู่นั่น แต่ก็อาศัย พากเพียรต่อไป ธรรมก็แสดงออกมาว่า
    จิตไม่เที่ยง ก็เลยอนุโลมกันไปตามมีตามเกิด ว่า บริกรรมใช้ได้ ( ก็สัญญา
    นั่นแหละสมาธิฮาอะไรตรงไหน)

    ดังนั้น กำหนดรู้ เวทนาไม่เที่ยง จิตไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง จิตผู้รู้ไม่เที่ยง

    อยาตนะมันเกิด แต่เพราะ เห็นเวทนาไม่เที่ยงได้ อยาตนะจึง"....." แม้นมีอยู่
    แม้นจะเสพอยาตนะให้มากๆ

    ตรงที่เว้นไว้ จะไม่กล่าวกัน เพราะ จะเอาไปจดจำ อวดอ้างว่า กูบริกรรม
    อย่างนี้เห็นอย่างนี้ .....ดังนั้น ก็จะ ปล่อยไว้ให้ผู้พากเพียรภาวนา เดี๋ยวก็
    เข้ามาเห็นได้ หากไม่ทิ้งกรรมฐาน .....อย่างมากก็กล่าวว่า " จิตมันระลึกได้
    จับต้องได้ เหมือนตาเห็นรูป "

    ซึ่งในเชิงบัญญัต ก็แค่ หาฐีติจิตเจอ หาฐีติวิญญาณ หาใจเจอ กรรมฐานพึ่ง
    เริ่มต้น สมาธิแท้ๆพึ่งได้รู้รส ไม่ใช่ฌาณ ไม่ใช่แฌณ แต่ก็ไม่ห่างจากฌาณ
    [ ไม่ใช่อยาตนะ แต่ก็ไม่ห่างจากอยาตนะ ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2015
  8. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    [​IMG]

    ปล.รูปสวยดีครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    สังขารทั้งหลายเป็นภัย

    ความยินดี แม้นใน พยัญชนะ รูป รส ฯอันวิจิตร ย่อมดึงรั้งให้ผู้ภาวนา
    ทำ โยนิโสมนสิการ ให้อันตรธาน ...............

    หญ้าปากคอก !!!

    อุบาย ก็คืออุบาย หลงไหลในอุบายอบรมจิต ก็โง่วันยันค่ำ !!!

    เป็น ปุถุชนไม่เคยสดับธรรม ไปอีกนานแสนนานนนนนนนนนน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มิถุนายน 2015
  10. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    ลองอ่าน มหาสติปัฏฐานสูตร

    ฝึกเน้นที่ อานาปานบรรพ อริยาบทบรรพ สัมปชัญญบรรพ เพื่อเพิ่ม สติ สัมปชัญญะ

    ต่อไปก็แยกได้เอง อยู่ที่วิริยะพอหรือปล่าว
     
  11. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    ผมว่า สมาธินั้นสำคัญนะครับ หากเราไม่มีสมาธิแล้ว ทำอะไรก็ได้ผลออกมาไม่ได้ ยิ่งการฟังนั้น ถ้าขาดสมาธิ ไม่ตั้งใจฟัง ก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่ผู้พูดจะสื่อ การครุ่นคิดก็เช่นกัน ญาณ หรือ ปัญญา เกิดมาจากการพิจารณาครุ่นคิดจนได้ข้อสรุป ถ้าสมาธิไม่มี คิดโน่นคิดนี่ มันจะไม่ได้คำตอบ หรือได้คำตอบที่ไม่ถูกต้องนัก ดังนั้น สมาธิต้องเป็นเหตุปัจจัยร่วมครับ
     
  12. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    เราจาแยกจิต จากอารมณ์

    คำๆๆนี้จาว่ายากก็ยาก จาว่าง่ายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากก็ว่าง่าย

    แต่ต้องใช้เวลา เป็น 10ปีขึ้น เมื่อไหร่ที่เราดูความคิด อารมณ์(รักโลภโกรธหลง อาฆาตพยาบาท )เกิด-ดับอยู่อย่างนี้ในชีวิตประจำวัน ทุกวัน ทุกเดือน ทุกปี จนเกิน10ปีขึ้นล้าน%......

