พร่องในศีล ไม่มีหวังที่จะทรงสมาธิเพื่อฌานสมาบัติได้เลย ไม่ได้สำเร็จผลใดๆ แม้แต่ฌานโลกีย์ก็ไม่ได้

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Saber, 15 เมษายน 2015.

  1. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    แค่เรื่องเสพกาม กับ ฟังธรรมพระพุทธเจ้าบรรลุ ยังแยกกันไม่ออกเลยหรือ ?

    กลับไปอ่านเรื่องที่ตัวเองยกมาก่อนดีกว่าไหมครับ

    คนละกาล คนละเวลากัน ดันมาเหมาจับรวมกัน ทำไปได้
     
  2. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    กินอาหารอย่างเมามัน เลือกกิน แสวงหากัน ดินรนหากิน ด้วยความอยาก..นี่ก็เสพกาม เหมือนกัน

    คุยกันคนบางคน มันคิดได้แค่นั้น มันไม่สามารถเข้าใจไปเรื่องอื่นๆได้ ทั้งที่ปัญญาในการเข้าใจ มัน ไม่ไช่ว่าพูดเรื่องเดียวแล้วเข้าใจแต่เรื่องเดียว สักหน่อย

    มิติเวลา อดีต ปัจจุบัน อนาคต ..เมื่อวาน วัีนนี้ พรุ่งนี้...คือ ปัญญาที่ควรจะเข้าใจได้ด้วย ไม่ไช่ พูดวันนี้ ..แต่ไม่มีสมอง ไม่มีปัญญาเข้าใจเรื่องที่ผ่านมา เรื่องในอนาคต...ถ้าเป็นแบบนี้ ...คงต้อง เปลือง คำพูด เปลืองกำลัง มากเรย อิอิ

    อิอิ
     
  3. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ใครจะไปสู้เรื่องครรภ์ของแผ่นดินเท่า กษิติครรภ์มหาโพธิสัตว์เรื่องนี้น่ะ
    https://youtu.be/ZrUwoxdz7AU
    ออ อย่าหลงนะครับว่าผมเป็นมหายาน พระพุทธเจ้าสอนออกมา นิกายเดียวครับ แล้วรู้ชื่อหรือเปล่าครับ ในสมัยพุทธันดรก่อนๆ นิกายในพระพุทธศาสนา มีชื่อ ว่าอะไร? หาคำตอบให้ที มีแน่นอนครับ ผมอยู่นิกายนั้นแหละ ช่วยบอกมาทีครับ ที่ว่า สุดยอดแล้วน่ะ ประกาศชาวโลกหน่อย ว่า ชื่อนิกาย ที่พระพุทธเจ้าสอนในพุทธันดรก่อน ชื่อว่าอะไร?

    รักห่วงทุกคนที่เข้ามาและไม่มีโอกาสเข้ามาครับคนที่ไม่รู้นั่นด้วย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    น่าน ....คุยเรื่องอานิสงค์แห่งศีล ไปเกี่ยวกับกาลเวลาและการฟังธรรมเสียแล้ว กินอานิสงค์เข้าไปแล้วยังมิรู้ตัว อีก! ท่านเอยรู้รสชาติอานิสงค์หรือยัง ว่ามี ท่านตอบไม่ได้ก็แทนที่จะบอกกันดีๆ ว่ากุศลบุญจากการฯลฯที่สั่งสมไว้ในอดีตชาติ เราอาศัยในชาตินี้ด้วยได้ไหม? แล้วเขาสำเร็จได้อย่างไร? ทว่า ศีลไม่เคยมี มรรค ๘ ทางสายกลางก็ไม่เคยรู้ แล้วพระโสดาได้มายังไง นึกเอาเองรึ โอ้พระพุทธศาสนา มิสิ้นเหมือนดังท่านว่าแล้วรึ ไม่มีอดีตหรือจะมีอนาคต

    ไข้ขึ้นไหม?ครับ รู้สึกตัวหรือเปล่า? แกล้งหลอกถาม ลองภูมิผมหรือเปล่าน่ะ เรื่องนี้จบตั้งแต่ [BUDDHA]ท่านสอนพราหมณ์แล้วครับ เกิดมาผมเชื่อเลย ท่านไม่เคยพิจารณาแก่น พระพุทธศาสนา ตีโจทย์ไม่แตก ผมคิดว่า ท่านแกล้งผม หลอกดูภูมิผมสหายธรรม ท่านว่า สาวกภูมิ นั้นถูกดีแล้ว ท่านแน่ใจหรือ ว่าท่านไม่ใช่ คนอื่นก็ด้วย และถ้าเรื่องที่ผมเล่าเป็นความจริง ก็มีแต่พวกท่านนี่แหละที่จะหายสงสัย ทำไมคนทั้งโลกจึงไม่รู้ อย่าคิดว่าตัวเองจะไม่เห็น รอเวลาเถอะครับ จุติธรรมเมื่อไหร่ จุติธรรมในท่านด้วย พวกท่านจะรักโคตรภูสงฆ์อย่างผมในตอนนี้ มากที่สุด สุดกัลยาณมิตรเลยก็ว่าได้ ว่าไปขนาดยอมตายแทนนู่น เรามีศัตรูร่วมกัน คือกิเลส แล้ว ยังเหลือ พวกนั้น ที่กำลังจะมา พูดละคิดถึงเอเลี่ยนเลยล่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  5. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    THE END
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 เมษายน 2015
  6. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    จ่า ยัง ค้าง ผม ปุจฉานึง อยู่นะ อิอิ:cool:
     
  7. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ใครคุยเรื่องนั้นกัน ไม่มีปัญญา เธอเหรอบอกให้เราไปหา [พระทศพลญาณ ๑๐] ไม่มีปัญญา ไม่ใช่ฐานะ เมื่อไม่ใช่ฐานะ อย่าแสดงพระนิพพาน

    ที่กล่าวถึงนี่ บอกว่าสำนักไหนสอนเกิน {มงคลสูตร} [คิริมานนทสูตร] ยุบทิ้งไปเลยครับ เก่งกว่า{พระพุทธเจ้า}แล้ว

    อาศัยเรือนพระธรรมราชาอยู่แต่ดันวางเพลิงซะงั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    จ่าอย่าบ่นสิ อิอิ...อย่าจ่ม อย่าจ่ม อิอิ

    มันมีแค่ รู้ หรือ ไม่รู้ ...ไม่อ้าง ฐานะ ออกมา เพราะ ฐานะ มันอยู่ในใจตน รู้ด้วยตนเอง น่ะ

    อิอิ
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040

    เรื่องมันผ่านมานานแล้วครับ และตอนนี้ก็ไม่ได้อะไรแล้วนะครับ
    และเสี้ยววินาทีตอนนี้ก็ทราบได้เหมือนเดิมครับ...
    คือประกันได้ว่า สัมผัสที่เค้ามีตอนนี้วนเวียนแต่วิญญานระดับล่างๆ
    ประมาณกุมาร ผีเด็ก อะไรทำนองนี้หละครับ
    ส่วนจะเป็นอะไรเรื่องของเค้านะครับ ผมคงไม่ไปยุ่งอะไรด้วยครับ
    คือผมไม่เข้าใจเจตนาว่าคุณจะมาย้อนอดีตไปเพื่ออะไรนะครับ..
    จะมาบอกว่าผมทักผิดเพื่ออะไรครับ...
    อีกอย่างผมไม่ได้ทักคุณด้วยนะครับ...
    คุณไปเดือดร้อนอะไรกับเค้าครับ..
    ถ้าส่งตรงถึงผมตรงนี้ เขียนแล้วจบนะครับ.
    เด่วผมจะเล่าให้ฟังอีกรอบนะครับ
    ย้ำว่า ณ ปัจจุบันนี้ไม่ได้อะไรและไม่ได้มีเรื่องขุ่น
    เคืองอะไรกันแล้วนะครับ และผมทักอะไรไปบ้างนะครับ.


