เจ้าคุณนรรัตน์ อรหันต์กลางกรุง

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย 686, 2 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. 686

    686 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +73
    เล่าให้ฟังหน่อยครับ มีวัตถุมงคลไรมาแบ่งกันชม เพื่อเป็นวิทยาทานหน่อยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 มกราคม 2015
  2. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    เมื่อคึกฤทธิ์ ปราโมช บุกไปพิสูจน์ความเป็น"พระอรหันต์"ของท่านเจ้าคุณนรฯถึงที่วัดเทพศิรินทร์

    ขณะนี้มีข่าว"พระอรหันต์"เกิดใหม่มากมาย เลยนึกครึ้มใจ ไปค้นหนังสือพระเก่ามาอ่าน เลยขอเอามาร่วมแบ่งปันเพื่อนๆครับ ว่า"พระอรหันต์"ที่มีเสียงลือว่าท่านนั้นท่านนี้บรรลุสุดยอดอภิญญาชั้นสูง(พระอรหันต์) เมื่อมีผู้ไปกราบเรียนถาม ท่านตอบว่าไง

    ........เมื่อปี2510หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์"บางกอกไทม์"เสนอข่าวเรื่องราวชีวประวัติของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ฯอย่างหมดสิ้นทุกแง่มุม โดยตบท้ายเรื่องว่า ท่านสำเร็จอภิญญาชั้นสูง อาจถึงขั้นพระอรหันต์ ทำให้ผู้คนแตกตื่นกับข่าวนี้ เรื่องที่พระภิกษุสงฆ์ รู้ธรรมจากการปฏิบัติจนสามารถกำจัดกิเลสได้ตามภูมิชั้นจนไปถึงขั้นพระอรหันต์

    ม.ร.ว คึกฤทธิ์ ปราโมช กล่าวถึงเรื่องการเป็นพระอรหันต์ของท่านเจ้าคุณนรฯว่า เมื่อท่านไปนมัสการพระคุณเจ้า ท่านเจ้าคุณนรรัตนฯ ที่เคยเห็นท่านเจ้าคุณนรฯมาตั้งแต่ครั้งเมื่อครั้งคึกฤทธิ์ยังเด็ก วิ่งเล่นอยู่ในวัง หลังจากสนทนาปัญหาธรรมแล้ว เลยถือโอกาสเรียนถามตรงๆว่า "กระผมได้ยินข่าวเล่ากันว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว ไม่ทราบว่าจริงเท็จแค่ไหนกันแน่?" พระคุณเจ้าท่านเจ้าคุณนรฯเรียกคึกฤทธิ์เข้าไปใกล้ๆ แล้วกระซิบที่หูพอให้ได้ยินถนัดๆว่า "อ้ายบ้า" สรุปคือ ครั้งนั้นคึกฤทธิ์เลยไม่รู้ว่าท่านเป็นพระอรหันต์รึเปล่า? มักมีผู้สงสัยถามกันเสมอว่ามีอะไรเป็นเครื่องวัด ต้องให้ผู้มีความรู้ด้านนี้ทดสอบ แล้วจะรู้ชั้น รู้ขั้น ส่วนตัวท่านเจ้าคุณนรฯ ท่านไม่คุยโวโอ้อวดบอกใครๆ เพราะเดี๋ยวจะอาบัต แต่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า "คุณจะคิดอย่างไรไม่รู้ได้ แต่สำหรับอาตมา ชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้าย อาตมาไม่ต้องการเกิดอีก อาตมามั่นใจว่าชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายที่อาตมาจะเกิด ดีสไลฟ์อีสเดอะลาสท์ ( This life is the last)"
    :cool:
    Cr. Pantip.com
     
  3. 686

    686 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +73
    มีไรมาแบ่งปันความรู้กันครับ
     
  4. เสือสี่แคว

    เสือสี่แคว Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +91
    ท่านเป็นพระดี ถ้าคนทำดี ใช้พระของท่านขึ้นมาก ถ้าใครทำไม่ดีใช้พระของท่านก็ตกเร็วมาก ถ้ารับราชการ ทำงานเพื่อชาติ เรื่องศึกษาเล่าเรียน จะเห็นผลเร็วมาก
     
  5. 686

    686 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    28
    ค่าพลัง:
    +73
    มีไรมาแบ่งปันความรู้กันครับ
     