    เราจาเริ่มเห็นว่าใน1วัน1วันนั้น จาเห็นว่าจิตนี้เดี๋ยวว่าง(ร่างกายก็ยังทำงานนะใน1วัน แต่มันว่างคิดได้พูดได้ ทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่พอเลิกทำก็ว่างๆๆๆๆๆๆๆว่างมั่งคิดเองมั่ง รู้นะปฎิบัติมาขั้นนี้แล้วถ้าไม่รู้ว่าความคิดนั้นมันคิดเอง มันคิดของมันเอง ก็ไปเถอะ

    เนี่ยว่างมั่งคิดมั่ง....ก็ไอ้ว่างนั่นแหล่ะที่เขาเรียกว่า แล้วแต่ละคน ละอาจารย์ท่านจาเรียกว่าอะไรมีหลายนิยามบ้างก็ว่า
    1.ละอารมณ์ละความคิดได้แล้ว
    2.แยกอารมณ์ออกจากจิต
    3.แยกธาตุแยกขันธ์
    4.วิญญาณธาตุแยกออกมาจากขันธ์ทั้ง 4
    5.ละนันทิ
    6.สติตัวตัดตัดอารมณ์กับความคิดได้เร็ว
    7.แมวจับหนูได้เก่ง
    8.สัตติขาด
    9.สูญตา
    10.จิตว่าง
    11.จิตเป็นอุเบกขา
    เยอะแล้วแต่ใครจาเรียก ถ้าทำได้ 25%ก็เป็นโสดาบัน

    โสดาบันเปรียบเสมือน แม่เหล็กหนึ่งคืออารมณ์ความคิดทางโลกมีขั่วบวก อีกแม่เหล็กหนึ่งคือจิตหรือใจหรืออะไรตามแต่ใครจาเรียกเราเข้าใจกันก็พอก็เป็นขั้วบวก ......เวลาอยากทำงานจาคิดจาอารมณ์กับคนกับลูกน้องเมียผัวลูกก็ทำได้ แม่เหล็กทั้ง2มันก็มาติดกัน พอเลิกปฎิบัติการแล้วแม่เหล็กมันก็คืนตัวดีดออกเอง

    แต่ปุถุชนที่ยังไม่เป็นโสดาบัน ขั่วแม่เหล็กมันจาต่างขั้ว อยากให้มันดีดออกมันยังไม่อยากจาออกนะๆๆๆๆๆๆ
     
  13. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    วิธีฝึกก็ง่าย
    1.แยกประเภทก่อนเด็ก3ขวบยังแยกได้เลย เอาหัวไปโขกกำแพงนะ แล้วคอยสังเกตุว่า อะไรเจ็บ อะไรเป็นผู้เห็นความเจ็บนั่นแหล่ะๆๆๆๆๆๆแยกได้แล้ว 3ขวบ
    2.แล้วก็เอาไอ้ตัวที่รู้ที่เห็น ความเจ็บเนี่ยมาดูมาเห็นอารมณมั่งความคิดมั่งในชีวิตที่เราอยู่นะ 7ขวบก็รู้แล้วแต่มันจาทำต่อเนื่องหรือเปล่าไม่รู้มัน หลานผมป.1 ป.2 ทำ ข้อ1ข้อ2ได้แล้ว..............ไม่ต้องอ่านหนังสือธรรมมะ ไม่ต้องเรียนนักธรรม ไม่ต้องเป็นมหา ไม่ต้องแปลพุทธพจน์ได้ มันรู้แล้ว แต่มันจาทำต่อเนื่องไม่รู้มัน
    3.ทำข้อ2เนี่ย 10ปีขึ้นนะ......
    4.แล้วจาเริ่มเห็นว่างมั่งคิดมั่งนะ......
    รู้แล้วท่านไม่ต้องเขียนต่อเนอะข้อ567891011เนอะ

