สมาธิในฌานมันโง่ ... สมาธิในอริยะมรรคมันฉลาด

... สมาธิในฌานมันโง่
สมาธิในอริยะมรรคมันฉลาด ...

สมาธิในฌานจิตสงบนิ่งรู้อยู่ในสิ่ง สิ่งเดียว
ความรู้อื่นความเห็นอื่นไม่ปรากฏขึ้น
เป็นสมาธิแบบอารัมณูปนิชฌาน
เป็นสมาธิในฌานสมาบัติ

ที่นี่สมาธิในอริยมรรค มันฉลาด
คือ จิตสงบนิ่งลงไปนิดนึง ความรู้ความคิด
มันเกิดขึ้นมาฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้งขึ้นมายังกับน้ำพุ
ที่นี้ในเมื่อความรู้ความคิดมันเกิดขึ้นมาแล้ว
มันจะเป็นสมาธิได้อย่างไร

ความคิด คือวิตกใช่ไหมล่ะ
สติที่รู้พร้อมอยู่ที่ในขณะที่จิตเกิดความคิด
คือ วิจารใช่หรือเปล่า
ในเมื่อ จิตมีวิตก วิจาร ปีติและสุขมันก็ย่อมบังเกิดขึ้น
สมาธิในวิปัสนานี่อาศัย องค์ฌานคือ
วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกคัตตาเหมือนกัน
เหมือนกันกับสมาธิในฌานสมาบัติ
แตกต่างกันโดยที่ว่า สมาธิในฌานสมาบัติไม่เกิดภูมิความรู้
เป็นแต่เพียงทำจิตให้ละเอียด ละเอียด ละเอียด
จนกระทั่ง เกือบจะไม่มีอะไรเหลืออยู่
แต่สมาธิในอริยะมรรคนี้ พอจิตสงบนิ่งลงไปปั๊บ
บางทีก็รู้สึกแจ่มๆ แต่ความคิดมันผุดขึ้นมาผุดขึ้นมา
ผุดขึ้นมาแบบรั้งไม่อยู่

ซึ่งนักปฏิบัติบางท่านเข้าใจว่าจิตฟุ้งซ่าน อย่าไปเข้าใจผิด
บางทีพอจิตสว่างแล้วก็เกิดเห็นโน่นเห็นนี่ทางนิมิตรขึ้นมา
เมื่อจิตเลิกรู้เห็นนิมิตรแล้วก็มาเกิดภูมิความรู้ความคิดขึ้นมายังกับน้ำพุอีกเหมือนกัน

นี่เป็นสมาธิในอริยะมรรค
ซึ่งเรียกว่า สมาธิวิปัสนา เมื่อผู้ปฏิบัติเข้าใจถูกต้อง
ในช่วงใดจิตต้องการสงบนิ่งปล่อยให้นิ่ง
ช่วงใดจิตต้องการคิดปล่อยให้คิด แต่มีสติกำหนดตามรู้

ทีนี่ถ้าหากสมาธิถึงขนาดที่เกิดภูมิความรู้ขึ้นมาเองเนี่ยะ
เราไม่ต้องไปกำหนดอะไรหรอกเขาจะเป็นไปเองของเขา

จิตของเราจะรู้...เฉยอยู่เท่านั้น
บางครั้งพอจิตสงบแล้วมันเกิดมีความคิดขึ้นมา ฟุ้ง ฟุ้ง ฟุ้ง
ฟุ้งขึ้นมา จิตอาจจะแบ่ง ออกเป็นแยกออกเป็น 3 มิติ

มิติหนึ่ง คิดอยุ่ไม่หยุดยั้ง
อีกมิติหนึ่งเฝ้าดูงาน
อีกมิติหนึ่ง ถ้าร่างกายปรากฎ
จะมาสงบนิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย

ตัวที่คิดอยู่ไม่หยุด เป็นจิตเหนือสำนึก
ตัวที่เฝ้าดูคือตัวผู้รู้ได้แก่ สติ
ตัวที่หยุดนิ่งคือจิตใต้สำนึกตัวคอยเก็บผลงาน