  6. supatk

    supatk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    66
    ค่าพลัง:
    +200
    พระท่านข้อห้ามเยอะไหมครับ
     
  7. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    @ ว่าด้วยเคล็ดลับการอาราธนาพระเครื่องท่านเจ้าคุณนรฯ

    1. ต้องเป็นผู้มีศีล ๕ เพราะศีล๕เป็นเครื่องป้องกันภัยได้ชงัดนัก แม้ทำได้ไม่ครบก็ควรรักษาให้ได้มากที่สุด เพราะเป็นการทำให้พระเครื่องของพระคุณเจ้าที่มีพลังจิตท่านแฝงอยู่มีพลังเพิ่มมากขึ้น

    2. ต้องมีสัจจะ เพราะความมีสัจจะเป็นคุณสมบัติประจำตัวของท่านเจ้าคุณนรฯ เมื่อผู้สวมพระท่านเป็นผู้มีสัจจะ ย่อมเกื้อกูลเสริมพลังกันได้

    3. เป็นผู้อยู่ในกรอบแห่งธรรม อาทิเช่น เป็นผู้ไม่ประมาท ขยันหมั่นเพียร ยึดมั่นในพระรัตนตรัย เป็นผู้สงบทั้งกาย-วาจา-ใจ ไม่ประพฤติพาล


    4. มีจิตมั่นคง เชื่อมั่นในพระรัตนตรัยว่ามีอานุภาพจริง เมื่อทำดีพระย่อมคุ้มครอง ไม่ลังเลสงสัยในคุณพระ

    5. สวดคาถาชินบัญชร ท่านเจ้าคุณนรฯท่านเน้นย้ำว่า พระคาถาที่ท่านใช้สวดในการอธิษฐานจิตคือพระคาถาชินบัญชร ซึ่งมีอานุภาพมาก จึงควรสวดพระคาถาบทนี้เสมอๆเพื่อเสริมพลังพระเครื่องที่ท่านอธิษฐานจิตไว้ให้


    วันนี้แค่นี้ก่อนครับ วันหน้าจะมาต่อเรื่องคาถาและการอาราธนาพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ:cool:
     
  8. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    @ ว่าด้วยเรื่องคาถา และการอาราธนาพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯ

    ท่านเจ้าคุณนรฯไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้ไว้ แต่ได้มีการมาประมวลในภายหลังโดยครูบาอาจารย์และท่านผู้รู้หลายท่าน โดยพิจารณาจากการที่ท่านเคยกล่าวไว้ว่า " สำหรับพระเครื่องที่อาตมาพบว่ามีพลังมากที่สุดก็คือ พระสมเด็จของเจ้าประคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี แห่งวัดระฆังโฆษิตาราม เพราะพลังจิตของท่านสูงและบริสุทธิ์อย่างแท้จริง อีกทั้งชินบัญชรคาถาก็เป็นพระคาถาที่ได้ร้อยกรองมาอย่างดี อาตมาใช้สวดในการอธิษฐานจิตเป็นประจำ “ จึงแนะนำว่า เมื่อจะอาราธนาพระเครื่องของท่านเจ้าคุณนรฯขึ้นคอ ควรสวดมนต์บทพระคาถาชินบัญชร และให้ต่อด้วยคาถาดังนี้

    “ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทังพลัง เอตัสหมิง รัตตะนัตตะ ยัสสะหมิง สัมปะสาทะ นะโจตะโส “
    แล้วกล่าวคำอาราธนาว่า ด้วยอำนาจแห่งคุณพระศรีรัตนตรัยที่ข้าพเจ้ายึดถือเป็นที่พึ่งที่ระลึก ด้วยอำนาจแห่งการปฏิบัติธรรม ด้วยศีล ทานภาวนาบารมี และด้วยอำนาจแห่งท่าน ธัมมวิตักโก ภิกขุ แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ได้โปรดอารักขาข้าพเจ้าให้แคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง เจริญรุ่งเรืองลาภผลพูนทวี (อธิษฐานตามที่เราเห็นสมควร..................)
    เมื่อจะสวมคอให้ว่าคาถานามฉายาท่านว่า “ ธัมมวิตักโกสันติกโรโหติ ธัมมวิตักโกสุขังเสติ “ :cool:

     
  9. magino10

    magino10 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +116
    ขอยืนยันว่าวัตถุมงคลที่ท่านอธิฐานจิตมีอนุภาพตามที่เจ้าของกระทู้โพสต์ไว้จริง