    ฉลาดมาก
     
  14. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    " ความว่าง " ก็คือ " อาการคิดอย่างหนึ่งของจิต "

    พระป่า จะกระแถกแดกดันกันเลยทีเดียว หากใครปรารภว่าเห็น ความว่าง อยู่กับความว่าง
    ว่านั้น มึงติดสัญญา มึงเกยตื้น มึงเมาสังขาร(ความว่าง)ซึ่งมีหลายชนิด นับไม่ถ้วน

    ดังนั้น เวลาจิตไปเสวย"ความว่าง" ชนิดหนึ่งชนิดใดเข้า ให้กำหนดรู้ การเข้าไปปักใน
    ความว่างน้ัน มันต้องมีการเสวย หรือ มีตัวเวทนา

    แล้วให้กำหนดรู้ เวลามัน เปลี่ยนจาก " คิดว่าง กับ คิดเป็นเรื่อง กับ คิดเป็นภาพ " นั้น
    ให้เห็นว่า มันเคลื่อนไปเคลื่อนมา ระหว่างภพ ว่างๆ ภพคิดเป็นเรื่อง ภพ คิดเป็นภาพ
    ก็เพราะ " เวทนามันไม่เที่ยง " หรือ " สัญญามันไม่เที่ยง " จิตจึงแปรปรวนไปตาม
    อำนาจความไม่รู้ เดี๋ยวจับความว่าง ตั้งอยู่ไม่ได้ ก็ไปจับความคิดเป็นเรื่อง ประครอง
    รูปเกินไปก็คิดเป็นภาพ สารวนอยู่ในอ่างแห่งสังสารวัฏอยู่อย่างนั้น โดยสำคัญว่า ว่าง
    คือทางออกจากภพ ฉิหายกันมานักต่อนัก ไฟไหม้หัวไม่เคยเห็น

    พอกำหนดรู้เวทนาได้ หรือ สัญญาได้ จิตถึงจะ ถึงฐาน สมาธิในพุทธศานาจึงเริ่มต้น

    หาใจให้เจอก่อน หาฐานจิต ฐีติจิตให้เจอก่อน แล้ว ค่อยโม้ว่า รู้จักสมาธิ

    พอรู้จักสมาธิ ค่อยโม้ว่า รู้จักการ " สดับธรรม " ที่ล่วงพ้นวิธีฟังแบบ ปุถุชน

    พอรู้วิธีฟังล่วงพ้นปุถุชน ไม่ใช้อยาตนะ ค่อยปรารภเรื่อง โสดาบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มิถุนายน 2015
  15. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    จ้าพ่อ พ่อทูนหัว
     
  16. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เอาไป ลองดูก่อน

    แล้ว สังเกตุ จิตที่มันมีรสทางการถูกบีบคั้น เหมือนมันไม่ยอม หากมี ให้กำหนด
    รู้ตัวนี้แทนความว่างเข้ามา

    หากยกขึ้นระลึกได้ จะเห็นเลย ใน "ความว่าง" ที่เป็นตัว"สังขารขันธ์" มันจะมีน้ำหนัก
    มีการไป มีการมา มีอยาตนะชนิดนั้นๆตามชื่อของความว่างชนิดต่างๆ

    พอทำได้แบบนี้ ก็เสพความว่างชนิดนั้นให้มากๆ ไม่ได้ห้าม

    เพราะความว่างเหล่านี้ มันเป็นกุศล (ห่างจากกิเลส) เพียงแต่ว่า หาก
    เราอาศัยระลึก อัสมิมานะ ตัวอัตตาที่มันดิ้นรนเป็นน้ำหนักบ่อยๆ จะเรียกว่า
    "ส่งตนเพียรเผา"

