อภิญญา ที่เคยได้ในอดีตชาติ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย nongnewinbkk, 2 มิถุนายน 2015.

  1. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    เคยได้ยินว่า หากเคยมี เคยได้ อภิญญามาแล้วในอดีตชาติ( มีของเก่า ) ก็จะเป็นเรื่องง่ายที่จะกลับมามีอภิญญาอีก ในปัจจุบันชาติ ด้วยการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด อภิญญานั้นก็จะกลับมาเช่นเดิมโดยง่ายคะ เท็จจริงประการใดตัวน้องนิวเองมิทราบนะคะ เพียงแค่นำมาเล่า มาถามต่อคะ

    คือตัวน้องนิวเอง ได้ฝันว่า มีเสียงบอกกับน้องนิวว่า ถ้าอยากเห็นอาจารย์ของน้องนิว ให้ใช้ตาที่สามเพ่งมอง ถึงจะเห็น

    ในความฝันนั้น น้องนิวก็ใช้ความพยายามเพ่งไปที่ตรงกลางระหว่างคิ้วที่หน้าผากของตัวเอง แล้วก็ปรากฎมีโพรงกลมๆ มองทะลุเข้าไปเห็นภาพ ชายชรา ผมหงอกสีขาวทั้งหัว ผมยาวม้วนผมเป็นจุก หนวดเคราก็ยาวหงอกเป็นสีขาวทั้งหมดเช่นกันคะ นุ่งห่มผ้าสีขาวทั้งตัว ท่านบอกว่า ท่านคืออาจารย์ของน้องนิวเอง พอน้องนิวถามท่านว่า ท่านอาจารย์อยู่ที่ใหน ท่านก็ไม่ได้ตอบ แล้วภาพก็หายไป

    แล้วน้องนิวก็พูดว่า ตาที่สามนี่ มีจริง ใช้ได้จริงๆด้วย

    แล้วก็ตื่นเสียก่อน

    พลันทำให้คิดว่า ฝันนี้ช่างแปลกนัก

    หรือท่านที่นุ้งขาวห่มขาวที่ฝันเห็นนี้ เคยเป็นอาจารย์ของน้องนิวในอดีตชาติ

    หรืออดีตชาติ น้องนิว เคยมีอภิญญา เพราะใช้ตาที่สามได้

    ก็แปลกนะ ฝันได้ขนาดนี้ คิดเห็นว่าเช่นไรคะ หรือก็แค่ฝันไป อิอิ....
     
  2. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ที่ๆ ว่ากันอย่างนั้น ว่า ใครเคยได้อภิญญาเมื่อชาติก่อนชาตินี้จะได้เร็ว เคยได้ยินมาเหมือนกันครับ แต่พอฟังไปฟังมาความหมายเหมือนบอกเราว่า ใครที่นั่งสมาธิกรรมฐานแล้วได้อภิญญา ให้เข้าใจว่าเค้าทำมา อย่าไปใส่ใจน้อยใจว่า เราทำแล้วไม่เห็นได้อะไรอย่างเค้าเลย จะได้ทำของเราไป ไม่ใช่มัวแต่มาถามคนทำได้ว่าทำยังไงถึงได้ ผมทำยังไงก็ไม่เห็นได้ และการจะบรรลุธรรมก็ไม่จำต้องได้อภิญญา มุ่งบรรลุธรรมไปครับ คือเอาแค่สมาธิระดับฌาณที่พอใช้พิจารณาธรรมได้ก็พอ เรื่องอภิญญาถือว่าเป็นเรื่องโชคไป เราไม่มีโชคไม่ได้ก็เป็นธรรมดาไปครับ ถือว่าเราไม่ทำมาก็แล้วกัน พูดง่ายๆ เค้าพูดไม่ให้เห็นความสำคัญกับอภิญญามากไป เพราะเหมือนได้ยินได้ฟังมาพระอรหันต์ประเภทไม่ได้อภิญญามีมากกว่าครับ
     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,116
    ค่าพลัง:
    +3,084
    เคยได้รู้มาว่า เมื่อเข้าสมาธิถึง ฌาน 4 ของเก่าจะกลับมา
     
  4. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    ผมได้ยินมาเหมือนกันครับ แต่หนักกว่า พระโพธิสัตว์หรืออรหันตภูมิบางคนบางประเภทเท่านั้นที่แต่ละชาติจะฝึกไปทีละอย่าง สลับไปมา แต่ว่าจะออกมามีพร้อมสรรพในชาติสุดท้ายเท่านั้น ชาติที่บรรลุอรหันต์ เหมือนกับว่าไม่ต้องไปถามว่า ของเก่ามีไหม แต่พอบรรลุอรหันต์จะได้พร้อมสรรพเอง ส่วนพระโพธิสัตว์ชาติสุดท้ายเป็นพุทธเจ้า ยิ่งกว่านั้นครับ อะไรที่ไม่เคยมีในช่วงเป็นพระโพธิสัตว์ก็จะมีได้และมีแบบพร้อมสรรพครับ สมบูรณ์หมดจดครับ
     
  5. mummamman

    mummamman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,598
    ค่าพลัง:
    +2,116
    ผมไม่ทราบเรื่องตาที่สาม เรื่องอภิญญาของเก่า เรื่องอาจารย์ของคุณว่ามีจริงไหม

    แต่ที่ทราบคือคุณมีอัตตาแน่นอน
     
  6. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    จะไปยากอะไรหละ

    พระพุทธองค์ก็ ตรึกแบบนี้ พระองค์ท่านตรึกไปว่า ด้วยความเป็นทิพย์ และ ด้วยฤทธิ์อำนาจ
    อย่าง เหล่าเทพนี้ เราเคยเสวยชาติมาแล้วหรือไม่ !?