    ประสพการณ์จากการบูชาพระที่ท่านอธิฐานจิตมีมาก โดยมากเป็นด้านเมตตา และรอดพ้นจากปัญหาทางธุรกิจ เช่นเปรยกับเพื่อนต่างชาติที่เพิ่งรู้จักว่าหากได้ทุนหลักล้านสักก้อนเพื่อซื้อสินค้าไปขายที่เมืองไทยก็จะดีไม่น้อย เพราะทุนที่เตรียมไปซื้อหมดไปแล้วและกำลังจะกลับเมืองไทย พอวันรุ่งขึ้นเขานำเงินก้อนนั้นมาให้ยืมโดยไม่เรียกการค้ำประกันแต่อย่างไร ทั้งไม่เอาดอกเบี้ยด้วย เที่ยวนั้นได้กำไรมากมาย นับว่าหลวงพ่อท่านโปรดโดยแท้
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    43,347
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,035
    [​IMG]

    ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ
    (มหาเสวกตรี พระยานรรัตนราชมานิต)
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

    ท่านเคยบอกว่า

    นามฉายาของท่าน คือ ธมฺมวิตกฺโก นั้น
    มีความหมายถึงการระลึกถึงธรรม หรือการตรึกถึงธรรม
    อันเป็นนามเดิมของท่าน เมื่อครั้งที่ท่านยังมีชีวิตอยู่
    (นามเดิมของท่าน คือ “ตรึก จินตยานนท์”)

    ท่านเคยบอกเสมอว่า

    “ถ้าคิดถึงอาตมาก็ให้คิดถึง ธมฺมวิตกฺโก
    เพราะธมฺมวิตกฺโก คือการระลึกถึงธรรม, การตรึกถึงธรรม
    เมื่อคิดถึงเช่นนี้แล้ว ธมฺมวิตกฺโก ก็จะอยู่ข้าง ๆ เสมอ
    ไม่จำเป็นจะต้องมาหาอาตมา
    เพราะเมื่อมาหาก็มาเห็นแต่สังขาร
    ซึ่งวันหนึ่งก็จะเน่าเปื่อยและเสื่อมสิ้นไป


    รวมคำสอน “ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ”
    แสดงกระทู้ - รวมคำสอน “ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ (เจ้าคุณนรรัตนราชมานิต)” • ลานธรรมจักร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. ruguest93

    ruguest93 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +475
    [​IMG]
     