    คือผมไม่ได้ทักผิดครับ ตอนที่ผมทักเค้าๆก็นับถือพุทธศาสนา
    แล้วนิครับ.แต่ก่อนหน้านั้นเคยนับถืออิสลามมาก่อน

    ปกติผมทักคนนะครับ แต่ว่าเค้า
    ไม่ค่อยยอมรับครับเพราะมันไม่เทห์ไงครับ..
    ทักแล้วมันไม่เหมือนฟอร์มที่ตัวเองพยายาม
    อุปโลกน์ลวงโลกหลอกตัวเองไปวันๆ
    ที่พยายามจะสร้างให้คนอื่นๆเห็นนิครับ..
    แล้วสุดท้ายก็เป็นอย่างที่ผมทักโดยไม่รู้ตัวนั่นหละครับ
    คนนั้นเคยนับถืออิสลามมาก่อน ผมก็พอทราบ
    แต่พอมาทางพุทธ ก็แล้วปฏิเสธการไหว้บูชาพระพุทธรูปไงครับ
    แนวๆอดีตห่มเหลืองมีชื่อเสียงโด่งดังรู้จักกันทั้งประเทศเรื่อง
    ระเบิดถังคะระรี้ ครี้ นั่นหละครับ....

    คนที่เอาระดับการฝึกกสิณ
    ระดับอุคคนิมิตรมาพูดเหมือนกับว่าตัวเอง
    เนี่ยวิเศษวิโสคือเค้าจะพูดโชว์ตัวเองนะครับ
    ทั้งๆที่แค่หลับตาแค่วินาทีเดียวก็เห็นได้
    เป็นปกติสำหรับคนฝึกกสิณครับ...

    คนที่ตั้งชื่อตัวเองสวยหรูว่าโสดาปัตติผล ใน FB
    แถมยังเอามาลงเพื่อโฆษณาตนเอง ณ ตอนนั้นหรือครับ
    คุณอยากรู้ก็ไปอ่านในหน้า เฟส หรือดูหน้าตาเอาเองนะครับ

    พอผมพูดเรื่องเกี่ยวกับอะไรพิเศษ เค้าก็มากล่าว
    เชิงว่าไม่ใช่ทางพุทธศาสนา ทั้งๆที่ตัวเองชอบเก็บ
    เอาตุ๊กตาตามต้นไม้ เอามาเลี้ยง และปลุกเสกลูกแก้ว
    แล้วเอาไปแจกสาวๆ หน้าตาหน้ารัก

    คนที่พอเห็นสาวๆผู้มีญานวิเศษทั้งหลาย คือเค้าเล่น
    ในเวปญานทิพย์ด้วย แล้วบอกว่า คนนี้เค้าเป็น
    เนื้อคู่ตัวเองมีความรู้สึกพิเศษอย่างนั้นอย่างนี้

    เค้าก็เคยมาโพสต์ในนี้หละครับ แนวๆแสดงภูมิธรรม
    ปฏิเสธเรื่องในหลายๆเรื่องที่ผู้คนเค้าเคารพนับถือ
    เป็นแสนเป็นล้านมีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง
    และที่สำคัญก็คือโดนผู้หญิงด่าครับ
    ด่าเสียๆหายๆด้วยครับ ไม่ได้ด่าในห้องนี้นะครับ
    ถ้าคุณอยู่แต่ห้องนี้คุณอาจจะไม่ทราบข้อมูลครับ
    ตรงนี้ไม่ขอวิจารณ์
    แต่ถ้าเป็นผมโดนด่าอย่างนั้น ผมคงไม่มีหน้ามา
    เสนอหน้าอะไรหรอกนะครับในเวปพลังจิตนะครับ.
    เพราะผู้หญิงเค้าด่าแสบและตรง
    เรื่องที่เค้าเถียงกับผมมันเด็กๆและเป็นอดีตไปแล้วครับ.
    .และหลังๆพยายามจะโพส
    แสดงภูมิธรรม แต่พอโดนขาเก๋าแย้งก็ดำน้ำเน่าๆหนีนั่นหละครับ
    เรียกง่ายๆว่าจอมแถนั่นหละครับ
    คือโพสอะไรที่ไม่มีในตน แต่อยากจะแสดงว่าตนเป็นผู้รู้นั่นหละครับ
    คุณอ่านข้อความที่เค้าโดนแย้งดูก็จะรู้ครับ..
    ไม่ต้องใช้สมองอะไรมากก็เข้าใจได้ครับ..

    และที่สำคัญผมรู้จักกับผู้หญิงที่เค้าปลุกเสกลูกแก้วแล้ว
    เอาไปโม้ว่าเป็นพลังวิเศษอะไร(ผู้หญิงคนนั้นโยนทิ้ง)
    เป็นการส่วนตัวครับ...
    และผมก็บอกไปเค้าไปว่า ในเวบบอร์ดนี้ ประเภทที่จะเข้ามา
    โดยเจตนาไม่ดี มาเพื่อยกตัวเอง ปรามาสพระรัตนตรัย
    ปรามาสครูบาร์อาจารย์ที่ก่อตั้งเวปนี้ ต่อไปจะอยู่ไม่ได้
    เค้าถึงไปบ๊อกๆต่อในเวปญานทิพย์ต่อ ซึ่งผมไม่ได้
    ไปสนใจเค้าครับ ส่วนเค้าเป็นคนอย่างไรก็อ่านที่ผมเขียน
    ให้ฟังดูครับ ก่อนจะมาตัดสินว่าผมไปตัดสินใจเค้าผิด
    คุณไม่ได้รู้เรื่องราวเค้าเหมือนที่ผมรู้นิครับ..
    เอาอะไร เอาเครื่องรู้อะไรมาบอกว่าผมทักเค้าผิดครับ..
    แต่ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้เป็นเรื่องในอดีตนะครับ..
    ถ้าเจ้าตัวมาอ่านผมก็อโหสิกรรมด้วยอีกครั้งครับ..
    แต่ถ้าคุณไม่มีเหตุอะไรก็ไม่ควรจะมาพูดหรือกล่าวอะไรอีกนะครับ
    เพราะมันไม่มีอะไรแล้วครับ ต่างคนต่างอยู่แล้วครับ..

    ปล.เข้าใจที่พูดนะครับ. อืมๆถ้าคุณ
    มีอะไรเป็นส่วนตัวก็บอกได้นะครับ
    และกรุณาติดต่อทาง pm นะครับ.
     
