โรคมะเร็งกับ integrative medicine

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย ZOMZARN, 8 มีนาคม 2015.

  1. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    คำแนะนำต่อไปนี้อาจเป็นประโยชน์กับผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นที่ 1-4 บ้างไม่มากก็น้อย

    ผมเป็นคนบ้านนอก อยู่ชนบท เรียนน้อย ไม่ร่ำรวย ไม่มีความสามารถที่จะจ่ายค่าบำบัดรักษาราคาแพงได้หากบังเอิญป่วยเป็นโรคร้ายแรง จึงจำเป็นต้องอาศัยภูมิปัญญาทางด้านธรรมชาติบำบัดและ alternative medicine หลายด้านร่วมกันในการบำบัดรักษา และในสังคมของคนชนบททั้งหลายทั่วประเทศก็มีความจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยความรู้ดังกล่าวนี้ด้วยเช่นกัน

    เนื่องด้วยปัจจุบันโรคมะเร็งได้กลายเป็นโรคยอดนิยมที่ทำให้เกิดการตายมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก แซงหน้าโรคหัวใจไปแล้ว

    จากข้อมูลที่นำเสนอโดย The Journal of Clinical Oncology in 2004:

    นักวิจัยด้านเนื้องอกมะเร็งชาวออสเตรเลีย 3 คน ได้เก็บรวบรวมสถิติข้อมูลผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโม ในออสเตรเลียประมาณ 73,000 คน และในสหรัฐอเมริกาประมาณ 155,000 คน ตั้งแต่ปี 1990-2004 เป็นระยะเวลา 14 ปี ปรากฏว่า ในออสเตรเลียผู้ป่วยมะเร็งร้อยละ 97.7 เสียชีวิตภายใน 5 ปี ส่วนในอเมริกาผู้ป่วยมะเร็งร้อยละ 97.9 เสียชีวิตภายใน 5 ปี ซึ่งพออนุมานได้ว่า ผู้ป่วยมะเร็งของทั้งสองประเทศร้อยละ 98 เสียชีวิตภายใน 5 ปี โดยมีผู้ป่วยที่รอดชีวิตอยู่เกิน 5 ปีเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น และอาจเสียชีวิตในปีที่ 6 หรือปีต่อ ๆ ไปก็ได้

    ในการนำเสนอดังกล่าวนี้มิได้ระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งของทั้งสองประเทศเป็นผู้ป่วยใน stage ใดบ้าง ในความเห็นส่วนตัวเชื่อว่า น่าจะเป็นผู้ป่วยใน stage 3 ขึ้นไป

    หากใช้หลักเกณฑ์การสอบของนักเรียนในสมัยก่อน ๆ ที่ใช้คะแนนรวมคิดเป็นร้อยละ 50 เป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินการสอบได้หรือสอบตก มาใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องดังกล่าวโดยอนุมานแล้ว วิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งด้วยยาคีโม (chemotherapy) ก็สอบผ่านเพียง 2% เท่านั้น และสอบตกถึง 98% ภายในเงื่อนไขระยะเวลา 5 ปี ถือว่าเป็นการสอบตกครั้งยิ่งใหญ่ซ้ำแล้วซ้ำอีกของ chemotherapy ตลอดช่วงเวลา 14 ปีของการสำรวจ และมีแนวโน้มการสอบตกต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันด้วย แม้ว่าในปัจจุบันเป็นปี 2015 แล้วก็ตาม แต่วิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งโดยส่วนใหญ่ก็ยังคงใช้ยาคีโมเป็นหลักอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่มีการพัฒนายาคีโมชนิดใหม่สูตรใหม่เพิ่มขึ้นและลด side effect ลงเท่านั้น และราคาของยาก็แพงมากขึ้นด้วย แต่ after effect ของยาคีโมยังคงมีผลเสียมากจนเกือบจะไม่แตกต่างไปจากเดิม เพราะมันเป็น cytotoxic เป็นยาพิษที่ทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว ทั้งเซลล์ร้ายและเซลล์ดีไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันทำลายเซลล์ไขกระดูก (ผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดง) ที่สร้างเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน และทำลายเอ็นไซม์ในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ การใช้ยาคีโมยังอาจทิ้งความล้มละลายทางเศรษฐกิจไว้ให้กับครอบครัวของผู้ป่วยในกรณีที่บำบัดรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนได้อีกด้วย