    ภาวนาแบบนี้ พระสารีบุตร จะเทินนักภาวนาคนนั้นไว้บนศรีษะท่าน


    นักภาวนาคนนั้น จะเป็น พ่อทูลหัวของพระสารีบุตร
     
  17. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    เข้าใจๆๆแต่ใช้ศัพย์ต้องไปค้นหา อัสมิมานะ แปลว่าถือตัวถือตนว่าเก่งว่าแน่ ระลึกก็คือ การเห็น จิตเห็น อัสมิมานะ อัสมิมานะดับ จิตไปเห็น ว่าง ว่างดับจิตไปเห็นอัสมิมานะ สลับไปสลับมา นะ จึงจะเรียกว่า เพียรเผากิเลสเนอะ...........
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    เห็น ตรงสลับไปสลับมาก็ได้ เรียกว่า จิตเห็นอาการของจิต จิตเห็นการเคลื่อน
    หากเป็น นักภาวนาอินทรีย์ยอดเยี่ยมก็จะ พูดใหม่ด้วยปัญญาว่า จิตเห็นปฏิสนธิจิต
    ปฏิสนธิวิญญาณ จะ advance กว่าเห็น ฐีติจิต ฐีติวิญญาณ

    พอภาวนาได้ตรงนี้ คำบัญญัติ คำสอนจากเหล่าสรรพสัตว์ จะไม่ถึงแล้ว การถูกทำร้าย
    ถูกกดข่มด้วย บัญญัติจากธรรมภายนอก จะไม่มีอีก จะพ้นเงื้อมมือของขันธ์5 พ้นการดำริ
    พ้นสัญญาความแตกต่าง พ้นการเปรียบเทียบ พ้นมาร

    แต่จะเหลืออีกนิดนึงนะ อันนี้ยังถือว่า เป็นที่สุดของ สุตตมัยยปัญญา พ้นตรงนี้ไป
    จึงจะเป็น ภาวนามัยปัญญา มีภาวนามัยปัญญา พระพุทธองค์ไม่ห้ามการพยากรณ์แล้ว
    [ พนากรณ์ได้ แต่จะไม่ สำคัญตน ไม่มี อัสสมินานะ กำเริบกลับ ]


    อดทน ลองภาวนาดูก่อน ความว่างไม่หายไปไหนหลอก หากมันมีกำลัง(อุปาธิ) มันก็รั้งเรากลับไปอยู่แล้ว
     
  19. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    การใช้ ศัพท์บาลี การใช้ภาษามคธ

    อย่าไป ยก เป็นเรื่อง น่ารำคาญ อย่าไปยกว่าเป็นเรื่อง นักตำรา ภาพนักปฏิบัติไม่สวย

    อย่าไป หวงแหนความสวยงามของนักปฏิบัติ .....


    ขอให้ อุทิษถวาย ภาพนักปฏิบัติสุดประเสริฐนั้นให้เป็น พุทธบูชา ยอยก ภาษามคธ
    ภาษาของ มาตุภูมิของพระพุทธองค์ไว้ เพราะ พระพุทธองค์กำหนดรู้สิ่งนี้ก่อนจะ
    จุติมาจากสวรรคิ์ เพราะเล็งด้วยญาณแล้วว่า ภาษามคธ จะทำให้ พระพุทธศาสนา
    มีอายุยืนยาว
     
  20. GipBall

    GipBall เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    109
    ค่าพลัง:
    +182
    อ่านแล้วเข้าใจครับ แต่ต้องไปค้นภาษาศัพท์กันหน่อย....ถ้าได้เป็นพระโสดาบันก็มาทำความเข้าใจภาษาพวกนี้อีกที ใกล้แล้วล่ะพระโสดาบันน่ากลางปีหน้านะ ถ้าอย่างเร็วก็สิ้นปีนี้ ถ้าคาดไม่ผิด ถ้าคาดผิดก็ต้องลุยกันต่อ
     

แชร์หน้านี้

Loading...