    พอกำหนดรู้แบบนั้น ก็ทำให้ทราบว่า ระลึกชาติได้ว่า เวียนว่ายตายเกิด ด้วยความเป็นเทพ
    เป็นพรหม เป็นมหาเมพขิงขิง มหาพรหมขมขม มานับชาติไม่ถ้วน

    เน้นว่า เสวยชาติเป็น สัตว์มีฤทธิ์นับชาติไม่ถ้วน

    เน้นอีกทีว่า เสวยชาติเป็น สัตว์มีฤทธิ์นับชาติไม่ถ้วน

    แต่ ฤทธิ์ หรือ เดช เหล่านั้น บางสมับของมนุษย์ก็ระลึกได้ กลับไปทำได้ บางสมัยก็ระลึก
    ไม่ได้ กลับไปทำยังไงก็ไม่ได้ ด้วยเหตุเท่าไหร่ จึงเป็นเช่นนั้น

    ก็จะเล็งไปที่เหตุได้ว่า สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง

    พอตรึกไปแบบนั้น ก็ระลึกได้ใน มหาอภิญญาใหญ่ อาสวะขยะญาณ กำหนดรู้ อุปทานขันธ์
    สำรอกออก ไม่เหลือ โน้มไปสู่ มหาอภิญญา ที่ เมพขิงขิง พรหมขมขม ก็ไม่รู้ถึงมหา
    อภิญญานี้

    พอพระพุทธองค์ ระลึกได้ใน มหาอภิญญาใหญ่ หรือ การกำหนดรู้ อริยสัจจ ได้ ก็ทราบอีกว่า
    เราเวียนว่ายตายเกิด เป็น มหาสัตว์ นับจำนวนชาติไม่ถ้วน มาสี่อสงไขย กับอีกแสนมหากัปป
    ความรู้ใน มหาอภิญญานั้นก็ไม่เที่ยง ในชาติสุดท้าย กว่าจะระลึกได้ ก็หลงทางภาวนาผิดไป
    เอาฤทธิ์เอาเดชแบบชาวบ้าน(เทพ พรหม พรามณ์) อยู่6 ปี กว่าจะระลึกได้ใน มหาอภิญญา(อาสวขยญาณ)

    ซึ่ง พระพุทธองค์ก่อนสำเร็จธรรม ก็ทรงสุบินนิมิต เหมือนกัน แต่ กำหนดรู้เพื่อหาทาง สำรอกออก ไม่ได้
    ระลึกโดยการกระโดดเข้าไป อุปทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มิถุนายน 2015
  7. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แปลกแต่จริง ใน พระไตรปิฏก กล่าวถึง กลุ่มที่เรียกว่า " ญาณลาภี "

    พวก ญาณลาภีนี่ ไม่ต้องฝึก ไม่เคยสนใจ เพียงแต่ ตอนที่ ตัวเองกำหนดรู้ทุกข์
    แล้ว ระลึกอยากทำบุญ ทำทาน แล้ว โชคดี ได้ไปถวายทานแก่ ภิกษุที่บังเอิญ
    ว่าท่านสำเร็จฤทธิ์นั้นๆ

    กรณีแบบนี้ เวลาที่ ภาวนาจนสำเร็จ แม้นจะภาวนาด้วย ปฐมฌาณ แต่หากสำเร็จ

    ลาภอันเกิดจาก การได้ถวายทานในครั้งนั้น ก็จะ สำเร็จธรรมเช่นเดียวกันกับ บุคคล
    ที่ได้ถวายทานนั้นไว้ หากภิกษรูปนั้นเป็นปฏิสัมภิทา คนถวายทานแม้นจะครั้งเดียว
    ด้วยข้าวสุกเมล็ดเดียว ก็จะสำเร็จ ปฏิสัมภิทาญาณ เสมอกับ ภิกษุในบุพกรรมนั้น

    ก็จะเห็นว่า

    ฝึกไป มันก็ได้

    บางคนไม่ต้องฝึก แต่ โชคดีเคย ได้ปรนนิบัติรับใช้ ภิกษุที่เลิศด้วยฤทธิ์ แบบนี้ก็ได้

    ของมันไม่แน่ไม่นอน ....

    ไม่แน่ไม่นอนตอนไหน ตอนที่ไปเจอ คนธรรมดาที่เขามีลาภ แต่ยังแสดงออกกระจอกๆ
    แล้วเราไปเผลอ ข่มว่า กูเก่งกว่า ....อะไรแบบนี้ แม้นจะฝึกให้ตาย หรือ ได้เคยถวาย
    ทาน ลาภเหล่านั้นก็อาจจะ ไม่ได้ ก็มี


    เพราะอะไรหละ

    ก็เพราะ สัญญาความแตกต่าง การแสวงหา การดิ้นรนแสวงหา มันไม่เที่ยง

    เว้นไว้แต่ส่วน วิมุตติขันธ์ การพ้นกิเลส หรือ ส่วน มหาอภิญญา ตรงนี้เหมือนกันเป็นหนึ่งเดียว
     
  8. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประเด็นทั่วๆไปนะครับ...
    ถ้ามีคนบอกว่าเราเคยได้อภิญญาก่อนในอดีตชาติ..
    ซึ่งโดยส่วนมากมีกันเกือบทุกคนนั่นหละครับ..
    ส่วนครูบาร์อาจารย์ในอดีตมันก็มีกันทุกๆคนนั่นหละครับ
    เราอย่าลืมว่ากว่าจิตเราจะมาอยู่กับร่างกายปัจจุบัน
    มันผ่านการเวียนว่ายตายเกิดมาไม่รู้เท่าไรแล้วครับ..
    ข้อดีถ้าฝึกอาจจะเข้าถึงความสามารถตัวนั้นๆได้เร็ว
    ส่วนจะถึงระดับใช้งานได้จริงหรือไม่ หรือพูดง่ายๆ
    ใช้งานในระดับที่มันเป็นประโยชน์ทางธรรมหรือเป็น
    ประโยชน์ต่อตนเองหรือบุคคลอื่นๆนั่นเป็นอีกประเด็นหนึ่งนะครับ..
    แต่ส่วนมาก..แค่พอสัมผัสเล็กๆน้อย ใช้งานในระดับกระปริบกระปรอย
    หรือยังไม่ถึงใช้งานได้จริงๆ ในระดับที่คล่องตัว..
    ส่วนมาก มักจะหลงตัวเองครับ เพราะมักจะคิดไปเองว่า
    ตัวเรานี้มีดี มีความสามารถเหนือคนอื่นๆ หรือสร้างอัตตาให้เราอย่างที่
    เราอาจจะไม่รู้ตัวครับ..และที่สำคัญมันจะโน้มให้เราไม่สนใจ
    เรื่องการสติเรื่องปัญญาในการลดละกิเลสด้วยครับ...
    ประเด็นนี้ต้องระวังใจตัวเองให้มากๆนะครับ