    Dr. Farid Fata แพทย์ผู้มีชื่อเสียงด้านการบำบัดรักษาโรคมะเร็งของรัฐ Michigan สหรัฐอเมริกา ได้ถูกอัยการของรัฐ Michigan ฟ้องร้องต่อศาลกรณีใช้ยาคีโมกับผู้ป่วยที่มิได้เป็นโรคมะเร็ง โดยระหว่างปี 2009-2013 Dr. Fata มีรายได้จากองค์กรบริหารปกครองส่วนท้องถิ่น Oakland ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งและโรคเลือดโดยไม่จำเป็น (Dr. Fata เจตนาตรวจวิเคราะห์โรคคลาดเคลื่อนแก่ผู้ป่วย) เป็นจำนวนเงินถึง 35 ล้าน us dollars และจากข้อมูลของรัฐบาลสหรัฐ Dr. Fata มีผู้ป่วยในความรับผิดชอบมากถึง 1,200 คน และได้รับเงินจากรัฐไปแล้วจำนวน 62 ล้าน us dollars โดย Dr. Fata ได้ส่งใบเบิกค่าใช้จ่ายในการบำบัดรักษาประชาชนทั้งหมดไปให้รัฐแล้วคิดเป็นจำนวนเงินรวม 150 ล้าน us dollars

    แม้ว่าหมอของสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียจะล้มเหลวโดยสิ้นเชิงในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งด้วยยาคีโม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหมอโรคมะเร็งของไทยจะต้องล้มเหลวด้วย เรื่องนี้ผู้ป่วยต้องเป็นผู้พิจารณาเอง

    After effect ของ chemotherapy คือ การทำลายสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มันยับยั้งการผลิตเซลล์เม็ดเลือดแดง, เซลล์เม็ดเลือดขาว, และเซลล์เกร็ดเลือด รวมทั้งทำลายเอ็นไซม์ในร่างกายของผู้ป่วยลงไปอย่างมาก ผู้ป่วยที่ไดรับยาคีโมหลายเข็ม เมื่อกลับไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน ก็อาจจำเป็นต้องอยู่ห้องปลอดเชื้อ เพราะ CD4 ของผู้ป่วยได้ลดน้อยลงอย่างมากจนใกล้เคียงกับผู้ป่วยโรคเอดส์ มีผู้ป่วยหลายรายติดเชื้อโรคแทรกซ้อนและเสียชีวิตลง ทั้ง ๆ ที่โรคมะเร็งยังไม่รุกลามถึงขั้นที่ทำให้เสียชีวิตได้ จึงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่การพยายามรักษาชีวิตผู้ป่วยให้ยืดยาวจากโรคโรคหนึ่ง กลับเป็นการส่งเสริมโรคอื่นให้มาทำลายชีวิตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

    Hippocrates บิดาแห่ง western medicine ได้เคยกล่าวคำสาบานต่อฟ้าดินเพื่อเป็นสักขีพยานว่า

    "ข้าพเจ้าจะใช้กฎเกณฑ์ทางการแพทย์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยตามระบบแบบแผน เพื่อให้เกิดผลดีแก่ผู้ป่วยของข้าพเจ้า ตามความสามารถของข้าพเจ้าที่มีอยู่และด้วยความถูกต้องเป็นธรรม และจะไม่ยอมทำสิ่งที่เป็นอันตรายแก่บุคคลใด ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้ยาแห่งความตายแก่ผู้ใด แม้ว่าจะถูกร้องขอก็ตาม"

    "I will prescribe regimens for the good of my patients according to my ability and my judgment and never do harm to anyone. I will not give a lethal drug to anyone if I am asked."