  10. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    !!??
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ท่านSaber แม้แต่ท่านเองหรือใครๆ ก็สร้างบุญฯใหญ่ในที่นี้ ท่านทำให้ผู้อื่นรู้ในสิ่งที่ไม่เคยได้รู้และมีอยู่จริง

    รอคอยเวลา ผิดหวังกับคนอื่นมามากแล้วในชีวิต ทั้งๆที่มีแต่ให้ ท่านจะยอมผิดหวังกับเราสักคนที่ไม่ขออะไร? ไม่ได้เชียวหรือ?
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  12. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    พื้นฐานที่ควรเรียนรู้ครับ


    อย่าโกหกตอแหลเก่งทำได้ยอดคนครับ
    พระคุณสมบัติของพระพุทธเจ้าที่ควรสังเกต
    ทรงสอนสิ่งที่เป็นจริง และเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟัง
    ทรงรู้เข้าใจสิ่งที่สอนอย่างถ่องแท้สมบูรณ์
    ทรงสอนด้วยเมตตา มุ่งประโยชน์แก่ผู้รับคำสอนเป็นที่ตั้งไม่หวังผลตอบแทน
    ทรงทำได้จริงอย่างที่สอน เป็นตัวอย่างที่ดี
    ทรงมีบุคลิกภาพโน้มน้าวจิตใจให้เข้าใกล้ชิดสนิทสนม และพึงพอใจได้ความสุข
    ทรงมีหลักการสอน และวิธีสอนยอดเยี่ยม


    หลักทั่วไปในการสอน

    เกี่ยวกับเนื้อหา หรือเรื่องที่สอน
    สอนจากสิ่งที่รู้เห็นเข้าใจง่าย หรือรู้เห็นเข้าใจอยู่แล้ว ไปหาสิ่งที่เห็นเข้าใจได้ยาก หรือยังไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจ
    สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยลุ่มลึก ยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสายลงไป อย่างที่เรียกว่า สอนเป็นอนุบุพพิกถา..
    ถ้าสิ่งที่สอนเป็นสิ่งที่แสดงได้ ก็สอนด้วยของจริง ให้ผู้เรียน ได้ดู ได้เห็น ได้ฟังเอง อย่างที่เรียกว่าประสบการณ์ตรง
    สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอกเรื่องโดยไม่มีอะไรเกี่ยวข้องในเนื้อหา
    สอนมีเหตุผล ตรองตามเห็นจริงได้ อย่างที่เรียกว่า สนิทานํ
    สอนเท่าที่จำเป็นพอดี สำหรับให้เกิดความเข้าใจ ให้เการเรียนรู้ได้ผล ไม่ใช่สอนเท่าที่ตนรู้ หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มาก
    สอนสิ่งที่มีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้ และเข้าใจ เป็นประโยชน์แก่ตัวเขาเอง อย่างพุทธพจน์ที่ว่า พระองค์ทรงมีพระเมตตา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย จึงตรัสพระวาจาตามหลัก 6 ประการคือ
    คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รัก ที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
    คำพูดที่จริง ถูกต้อง แต่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
    คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส
    คำพูดที่ไม่จริง ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
    คำพูดที่จริง ถูกต้อง ไม่เป็นประโยชน์ ถึงเป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - ไม่ตรัส
    คำพูดที่จริง ถูกต้อง เป็นประโยชน์ เป็นที่รักที่ชอบใจของผู้อื่น - เลือกกาลตรัส
    ลักษณะของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้ คือ ทรงเป็นกาลวาที สัจจวาที ภูตวาที อัตถวาที ธรรมวาที วินัยวาที

    เกี่ยวกับตัวผู้เรียน
    รู้ คำนึงถึง และสอนให้เหมาะสมตามความแตกต่างระหว่างบุคคล...
    ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดียวกันแต่ต่างบุคคล อาจใช้ต่างวิธี
    นอกจากคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ผู้สอนยังจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ความสุกงอม ความแก่รอบแห่งอินทรีย์ หรือญาณ ที่บาลี เรียกว่า ปริปากะ ของผู้เรียนแต่ละบุคคลเป็นรายๆ ไปด้วย
    สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ความเข้าใจชัดเจน แม่นยำและได้ผลจริง เช่น ทรงสอนพระจูฬปันถกผู้โง่เขลาด้วยการให้นำผ้าขาวไปลูบคลำ...
    การสอนดำเนินไปในรูปที่ให้รู้สึกว่าผู้เรียน กับผู้สอนมีบทบาทร่วมกัน ในการแสวงความจริง ให้มีการแสดงความคิดเห็นโต้ตอบเสรี หลักนี้เป็นข้อสำคัญในวิธีการแห่งปัญญา ซึ่งต้องการอิสรภาพในทางความคิด และโดยวิธีนี้เมื่อเข้าถึงความจริง ผู้เรียนก็จะรู้สึกว่าตนได้มองเห็นความจริงด้วยตนเอง และมีความชัดเจนมั่นใจ หลักนี้เป็นหลักที่พระพุทธเจ้าทรงใช้เป็นประจำ และมักมาในรูปการถามตอบ
    เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นรายๆ ไปตามควรแก่กาละเทศะ และเหตุการณ์...
    ช่วยเหลือเอาใจใส่คนที่ด้อย ที่มีปัญหา...
    เกี่ยวกับตัวการสอน
    ในการสอนนั้น การเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมากอย่างหนึ่ การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก อย่างน้อย ก็เป็นเครื่องดึงความสนใจ และนำเข้าสู่เนื้อหาได้ พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก โดยปกติพระองค์จะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อหาธรรมที่เดียว แต่จะทรงเริ่มสนทนากับผู้ทรงพบ หรือผู้มาเฝ้าด้วยเรื่อที่เขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่...
    สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลินไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิดความอึดอัดใจ และให้เกียรติแก่ผู้เรียน ให้เขามีความภูมิใจในตัว
    สอนมุ่งเนื้อหา มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่สอนเป็นสำคัญ ไม่กระทบตนและผู้อื่น ไม่มุ่งยกต ไม่มุ่งเสียดสีใครๆ...
    สอนโดยเคารพ คือ ตั้งใจสอน ทำจริง ด้วยความรู้สึกว่าเป็นสิ่มีค่า มองเห็นความสำคัญของผู้เรียน และงาสั่งสอนนั้น ไม่ใช้สักว่าทำ หรือเห็นผู้เรียนโง่เขลา หรือเห็นเป็นชั้นต่ำๆ
    ใช้ภาษาสุภาพ นุ่มนวล ไม่หยาบคาย ชวนให้สบายใจ สละสลวย เข้าใจง่าย
    ขอนำพุทธพจน์แห่งหนึ่ง ที่ตรัสสอนภิกษุผู้แสดงธรรมเรียกกันว่า องค์แห่งพระธรรมกถึก มาแสดงไว้ดังนี้

    "อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอื่นฟัง มิใช่สิ่งที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่คนอื่น พึงตั้งธรรม 5 อย่างไว้ในใจ คือ

    เราจักกล่าวชี้แจงไปตามลำดับ
    เราจักกล่าวชี้แจงยกเหตุผลมาแสดงให้เข้าใจ
    เราจักแสดงด้วยอาศัยเมตตา
    เราจักไม่แสดงด้วยเห็นแก่อามิส
    เราจักแสดงไปโดยไม่กระทบตน และผู้อื่น "