    ส่วนการกลับมาของความสามารถทางจิตเดิมที่เคยมีในจิตเราทั่วๆไป
    ๑.นั่งสมาธิถึงระดับฌาน ๔ ต้องแบบระดับที่สามารถมีกำลังจิตควบคุม
    ตัวจิตให้อยู่นิ่งๆ และแยกขาดกับกายได้เด็ดขาดชั่วคราวได้ด้วยนะครับ..
    นั่นถึงระดับฌาน ๔ อย่างเดียวแต่ถ้าจิตออกท่องเที่ยว อย่างนี้ความสามารถ
    จะยังไม่กลับมาครับ...และก็ให้จิตวิ่งซ้อนดูในจิต หรือจิตในจิต
    ความสามารถที่เคยทำได้ จะสามารถกลับมาได้ และใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน
    ปกติแบบลืมตา และไม่ต้องตั้งท่ามากมายด้วยครับ..แต่มักจะขาดเรื่องกำลังสติ
    ทางธรรมและปัญญาทางธรรมในการตัดเรื่องต่างๆ แม้ว่าความสามารถจะกลับมานะครับ
    และถ้าสภาวะอารมย์เดียวกันนี้ ถ้าวิ่งดูร่างกาย เราจะได้มรรคผลเรื่องการตัดร่าง
    กายได้สติและได้ในเรื่องการเริ่มต้นเดินปัญญาได้ครับ ส่วนจะมาฝึกกรรมฐานอะไรต่อ
    ก็สุดแล้วแต่เหตุและปัจจัยครับ.....
    ๒.อีกวิธีคือ การที่ให้คนที่พอจะเข้าไปค้นดึงความสามารถทางจิตเราให้ขึ้นมาได้..
    ส่วนจะใช้ได้หรือใช้ไม่ได้ ขึ้นกับการฝึกฝนต่อไป ข้อดีไม่ต้องเสียเวลาฝึก
    แต่กรณีขึ้นอยู่กับวาระของแต่ละบุคคลครับ...
    ไม่ใช่ความสามารถแบบโฆษณาชวนเชื่อ ว่าทำแล้วจะมีพลังพิเศษ
    หรือหลอกว่าเราเป็นคนพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลอกว่าทำแล้ว
    เราจะมีเสน่ห์ ร่ำรวย ที่ชอบหลอกให้เราเคลิ้มๆอย่างใดอย่างหนึ่ง
    พวกนี้จะแอบเจาะเข้าทางท้ายทอย อย่างนี้เป็นวิญญานมีฤิทธิ์
    หรือพวกที่บำเพ็ญทางอสูรกายนะครับ อย่างนี้ระวังให้ดีๆนะครับ
    เพราะจะหลงตัวเอง นิสัยจะออกแนวแรงๆ ขี้โม้ ขี้อิจฉา ขาดเมตตา
    เอะอะ ใช้แต่กำลังอย่างเดียว ปากบอกพุทธแต่ทำตัวไม่ใช่
    นี่ก็ต้องสังเกตุให้ดีๆนะครับ..
    ๓.ถ้าสามารถเคลียร์จิต ให้เข้าสู่เนื้อหาเดิมของจิตได้ คือ สามารถคลายทุกสิ่ง
    ทุกอย่างที่เกาะตัวจิตเราออกได้ จนจิตโล่งโปร่ง คลายตัวได้จริงๆ ไม่มีแม้แต่
    ตัวผู้รู้จริงๆ ความสามารถต่างๆ ก็จะขึ้นมาได้เองครับ....
    ๔.และทั้ง ๓ ข้อในระดับใช้งาน มันก็ยังไม่ถือว่าดีครับ เพราะยังมีตัวตั้งต้นไปใช้งาน
    อยู่ครับ เรียกว่า จิตยังไม่ทิ้ง ตบะ ฌาน ญาณ กำลังจิตต่างๆ การใช้งานยังอยู่ใน
    สภาวะของการวิตก คือ รู้ขั้นตอนล่วงหน้าทุกอย่างอยู่ ซึ่งตรงนี้จะทำให้ผลลัพท์
    ในการใช้งานยังไม่ดี และตะกุกตะกัก และส่งผลคงค้างกับร่างกาย ทำให้จิตแช่
    ค้างอยู่ใน ตบะ ฌาน ญาณ กำลังจิต ทำให้จิตไม่โปรดโปร่ง....
    ประมาณนี้ก่อนครับ แบบหยาบๆครับ
     
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819



    ของเก่า หรือกรรมฐานเก่า



     
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ผมขอพูดเพิ่มเติมเล็กน้อยนะครับ ถือว่าเป็นเทคนิคอย่างหนึ่ง
    เพื่อว่าวันใดวันหนึ่ง ใครก็ตามที่อ่านแล้วเกิดอยากจะใช้งาน
    ได้ดีขึ้นนะครับ ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะอ่านแล้วเข้าใจนะครับ..
    และเข้าใจไว้อย่างหนึ่งนะครับว่า ของเก่าที่กลับมา มันไม่ใช่ว่า
    คุณจะได้ความสามารถแบบ ตาทิพย์ หูทิพย์ เจโตฯ อนาคตังฯ อดีตคตังฯ
    และก็เรื่อง พลังงานจากกสิณกลับมาหมดนะครับ แยกให้ดีๆก่อนนะครับ..
    มันจะมาเป็นหมวดๆนะครับ พวกของเก่า

    กิริยาจิตในจิตแบบที่ส่วนตัวเล่าให้ฟัง เหมือนที่อ้างมาจากข้อความคุณ Darkever
    กล่าวไว้ตามที่ได้ยิน ลพ.เล่ามานั้นหละครับ.แต่ว่าที่คุณ Saber นำมาลง
    นั้นมันเป็นกรณีที่เราต้องเคยเห็นภาพนิมิตรเกี่ยวกับกสิณมาก่อนอย่างใด
    อย่างหนึ่งและเราเคยจับภาพนั้นๆแล้วพัฒนายกระดับกำลังสมาธิร่วมด้วยครับ..
    แต่โดยปกติแล้ว ถ้านั่งสมาธิธรรมดาแล้วเห็น ไม่ควรไปเล่นก่อนนะครับ
    ควรจะนั่งสมาธิในระดับที่แยกรูปแยกนามให้ได้ก่อน
    ไม่งั้นจิตจะไม่สนใจเรื่องการสร้างสติและการเดินปัญญาครับ