  12. ruguest93

    ruguest93 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    296
    ค่าพลัง:
    +475
  13. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    คุณณัฐชัย หงษ์ยนต์ ผู้จัดทำหนังสือ "ประมวลประวัติและภาพวัตถุมงคล ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต"
    ในสมัยคุณณัฐชัยประสบแต่วิบากกรรม ไม่ว่าจะทำอะไรก็ขาดทุนไปหมด จนเกือบจะหมดทุนอยู่แล้วจะเหลียวหน้าไปหาใครก็ไม่มี จะหันหน้าไปพึ่งใครก็ไม่เห็น
    เผอิญเงยหน้าไปมองรูปถ่ายของท่านเจ้าคุณนรฯ ที่ตั้งไว้บนที่สูง คุณณัฐชัยซึ่งหมดหนทางแล้วก็จุดธูปสามดอกปักที่กระถางธูป แล้วกราบด้วยเบญจางคประดิษฐ์บอกกล่าวว่าเจ้าคุณนรฯว่า ตนกำลังอับจนข้นแค้น ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ทำมาหากินก็ขาดทุนย่อยยับ ขอให้เจ้าคุณนรฯ โปรดเป็นที่พึ่งชี้หนทางสว่างให้พ้นจากความมืดมิดในครั้งนี้ด้วยเทอญฯ
    กราบเจ้าคุณนรฯ เสร็จ ด้วยความอ่อนใจในโชคชะตาของตน คุณณัฐชัยก็เอนตัวลงนอนบนเตียงหมดเรี่ยวแรง
    พอเคลิ้มไปได้หน่อยเดียว ก็ปรากฏมีพระรูปหนึ่งยิ้มอยู่บนเหนือศีรษะถามว่า "มีทุกข์อะไรหรือ"
    ในฝันหรือช่วงครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น คุณณัฐชัย รีบลุกขึ้นนั่งพับเพียบกราบลงไปแทบเท้าของท่าน แล้วเล่าถึงความทุกข์ยากของตนให้ท่านฟัง แล้วขอให้ท่านช่วยโปรดด้วยเถิด พระรูปนั้น หรือที่แท้จริงคือ เจ้าคุณนรฯได้บอกแต่เพียงว่า
    "ทำไมมีของดีแล้วไม่รู้จักใช้ ก็ก้อนกรวดหรือปฐวีธาตุที่มีอยู่นั่นไง"
    เมื่อเล่ามาถึงตอนนี้ คุณณัฐชัยก็แหวกหน้าอกเสื้อควักก้อนกรวดขนาดปลายนิ้วก้อยหุ้มด้วยพลาสติกสี่เหลือง เลี่ยมทองจับขอบ ออกมาให้ผู้เขียนชมบอกว่า "นับแต่วันที่ผมนำปฐวีธาตุของท่านเจ้าคุณนรฯแขวนติดตัว ก็ค่อยกระเตื้องขึ้นจนพอมีกินมีใช้ในทุกวันนี้แหละครับ"
    อันก้อนกรวดที่ว่านี้ กล่าวกันว่าเป็นวัตถุมงคลที่ท่านเจ้าคุณนรฯ ทำการปลุกเสกเพื่อต้องการมอบให้คุณโกศล ปัทมะสุนทร หลานชายของท่านซึ่งเป็นบุตรของนางเลื่อนน้องสาวของท่านเอง ทั้งนี้เนื่องจากคุณโกศล เคยเอ่ยปากขอของดีจากท่าน แต่ท่านไม่มีให้ แต่ก่อนที่จะมรณภาพเพียง 6 วัน ท่านได้บอกแก่คุณโกศลว่า ถ้าอยากได้ของดีให้ไปเก็บก้อนกรวดที่อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการมาท่านจะเสกให้
    แต่คุณโกศลสงสัยก็ถามว่า ถ้าที่บางบ่อไม่มี จะไปเอาที่ชลบุรีหรือสมุทรสงครามได้ไหม ท่านก็บอกว่าไม่ได้ ต้องที่บางบ่อเท่านั้น เพราะชื่อเป็นสิริมงคล เป็นบ่อเงิน บ่อทอง และจังหวัดสมุทรปราการก็เป็นชื่อที่ไพเราะ
    คุณโกศลก็รีบไปหาก้อนกรวดนำไปให้ท่านปลุกเสกครั้งแรกเก้าก้อน ซึ่งท่านเจ้าคุณนรฯ ใช้เวลาปลุกเสก 15 นาที ก็ส่งให้คุณโกศลให้นำไปแจกลูกหลานห้อยคอ ทั้งบอกให้คุณโกศลไปเอาก้อนกรวดจากบางบ่อมาให้ท่านปลุกเสกอีก คราวนี้มีผู้ทราบเรื่องเป็นจำนวนมากก็พากันไปขอก้อนกรวดจากคุณโกศล จนท่านเจ้าคุณนรฯ ทำการปลุกเสกให้คุณโกศลที่นำก้อนกรวดมาถวายเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2514 ซึ่งเป็นของดี ชุดสุดท้ายจริงๆ
    พอรุ่งขึ้น ท่านเจ้าคุณนรฯ ก็มรณภาพ
     
  14. ธีระนะโม

    ธีระนะโม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    1,700
    กระทู้เรื่องเด่น:
    13
    ค่าพลัง:
    +6,228
    อธิษฐานจิตโดย หลวงปู่คำพันธ์ โฆสปัญโญ 36 นวะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_1237.PNG
      IMG_1237.PNG
      ขนาดไฟล์:
      592.1 KB
      เปิดดู:
      163
  15. ae noi

    ae noi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    4,134
    ค่าพลัง:
    +1,880
    ขออนุญาติร่วมแจมด้วย ขอรับ

    หาเจอหนึ่งองค์ขอรับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMGP7237.JPG
      IMGP7237.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      237
    • IMGP7239.JPG
      IMGP7239.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      194
  16. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    8 มกราคม 2559 วันครบรอบ 45 ปีแห่งการละสังขารท่านเจ้าคุณนรฯ