    ลีลาการสอน

    คุณลักษณะซึ่งเรียกได้ว่าเป็นลีลาในการสอน 4 อย่าดังนี้

    อธิบายให้เห็นชัดเจนแจ่มแจ้ง เหมือนจูงมือไปดูให้เห็นกับตา (สันทัสสนา)
    ชักจูงใจให้เห็นจริงด้วย ชวนให้คล้อยตามจนต้อยอมรับ และนำไปปฏิบัติ (สมาทปนา)
    เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกิดกำลังใจ ปลุกให้มีอุตสาหะแข็งขัน มั่นใจว่าจะทำให้สำเร็จได้ ไม่หวั่นระย่อต่อความเหนื่อยยาก ( สมุตตเตชนา)
    ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อ และเปี่ยมด้วยความหวัง เพราะมองเห็นคุณประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากกาปฏิบัติ (สัมปหังสนา)
    อาจผูกเป็นคำสั้นๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง จูงใจ หาญกล้า ร่าเริง หรือชี้ชัด เชิญชวน คึกคัก เบิกบาน



    วิธีสอนแบบต่างๆ

    วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า มีหลายแบบหลายอย่าง ที่น่าสังเกต หรือพบบ่อย คงจะได้แก่วิธีต่อไปนี้

    สนทนา (แบบสากัจฉา)
    แบบบรรยาย
    แบบตอบปัญหา ท่านแยกประเภทปัญหาไว้ตามลักษณะวิธีตอบเป็น 4 อย่างคือ
    ปัญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมาตายตัว ... (เอกังสพยากรณียปัญหา)
    ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ... (ปฎิปุจฉาพยากรณียปัญหา)
    ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ ... (วิภัชชพยากรณียปัญหา)
    ปัญหาที่พึงยับยั้งเสีย (ฐปนียปัญหา) ได้แก่ ปัญหาที่ถามนอกเรื่อง ไร้ประโยชน์ อันจักเป็นเหตุให้เขว ยืดเยื้อ สิ้นเปลืองเวลาเปล่า พึงยับยั้งเสีย แล้วชักนำผู้ถามกลับเข้าสู่แนวเรื่องที่ประสงค์ต่อไป
    แบบวางกฎข้อบังคับ เมื่อเกิดเรื่องมีภิกษุกระทำความผิดอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นครั้งแรก

    กลวิธี และอุบายประกอบการสอน

    การยกอุทาหรณ์ และการเล่านิทานประกอบ การยกตัวอย่างประกอบคำอธิบาย และการเล่านิทานประกอบการสอนช่วยให้เข้าใจความได้ง่าย และชัดเจน ช่วยให้จำแม่นยำ เห็นจริง และเกิดความเพลิดเพลิน ทำให้การเรียนการสอนมีรสยิ่งขึ้น...
    การเปรียบเทียบด้วยข้ออุปมา คำอุปมาช่วยให้เรื่องที่ลึกซึ้งเข้าใจยาก ปรากฏความหมายเด่นชัดออกมา และเข้าใจง่ายขึ้น โดยเฉพาะมักใช้ในการอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรม หรือแม้เปรียบเรื่องที่เป็นรูปธรรมด้วยข้ออุปมาแบบรูปธรรม ก็ช่วยให้ความหนักแน่นเข้า... การใช้อุปมานี้ น่าจะเป็นกลวิธีประกอบการสอนที่พระพุทธองค์ทรงใช้มากที่สุด มากกว่ากลวิธีอื่นใด
    การใช้อุปกรณ์การสอน ในสมัยพุทธกาล ย่อมไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่างๆ ที่จัดทำขึ้นไว้เพื่อการสอนโดยเฉพาะ เหมือนสมัยปัจจุบัน เพราะยังไม่มีการจัดการศึกษาเป็นระบบขึ้นมากอย่างกว้างขวาง หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีในธรรมชาติ หรือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่
    การทำเป็นตัวอย่าง วิธีสอนที่ดีที่สุดอย่างหนึ่ง โดยเฉพาะในทางจริยธรรม คือการทำเป็นตัวอย่าง ซึ่งเป็นการสอนแบบไม่ต้องกล่าวสอน เป็นทำนองการสาธิตให้ดู แต่ที่พระพุทธเจ้าทรงกระทำนั้นเป็นไปในรูปทรงเป็นผู้นำที่ดี การสอนโดยทำเป็นตัวอย่าง ก็คือ พระจริยวัตรอันดีงามที่เป็นอยู่โดยปกตินั้นเอง แต่ที่ทรงปฏิบัติเป็นเรื่องราวเฉพาะก็มี...
    การเล่นภาษา เล่นคำ และใช้คำในความหมายใหม่ การเล่นภาษาและการเล่นคำ เป็นเรื่องของความสามารถในการใช้ภาษาผสมกับปฏิภาณ ข้อนี้ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถของพระพุทธเจ้าที่มีรอบไปทุกด้าน...แม้ในการสอนหลักธรรมทั่วไป พระองค์ก็ทรงรับเอาคำศัพท์ที่มีอยู่แต่เดิมในลัทธิศาสนาเก่ามาใช้ แต่ทรงกำหนดความหมายใหม่ ซึงเป็นวิธีการช่วยให้ผู้ฟังผู้เรียนหันมาสนใจ และกำหนดคำสอนได้ง่าย เพียงแต่มาทำความเข้าใจเสียใหม่เท่านั้น และเป็นการช่วยให้มีการพิจารณาเปรียบเทียบไปในตัวด้วยว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิดอย่างไร จึงเห็นได้ว่า คำว่า พรหม พราหมณ์ อริยะ ยัญ ตบะ ไฟบูชายัญ ฯลฯ ซึ่งคำในลัทธิศาสนาเดิม ก็มีใช้ในพระพุทธศาสนาด้วยทั้งสิ้น แต่มีความหมายต่างออกไปเป็นอย่างใหม่
    อุบายเลือกคน และการปฏิบัติรายบุคคล การเลือกคนเป็นอุบายสำคัญในการเผยแพร่ศาสนา ในการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้า เริ่มแต่ระยะแรกประดิษฐานพระพุทธศาสนาจะเห็นได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงดำเนินพุทธกิจด้วยพระพุทโธบายอย่างทีเรียกว่า การวางแผนที่ได้ผลยิ่ง ทรงพิจารณาว่าเมื่อจะเข้าไปประกาศพระศาสนาในถิ่นใดถิ่นหนึ่งควรไปโปรดใครก่อน
    การรู้จักจังหวะ และโอกาส ผู้สอนต้องรู้จักใช้จังหวะ และโอกาสให้เป็นประโยชน์
    ความยืดหยุ่นในการใช้วิธีการ ถ้าผู้สอนสอนอย่างไม่มีอัตตา ตัดตัณหา มานะ ทิฏฐิเสียให้น้อยที่สุด ก็จะมุ่งไปยังผลสำเร็จในการเรียนรู้เป็นสำคัญ สุดแต่จะใช้กลวิธีใดให้การสอนได้ผลดีที่สุด ก็จะทำในทางนั้น ไม่กลัวว่าจะเสียเกียรติ ไม่กลัวจะถูกรู้สึกว่าแพ้
    การลงโทษ และให้รางวัล การใช้อำนาจลงโทษ ไม่ใช้การฝึกคนของพระพุทธเจ้า แม้ในการแสดงธรรมตามปกติพระองค์ ก็แสดงไปตามเนื้อหาธรรมไม่กระทบกระทั้งใคร... การสอนไม่ต้องลงโทษ เป็นการแสดงความสามารถของผู้สอนด้วย ในระดับสามัญ สำหรับผู้สอนทั่วไป อาจต้องคิดคำนึงว่าการลงโทษ ควรมีหรือไม่ แค่ไหน และอย่างไร แต่ผู้ที่สอนคนได้สำเร็จผลโดยไม่ต้องใช้อาญาโทษเลย ย่อมชื่อว่าเป็นผู้มีความสามารถในการสอนมากที่สุด
    กลวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ปัญหาเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้นต่างครั้ง ต่างคาว ย่อมมีลักษณะแตกต่างกันไปไม่มีที่สิ้นสุด การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าย่อมอาศัยปฏิภาณ คือ ความสามารถในการประยุกต์หลัก วิธีการ และกลวิธีต่างๆ มาใช้ให้เหมาะสม เป็นเรื่องเฉพาะครั้ง เฉพาะคราวไป