    Dr. Tullio Simoncini นายแพทย์โรคมะเร็งชาวอิตาลีก็ได้เคยกล่าวไว้ในทำนองเดียวกันว่า

    "สำหรับผู้ป่วยที่รู้สึกสิ้นหวังแล้วในการที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อใดก็ตาม หากมีใครที่สามารถบำบัดรักษาโรคให้พวกเขาได้ บุคคลคนนั้นก็คือ..หมอ
    และบุคคลใดที่สามารถทำให้พวกเขาหายจากความเจ็บป่วยได้ บุคคลคนนั้นก็คือ..หมอ
    ส่วนกลุ่มบุคคลใดที่ใช้ยาพิษ (เช่น ยาคีโม) กับผู้ป่วย ทำให้ผู้ป่วยใกล้ถึงแก่ความตาย พวกเขาเหล่านั้นไม่สมควรถูกเรียกว่า..หมอ"

    "Yet, patients are desperate to continue living. For patients, a person who treats their sickness is a doctor. A person who takes away their pain is a doctor. Those who use poison (as chemodrug), who push patients closer to their deaths, cannot be called a doctor."

    ...เป็นคำกล่าวในเชิงประชดประชันที่น่าคิดมากสำหรับวงการแพทย์โรคมะเร็งที่นิยมใช้ยาคีโม...

    การใช้ chemotherapy ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการฉีดยาคีโมเข้าหลอดเลือดหรือโดยการให้สารละลายทางเส้นเลือดแล้วกระจายไปทั่วร่างกาย (มากกว่าวิธีการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ) และใช้วิธีการกินร่วมด้วย วิธีการดังกล่าวส่งผลต่อ malignant tumor เพียง 25-30% เท่านั้น ส่วนอีก 70-75% คือ side effect เพราะยาคีโมถูกออกแบบมาให้ทำลายเซลล์ที่แบ่งตัวเร็ว (เซลล์มะเร็งแบ่งตัวแบบไม่หยุดยั้ง) มันจึงทำลายเซลล์ดีที่กำลังแบ่งตัวเร็วตามปกติด้วย เช่น เซลล์เส้นผม, เซลล์ไขกระดูก, เซลล์ในระบบทางเดินอาหาร, และเซลล์ผิวหนัง รวมทั้งทำลายเอ็นไซม์ด้วย

    เซลล์มะเร็งมีความฉลาดในตัวเอง สามารถปรับตัวเองเพื่อต่อต้านยาคีโมได้ จึงมีกรณีการดื้อยาคีโมเกิดขึ้นบ่อยครั้ง การปรับเปลี่ยนสูตรยาคีโมเพื่อใช้ต่อสู้กับเซลล์มะเร็งจึงไม่แตกต่างจากการเล่นหมากรุกกับมะเร็ง

    การบำบัดรักษาโรคมะเร็งด้วยยาคีโม สามารถใช้วิธีการบำบัดรักษาแบบ target therapy ได้ เนื่องจากสามารถส่งผลต่อ malignant tumor ได้มากถึง 85% อีกทั้งยังมี side effect น้อยมากด้วย
    ส่วนเซลล์มะเร็งโยกย้าย (stage 3 และ 4) ที่เข้าสู่กระแสเลือดและกระจายไปฝังตัวอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกายนั้น สามารถกำจัดได้ด้วย*เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ protease* รวมถึงการใช้ *sodium bicarbonate* ทั้งวิธีการดื่มกินและวิธีการให้สารละลายทางเส้นเลือด ทดแทนการให้ยาคีโมแบบกระจายทั่วร่างกาย เพราะวิธีการใหม่ดังกล่าวไม่ทำลายเซลล์ปกติที่แบ่งตัวเร็วและเซลล์ปกติอื่น ๆ