    วันนี้เป็นวันพระ และที่สำคัญ ยังเป็นวันครบรอบปีที่ 45 แห่งการละสังขารของท่านธัมมวิตักโก ท่านเจ้าคุณนรฯวัดเทพศิรินทร์ ที่วัดคงมีการจัดงานเหมือนทุกๆปีครับ เลยขอนำบทความประสบการณ์อภินิหารท่านเจ้าคุณนรฯที่เกิดกับบุคคลสำคัญมาลงเพื่อเป็นอาจาริยบูชาครับผม :cool:


    อภินิหารของ ''ท่านเจ้าคุณนรรัตน์'' ที่ประสบกับ ''พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล''

    ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๒๐ ผู้เขียนได้รับบทความมาชิ้นหนึ่งน่าสนใจมาก และหากนับย้อนหลังมาถึงวันนี้เป็นเวลาล่วงมา “๓๐ ปี” เข้าไปแล้วและท่านผู้เขียน “บทความ” นี้ก็ได้ล่วงลับไปแล้วเช่นกันแต่เมื่อครั้งที่ท่าน “ยังมิได้ล่วงลับ” ท่านมีเมตตาต่อผู้เขียนมากจึงมอบ “บทความชิ้นนี้” ซึ่งท่านเป็นผู้ “นิพนธ์” ขึ้นมาเองเพื่อช่วยผู้เขียนในการจัดทำหนังสือชื่อ “พุทธเวทย์” เพื่อการเผยแพร่ซึ่งหลังจากบทความนี้ได้เผย แพร่ออกไปปรากฏว่าได้รับ “ความสนใจ” จากผู้อ่านมากจึงคิดว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป ๓๐ ปี แล้วหากจะนำมาเสนออีกคิดว่าน่าจะเป็นที่สนใจต่อผู้อ่านยุคนี้เช่นกัน เพราะบทความนี้นิพนธ์โดย “พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์ เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล” พร้อมใช้ชื่อว่า “เรื่องของอภินิหาร” ผู้เขียนจึงขอกราบอนุญาตนำมาเสนอโดยตัดบางตอนออกเพื่อให้เนื้อหาพอดีกับเนื้อที่ของ “เหนือลิขิต ประกาศิตฟ้าดิน” ส่วนลีลาสำนวนการเขียนยังคงใช้ “อรรถรสเดิม ๆ” โดยเนื้อหามีข้อความดังนี้

    “ข้าพเจ้า (พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล) ได้เคยกล่าวไว้ว่า ความเห็นของข้าพเจ้าเรื่องอภินิหารนั้น เกิดจากพลังจิตของหลายฝ่าย อาทิ พลังจิตของพระพุทธเจ้า พลังจิตของอาจารย์ และพลังจิตของบุคคลมารวมกันเข้าเป็นพลังรวมและพลังจิตทั้งสิ้น ซึ่งส่วนใหญ่เกิดจากการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งมีหลายวิธีการและหลายลัทธิ แม้แต่พลังของจิตที่เป็นธรรมชาติที่คนบางคนมี แต่ถ้าเป็นกำลังจิตที่แท้จริงแล้วก็ย่อมมีพลังทั้งสิ้น แต่ก็อีกนั่นแหละ ดังเช่นที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วในตอนต้นของบทเขียนนี้ว่า ถึงแม้จะยังไม่มีข้อที่จะพิสูจน์ให้แน่แท้ว่ามีพลังอย่างไร แม้แต่ว่ามีจริง หรือเปล่าก็ยังยืนยันได้ยาก แต่อย่างไรก็ตามก็ยังไม่มีปราชญ์ หรือมีนักวิทยาศาสตร์ผู้ใดจะพึงกล้ายืนยัน ว่า พลังจิตนั้นไม่มีจริง และจะเกิดขึ้นไม่ได้เป็นอันขาด ข้าพเจ้าจึงจะขอนำเรื่องที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเองเมื่อไม่กี่ปีมานี้มาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะพิสูจน์จะวิจัยกันได้หลายทาง สุดแล้วแต่ท่านผู้อ่านจะนึกคิดวิจัยกันเอง”