    นิเทศอาทิตตปริยายสูตร

    ในการพิจารณาพระสูตรนี้ เพื่อทำความเข้าใจให้เป็นประโยชน์ในการสอน ความในพระสูตรนี้อาจสรุปได้เป็น 4 ตอนดังนี้

    สภาพที่เป็นปัญหา สิ่งที่พระองค์ตรัสว่าลุกเป็นไฟนั้นมีดังต่อไปนี้
    จักษุ รูป จักขุวิญญาณ จักขุสัมผัส จักขุสัมผัสสชาเวทนา
    โสตะ (หู) เสียง โสตวิญญาณ โสตสัมผัส โสตสัมผัสสชา เวทนา
    ฆานะ (จมูก) กลิ่น ฆานวิญญาณ ฆานสัมผัส ฆานสัมผัสสชาเวทนา
    ชิวหา (ลิ้น) รส ชิวหา วิญญาณ ชิวหาสัมผัส ชิวหาสัมผัสสชเวทนา
    กาย โผฎฐัพพะ กายวิญญาณ กายสัมผัส กายสัมผัสสชาเวทนา
    มนะ (ใจ) ธรรมะ (ความคิดคำนึงต่างๆ) มโนวิญญาณ มโนสัมผัส มโนสัมผัสสชาเวทนา
    สาเหตุ เมื่อ กำหนดตัวปัญหาได้ และเข้าใจสภาพของปัญหาแล้ว ก็ค้นหาสาเหตุให้เกิดไป หรือตัวไฟที่เผาผลาญนั้นต่อไปได้ความว่า สิ่งที่กล่าวมานั้น ลุกไหม้ด้วยกิเลส 3 อย่าง 8nv
    ราคะ ความอยากได้ ความใคร่ ความติดใจ ความกำหนัดยินดี
    โทสะ ความโกรธ ความขัดใจ ความเดือดแค้นชิงชังไม่พอใจต่างๆ
    โมหะ ความหลง ความไม่รู้ ไม่เข้าใจสภาพของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง
    ข้อปฏิบัติเพื่อแก้ไข พระพุทธองค์ตรัสต่อไปอีกว่า อริยสาวกผู้ได้เรียนรู้แล้ว เมื่อเห็นอยู่แย่างนี้ ย่อมหน่ายในอายตนะภายใน ภายนอก ตลอดถึงเวทนาทั้งหมดเหล่านั้น เมื่อหย่ายก็ย่อมไม่ยึดติด
    ผล เมื่อไม่ยึดติด ก็หลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ก็เกิดญาณหยั่งรู้ ว่าหลุดพ้นแล้ว เป็นอันสิ้นชาติ อยู่จบพรหมจรรย์ ทำสิ่งที่จะต้องทำเสร็จสิ้นแล้ว สิ่งที่จะต้องทำเพื่อเป็นอย่างนี้ ไม่มีเหลืออีกเลย
    พระธรรมเทศนา อาทิตตปริยายสูตร ที่ทรงแสดงแก่ชฏิล มีข้อควรสังเกตในแง่การสอน ที่เป็นข้อสำคัญ 2 อย่างคือ

    ทรงสอนให้ตรงกับความถนัด และความสนใจของชฏิล พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะทรงแสดงที่ใด และแก่ใครย่อมมีจุดหมายเป็นแนวเดียวกัน คือ มุ่งให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ในสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง แล้วให้มีทัศนคติ และ ปฎิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างถูกต้องในทางที่เป็นประโยชน์ทั้งแก่ตน และบุคคลอื่น...
    ทรงสอนให้ตรงกับระดับสติปัญญา และระดับชีวิตของชฏิล ข้อสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าทรงคำนึงถึงในการทรงสอน คือ ความยิ่ง และหย่อนแห่งอินทรีย์ของผู้ฟัง ทรงพิจารณาว่าผู้ฟังมีสติปัญญาอยู่ในระดับใด ได้รับการศึกษาอบรมมาในทางใดมากน้อยเพียงไหน ดำรงชีวิตอยู่อย่างไร จะต้องแสดงเรื่องอะไรเขาจึงจะรู้เข้าใจ สามารถนำไปใช้เป็นคุณประโยชน์แก่ชีวิตของเขาได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 เมษายน 2015
  13. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ผู้ใดถ้าไม่มีพื้นฐานศรัทธาอันมั่นคงในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อันดีอย่างแรงกล้าแล้ว ย่อมมีความฉงนสงสัย ในพระพุทธคุณ ในพระธรรมคุณ ในพระสังฆคุณที่ตนเองไม่สามารถรับรู้พึงพิจารณามองเห็นได้ เนื่องด้วยจริตธรรมของตนยังไม่ถูกพัฒนาในเหมาะสมแก่การรับรู้พระธรรม ต่อให้มียอดพระธรรมคัมภีร์ อยู่ตรงหน้าไว้ครอบครองเปิดอ่าน ต่อให้ท่องจำได้หมดก็มิอาจเข้าถึงสำเร็จธรรมได้ ฉันใด

    ผู้ที่ได้สดับรับฟังในการศึกษาใคร่ครวญดีแล้วควรหมั่นเพียรพยายามด้วยตนเองเป็นที่ตั้ง พระพุทธศาสนาไม่ได้มีการยึดมั่นถือมั่นว่าต้องเอาชนะด้วย วาทะ อรรถพยัญชนะทั้งมวล เป็นศาสนาที่ต้องพึ่งพระธรรมพึ่งพาตนเอง ทำให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ทำพระนิพพานให้แจ้ง ไม่หวั่นไหวต่อโลกธรรม จึงไม่ควรคาดหวังว่า ตนเองอยู่เฉยๆไม่ทำอะไรสิ่งใดก็ได้ อีกหน่อยก็จะมีใครสักคนที่รู้แจ้งเอาพระนิพพานมาแจก ไม่ใช่เรื่องไม่ใช่ฐานะในพระพุทธศาสนา ขอจงใคร่ครวญ ควรเรียน การใช้วจีในการเสวนา จากวาทีสูตรนั้นก่อนจะช่วยเพิ่มสติปัญญา ในการระลึกถามผู้อื่นในคราต่อไป เพราะการถามอย่างมีเหตุอันสมควรจะช่วยเพิ่มสติปัญญาความเข้าใจ มากกว่าการถามโดยทั้งๆที่ไม่มีเหตุอันควร แม้ได้รับคำตอบที่ถูกต้องดีงามเข้าใจง่าย ก็จะไม่มีสติปัญญาในการรับรู้และเข้าใจเนื้อความอย่างลึกซึ้งใดๆนั้นได้