ลองไปปฏิบัติดูนะ จะเป็นไปได้มั๊ย อย่างที่ว่านี้
อันนี้เป็นโอวาทของหลวงปู่เทศน์


อธิบายโอวาท หลวงปู่เทศน์ เทศรังสี โดยหลวงปู่พุธ ฐานิโย

 

คำว่าโง่ ในห้องสมาธินี้
ถ้าผู้กล่าวไม่ใช่อริยบุคคล

แค่อยากเป็นอริยบุคคล
ต่อให้บริบทดีขนาดไหน
ก็ฟังดูระคายหูทุกที

แต่จากปากอริยบุคคล
ฟังทีไรรู้สึกหวาดหวั่น เกรงกลัว
ถ่อมตน มีพลังใจเพิ่มขึ้น
แปลกไหมครับ!?

 

เขียน ๑๕.๔๐

เป็นไปได้สิครับ และเป็นแบบนั้นแน่นอน เป็นอื่นไปไม่ได้หรอก
อ่านของท่านมาหลายโพสท์แล้ว เพิ่งจะได้จังหวะเล็กๆ ตอบน้อยๆ ๕๕๕


ท่าน Neoworld
แปลกไหมครับ!?

ไม่แปลกครับ นี่เป็นธรรมชาติของของแท้
ไม่ใช่ของธรรมเลียนแบบ ที่อ่านแล้วอยากอ๊วก หึหึหึ


แก๊งค์นาฬิเกร์ / กระต่ายป่า ข้างวัด
.

 

จะเอาแต่สบายหูเมื่อไหร่จะโต

 

ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังมาก่อนเลย สมาธิในฌานนั้นโง่
คนพูดนั้นนั่นแหละน่าจะโง่กว่าพูดโดยไม่คิด ใครที่ไหนทำฌาน ใครได้ฌานแล้วโง่
งั้นจะทำไปทำไมกัน ?

 

เอา[เมคตาภาวนานุเบกขา]เป็นที่ตั้ง
เรื่องมรรคเรื่องผลเป็นเรื่องรองการันตีเพราะได้อาศัยแล้ว
http://palungjit.org/threads/พระสหธรรมิกราช-และ-โพธิสัตว์เถระ-สรุปว่าคือใคร-ครับ.138613/

 

เอา[เมตตาภาวนาอุเบกขา]เป็นที่ตั้ง
เรื่องมรรคเรื่องผลเป็นเรื่องรองรับการันตี
เมื่อเป็นผู้ฝึกฝนในสัจจะอยู่
ก็สมควรแห่งความเป็นปราชในที่สุด

ใครเป็นใครเป็นเรื่องของสมมุติ ความเป็น บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มี

 

เขียน ๑๓.๕๕

แหม..อย่าแกล้งโง่สิครับ กะอีแค่คำพูดแบบเปรียบเปรย
คำว่าโง่ในที่นี้ ไม่ได้แปลว่าโง่ซะหน่อย
แต่น่าจะแปลว่า ตรงข้ามกับปัญญา ในวิปัสสนา
ซึ่งวิปัสสนา กับฌาน เป็นของที่อยู่ตรงกันข้าม แบบฝั่งเดียวกัน น่ะ หึหึหึ

ฌาน เค้าแปลกันว่าเพ่ง เราแปลแถมให้อีกอัน ว่าแผ่ออกไป ได้ด้วย
ตามกฏของธรรมชาติ ที่ทุกอย่างย่อมมีอยู่เป็นคู่ๆ เสมอมา และเสมอไป
เพ่ง คือรวมเข้าสู่ศูนย์กลาง แผ่ คือการขยายออกไปจากจุดศูนย์กลาง เนอะ

แต่ด้วยกิริยาแห่งจิตที่เป็นปัจจุบันขณะนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เกิดปัญญาใดๆ
ในการดำรงจิตอยู่ในสภาวะแห่งฌาน
มีแต่กำลัง ที่เพิ่มขึ้นได้ ตามนาฬิกาที่หมุนเรื่อยไป ล่ะมั้ง นะ

คนที่พูด ใช่หลวงพ่อพุธรึเปล่าน๊า ลุงหมานพลาดตกบ่อซะแล้วสิ หึหึหึ
สมน้ำหน้า อยากซ่าไม่เข้าเรื่อง ไม่อ่านให้ดีก่อน
ทีหลังอย่าซี๊ซั๊วต่า นะครับ โดยเฉพาะเวลาที่พวกเรามาเพ่นพ่านแถวนี้ ๕๕๕