    การบำบัดรักษาโรคมะเร็งโดยทั่วไปส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงใช้ western medicine เป็นหลักเท่านั้น เพราะแพทย์ทั่วไปเรียนมาทาง western medicine ก็ต้องยึด western medicine เป็นหลัก และแพทย์ส่วนใหญ่มักปฏิเสธ ต่อต้าน และดูหมิ่นวิถีธรรมชาติบำบัดและ alternative medicine

    ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า western medicine นั้นมีคุณประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลต่อมวลมนุษย์ และยังจำเป็นต้องอิงอาศัย western medicine ต่อไปในอนาคตอย่างไม่รู้จบสิ้น เพียงแต่เฉพาะในบางกรณีเท่านั้นที่ western medicine ให้โทษมากกว่าให้คุณ เช่น กรณีการใช้ยาคีโม และแม้ว่าจะใช้รังสีบำบัดและการผ่าตัดเข้ามาร่วมด้วยก็ตาม แต่ก็ยังถือว่ายังไม่เพียงพอที่จะสามารถช่วยชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งระยะ 4 ให้รอดหรือยืดอายุออกไปอีกหลายปีได้

    มะเร็งเป็น complex disease การใช้ conventional medicine เพียงอย่างเดียวมักไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ส่วนใหญ่มักล้มเหลวในระยะยาว

    ปรัชญามูซาชิข้อหนึ่งจาก 24 ข้อได้กล่าวไว้ว่า "จงใช้อาวุธทุกอย่างที่มีในการต่อสู้"
    (มูซาชิเป็นนักรบซามูไรที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของประเทศญี่ปุ่น)

    Integrative medicine น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่าและราคาถูกกว่า เหมาะสมกับคนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ปานกลางและรายได้น้อย ได้แก่ Diet therapy, Enzymotherapy, Immunotherapy, Genetic therapy, Anti-angiogenesis therapy, Alkaline therapy, Oxygenation therapy, Far Infrared Ray (FIR) therapy, Hyperthermia therapy, Cryotherapy, Scalar force therapy, Energy therapy, Subconcious therapy, Vibrational therapy, Meditation therapy, Spontaneous therapy (Enzymotherapy, Immunotherapy, Homeopathy therapy)

    ...will be continued...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มีนาคม 2015
  2. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    *แสงสว่างยังคงมีอยู่ที่ปลายอุโมงค์เสมอสำหรับผู้ที่ไม่ยอมแพ้*
    *รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ย่อมมีโอกาสชนะทุกครั้ง*
    สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนโลกนี้ย่อมมีจุดอ่อนของตัวเอง
    ดังนั้น หากรู้จุดแข็งและจุดอ่อนของเซลล์มะเร็ง ก็ย่อมมีโอกาสในการเอาชนะโรคมะเร็งได้

    ต้นเหตุของการเกิดเซลล์มะเร็งต้นกำเนิด (stage 0)
    1. เหตุภายในคือยีนก่อมะเร็ง (oncogene) เป็นต้นเหตุทางพันธุกรรม แต่มีอิทธิพลส่งผลให้เกิดเซลล์มะเร็งได้เพียง 30%

    2. เหตุภายนอกคือสิ่งแวดล้อมและพฤติกรรมในการใช้ชีวิต ได้แก่ปัจจัยก่อมะเร็ง (carcinogen) ประเภทต่าง ๆ ทั้งสสารและพลังงาน ทั้งสิ่งไร้ชีวิตและสิ่งมีชีวิต เป็นต้นเหตุที่มีอิทธิพลส่งผลให้เกิดเซลล์มะเร็งได้มากถึง 70% นอกจากนี้ สิ่งแวดล้อมของโลกในยุคปัจจุบันยังเต็มไปด้วย carcinogen มากกว่าในยุคอดีตหลายเท่า ดังนั้น โอกาสในการเกิดเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดย่อมมีมากขึ้นตามสัดส่วนด้วย

