สงสัยครับว่าทำไม พระอาจารย์ พระเกจิ ที่บำเพ็ญบารมีมา ถึงเกิดในที่ลำบาก และฐานะลำบาก

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย thekiss, 8 พฤษภาคม 2015.

  1. thekiss

    thekiss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +24
    เนื่องจากอ่าน ประวัติชีวิตและปฏิปทา ของพระเกจิ หลายๆท่าน
    หลายๆท่าน เคยบำเพ็ญบารมี สะสมบารมี มาหลายชาติ
    ปรารถนาซึ่งพุทธภูมิ

    แต่ผมสงสัยว่า จากการบำเพ็ญบุญบารมีของท่าน ทำไมพระเกจิส่วนใหญ่มักเกิดใน ต่างจังหวัด  ตามทุ่งนา
    ฐานะลำบาก ทั้งๆที่ท่านบำเพ็ญบารมีมาเยอะ

    ทราบครับว่าเรื่องบางอย่างอาจเป็นอจินไตย และเกินวิสัย
    แต่หากพี่ๆท่านใดทราบ หรือเคยอ่านที่พระท่านใดกล่าวเรื่องนี้ รบกวนเป็นวิทยาทานหน่อยครับ
     
  2. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    เพราะเกิดดีไป จะไม่เห็นทุกข์ออกบวช จะเพลิดเพลินเรื่องทางโลก ครับ

    ครูบาอาจารย์เคยบอกไว้


    แต่บางองค์ก็เกิดครอบครัวมีฐานะ
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ความผูกพันกระแสแห่งห่วงโซ่ที่ร้อยรัดมัดสัตว์โลกนั้นไว้ด้วยกัน โดยมีกรรมเป็นกรรมเนิด กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ เป็นที่พึ่งอาศัย

    การอธิษฐาน เลือกเกิดนั้นเป็นฐานะที่มีได้อยู่ แม้แต่ร่างกายหากปราถนาให้สวยงาม หรือ น่าเกลียดก็เลือกได้ ฐานะก็เลือกได้ วรรณะก็เลือกได้ แม้แต่อุปสรรคที่บดบังในชีวิตก็เลือกได้

    ถ้าเราล่วงรู้ว่าอะไรเป็นเหตุให้ที่ส่งผลเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เรื่องราวทุกอย่างจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญสรรสร้างปรุงแต่งขึ้นมาเอง นี่เป็นพลวปัจจัยที่สร้างขึ้นมาเองทั้งนั้น ทั้งอดีตกรรมและวิบากกรรม อกุศลกรรมที่สร้างขึ้นมาในชาติภพใหม่


    มารดาบิดาในวงค์ตระกูลใด ที่มีดวงตามจิตแตกออกไป จะมีสภาวะธรรมหรือไม่มีก็ตาม แต่เหตุและปัจจัยที่ได้สร้างสมมา เมื่อเลือกได้ตรงตามจริต ในการรู้ในผู้นี้มีคุณมาก มีโทษน้อย เป็นทางตรงที่สุดในมรรคผล ใคร่ครวญพิจารณาดีแล้ว จึงจุติบังเกิด จากมารดาบิดาในวงค์ตระกูลนั้น

    https://youtu.be/XCF-02yXWo0

    บุตรจึงถือกำเนิดในลักษณะ ๓

    1. อภิชาตบุตร ได้แก่ ลูกที่เกิดมาดีกว่าพ่อแม่ เกิดมาเชิดชูวงศ์สกุล เกิดมาอุดหนุนค้ำจุนพ่อแม่ เป็นลูกที่ประเสริฐ ทำให้พ่อแม่ได้รับความสุขใจยิ่งนัก

    2. อนุชาตบุตร ได้แก่ ลูกที่เกิดมาเสมอตัว คือ ไม่ดี ไม่เลวกว่าพ่อแม่ และไม่แย่ไปกว่าวงศ์สกุล มีกันอย่างไรก็อยู่กันอย่างนั้น ดำรงวงศ์สกุลไว้ ไม่ให้เสื่อมโทรม และไม่สามารถจะให้ดีขึ้นไปกว่าเดิม