    “เมื่อไม่กี่ปีมานี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ข้าพเจ้าไปเป็นผู้แทนพระองค์ในงานฉลอง ๒๕๐๐ ของวันที่พระเจ้าไซรุส มหาราช ทรงรวมจักรวรรดิเปอร์เซีย (อิหร่าน) ขึ้นงาน เฉลิมฉลองนี้ พระเจ้าซาร์อิหร่าน องค์ปัจจุบันทรงจัดให้มีการฉลองเฉลิมขึ้นที่เมือง เพอเซพโพลิส (เมืองโบราณ) ซึ่งเป็นการฉลองที่มโหฬารที่ทั้งองค์ประมุขและประมุขประเทศ แทบทุกประเทศในโลกได้รับเชิญและจะไปประชุมกันในโอกาสนั้น ก่อนกำหนดวันเดินทางหนึ่งวันซึ่งมีกำหนดจะต้องออกเดินทางเวลาเที่ยงของวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าเกิดป่วยเป็นไข้หวัดอย่างแรงไข้สูงมากจนมิสามารถจะยืนทรงตัวได้ อีกทั้งยังไอโขลก ๆ อยู่มิได้ขาด จนเจ็บไปทั่วอกแพทย์ผู้รักษาทั้งที่พยายามที่จะรักษาให้ข้าพเจ้าค่อยยังชั่วให้ไปได้ ก็ยอมแพ้ โดยบอกกับข้าพเจ้าว่าเนื่องจากสภาพของไข้ข้าพเจ้าในขณะนั้น จะเดินทางโดยเฉพาะไปในงานเฉลิมฉลองที่ใหญ่โตเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาด ข้าพเจ้ากลุ้มและปั่นป่วนใจเป็นที่สุดเพราะว่าจะต้องทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทรงลำบากพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องทรงหาตัวแทนข้าพเจ้าซึ่งภายในไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง จะสามารถเตรียมตัวทันโดยเฉพาะในงานนี้จะมีการเลี้ยงและการแต่งกายเต็มยศกัน แทบทุกวันตลอดอาทิตย์หนึ่งข้าพเจ้าตระหนักดีว่า สำหรับข้าพเจ้านั้นมีแต่ทางที่จะเสียจะกราบทูลว่าไปไม่ได้ก็เสีย จะไม่กราบทูลก็เสีย เวลานั้นเป็นเวลาค่ำโพล้เพล้ด้วยไข้และด้วยความปั่นป่วนบวกความกลุ้มใจ ข้าพเจ้าล้มตัวลงนอนแต่ไม่ทราบว่าอะไรที่มาดลใจข้าพเจ้าให้คิดว่าจะไม่มีทางอื่นแล้วที่อาจช่วยได้ นอกจากจะใช้พลังจิต และข้าพเจ้าเคยทำวิปัสสนาอยู่บ้าง แต่ก็มิใช่อยู่ในฐานะของผู้ที่แก่กล้าในทางวิปัสสนา ข้าพเจ้าแข็งใจนึกขอให้บรรดาอาจารย์ผู้ที่ศักดิ์สิทธิ์ขอให้เมตตากรุณาต่อข้าพเจ้าด้วยเถิด แล้วสะกดจิตกำหนดลมหายใจให้นิ่งได้แล้วก็จำอะไรอีกไม่ได้ มารู้สึกตัวในฝันว่าข้าพเจ้าแหงนคอมองขึ้นไปทางหัวเตียงนอน ได้เห็นพระองค์หนึ่งสีจีวรเหลืองอร่ามชัด แต่ใบหน้าของท่านนั้นเป็นหิน หินที่มีสีคล้าย ๆ ตอนสีอ่อนของสีดอกพิกุล ท่านประทับลอยอยู่เหนือหัวนอนและทันทีที่ข้าพเจ้าเพ่งมองพระพักตร์หินนั้น กระดุก กระดิกได้เหมือนหน้าคนธรรมดาและเป็นตอนที่ข้าพเจ้าจำได้ว่า พระองค์นั้นคือ “ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ วัดเทพศิรินทร์” ซึ่งเพิ่งได้สละสังขารไปแล้วเมื่อไม่นาน ในฝันนั้นข้าพเจ้าลุกขึ้นนั่งกราบท่านแล้วออกปากทักว่า “เจ้าคุณ” ท่านยิ้มแล้วกลับนิ่งเฉย ต่อครู่ใหญ่ท่านจึงเอ่ยขึ้นว่า “ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นของธรรมดา” ก็รู้ (ข้าพเจ้า) อยู่แล้วเจ็บไข้นี้มีทางเดียวที่จะมีทางบรรเทาได้ คือด้วยพลังจิตท่านก็รู้จิตท่านแข็งจึงต้องมา ท่านกล่าวเบา ๆ ช้า ๆ เป็นตอน ๆ เหมือนจะสั่งสอน แล้วท่านก็หยุดไปครู่หนึ่ง แล้วท่านก็กล่าวขึ้นอีกพร้อมกับยิ้มน้อย ๆ และด้วยน้ำเสียงของคนธรรมดาว่า “อย่าวิตกเลย บรรทมให้สบายเถิด พรุ่งนี้จะหายประชวรแล้วเสด็จได้”