    2.1 อนุมูลอิสระ ได้แก่ สารเคมีต่าง ๆ ยาฆ่าแมลงปนเปื้อน น้ำยาล้างจานปนเปื้อน เครื่องสำอางค์ สารกันบูด ผงชูรส น้ำตาลเทียม อาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม น้ำมันที่ใช้ทอดซ้ำหลายครั้ง สารพิษ dioxin จากพลาสติค (ขวดน้ำพลาสติคที่ตากแดดและหรือได้รับรังสี UVA, UVB; ขวดน้ำพลาสติคแช่แข็ง) ควันบุหรี่ ควันไอเสียจากเครื่องยนต์ และยาคีโม (คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ายาคีโมเองก็เป็นสารก่อมะเร็งที่ร้ายแรง หมอและพยาบาลไม่ยอมให้สัมผัสถูกมือ โดยการสวมถุงมือขณะให้ยาคีโมแก่ผู้ป่วย)

    2.2 เชื้อโรคบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสตับชนิด B และ C, เชื้อไวรัส HPV, เชื้อรา aflatoxin และ mycotoxin

    2.3 คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าความถี่สูงและหรือความเข้มสูง เช่น คลื่นมือถือ คลื่นจากสถานีถ่ายทอดสัญญาณมือถือ คลื่นรั่วไหลจากเตาไมโครเวฟ คลื่นจากสายส่งไฟฟ้าแรงสูงในระยะต่ำกว่า 300 เมตร

    2.4 สารกัมมันตภาพรังสีและรังสี เช่น แก๊สเรดอน, รังสี UVB เข้มข้น, รังสี cosmic จากอวกาศในช่วงที่เกิด Solar flare

    2.5 พลังงานกรรมและจิตวิญญาณเจ้าหนี้กรรมหรือเจ้ากรรมนายเวร (หลายคนคงไม่เชื่อเรื่องนี้)

    เซลล์มะเร็งต้นกำเนิด (carcinoma in situ cells or precancer cells)

    หากมีเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดหรือเซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้นเกิดขึ้น (stage 0) มันยังคงอยู่ในที่ของมัน ยังไม่ขยายตัวเร็ว ยังไม่ทำลายเนื้อเยื่อข้างเคียง ยังไม่พัฒนาไปเป็นก้อนเนื้อร้าย ก็ยังไม่ถือว่าเป็นโรคมะเร็ง แต่เมื่อใดที่เซลล์มะเร็งขยายตัวเร็ว พัฒนาไปเป็นก้อนเนื้อร้ายแล้ว จึงจะถือว่าเป็นโรคมะเร็ง (stage 1-4)

    เซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้นดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้อย่างน้อย 6 ครั้ง และอย่างมาก 10 กว่าครั้ง ตลอดช่วงชีวิตของมนุษย์ทุกคน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโอกาสในการได้รับ carcinogen จากสิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมในการใช้ชีวิต

    เนื่องจากเซลล์มะเร็งต้นกำเนิดเป็นเซลล์ที่ยังไม่แบ่งตัวเร็ว ยาคีโมจึงไม่สามารถทำลายมันได้ ผู้ป่วยโรคมะเร็ง stage 1-2 ที่ได้รับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโมจนเชื่อว่าหายแล้ว จึงอาจกลับมาเป็นโรคมะเร็งใหม่ได้

    ตามธรรมชาติของร่างกาย เซลล์มะเร็งระยะเริ่มต้นดังกล่าวมักจะถูกทำลายให้หมดสิ้นไปโดยเซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์โปรทิเอสของร่างกายของคนที่มีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ จึงไม่เหลือรอดให้พัฒนาไปเป็นเซลล์มะเร็ง stage 1 ได้ ดังนั้น คนที่มีระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ไม่แข็งแรงสมบูรณ์ดีเพียงพอจึงอาจเกิดโรคมะเร็งขึ้นได้

    อนึ่ง หากมีจำนวนเซลล์มะเร็งเกิดขึ้นน้อยกว่า 2-3 พันล้านเซลล์ ก็มักจะไม่ปรากฏอาการและมักจะตรวจไม่พบ