    3. อวชาตบุตร ได้แก่ ลูกที่เกิดมาเลว ต่ำกว่าพ่อแม่ ฉุดดึงเอาพ่อแม่ตกต่ำไปด้วย เช่นพ่อแม่เป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ลูกกลับเป็นคนไม่ดี ทำตัวเป็นปัญหาของครอบครัวและสังคม ทำให้พ่อแม่เดือดร้อนทุกข์ใจอยู่ร่ำไป ลูกประเภทนี้ใครๆ ไม่ปรารถนา ไม่อยากได้ ไม่อยากมี



    ปัญหาที่อันตรายที่สุด คือความไม่ยินดี ไม่ปราถนา เพราะไม่รู้ในสิ่งที่มีคุณค่า ในการที่บุตรหรือคนรัก ที่เขาได้ไปแสวงหาและกระทำให้แจ้ง แล้วนำประโยชน์ที่ได้แล้วมาสู่ตัวเรา เพราะยึดติดในโลกธรรม ยังกามคุณ ๕ ทั้งมวลฯลฯ

    เพราะผลจากเมล็ดพันธุ์มารที่เพาะเลี้ยงไว้เป็นเหตุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2015
  4. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    อันนี้ ก็ต้อง ปรักปรำว่า เจ้าของกระทู้ มีแนวโน้มเห็น " ประโยชน์ผิดส่วน "

    ประโยชน์ในทางธรรม ในการเก็บบารมี มันไม่ใช่เพื่อ เอาเข้าตัว แต่เป็นการ สละออก

    ถ้าการสะสมบารมีธรรม ทำให้ได้เป็นเจ้านายคน อยู่สุขสบาย มีคนมาปรนนิบัติ
    มีกินมีใช้ไม่หมดไม่สิ้น อันนั้น เขาเรียก " ธรรมลามก "

    แต่ มันก็แล้วแต่คน คนบางคน บำเพ็ญบารมี จับพลัดจับพลู เกิดมา ก็สุข
    สบาย มีกินมีใช้ ไม่จบไม่สิ้น ยกตัวอย่าง พระมหากัสสป แต่พอได้มรดกมาก็
    ยกให้ภรรยา ภรรยาได้ไป ก็ยกให้คนใช้ ทั้งตน และ ภรรยา เดินธุดงค์ออกบวช
    [ ชาติก่อนๆ ของพระมหากัสสป มีเพียง ผ้าผืนเดียว เป็นสมบัติ ที่เป็นที่มาของ
    คำ ชิตังเม....เราชนะแล้ว ]

    ดังนั้น

    ในแง่ของ ประโยชน์ทางธรรม ต่อให้ได้ สมบัติพัสถาณมามากมาย ก็ สละ
    ออกหมดอยู่ดี

    และจะทำแบบนั้นได้ ก็เพราะ จิตมีกำลังแห่งบารมี มีความเต็มพร้อม ที่จะ
    สละเรือน ออกบวช เพื่อ ประโยชน์ที่แท้จริง

    ไม่ลูบหน้า ปะจมุก อ้าง กุศลแบบโลกธรรม เอาโลกธรรมมาทับถมโลกุตรธรรม
    ให้จมแผ่นดิน จมกิเลส ปฏิเสธ สงครามพระ ( การรื้อ ถอนกิเลส ให้สิ้นซาก )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2015
  5. เอกวีร์

    เอกวีร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2008
    โพสต์:
    3,972
    ค่าพลัง:
    +3,241
    ในแง่ของ กรรม

    กรรม หรือ โลกแห่งวัฏฏะ มัน ตลก กล่าวให้ถูกธรรม ก็ต้องกล่าวว่า มันพร่องเสมอ

    เกิดเป็น กษัตรย์ เป็นเจ้าของที่ดิน ........ ตนอาจจะปกครองด้วยธรรม แต่ บริวาร
    ที่อาศัยแผ่นดิน หากไปก่อกรรม คนที่เป็นเจ้าของแผ่นดิน ก็ต้องรับส่วนของกรรม
    เหล่านั้นด้วย