    “ข้าพเจ้าตื่นขึ้นปรากฏว่ายังหงายหน้ามองที่เหนือเตียง และรู้สึกว่ายังเห็นจีวรเหลือง ๆ หายแวบไป แต่กำลังไม่สบายมากจึงนึกเพียงว่าฝันไปแล้วหลับผล็อยไป ต่อเมื่อตอนดึกค่อนรุ่งข้าพเจ้าตื่นขึ้นปัสสาวะรู้สึกว่าอาการปวดหัวเมื่อยร่างและอาการอ่อนเพลียนั้นค่อยยังชั่วขึ้นรู้สึกแปลกใจ แต่นึกว่าอาการที่ปรากฏค่อยยังชั่วนี้เป็นมโนภาพ และอาจเป็นภาวะหลอนของตัวข้าพเจ้าเองว่าสบายขึ้น จึงหลับตานอนกำหนดจิตต่อไปจนไม่รู้สึกตัว ต่อเช้าประมาณ ๗ โมงจึงตื่นขึ้น อาการไข้ทุกอย่างทุกประการหายสิ้น แม้แต่การไอโขลก ๆ ที่ถี่และแรงก็หายสิ้นไม่ไอเลย และพอถึง ๑๒ นาฬิกา ข้าพเจ้าก็ออกเดินทางจากดอนเมือง เหมือนกับคนที่หายเจ็บแล้วคงแต่รู้สึกเพลียบ้างเล็กน้อย เมื่อไปถึงประเทศอิหร่านก็เข้าไปร่วมฉลองงานทุกงานโดยเฉพาะที่เมือง “เพอเซพโพลิส” ซึ่งตั้งอยู่บนเขาสูงมากจึงทั้งหนาวทั้งหายใจยาก ด้วยมีออกซิเจนน้อยข้าพเจ้าได้ตรากตรำกลางแดดกลางความหนาวทุกวัน บางวันไปงานตั้งแต่เช้าจนตีหนึ่ง”



    เรื่องนี้เป็น “เรื่องจริงและประหลาด” ที่เกิดกับตัวข้าพเจ้าเองท่านจงเลือกพิสูจน์และเลือกเชื่อเอาเองเถิด ว่าจะเป็นเรื่องของอภินิหารหรือเรื่องธรรมดา ๆ เพราะว่าพอข้าพเจ้ากลับมาก็ได้ไปซักถามนายแพทย์ผู้นั้นบอกว่า เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้ารักษาตัวของข้าพเจ้าเอง เพราะความแน่วแน่และพลังจิตนั้น ทำให้ส่วนกลไกต่าง ๆ ของร่างกายของข้าพเจ้าต่อสู้กับโรค และต่อสู้กับความรู้สึกของข้าพเจ้าจนชนะ และหายไข้ชนิดที่ยาอาจทำไม่ได้ แต่แพทย์ก็ย่อมทราบกันดีว่า พลังจิตของคนไข้นั้นถ้าแข็งหรือพูดง่าย ๆ ว่าคนไข้สู้ไข้แล้ว ย่อมเป็นพลังที่จะช่วยให้หมอรักษาโรคให้หายได้ ดีกว่าคนไข้ที่ไม่สู้ข้าพเจ้าสนใจในเรื่องนี้ จึงได้คอยติดตามฟังและอ่านเรื่องเช่นนี้ในวงการแพทย์ต่อมาเสมอ ๆ เมื่อไม่นานมานี้ได้อ่านบทเขียนของนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางโรคมะเร็ง ชาวอเมริกันเขียนเรื่องพลังจิตและเรื่องการให้คนไข้ทำวิปัสสนาเพื่อช่วยรักษาโรค เขาว่าเขาแนะนำกับคนไข้ที่เป็นโรคที่มีหายยากเช่น “มะเร็ง” ให้ทำวิปัสสนาและใช้พลังจิตช่วยเขารักษาโรค เขายืนยันว่าการกระทำดังกล่าวเขาได้ผลดีอย่างน่าพิศวง คนไข้บางรายหายได้อย่างไม่น่าที่จะเป็นไปได้เลย และเป็นที่น่าประหลาดว่านายแพทย์ผู้นั้นมิได้นับถือ พระพุทธศาสนา แต่เขาก็เอาวิธีการและพระธรรมหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่เขาเชื่อมาใช้เป็นผลเช่นกันโดยเขาจะเริ่มสอนคนไข้ไม่ให้กลัว โดยชี้แจงว่าความตายเป็นของธรรมดา ทุกคนจะเลี่ยงไม่ได้สังขารเป็นส่วนที่ประกอบขึ้น ย่อมจะ ต้องเสื่อมสลายเหมือนวัตถุและธาตุทั้งหลายทั้งปวง เมื่อคนไข้พอจะเข้าใจและบรรเทาความกลัวบ้าง เขาก็เริ่มสอนให้คนไข้ทำวิปัสสนา บทเขียนทั้งสิ้นนี้เป็นเรื่องหนึ่งที่ข้าพเจ้าเชื่อ เพราะว่าข้าพเจ้าได้ประสบการณ์หรือได้เกิดขึ้นกับตัวข้าพเจ้าเอง และข้าพเจ้าเชื่อว่าเป็นเรื่องของพลังจิตของ “สมเด็จพระบรมศาสดา” และพลังจิตของ “ท่านธรรมวิตตโกมหาเถระเจ้าคุณนรรัตน์” และพลังจิตที่ต่ำต้อยของข้าพเจ้า แต่ก็พอมีพลังเพียงพอที่จะรับอานุภาพพลังจิตอื่นที่ใหญ่ยิ่งได้”