    เพราะว่าพวกนิมิตรกรรมฐานเกี่ยวกับกสิณมันจะมาให้เราเห็นได้แม้ว่า
    ในระดับกำลังสมาธิยังไม่ถึงระดับฌาน ๔ ได้อยู่แล้วครับ...
    จริงๆแค่เริ่มเข้าปฐมฌาน ถ้าเราฝึกกสิณกองใดกองหนึ่งอยู่
    มันก็ขึ้นมาหล่อลวงให้เราไปหลง ไปยึด ทำให้เราฝึกสำเร็จ
    ได้ช้าอยู่แล้วครับ..
    .แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นในทางปฏิบัติทั่วๆไปแล้วแบบที่เราภาวนาเฉยๆ
    ไม่ได้ภาวนาแบบขึ้นรูปแบบต่างๆ หรือไม่ใช่กรรมฐานพิเศษนะครับ
    ถ้าหากว่าตัวจิตเราพัฒนาถึงระดับเข้าฌาน ๔ ได้แล้ว
    ก่อนคำว่า ฌานจะตกเนี่ย เราต้องพอมีกำลังสติทางธรรมพอสมควร
    ที่จะควบคุมจิตไม่ให้ออกนอกร่างกายด้วยนะครับ ซึ่งโดยปกติคนที่ถึง
    ฌาน ๔ ครั้งแรกมักไม่มีใครสามารถควบคุมจิตตัวเองได้ครับ...
    สังเกตุได้ว่าจิตมันจะออกไปข้างนอกร่างกายอย่างรวดเร็วครับ
    บางคนถึงเห็นตัวเองนั่งอยู่ นอนอยู่ หรือ จิตออกไปไกลตัวเอง
    อยู่ไหนก็หาไม่เจอ แต่แรกๆจะอยู่ใกล้ๆกับร่างกายนั่นหละครับ
    ไปไหนได้ไม่ไกลครับ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาครับ

    และกิริยาฌานตกเนี่ย
    มันถึงจะเกิดได้และเป็นไปของมันเองครับ..และ
    ที่เหลือตัวจิตมันจะไปของมันเองด้วยครับ
    และมันจะไปเอง ซึ่งจะแยกเป็น ๒ อย่างคือ ๑.ไปทางพิจารณาร่างกาย
    อย่างที่เล่าจะได้มรรคผลถึงขั้นละเอียดในเรื่องการตัดร่างกาย
    และคลายความยึดมั่นถือมั่นและอัตตาตัวเองได้ แต่ว่าต้องรักษา
    อารมย์จนกระทั่งเห็นอวัยวะนั้นระเบิดดังกึกก้องกัมปนาทนะครับ..
    และ ๒.ย้อนไปในทางจิตในจิตซึ่งมันจะไม่เหมือนที่ ลพ.ท่านเล่านะครับ
    เพราะแบบที่ ลพ. ท่านเล่าเป็นการย้อนของเก่าในโหมดของกสิณครับ..
    แต่แบบข้อ ๒ ที่เล่านี้ มันจะระเบิด สว่างๆเข้าไปเรื่อยๆครับ ความสามารถที่ได้มา
    จะเป็นพวก เจโตฯ อนาคตังสญาน ตาทิพย์ในระดับตาเปล่า
    หูทิพย์ หรือพูดง่ายๆว่าเป็นอภิญญาจิตแบบ
    ภายในระดับใช้งานได้เลยในขณะลืมตาปกติครับ..

    ถ้าแบบฌานตกแบบที่คุณ Saber นำมาลง
    (ซึ่งในทางปฏิบัตมันเป็นได้แบบอัตโนมัติ ถ้าเรามีกำลังสมาธิสะสมกับกำลังสติ
    เพียงพอควบคุมจิตได้และการอฐิษจิตเพื่อให้สำเร็จผลก็แบบนี้
    ถ้าเรามาทางสายวิชาพิเศษแบบ ลพ.ท่านนะครับ แต่
    ต้องมีความฉลาดในการอฐิษฐานจิตเป็นทุนเดิมนะซึ่งสอน
    กันได้ยากด้วยครับ)
    กำลังสติตรงนี้จะทำให้ระลึกถึงกสิณกองต่างๆได้โดยที่
    เราจะไม่หลุดจากอารมย์ กรรมฐานกองต่างๆเกี่ยวกับกสิณเราจะสามารถเริ่มใช้งานได้
    ในรูปแบบของพลังงานในกองนั้นๆตามแต่ที่ตัวจิตจะระลึกได้ในขณะนั้นครับ..

    เช่น คุณเรียกไฟจบไป ตามด้วยน้ำจบไป ตามด้วยลม
    จบไป ตามด้วยอากาสจบไป ตามด้วยดินจบไป
    คุณจะได้ทุกกองครับ แต่ว่าจะใช้ได้ทีละกองเท่านั้นครับ
    แต่ถ้าในขณะนั้น คุณสามารถ
    รวมไฟกับน้ำเข้าด้วยกันได้ ข้อดีเวลาคุณใช้กสิณไฟในเวลาปกติ มันจะไม่ส่งผล
    กับร่างกาย และไม่ทำให้จิตร้อนครับ..และถ้าสามารถรวมกสิณพวกนี้ได้ทุกๆกอง
    ในนิมิตรนะครับ เวลาคุณจะใช้งานแบบพิเศษบางอย่าง คุณจะสามารถรวมกสิณ
    ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ได้ภายในขณะใช้งาน ณ เวลานั้นครับ..
    และคุณไม่จำเป็นต้องฝึกกสิณสีที่เหลือด้วยครับ
    เพราะคุณจะสามารถเรียกขึ้นมาได้เช่นกันครับ
    ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ตัวจิตมันจะทำได้ครับ.
    .