    เซลล์ปกติเป็นเซลล์ที่สามารถควบคุมได้ ทั้งการควบคุมการแบ่งเซลล์ที่มีขีดจำกัด และการควบคุมให้เซลล์ที่มี DNA เสียหายรุนแรงมาก ทำลายตัวเอง (apoptosis / process of cell self-destruction / programmed cell death) หากได้รับคำสั่งจากยีนกดมะเร็งคือยีน tp53 (tumor protein p53) ก่อนที่มันจะกลายพันธุ์

    ดังนั้น การกระตุ้นการทำงานของยีน tp53 ให้มีประสิทธิภาพ จึงเป็นหนทางหนึ่งในการกำจัดเซลล์ที่ DNA เสียหายรุนแรงมากก่อนที่มันจะกลายพันธุ์

    ส่วนเซลล์ในก้อนเนื้อมะเร็งเป็นเซลล์ที่ไม่สามารถควบคุมได้ มันจึงแบ่งตัวเร็วและขยายตัวอย่างไม่หยุดยั้ง

    สาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง (stage 1-4) ได้แก่

    1. ร่างกายได้รับออกซิเจนไม่เพียงพอ-hypoxia
    เซลล์มะเร็งชอบสภาวะแวดล้อมที่ไม่มีออกซิเจนหรือมีออกซิเจนเพียงเล็กน้อย มันจึงไม่ชอบสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนมาก

    2. ร่างกายมีสภาวะเป็นกรด-acidosis
    เซลล์มะเร็งชอบสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด มันจึงไม่ชอบสภาวะแวดล้อมที่เป็นด่าง

    3. ร่างกายมีเอ็นไซม์ไม่เพียงพอ-enzyme shortage
    เอ็นไซม์โปรทิเอสคือปัจจัยสำคัญตามธรรมชาติอย่างหนึ่งที่สามารถช่วยทำลายเซลล์มะเร็งร่วมกับเซลล์ระบบภูมิคุ้มกัน

    4. ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำหรือค่อนข้างต่ำ-under active immune disorder
    เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันโดยเฉพาะ natural killer cells คือปัจจัยสำคัญตามธรรมชาติที่มีหน้าที่กำจัดทำลายเซลล์มะเร็ง

    *ทีมแพทย์ที่เก่งที่สุดในโลกตามธรรมชาติ คือ เซลล์ระบบภูมิคุ้มกันและเอ็นไซม์ในร่างกายมนุษย์*

    การป้องกันและการแก้ไข ต้องอาศัยการแพทย์แบบองค์รวม:

    1. ควบคุมอาหารและการใช้ชีวิต

    1.1 งดอาหารหวานและอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรทอื่น ๆ โดยเฉพาะน้ำตาล แป้งขาว (และอาหารที่ทำจากแป้ง) ข้าวขาว เส้นก๋วยเตี๋ยว เส้นมักกะโรนี เพราะเซลล์มะเร็งบริโภคน้ำตาลกลูโคสในปริมาณมากทุกวัน อาหารประเภทคาร์โบไฮเดรททุกชนิดเมื่อเข้าสู่กระเพาะอาหาร น้ำย่อยและเอ็นไซม์ amylase จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำตาลกลูโคส

    จึงควรกินข้าวกล้องในปริมาณน้อยแทนข้าวขาว กินเพียงเพื่อให้เซลล์ปกติสามารถสร้างพลังงานสำหรับการดำรงชีวิตได้เท่านั้น อย่าให้มีเหลือส่งไปให้เซลล์มะเร็งกิน

    ควรใช้หญ้าหวานหรือสตีเวีย (stevia) ให้ความหวานแทนน้ำตาลและแทนน้ำตาลเทียม

    1.2 งดอาหารที่มีไขมันมาก ควรกินไขมันแต่น้อย

    1.3 งดอาหารเค็ม เพราะเกลือส่งเสริมเซลล์มะเร็ง

    1.4 งดอาหารและเครื่องดื่มที่ใส่สารกันบูด, ผงชูรส, น้ำตาลเทียม, งดอาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม และอาหารที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำหลายครั้ง