    ฉนั้นการถามการใช้อรรถพยัญชนะบางทีก็บ่งบอกถึงสติปัญญาของผู้ถามที่มี ดังที่ปรากฎในพระสูตรหลายบท ซึ่งเป็นคำถามที่ไร้ประโยชน์ไม่มีคุณค่าที่สมควรให้ความสนใจในการประพฤติธรรมตามหัวข้อนั้นๆตามลักษณะกาลเวลา เช่นแสดงเรื่องความสว่าง กับอยากรู้เรื่องอาหารการกิน นี่เรียกว่า ไม่เข้าใจในการลำดับความสำคัญสิ่งที่ควรรู้ควรเห็นกับประพฤติย่อหย่อนไม่พยายามด้วยตนเอง จงพึงพิจารณา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images.jpg
      images.jpg
      ขนาดไฟล์:
      7.5 KB
      เปิดดู:
      82
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  14. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ข้าพเจ้าขอให้ธรรมที่เป็นทานอานิสงค์องค์แห่งความรู้ต่อท่านทั้งหลายว่า" บุคคลใดที่มีจิตใจซื่อตรง บริสุทธิ์ ละเอียดอ่อน อุปมาประดุจเด็กอ่อนทารกต้องการเพียง ความรักและนมของมารดาเลี้ยงชีพ ผ่อนคลายความหิวเพียงเท่านั้น ! บุคคลนั้นย่อมเข้าถึงสภาวะธรรมอันละเอียดอ่อนที่สามารถเข้าถึงได้โดยยาก


    ส่วนบุคคลใดที่ถูก อวิชชา ที่บีบคั้นตามสภาพครอบครัวและวัฒนธรรม ตามสังคมครอบงำจนกลายเป็นคน ไร้จริยธรรม คุณธรรม ในหลักธรรมตามพระพุทธศาสนานี้เพราะถือดี จะไม่มีทางได้เข้าถึงองค์คุณในการตรัสรู้ธรรมได้เลย

    ฉนั้นขอจงกลับเนื้อกลับตัว ละวาง อวิชชา มิจฉาธรรมที่มีในตน อย่าดูถูกตนเองว่าจะไม่เห็นธรรมอันบริสุทธิคุณ ขอจงมีความศรัทธา ความเพียร ท่านจะได้พบธรรมตามสถานะธรรมที่สมควรแก่ท่าน ดังที่เคยได้สั่งสมไว้และพยากรณ์ไว้แล้วนั้นเทอญฯ
    ธรรมนี้เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชน เหล่าพุทธบริษัทและเวไนยสัตว์ตามกรรมทั้งหลายเพื่อความพ้นทุกข์โดยตรง มิใช่เพื่อสิ่งอื่นใด ตั้งใจนะครับ ขอเป็นหนึ่งแรงใจให้ท่านพ้นทุกข์

    เปลี่ยนร่างจิตให้รองรับ สถานะรอบข้างได้ เสมือนหนึ่งน้อยเด็กทารก จึ่งบริสุทธิ์ได้

    การน้อมรับพระธรรมด้วยจิตใจเช่นนั้น ย่อมมองเห็นสัจธรรมได้อย่างแน่นอน


    ยกเว้นไว้ซึ่งพระสูตร นอน๑
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • images (5).jpg
      images (5).jpg
      ขนาดไฟล์:
      9.3 KB
      เปิดดู:
      87
  15. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    ข้อถกเถียงที่เกิดในโลกมนุษย์ที่ส่งผลหลัก คือเรื่องธรรมทั้งมวลและธรรมล้วนๆ เหตุการ์ณในโลกมนุษย์ย่อมสงผลถึงโลกธาตุอื่นด้วย ทั้งในสวรรค์และนรก เมื่อถกเถียงจึงวุ่นวายหาข้อยุติมิได้ โดยเฉพาะในเรื่องพระสัทธรรมและอสัทธรรม เมื่อพระสัทธรรมเริ่มเลือนลางไปจากใจของหมู่สัตว์ในโลกธาตุ

    หากเมื่อใดโลกบังเกิดอลัชชีสรรเสริญแต่งเติมซึ่งอสัทธรรมย่ำยีเสียแล้วซึ่งพระสัทธรรมก้าวล่วงเป็นใหญ่ในสังฆปริมณฑล ทุกภพภูมินรกสวรรค์จึงเกิดวิปริตแปรปรวนมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ธรรมดาที่ไม่เที่ยงอย่างนั้นและอย่างนั้นอยู่แล้ว เมื่อเป็นเช่นนั้นก็ย่อมเกิดภัยพิบัติแก่โลกมนุษย์นั้นด้วย เมื่อไร้ซึ่งธรรมอสัทธรรมโชติช่วง โลกาย่อมวินาศ ณ ครานั้น

    เมื่ออสัทธรรมกล้าแข็งถึงที่สุด เมื่อโลกธาตุทั้งหลายสั่นไหว บุคคลทั้งหลายปราถนาพระสัทธรรม จึงจะมีการถือกำเนิดจุติธรรมเป็นอิทัปปัจยตา แม้ผู้รู้แล้วยังทำได้แค่อยากและปราถนาก็ได้พึ่งธรรมพึ่งตนเฝ้าคอย เพียงเท่านั้น

    ผู้ใดเล่าหนอจะมาไถพรวนผืนดินถิ่นธรรมนี้ให้ราบลุ่มเขียวขจี

    ว่าด้วยนักพูด ๔ จำพวก


    [๑๔๐] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน ?
    นักพูดย่อมจำนนโดยอรรถ แต่ไม่จำนนโดยพยัญชนะก็มี นักพูดจำนนโดย
    พยัญชนะแต่ไม่จำนนโดยอรรถก็มี นักพูดจำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะ
    ก็มี นักพูดไม่จำนนทั้งโดยอรรถทั้งโดยพยัญชนะก็มี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
    นักพูด ๔ จำพวกนี้แล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วยปฏิสัม-
    ภิทา ๔ พึงถึงความจำนนโดยอรรถหรือโดยพยัญชนะ นี้ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่
    โอกาส.

    จบวาทีสูตรที่ ๑๐
    จบปุคคลวรรคที่ ๔


    (ธรรมทั้งมวลคือธรรมทั้งปวง/ธรรมล้วนๆคือธรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.jpg
      0.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.2 KB
      เปิดดู:
      63
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  16. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    .( The Top Secret ).อย่าข้ามพื้นฐานถ้าคิดจะเรียนธรรม

    {O}เรามีหลักพื้นฐานเบื้องต้นดังนี้ คือการเห็นคุณค่าความสำคัญของพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง{O}

    จงพิจารณาให้ถึงที่สุดเถิด หากไม่มีพระธรรม ไม่มีพระพุทธเจ้า ไม่มีพระสงฆ์ผู้อยู่ในสารคุณ ท่านจะอยู่ในลักษณะใดลัทธิความเชื่อใดในตอนนี้

    มีความปรารถนาต้องการอะไรจากพระพุทธศาสนา
    แรกเริ่มท่านต้องมีความสนใจ ชอบใจ และศรัทธาให้เหนือกว่าที่เคยศรัทธา ไม่ใช่งมงายแต่ให้ใช้สติพิจารณาอย่างละเอียดอ่อนให้ถ้วนถี่ยิ่งๆขึ้นไป และจงรักเทิดทูนในพระธรรมคำสั่งสอนเป็นอย่างเคารพยิ่งเป็นที่สุด ต้องนอบน้อมต่อพระธรรมคัมภีร์ในพระสูตรอย่างจะมีได้ แน่นอนต้องเหนือกว่าการเทิดทูนบุคคลใดๆทั้งสิ้น เพราะนี่เป็นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้พ้นจากสถานะทั้งปวง