    อันนี้ ก็อ้างตอนที่ พระมหากัสสป ตัดสินใจยก ที่ดิน มรดกทั้งหมดให้ภรรยา

    โดยเหตุเกิดจาก พระมหากัสสป ตอนที่ยังเป็น พราหมณ์ ท่านเดินไปใน ไร่นา
    ที่ท่านได้รับมรดกมา แล้วเห็น งูมันกินนก นกมันกินหนอน

    ท่านก็ถามพี่เลี้ยงว่า นกมันกินหนอน มันก่อกรรม กรรมเหล่านั้น ตกที่ใคร

    พี่เลี้ยงก็ตอบว่า หนอนมันอาศัยร่มเงาที่ดินของท่าน นกมันจรมาทำร้าย
    หนอนในที่ดินท่าน ท่านก็ต้อง รับกรรมปาณาติบาต มีกรรมอันเกิดจาก
    การผิดศีล5 โดยธรรมภายนอก

    เท่านั้นแหละ ท่านดำริยกมรดกให้ภรรยา ภรรยาเอง ก็ถามพี่เลี้ยงเหมือนกัน
    ก็เลย ยกให้คนใช้ ตนไม่ถือทรัพยเอาไว้เลย

    เดินเรื่อยไป จนกระทั่งได้มาเจอพระพุทธองค์

    ก็จะเห็นว่า ได้ดิบได้ดี ได้สมบัติมากมาย มันก็ มาพร้อมกับ กรรมเวรอันเกิด
    จากธรรมภายนอก ส่งมาถึง

    ซึ่งปัจจัยนั้น ก็จะทำให้ต้อง ตกต่ำ ในชาติต่อๆไป ชาติใด ชาติหนึ่ง หาก กรรม
    นั้นมันจะให้ผลขึ้นมา

    วาระของกรรม ลำดับการให้ผลของกรรม ตรงนี้ จึงเป็นอจิณไตย เข้าไปบังคับ
    เลือกถอน เลือกเบิก เลือกฝาก เอาดอกเบี้ยไม่ได้

    ทำได้แค่ ศรัทธาว่า ทำดี ย่อมได้ดี สักเวลาหนึ่ง แต่เวลาไหน ไม่รู้ ไม่มีใครรู้
    เว้นไว้แต่ มหาบุรุษ ผู้เดียว ที่ทราบได้ ...แต่ ตาของโลก ปัจจุบันท่านเข้านิพพานไปแล้ว



    เหลือไว้แต่ สัจจธรรม ที่บอกกล่าว หนทางออกจากสังสารวัฏ ไม่เมาโลก หลงโลก
     
  6. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    ไอ้โม้
    กุรำคาญ มึงจะสอนให้เขาไปนิพพานคืนนี้เลยรี
    มึงเคยเช็คก่อนไหมว่าระดับศีลเขาพอรับ
    ฟังเรื่องที่มึงโม้ได้รึยัง
    ศีลมึงด้วยระดับศีลที่มีอยู่จะพูดเรื่องระดับนั้น
    ไหมไอ้เวร!!
     
  7. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    แล้วถ้าศีลเขามากกว่าก็ควรสำรวมใจ
    สงวนคัวไว้ ไม่ค้องเสือกไปสอนเขา
    เพราะสอนทีไรต้องตำหนิติเตียนเขาเรื่อยไป
    ดูศีลคัวเองด้วยโว้ย
     
  8. thekiss

    thekiss สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2007
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +24
    ใจเย็นๆครับ....
    ไม่ว่าความเห็นใดๆ พูดติดเพื่อก่อ พูดตักเตือน พูดแรง หรือเบา
    หากเป็นการเตือนสติดั่งที่ท่านพิมพ์มา ผมน้อมรับครับ ขอบคุณครับ

    ผมเห็นทางธรรมประเสริฐกว่าอยู่แล้วครับ ไม่งั้นคงไม่สนใจมาเข้าบอร์ดที่นี่
    ส่วนหนึ่งก็เชื่อว่าเอื้อต่อการต่อบารมีครับ ที่ธุรกันดาร ที่ห่างไกล
    บางทีความเจริญทางใจ สมบูรณ์กว่าในเมือง ที่มีแสงสี ความสบายครับ