    นี่คือบทความของท่าน “พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ ยุคล” หรือที่ในวงการภาพยนตร์เรียกท่านว่า “เสด็จองค์ชายใหญ่” มีความน่าสนใจมากเพราะเป็น “เหตุการณ์จริง” ที่ท่านประสบมาด้วยพระองค์เองทรงได้นิพนธ์เอาไว้ให้ผู้เขียน นอกจากบทความนี้ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ทรงนิพนธ์ให้ผู้เขียนไว้จะได้นำมาเสนอในโอกาสต่อไป.


    [​IMG]
     
  17. puniw

    puniw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    742
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,058
    ปสก.อีกเรื่องของผมตอนบวช ก่อนถึงวันบวช1วัน จู่ๆผมปวดท้องเหมือนจะท้องเสีย แถมเวลานั่งขัดสมาธิตอนทำสมาธิ ด้วยความไม่ค่อยได้นั่งแบบนี้ ทำให้ผมรู้สึกอึดอัด โรคความดันสูงที่เป็นอยู่ก็กำเริบขึ้นมาอีก ทั้งปวดท้องทั้งความดัน รู้สึกสับสนว่าเราจะบวชดีมั๊ยหนอ??? เราตั้งใจมาบวชแล้วเราต้องทำให้ได้ แต่อาการที่เป็นอยู่ณ.ขณะนั้นก็ทรมานเหลือเกิน มองไปรอบๆศาลา มีรูปพระสงฆ์หลายรูป แต่ที่สะดุดตาผม คือรูปท่านเจ้าคุณนรฯ (เพราะก่อนหน้าที่จะมาวัดเพื่อรอบวช ผมฝันว่าผมได้กราบเท้าท่านเจ้าคุณนรฯ กราบครั้งที่2 ผมเขยิบเข้าไปแบมือกราบที่ฝ่าเท้าท่านเลย ตอนเอามือจรดเท้าท่านเกิดลำแสงสว่างจ้าเหมือนพระอาทิตย์ฉายแสง ผมบอกกล่าวขอนอบน้อมบูชาท่านด้วย นับเป็นฝันดีที่สุดจริงๆ) ผมเลยมองรูปท่านแล้วนึกในใจว่าท่านเจ้าคุณนรฯช่วยลูกด้วยๆๆ สักพัก อาการความดันก็เริ่มคลาย อาการปวดท้องก็เริ่มหยุด เมื่อเสร็จกิจที่ศาลา ก็ขึ้นไปถ่ายท้องจนหมดอาการปวดท้องและได้บวชในที่สุดครับ นี่คือรูปท่านที่ศาลาวัดครับ :cool:

    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...