    กรณีที่เล่าเป็นกรณีทั่วไปครับ ยกเว้นพวกที่มีอธิวาสนาบารมีครับ
    พวกนี้ที่ผมพูดๆให้ฟัง ถึงเวลาเค้าจะเกิดขึ้นมาเองทั้งหมดแบบไม่ต้องฝึกครับ
    ก็ต้องดูว่า ตอนนั้นตัวจิตเค้ามันคลาย มันเคยโล่ง ก่อนได้หรือยัง
    ถ้ายังจะทำให้คุยกับใครไม่รู้เรื่อง และจิตจะยึดกับทุกสิ่งที่รู้จนทุกข์
    จนบางคนถึงขนาดเข้าโรงพยาบาลจิตเวชไปเลยก็มีครับ
    ปล.และอีกกรณีหากว่าเราขี้เกียจฝึกอะไรก็ตาม
    แต่พอรู้ว่าตัวเอง
    มีของเก่าอะไรบ้างแต่ท่านเน้นเรื่องปัญญาตัดกิเลสเป็นหลัก
    และก็ไม่สนใจเรื่องความสามารถพิเศษต่างๆ
    ก็ฝึกสติฝึกเดินปัญญาลดละกิเลสในจิตให้มัน
    น้อยลงไปเรื่อยๆ ของเก่ามันจะค่อยๆขึ้นมาเองเป็นขั้นๆ
    และถ้าไม่เน้นใช้งานพิเศษ มันจะโน้มไปเน้นให้ท่าน
    รู้เข้าใจทางด้านนามธรรมและส่งเสริมด้านปัญญาใน
    การลดละกิเลสได้เองครับ.. และถ้าหากปฏิบัติ
    ไปจนถึงขั้นที่สามารถทำให้จิตโปร่ง จิตคลายได้ในระหว่างวัน
    ของเก่าพวกนี้ก็จะเด่นชัดขึ้นและสามารถนำมาใช้งานได้
    หรืออยู่ในระดับใช้งานได้อัตโนมัติของมันเองครับ..
    สุดแล้วแต่ว่าจะเน้นไปทางด้านไหน ณ เวลานั้นครับ..
    แต่ส่วนมากปัญหาที่เจอคือ มักจะติดปัญหาเรื่องการวางไม่ลงครับ
    ไม่ว่าสติ ปัญญา
    สมาธิ กำลังจิต ตบะ ฌาน ญาณ ฯลฯ ทำให้จิตจมหรือแช่อยู่กับ
    พวกนี้ได้อย่างที่ไม่รู้ตัวครับ.ทำให้เวลาใช้งานมันตะกุกตะกัก
    ผลที่ได้ไม่เต็มที่ และจะติดตัววิตกในขณะใช้งานครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ
     
  11. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239
    อดีตชาติ ผ่านมาแล้ว จำไม่ได้แล้วคะ

    แต่ปัจจุบัน รู้แค่ว่า อยากทำอะไรก็ได้ ที่เป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปคะ
     
  12. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ลุงหมาน ฮับ

    ลุงหมาน ทราบอะเป่า ว่า เวลาที่มาเกิดเป็น มนุษย์ จุติมาในภพมนุษย์ อาศัย
    ทิฏฐิดำริอย่างไร จึงมา ปุ๊ อุแว๊ๆ

    ใช่ไหมฮับ ที่มาด้วยอารมณ์หน่ายใน ฤทธิ์

    มันเป็นไปได้ไหมฮับ ที่ ลุงหมาน เป็น ท้าวจูปิเตอรบอดีพรหมานุสรณ์ แต่หน่านฤทธิ์
    หน่ายแว่นแก้ว ก็เลยมีจิตเศร้าหมอง ทำให้เคลื่อน มาอุแว๊ๆ

    พอมา อุแว้ๆ แล้ว อารมณ์ปฏิฆะ หน่ายฤทธิ์ยังติดปาก บ่นพึมพำไม่หาย

    ถ้า ลุงหมาน กำจัด ปฏิฆะสัญญานั้นได้ พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก ก็รำงับ

    จิตที่ปราศจาก กามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก จิตนั้นจะไม่เป็นอื่น
    จาก ฌาณ ได้ไหมฮับ

    ดังนั้น พินา ฌาณ มันเกิด มันดับ ไปตามจริงดีก่าไหมฮับ เพราะ ทำกุศลยังไงจิตมัน
    ก็ไม่ห่างจาก ฌาณ หนีมันไม่ได้ ปฏิเสธให้ตายยังไง จิตมันก็ซ่องเสพฌาณ ไม่เลิก
    แทนที่จะส่ายหน้าปฏิเสธ เอามาอาศัยระลึก ไปเลยดีฟ่า

    เช้ามาทำบุญ บ่ายนั่งวิเวก อุเบกขา เดี๋ยวก็ทำเหตุปัจจัยในการเป็น เทพ เป็น พรหม ทั้งวัน

    เอามาอาศัยระลึก แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะกล่าวได้ว่า สำรอกอยู่ตลอดเวลา ไม่ยึดมั่นถือมั่น
    แม้นลุงหมาo อาจจะ......อาจจะ กลับไปเหาะได้ ....................ฮิวววววส์
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  13. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ไม่ใช่ จำไม่ได้

    การปรารภว่า จำได้ จำไม่ได้ คลับคล้ายคลับคลา จำได้ก็ไม่ไช่ จำไม่ได้ก็ไม่ใช่

    เหล่านี้เป็น อาการคนขาดการสดับธรรมะ

    ไปมีมิจฉาทิฏฐิ สัตว์มีสัญญา สัตว์ไม่มีสัญญา สัตว์เคยเกิดเป็นเทพทรงฤทธิ์
    หากมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะ ขน สัญญา นั้นมาด้วย

    อะไรแบบนี้ ชี้ชัดเลย ขาดการสดับธรรมะ

    สัญญาในทางธรรมนั้น มันไม่เที่ยงฮับ

    ที่มันทำได้ ทำไม่ได้ ฝึกจนสำคัญว่าของเก่ากลับมา มันก็ ไม่อยู่ถาวโร
    หลอกฮับ เพราะอะไร