    อาจจะเป็นดวงที่ท่านต้องบำเพ็ญบารมีต่อ
    และบางคนคนรวย บุญเค้าสนองผล ณ ชาตินี้
    คนบางคนเกิดมาไม่รวย อาจจะไม่ได้แปลว่าเค้าไม่มีบุญ
    แต่บุญยังไม่สนอง กรรมมาสนองก่อน อาจจะรวยภายหลังก็ได้

    ผมแค่อยากได้ความเห็นหลากหลายครับ
    ใจเย็นๆกันครับ

    เรื่องของศีล ผมรู้สึกปลงขึ้นมาก ตั้งแต่รู้จัก หลวงพ่อฤาษีลิงดำ หลวงปู่ดู่วัดสะแก
    คือ ทั้งสององค์ ได้ยกย่องพระพุทธเจ้ามากๆ ซึ่งเดินในสายนี้
    ผมรู้สึกยินดีครับ รู้สึกปลงกับชีวิตครับ
    แค่เป็นจุดที่เคยสงสัยเล็กๆ เลยมาตั้งถามกันครับ

    ขออภัยครับ หากทำท่านใดหงุดหงิด
     
  9. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    บวชมาแล้วรวย มีเงินทองไหลมาก็มีให้เห็นเยอะแยะ ครับ

    ภิกษุ บางจำพวก นี้ต้องมา บริกรรม คาถา ให้มีเงินไหลเข้ามาเทมายังมีเลย หรืออธิษฐานให้คนมาถวายเงินเยอะๆ เผื่อจะไปสร้างนั่งสร้างนี้(ด้วยเหตุผลทางโลก แต่หักล้างกับธรรมพระพุทธเจ้า)
    บางพวกก็ป่าวประกาศเรี่ยไรชักชวนทำบุญ บางพวกก็ประจบประเจงโยม

    ไม่รู้ด้วย บารมี หรือ มารพาให้มี ก็ไม่รู้
    ถึงแม้จะอยู่ ตจว ไกลๆ ทุรกันดารแค่ไหน คนก็แห่แหน แย่งกันไปทำสิ่งที่คิดว่าทำบุญ กันครับ
     
  10. VERAJAK

    VERAJAK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +1,579
    ไม่เกี่ยวกับท่านครับ เค้ามีสัมซิ่งลองกันมาก่อนครับ เราก็ดูเฉยๆครับ
    ที่ท่านถามต้อง้ข้าใจเรื่องกรรม และต้องเข้าใจเรื่องบุญบารมี และเรื่องโลกธาติ เรื่องโลกกุตรธรรม ถึงจะเข้าใจสิ่งที่ท่านถาม. ทั้งหมดล้วนมีเหตุมีปัจจัยส่วนเราแค่ดูที่ผลของมัน เราไม่รู้เหตุและปัจจัย จึงไม่ควรไปรู้อะไรดีที่สุด ทุกอย่างล้วนมีเหตุทั้งนั้น ไม่มีเรื่องบังเอิญครับ ส่วนใครจะมีบุญบารมี มีกรรมแค่ไหนนั้นคือสิ่งที่เค้าต้องเสวยเองครับ เราไม่จำเป็นที่ต้องไปรู้เหตุเพราะนั้นมิใช่สิ่งที่มีประโยชน์กับเรา สู้เอาความอยากรู้นั้นมารู้อริยสัจ4ดีกว่าครับ เพื่อนำตนขึ้นจากหลุมที่ตกอยู่ให้สูงที่สุดแม้ว่าจะไม่สามารถพ้นได้ในชาตินี้แต่หากพ้นได้ก็รีบขึ้นที่นี้จะรู้ในสิ่งที่ไม่อยากรู้อีกมากมายครับ ก็ฝากให้ท่านนำไปพิจารณาด้วยปัญญาแล้วท่านจะเข้าใจครับ สาธุ
    ป.ล.สิ่งไหนมีประโยชน์ต่อตนเองควรใฝ่รู้ในสิ่งนั้น สิ่งไหนไม่มีประโยชน์ต่อตนเองแม้รู้ก็ควรรู้เฉยๆ รู้แล้ววาง
     

แชร์หน้านี้

Loading...