พี่น้องนาครา / กระต่ายป่า ข้างวัด



ปล. ซี้ซั๊วต่า แปลว่าอะไร หาคำตอบมาให้อันนึงละกัน ว่า

ซี้ซั้ว .. ที่พูดกัน - มีคำตอบ - กูรู

Code:

ซี้ซั้ว .. ที่พูดกัน
ปัญหาคาใจ
 
<สรรพเพเหระ>


รู้ความหมายกันบ้างหรือเปล่าคะ ..  แวะมาบอกเล่ากันนิดนึงคะ ..

[COLOR="Red"][SIZE="4"]ซี้ซั้ว ต๋าาาา ...[/SIZE][/COLOR]  

บันทึก #1 6 ส.ค. 2555 14:23:45
เฉลย ..

ซี้ซั้ว เป็นคำที่ยืมมาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว 
ในภาษาจีนแต้จิ๋วคำว่า ซี้ซั้ว เป็นคำประสม 
มาจากคำว่า สี่ แปลว่า จำนวน ๔ กับคำว่า ซั้ว แปลว่า กระจัดกระจาย

ดังนั้น ซี้ซั้ว จึงมีความหมายตามตัวอักษรว่ากระจัดกระจายออกไปทั้ง ๔ ทิศ 
หมายถึง ไม่เจาะจง ไม่ระมัดระวัง ไม่มีเป้าหมายในทิศใดทิศหนึ่ง  
ใช้เปรียบการพูดหรือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ยั้งคิด 
ไม่พิจารณาตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ถูกต้องก่อนพูดหรือก่อนทำ 
และไม่รับผิดชอบกับคำพูดของตนหรือการกระทำของตน

ในภาษาไทย ซี้ซั้ว มีความหมายว่า มักง่าย, ลวก ๆ เช่น 
เวลาไม่สบาย อย่าซื้อยามากินซี้ซั้ว จะทำให้โรคดื้อยา
และยังใช้ในความหมายว่า พูดหรือทำไปอย่างส่ง ๆ โดยไม่คิดหรือไม่รับผิดชอบ 
เช่น เวลาเลือกตั้ง ส.ส. จะซี้ซั้วเลือกไม่ได้ ต้องเลือกแต่คนดีและมีคุณธรรมเท่านั้น

ที่มา:บทวิทยุรายการ "รู้ รัก ภาษาไทย" ออกอากาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย
เมื่อวันที่ ๒๑ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๔ เวลา ๗.๐๐-๗.๓๐ น.

คัดลอกมาจาก ราชบัณฑิตยสถาน  ^__~

.

 

.
เขียน ๑๔.๓๔

แหม...เนื่องในโอกาสได้ป๊ะ กะลุงหมานครั้งแรก
แถมข้อมูลจากเวบพันธุ์ทิพย์ ให้ด้วยละกัน
อากู๋พามาให้ เปิดดูแค่กูรู กะอันนี้ ก็โดนซะแล้ววว ความว่า

คนฮ่องกงรู้จักคำว่าติงต๊อง แต่คำว่าซี้ซั้ว ไม่รู้จัก
PANTIP.COM : K12333002 ����ͧ������ѡ����ҵԧ��ͧ �������ҫ������ �������ѡ [�չ�֡��]

แต่ช้าแต่ เอ้ย..แต่ช้าก่อน ไม่ได้บอกว่าลุงหมานติงต๊องนะครับ
แค่เห็นว่ามันน่าสนใจดี คล้ายๆ นิมิตร ก็เลยนำมาฝากให้ ใช้คิดเล่นๆ
เผื่อท่านอื่นๆ จะได้ประโยชน์ไปด้วย ก็เลยโมเม นำมาไว้ด้วยกัน หึหึหึ

แต่จะมีข้อมูลอื่นใด จากใคร แอบแฝงเข้ามาด้วย
ก็แล้วแต่ใครจะรับรู้ได้แค่ไหน นะ เนอะ


พี่น้องนาครา / กระต่ายป่า ข้างวัด
.