    เพราะ อริยสัจจเขาแสดงตัวตลอดเวลาว่า สัญญาไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง
    คนไม่ฉลาดในธรรมเท่านั้น ที่จะไป สำคัญว่ามันเป็นเรา มันเป็นของๆเรา


    ฤทธิ์ในทางธรรมะ จึงออกมาจากธรรม เพื่อประโยชน์ของการ เห็นหนทางสู่นิพพาน
    ของสัตว์อื่น [ เพราะโดยประโยชน์ตน สัญญาไม่เที่ยง นั้นเพียงพอแล้ว ในการแจ้งนิพพาน ]

    ฤทธิ์ในทางนอกศาสนา จะมีเอาไว้ ทำโวหาร คุยโว สำคัญว่า สัญญาเที่ยง !!
    แต่เอามาใช้ประโยชน์เพื่อ กามตัณหา สนองกิเลส ไม่ใช่เพื่อ ประโยชน์ในการ
    หลุดพ้น มีแต่ อุปทาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2015
  14. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239

    ขอบคุณค่ะ
    ปัญญายังมีอยู่น้อยนิด เห็นทีต้องสดับธรรมให้มากๆ
    หรืออาจต้องเร่งเพียรปฏิบัติให้มากไว้
    บางทีของเก่ากลับมา
    จะได้นำมาเกื้อหนุนเพื่อประโยชน์ทางการศาสนาได้บ้างคะ
    ไม่มากก็น้อย แต่ก็ยังดี ว่าใหมคะ:cool:
     
  15. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    เสนอความเห็นด้วย
    ถ้าไปเอาของเก่าจากชาติก่อนมา
    ก็เท่ากะให้กรรมในชาติก่อนๆๆมันตามมาด้วยดิ

    ไปเอามาทำไม
    ผมสร้างกรรมมาเยอะถ้ามันมาผมก็ไล่ไป
     
  16. nongnewinbkk

    nongnewinbkk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2013
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +239


    คุณบุญยง โคกกระทาคะ เมื่อของเก่ามันมา เราปฏิเสธมันไม่ได้ ไม่ใช่หรือคะ
    หรือว่าปฏิเสธได้ เพราะคุณสามารถไล่ไปได้
    ความรู้ของน้องนิว ยังน้อยนิดอยู่
    การปฏิบัติก็ยังไม่ถึงใหน
    เป็นไปได้ใหมคะว่า เราเลือกที่จะไล่ เลือกที่จะรับ
    เลือกรับในสิ่งที่เป็นประโยชน์
    เป็นประโยชน์ที่จะนำไปเกื้อหนุน หรือช่วยเหลือ เพื่อส่วนรวม อะไรแบบนี้คะ
     
  17. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ขันธ์5 มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แล้วก็ไม่ใช่ของใคร ไม่ขึ้นกับบุคคลใด


    อภิญญาที่เป็น ฤทธิ์ หากไปเอา สิ่งที่ต้องอาศัย ขันธ์5 อย่างนั้น มา ทำโวหารว่า

    ข้าจะบังคับขันธ์5 ให้เกิดฤทธิ์เพื่อความดี เพื่อพระศาสนา ....นอกจากพระพุทธองค์
    จะตรัสซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า เหมือน " เลิกผ้าโชว์ของลับน่าระอิดระอา " ยังเป็น ลักษณะ
    ของ เดียรถียเท่านั้น ที่จะ ดำริแบบนั้น

    เหมือน กรณี..จำชื่อไม่ได้ น่าจะเป็น "สุนัขขะพราหมณ์" ชื่อเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนเขา
    แปลว่า ผู้มีเล็บงาม คนไทยไปเอามาใช้เป็นการเรียก น้องบ๊อกๆ มันเลยฟังดูแปลกๆ
    แต่ สุนัขขพราหมณ์บวชเข้ามาในศาสนา ก็ปรารภแบบนี้ จะเข้ามา รื้อฝืนของเก่า จะเอาฤทธิ์
    เดินไปหา ภิกษุก็ ท่านสอนข้าเทิด ข้าจะใช้มันเสริมส่งพระพุทธศาสนา ภิกษุทั้งหลาย
    ก็กล่าวเป็นเสียงเดียว แบบที่ พระพุทธองค์ตรัสว่า ศาสนาพุทธไม่ได้เจริญด้วยของชั้นต่ำ
    แบบนั้น แต่เจริญด้วยปัญญา พรหมณ์นั้นก็ไม่เชื่อ จนไปเจอพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า
    ก็ตรัสทำนองว่า เจ้าไม่เข้าใจก็อย่าเข้าใจ แต่จงจำไว้ว่า ศาสนาพุทธ เจริญดัวยปัญญา
    " ธรรมฐิติเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง "

    อันนั้น ฟังยาก ฟังเผินๆ ดูเหมือนไม่เกี่ยวอะไรกับ ฤทธิ์


    เอาเรื่องเล่า พระสายหลวงปู่มั่นก็แล้วกัน แต่ ผมก็จำไม่ได้อีกว่า เป็นพระท่านไหน
    จะเป็น หลวงปู่มั่นเอง หรือ ศิษย์เอกซ้าย ขวา ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่คือ ท่านเก่งฤทธิ์

    ท่านทำกรรมฐาน อยู่สุขในป่า แล้ว ตัวบ่าง(ลิงอย่างหนึ่งมั้ง) บางตำนานก็ว่า ผีค้าง(เป็น
    สัตว์ในป่า กินเลือดเป็นอาหารอะไรทำนองนี้) มันมาส่งเสียงใกล้ๆ พระท่านลืมตาออกจาก
    สมาธิ ทันใดนั้น ลำแสงแห่งกสิณ ฤทธิ์อำนาจ ก็พุ่งจากตาท่าน เปรี้ยง !!! บ่าง หรือผี
    ค้างก็ ตกมาตายฮากัน 10กว่าตัว

    ไหนหละ ฤทธิ์เป็นไปเพื่อพระศาสนา ..............ของมัน บังคับบัญาชาไม่ได้ เดียรถีย์
    เท่านั้นที่จะหลง และ ยกสรรพคุณอวดอ้างว่า ข้าจะเอามาบังคับบัญชา เพื่อพระศาสนา