    ไม่ควรพิจารณาถึงธรรมที่ตนเองก็มิได้กระทำวัตรปฎิบัติให้ถึงโดยที่สภาวะของตนไม่เอื้ออำนวยแก่การบรรลุธรรมนั้น เพราะจะถูกบีบคั้นจากสภาวะทั้งปวงรอบข้างเป็นอย่างมาก
    เพราะรู้แล้วไม่ปฎิบัติ ย่อมถือว่าไม่รู้ อุปมาเสมือนบุคคลขับยานพาหนะไปในท้องถนนที่คับคั่งด้วยยวดยาน เห็นสัญญานไฟแดงเตือนให้รถหยุด รู้แต่ยังดื้อดึงขับฝ่าย่อมมีเหตุอันตรายให้มาถึง


    อย่าถือดีว่ารู้มากมีความรู้สูงเพราะเข้าใจว่าตนเองนั้นเก่งได้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้เพราะความสามารถตนแล้วเรียนผ่านแม้เพียงอักขระอักษรพยางค์เดียว อย่าเผยวาจาใจว่ารู้หมดจบผ่าน อย่าเห็นว่าพระธรรมเป็นของเข้าใจได้ง่ายๆ และได้มาอย่างง่ายๆในทุกภาษิต อย่าเผลอใจตนพลั้งกายวาจาใจ เพื่อโอ้อวดยกยอตนเองยินดีกับการสรรเสริญจากผู้อื่นอย่างลืมตน

    พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯท่านทรงสรรเสริญพระธรรม สรรเสริญการแสดงพระสัทธรรม ตำหนิไม่เห็นด้วยกับการแสดงอสัทธรรม การที่ท่านเจ้าชายสิทธัตถะเป็นพระพุทธเจ้าได้ก็เพราะการสั่งสมบุญบารมีมาเป็นอย่างดีและได้อาศัยพระธรรมจึงได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าผู้ทรงทศพลญาน๑๐ เจริญพระวรกายด้วยมหาปุริลักษณะ คือลักษณะกายที่มีประสาทการรับรู้ที่ดีที่สุดกว่าผู้ใด เมื่อทุกข์จึงทุกข์กว่าผู้ใด เมื่อสุขจึงสุขกว่าผู้ใด จึงเป็นผู้ "เอก"ไม่มีสอง ต่อให้ผู้ใดก็ตามพระเจ้าใดก็ตามก็ไม่สามารถเนรมิตกายให้สมบูรณ์ครบถ้วนอย่างพระองค์ได้

    และหากไม่มีองค์คุณของพระธรรมคัมภีร์"ธรรมแม่บทดั้งเดิม"ปรากฎ ก็ย่อมไม่มีรูปแบบ หลักฐานที่ชัดแจ้งในการวางหลักปักฐานในพระพุทธศาสนา ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นเพียงมายาคติที่มนุษย์ มาร เทวดา พรหม ในสามแดนโลกธาตุอาศัยฤทธิ์มายาสร้างขึ้นทันที เพราะการกำเนิดพระธรรม เป็นเรื่องเหนือโลก เหนือความคิด เหนือจินตนาการของมนุษย์ เทพ มาร พรหม พระเจ้าใดทั้งปวง ตราบใดที่ไม่มีผู้เข้าถึงพระนิพพานจริงๆด้วยฐานะแล้ว ทั้ง๒ ฐานะ มาอธิบายพระนิพพาน ตราบนั้นก็จะไม่มีใครล่วงรู้ จึงทรงมุ่งสอนให้มีความเพียรพยายามให้เห็นเอง เพราะทรงพิจารณาแล้วว่าผู้นั้นสามารถสำเร็จธรรมได้

    ผู้ไม่ถึงที่สุดในจุดมุ่งหมายในพระพุทธศาสนาย่อมไม่สามารถบอกหรือสอนได้ และแม้หากรู้หากถึงก็ตาม แต่ไม่มีปัญญาจะอธิบายพรรณนาถึงภาวะนั้นได้ ไม่อย่างนั้นพระอรหันต์ทุกรูปก็จะบันทึกลงความเห็นในการสำเร็จธรรมของตนไว้ทั้งหมดเป็นแน่ แต่เพราะได้ใคร่ครวญเห็นตามกันดีแล้ว ว่าไม่ใช่ฐานะที่จะพึงกระทำ จึงเน้นถ่ายทอดรูปแบบของการปฎิบัติธรรมที่แตกต่างกัน เพื่อให้รู้ว่า การสำเร็จธรรมนั้นต้องเป็นไปตามสภาวะที่ตนสั่งสมตามกรรมตามกาลไว้ ไม่ใช่ว่าจะเข้าใจในพระธรรมเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วสำเร็จธรรมตามกันทั้งหมด เพราะจริตธรรมนำพาแตกต่างกันในอิริยาบทของกรรม


    ขอจงตั้งใจศึกษาพุทธประวัติ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ และพระสูตรต่างๆอย่างน้อมนำสติเป็นตัวอย่าง ตามสติปัญญาของตน ศึกษาแล้วปฎิบัติตาม ท่านสอนให้ละสิ่งนี้ ออกจากสิ่งนี้ก็ต้องรู้ตามและปฎิบัติทันที จึงจะเข้าฐานแห่งการรู้ตามได้ ส่วนใดที่ผิดแผกไปจากเดิม เราไม่สามารถที่จะเข้าใจหรือแน่ใจว่าถูกต้องได้ นี่เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องอาศัยผู้มีปฎิสัมภิทาญาน เชี่ยวชาญในพระธรรมคำภีร์มาโปรดอีกที ว่าพิจารณาอย่างนี้ ทำอย่างนั้น ถึงจะถูกถึงลำดับฐานะกาลการตรัสรู้ธรรม อันเป็นสามัญผล

    อย่ามองข้าม ( "มงคลสูตร" )พิจารณาความให้ละเอียดอ่อนเท่าที่จะมากได้เป็นที่สุด เพราะได้ทรงบอกตอบคำถามไว้หมดแล้ว โดยทรงล่วงรู้ ทรงทราบล่วงหน้าโดยข่ายพระญานพระสัพพัญญูแล้ว หากไม่ตรัสตอบ "มงคลสูตร"นี้ ในสหโลกธาตุ มนุษย์ ยักษ์ นาค มาร เทพ เทวดา พรหม ฯจะลำบากในการครุ่นคิดตัดสินใจ ถึงต้องกราบทูลถามให้
    กระจ่างตามฐานะลำดับกาล บันทึกจารึกมั่นหมาย จวบจนพ้นสมัยมาจนถึงปัจจุบันนี้
    https://youtu.be/4VzhGhusKAo
    พิจารณาให้แยบคายตาม ("คิริมานนทสูตร")

    ปฎิบัติให้อยู่ในสารคุณให้ได้ตาม ( "กรณียเมตสูตร" )