    ทั้งนี้เพราะอะไร


    เพราะ ขันธ์5 มันไม่ได้อยู่ในอำนาจ ของใคร ต่อให้ พระพุทธองค์แสดงฤทธิ์อยู่ตรงหน้า
    มันก็ไม่แน่ไม่นอนหลอกว่า ผู้รับ จะรับไปทางไหน จะศรัทธา หรือ อยากกระทืบ มันก็
    ย่อมแปรไปตาม ขันธ์5 ที่ไม่ได้ขึ้นกับบุคคลหนึ่งบุคคลใด

    ปัญญาที่แทงตลอด รู้เห็นอยู่ตามจริงอย่างนี้ ชื่อว่า อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์ เป็น อภิญญาตัวที่6
    คือ อาสวะขยญาณ ฐรรมฐิติเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง [ อนุศาสนานียปาฏิหารย์ เกิดก่อน
    เข้าถึงหัวใจสัตว์ก่อนว่า ขันธ์5ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ญาณอันเป็นการทำให้สิ้นไปของอาสวะ
    เกิดทีหลัง ...สนใจน้อม นมสิการหรือเปล่าหละ ]
     
  18. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    แล้วอย่าว่า อย่างงู้นอย่างงี้เลยหนะครับ

    สังเกตจาก รูปแทนตัว สีชมพูอ่องต่องไปทั่วแบบนี้เนี่ยะ หากสิ่งนี้ได้มา
    เองตามวาสนา บารมี เลือกไม่ได้ มีคนเอามาให้มันก็อย่างหนึ่ง

    แต่ถ้า สรรหามาเอง ......ไอ้ที่กล่าวเป็น โวหารคำโตว่า จะใช้วาสนา บารมี
    เพื่อศาสนา มันแสดงออกอยู่ทันทีหละว่า แท้จริงเนี่ยะ ขันธ์5 ที่มันกุมจิต
    คุณอยู่เนี่ยะ มันไม่ได้ ส่งสัญญาณภาษาเมพขิงๆ ให้เราทราบแบบนั้น มันตรง
    กันข้าม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มิถุนายน 2015
  19. ณฉัตร

    ณฉัตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2015
    โพสต์:
    633
    ค่าพลัง:
    +790
    น้องนิวเป็นเจ้าของกายและใจของตัวเองนะครับ(พูดแบบชาวบ้าน) "ของเก่า" ที่น้องนิวกล่าวถึง มันไม่มีสภาพเป็น "ของ" จริงๆ เรียกภาษาปัจจุบันง่ายๆ คือ พรสวรรค์ หรือ gift ซึ่งจริงๆ แล้ว มันเป็นศักยภาพของจิตของน้องนิว ที่ฟังมาคือ ตาที่สาม นะครับ พรสวรรค์นั้น ถ้าละเลยก็สู้คนฝึกฝนไม่ได้ ถ้าฝึกฝนอาจเก่งเร็วกว่าแต่อาจไม่เหนือกว่า อันนี้ นอกเรื่องไปนิด แต่สรุปว่า พูดตามภาษาน้องนิว น้องนิวรู้ว่าตนเองมีพรสวรรค์จะสานต่อพรสวรรค์ นั้นคือ รับเอามาใช้ ถ้าน้องนิวไม่ใส่ฝึกฝนต่อ คือ ไม่รับของเก่า ตามความหมายของพี่บุญยง(เดาว่าพี่ เอ หรือลุงดี)

    ตาที่สาม ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะใช้ได้ดั่งใจ ตามที่น้องนิวเล่ามันเป็นแค่นิมิต มันยังไม่ได้พิสูจน์ ถ้าเหมือนการ์ตูนคือน้องนิวดึงมาใช้ได้เลย ไม่ต้องฝึกฝน ตอนนี้ น้องนิวใช้ตาสามก็สามารถรู้ได้ทุกเรื่องแล้วนะครับ ถ้ายังรอจังหวะต้องภาวะฝัน ก่อน ต้องดูว่าได้ฌาณระดับอุปจาร แล้วต้องรอตกภวังค์ศักยภาพถึงจะเกิดขึ้น เช่น ระลึกชาติ ตาทิพย์ ฯลฯ จากตาที่สาม อันนี้ มันใช้ไม่ได้ดั่งใจ แถมโดยส่วนใหญ่เป็นจิตปรุงแต่งไปเอง มันจะเพี้ยนบ้าได้นะครับ ขนาดคนนั่งสมาธิแบบลืมตายังเพี้ยนได้ นับประสาอะไรกับคนนอนหลับครับ

    อีกอย่าง น้องนิวพูดทำนองนี้ ฟังๆ เหมือนจะเป็นพระโพธิสัตว์ คือ ช่วยเหลือเกื้อกูลส่วนรวม ทั้งที่ น้องนิวยังไม่สามารถใช้ตาที่สามได้ดั่งใจ แม้ระดับฝันก็ยังเอาไปพิสูจน์จริงเท็จในโลกไม่ได้ในเรื่องรู้เฉพาะตนแล้ว ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้นะครับ

    ถ้าน้องนิวเอาไปใช้ เป็นหมอดู นั่งทางใน ทำนายทายทัก เพื่อช่วยคน สายนั้น ไม่ใช่ทางที่พระอริยะจะสรรเสริญนะครับ สงสัยน้องนิวจะเอาไปใช้ยังไง

    คนที่เค้าเล่นสายอภิญญา มีสองประเภทที่ไม่ถูกตำหนิ หนึ่ง พุทธภูมิที่เที่ยงแท้แล้ว เมื่อจังหวะเวลาไม่อาจโปรดสัตว์ได้ เพราะวิบากกรรมของสัตว์ในข่ายบารมีบางช่วงหมดทางโปรดชั่วขณะ ตัวท่านจะปล่อยเวลาสูญเปล่าไม่ได้ เกิดมาเป็นดาบสฤาษีปฏิบัติเท่าที่ปฏิบัติได้ คือ มีอะไรก็ฝึก ถือเป็นการฝึกฝนกำลังจิตให้คุ้นเคยการฌาณ ดีกว่าไปคุ้นเคยกับนิวรณ์ ถ้าบารมีสูงจะคลุกคลีนิวรณ์แต่เพื่อใช้ปัญญาหักล้างนิวรณ์ คือ ฝึกปัญญาไม่เอาสมถะไปกด สอง อรหันตภูมิประเภทตั้งปรารถนาเป็นเลิศทางฤทธิ์แบบใดแบบหนึ่งหรือทั้งหมด เพราะทั้งสองประเภท ตั้งความปรารถนากับพุทธองค์แล้ว และพุทธองค์รับรองแล้ว

    แต่ถ้าไม่ใช่สองประเภท ทางประเสริฐสุด คือ เอาพรสวรรค์มาใช้หลุดพ้นก่อนครับ ก่อนจะช่วยคนอื่นนะครับ ถ้าน้องนิวเอาไปใช้กลัวจะเหมือนทำให้คนห่างทางพระนะครับ ไปๆมาๆ จะเป็นประเภทพ่อมด แม่มด หมอผี เจ้าแม่ เจ้าตำหนักไป (พูดจากที่พวกหมอดู ชอบอ้างว่ามีฌาณ มีตาสาม แล้วมาทำให้คนศรัทธา ถึงจะบอกต่อท้ายว่าให้ทำบุญ มันก็ผิดทางทำให้สัตว์โลกหลงไปล่ะ)

    ปล. พระโพธิสัตว์ที่เที่ยงแท้และบารมีสูง ในยุคพุทธศาสนา จะมีสองคติ คือ บวชพระ บวชชี หรือเป็นอุบาสก อุบาสิกา คอยส่งเสริมคนหลุดพ้นโดยธรรมของพระศาสดาครับ ไม่เอาตัวเองเป็นใหญ่เป็นที่ตั้ง ว่าฉันจะโปรดสัตว์ แต่จะคิดอย่างนี้(เดาจากการกระทำของท่าน) พุทธองค์เป็นแสงสว่างของโลก นานๆ จะเกิดขึ้นทีหนึ่ง ไม่ใช่ง่ายๆ (ไม่ใช่ว่าเคยมีคนนับให้ฟังว่าเป็นแสนองค์ แล้วจะมาก แต่คำนึงถึงระยะเวลาด้วยถือว่าพุทธองค์ไม่ใช่เกิดขึ้นง่าย) ให้เป็นบุญของสรรพสัตว์ได้ศึกษาได้รู้ธรรมของพุทธองค์ อย่าไปทำให้เค้าหลงทาง (หมายถึงตัวเราก็อย่าหลงทางด้วยเหมือนกัน) ถ้าเราไปทำให้คนหลงทางมันจะบาปกับเรานะครับ
     
  20. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ก่อนจะ งง

    เน้นนะว่า ไม่ได้ห้าม ของเก่าเนี่ยะ หากมี ก็ให้ ฝึกทำให้มากๆ

    แต่ ไม่ได้ฝึกทำได้แล้ว ก็ไม่ใช้ ปฏิภาณไหวพริบ ยกขึ้น ตามเห็น อนิจจัง อนัตตา และ ทุกขัง

    คือ มันตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนามันไม่เที่ยง ฉันทะในธรรมมี เดี๋ยวมันก็เสื่อม

    เหมือน พระวัลกลิในสมัยพุทธกาล ฝึกทำฌาณสมาบัติ8 ทำได้ตั้ง8 รอบคือ เจริญ
    แล้วเสื่อม เจริญแล้วเสื่อม อยู่แบบนั้น8รอบ

    พูดตามภาษาเจ้าของกระทู้คือ ทำของเก่าให้ปรากฏซ้ำได้ 8 รอบ ในชาติปัจจุบัน

    พอทำได้แบบนั้น ท่านลืมใช้ปฏิภาณในตอนแรก พอได้ฌาณ ของเก่ามาครบ
    ท่านก็ อะอื้อ เราจะเอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อศาสนา .... เราจะอย่างงั้น อย่างงี้
    แต่................กำลังดีดี๊ เวทนาฉันทะในธรรม กสิณสัญญา มันไม่เที่ยง มันแสดง
    ธรรมให้ดู ลืมยก

    ก็เลยไป นั่งป้อแป้ๆ นิพพานอยู่ไหน ประโยชน์ตนอยู่ไหน ทำฌาณได้แล้ว ไหนเขาว่า
    มันเป็น บาทฐานให้เกิดปัญญา ฌาณเกิดตั้ง8รอบ นิพพานอยู่ไหน ละเว้ยเฮ้ย

    พอนิพพานไม่มี ชีวิตก็แก่ใกล้จะตายอยู่แล้ว จะให้ฝึกอีกรอบที่9 ให้ของเก่ามันเชื่อม
    ระหว่างหน้าอก กับ กระโหลกหนาๆ ส่วนหน้าอีก ก็ไม่ไหว ท่านเลย....ไปหยิบศาตรา
    มาเชือดคอหอย ด้วยความน้อยใจ ทำดีแทบตาย ตนกลับไม่ได้ประโยชน์คือนิพพาน

    เดชะบุญ ขณะที่เลือดยางกำลังไหลหมดหัว ...ท่านระลึกได้ใน " จิตที่ปรกติไม่สัดซ่าย
    ด้วยการแสวงหา " ............ท่านเลยระลึกได้ใน " ศีล " อันเป็น จิตที่สงบสงัดจาก
    การดิ้นรนแสวงหา เท่านั้นแหละ ปัดติโถ ปัดติถัง " สมาธิ " ของพระพุทธศาสนามัน
    อยู่ตรงนี้ ........................... ฌาณ แฌณ ฤทธิ์ เริดมันก็แค่ " ของเก่า " ที่สรรพสัตว์
    สำคัญว่ามันนำประโยชน์มาให้ แล้ว หลงเวียนว่ายตายเกิด ลูบคลำประโยชน์เก้ๆ มานานแสนนาน

    ปฏิภาณมาเกิดเอาตอนท้าย สีเลนะ สุคะติง ยันติ มาเกิดเอาทีหลัง
    สีเลนะ โภคะสัมปะทา ก็พอเพียงแก่การเห็น สมาธิแท้ๆ

    สิเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสทะเย
     

แชร์หน้านี้

Loading...