    และยังอีกมากมายในสารคุณนั้นๆ

    ขอจงตั้งใจเถิด พระธรรมนั้นมีมาก ไม่อาจจะทรงจำศึกษาและปฎิบัติตามได้ในทุกพระสูตร เพราะความเฉพาะกาลและบุคคลนั้นแตกต่างกัน อันองค์คุณของ"มรรค ๘ " ทรงตรัสไว้ดีแล้ว จงพิจารณาให้เห็นจริงตามสติปัญญาฐานะกาลในตนนั้นเถิด

    ไม่มีคำว่าช้าหรือสายสำหรับผู้ปฎิบัติดีแล้วยังสามัญผล ปฎิบัติแล้วต้องได้อย่างแน่นอน

    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2015
  17. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    เรื่องเล่า ในคืนวันที่ ๗/๔/๒๕๕๘

    เมื่อคืนนี้เราได้หลับอย่างเป็นสุขอย่างมีสติได้ นิมิตฝันว่า ได้ยกปราสาททองมีรากแผ่นฐานขนาดใหญ่ด้วยมือทั้งสองข้าง ลงบนแผ่นดินว่างเปล่า เพื่อให้ผู้คนที่ประปรายเข้ามาอยู่อาศัย มากหน้าหลายตา และช่วยกันยกผนังแก้วใส่แผ่นบังกระแสลมควันนั้น หลบพายุเมฆขาวมีควันพิษเหลืองสด ที่พัดโหมกระหน่ำ อย่างลุ้นระทึกและปลอดภัย มันช่างสุขจริงๆ แม้จะไม่ถึงเศษเสี้ยวของนิมิตฝันเมื่อครั้งก่อน ขอกล่าวโดยตรงว่า ชีวิตนี้อยู่มาถึงทุกวันนี้ไม่ได้จริงๆถ้าไม่มีความเมตตาจาก"พระธรรม"พระพุทธ"พระสงฆ์"

    เราไม่ได้หลับอย่างเป็นสุขมากว่าครึ่งปีแล้ว เพราะมีภาระปัญหาทำให้ต้องย่อหย่อนในการปฎิบัติธรรม และพิจารณาธรรม จากการนิมิตเข้าถึงวิมุติของพระพุทธสุภาษิต "อัตตาหิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"เมื่อคราวก่อน เราสามารถเกริ่นถึงเรื่องราวได้ แต่ไม่สามารถอธิบายรสให้ท่านเข้าถึงเข้าใจได้ เพราะพุทธภาษิตนี้ ไม่ใช่เพียง"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" อย่างที่เราเข้าใจกัน มันมีรายระเอียดลึกซึ้งเป็นระเบียบแบบแผนเป็นระบบอย่างมาก

    ข้าพเจ้าปราถนาอยากให้ท่านทั้งหลายเจริญในธรรมและพ้นทุกข์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    " จงตั้งใจ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ ยังไม่เคยสร้างกรรมใหญ่ ชาตินี้มีโอกาส "
    จงเลือก ไม่เลือกไม่ได้ มนุษย์สมบัติ สวรรคสมบัติ นิพพานสมบัติ ไม่เลือกไม่ได้

    หากจะให้เลือกระหว่าง การขุดแงะชอนไชกัดเซาะที่เป็นที่ไปที่มาของพระธรรมคำสั่งสอน๑ กับ การสรรเสริญพระธรรมที่พระพุทธเจ้าท่านทรงแสดงไว้๒ ควรเลือกอย่างที่๒จะเป็นการดีเป็นมรรคเป็นผล ที่ไม่มีเหตุแห่งความเสื่อมเลย ผู้ใดยังสงสัยและหลงทางอยู่ ไปไม่ถูก ให้ล้างใจให้สะอาด และกล้าที่จะเผชิญกับความจริง ขอจงเดินกลับไปเริ่มต้นยังจุดเริ่มต้นใหม่ สร้างวิริยะศรัทธาให้มากขึ้นกว่าเดิม อย่าดูถูกดูแคลนตนเอง อย่าดูถูกผู้อื่น แต่จงชี้แจงเหตุและผลตามความเป็นจริง และตามฐานะอุตริมนุษยธรรมที่มีในตน และอย่าหมายใจหวังในตนและผู้อื่นเพื่อการสรรเสริญตนเอง จงสรรเสริญพระธรรมนั้นเถิด มีพระธรรมนั้นแล จึงมีเรา ผู้ใดเห็นเรา จึงเห็นธรรม

    สาธุธรรม ขออนุโมทนาบุญฯ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. bigtoo

    bigtoo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    2,345
    ค่าพลัง:
    +1,448
    จ่ายักษ์น่ารักครับสรรเสริญพระพุทธองค์ได้จับใจครับ. สาธุๆๆๆ
     
  20. เสขะปฎิสัมภิทา

    เสขะปฎิสัมภิทา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ตถาคต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2014
    โพสต์:
    2,790
    ค่าพลัง:
    +3,201
    Surprise !!!ไปอ่านใหม่ หน้าสองครับ ทางสำนักท่านอาจจะชื่นชมกว่านี้ เราตีโจทย์แตกรึไม่พิจารณาเอาเอง นั่นแหละจึงเป็นเหตุที่มา ที่จำเป็นต้องมีสำนักท่าน พุทธวจน

    Surprise !!!ไปอ่านใหม่ หน้าสองครับ ทางสำนักท่านอาจจะชื่นชมกว่านี้ เราตีโจทย์แตกรึไม่พิจารณาเอาเอง นั่นแหละจึงเป็นเหตุที่มา ที่จำเป็นต้องมีสำนักท่าน พุทธวจน....


    หลังจากตรวจสอบ เดือน พ.ค ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา สรุป สำนัก วัดนาป่าพงมั่วนิ่ม

    แก้ไข ๒๓-๖-๒๕๕๘ ไม่ใช่ไม่เคยเชียร์คึก แต่คึกไม่ใช่ มันบ่ใช่เลย! แมนรับบ่ได้

    (ตอนที่ยังไม่ได้ไปสำรวจ หลงยินดีนึกว่า มีผู้มีปฎิสัมภิทาญานเกิดขึ้น อุตส่าห์หลงชื่นชม เห็นดีเห็นงามตาม)


    เคยชม นึกว่าเขามีปฎิสัมภิทาญาน แต่พอมาตรวจสอบ แค่เพียงดูมันแสดงธรรมเพียงไม่กี่บท เรื่องดอกบัวสามเหล่า ถอดอภยปริตร ตอบคำถาม ฯลฯ อ้าว ไอ้คึกนี่มันมั่วซั่ว มั่วนิ่มนี่หว่า


    เราหยั่งน้ำ เห็นระดับน้ำ แล้ว ว่าลึกขนาดไหน เขาว่ายไม่เป็น ยังโดดลงไป ชาละวันมาพอดี ๔๐ ตัว

    ว่าจะไม่แล้วน๊า ซน ดื้อ เกิน เตือนแล้วเตือนอีกไม่ฟังกัน เลยสู้ยิบตา

    จงชี้แจงเหตุและผลตามความเป็นจริง ไม่ได้ใส่ความให้ร้ายนะครับ มรรค ๘ ที่อ้างมาตลอดน่ะ กระจุยไปตั้งแต่ตอนไหนแล้ว ที่นี้ผมจะบอกย้อนกลับไปดูหน้า ๒ ใหม่ อย่าหืดขึ้นคอซะล่ะ

    ออ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hqdefault.jpg
      hqdefault.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33 KB
      เปิดดู:
      76
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 มิถุนายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...