    1.5 งดเนื้อสัตว์ประเภทเนื้อแดงทุกชนิด เช่น วัว ควาย หมู แพะ แกะ เพราะมีความเป็นกรดสูง และเซลล์มะเร็งชอบโปรตีนจากเนื้อแดง

    อาจกินเนื้อปลาทดแทนในปริมาณน้อยได้ แม้เนื้อเป็ดและไก่ก็ไม่ควรกิน

    ควรกินโปรตีนจากพืชทดแทน เช่น ถั่วต่าง ๆ ยกเว้นถั่วเหลือง (รวมทั้งอาหารแปรรูป เช่น เต้าหู้, น้ำเต้าหู้) โปรตีนจากพืชที่ดีมีคุณค่าสูงและเหมาะสมคือสาหร่ายเกลียวทอง (spirulina) และสาหร่ายสีเขียว สาหร่าย spirulina มีกรดอะมิโน 18 ชนิด และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ 48%

    1.6 งดน้ำนมวัวและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น ไอศครีม เพราะนมเป็นเหตุให้ร่างกายสร้าง mucus ที่ช่วยส่งเสริมเซลล์มะเร็ง
    ดื่มนมแพะทดแทนได้ นมแพะช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกัน

    1.7 งดน้ำอัดลมทุกชนิด เพราะมีสภาวะความเป็นกรดสูง (pH = 3.0) ซึ่งจะทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด (acidosis) ได้ง่าย

    1.8 งดกาแฟและชาทุกชนิด, เครื่องดื่มชูกำลัง, ช๊อคโคเลท, แอลกอฮอล์ (เหล้า, เบียร์), บุหรี่
    คาเฟอีนทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด
    อาจดื่มชาเขียวได้บ้าง ในชาเขียวมีสาร EGCG ที่ช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด หรืออาจกินอาหารเสริมที่สกัดออกมาเฉพาะสาร EGCG อย่างเดียว โดยปราศจากสารคาเฟอีน

    2. กินพืชผักผลไม้สด และน้ำคั้นหรือน้ำปั่นผักผลไม้สด ที่ไม่หวานและมีคาร์โบไฮเดรทน้อย เพื่อเพิ่มเอ็นไซม์และแร่ธาตุที่เป็นด่างให้แก่ร่างกาย

    3. กินอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มปริมาณเอ็นไซม์ เช่น น้ำส้มสายชูหมัก-แอปเปิลไซเดอร์ (apple cider) 2 ช้อนโต็ะ ผสมกับน้ำดื่มที่ไม่ร้อน (ความร้อน 45 องศา C ทำลายเอ็นไซม์) ดื่มช่วงท้องว่างก่อนอาหารเช้า 30-45 นาที และท้องว่างก่อนนอน

    4. กินวิตามินและเกลือแร่เสริมให้เพียงพอ เพราะวิตามินและเกลือแร่เป็น co-enzyme

    5. กินอาหารเสริมที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน

    6. ดื่มน้ำมะนาว 2-3 ลูกผสมน้ำอุ่น (อาจผสมน้ำผึ้งเล็กน้อย) เพื่อสร้างสภาวะด่างให้แก่ร่างกาย (มะนาวมีค่า pH = 8.5-9.0)

    มีข้อมูลลับอย่างไม่เป็นทางการ ที่หลุดรอดออกมาจากบริษัทอุตสาหกรรมยาที่ใหญ่ที่สุดของโลกแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกปกปิดมานานตั้งแต่ปี 1970 อ้างถึงผลการวิจัยของห้องทดลองที่สำคัญระดับโลกมากกว่า 20 แห่ง ที่ได้ผลสรุปการวิจัยสอดคล้องตรงกันว่า สาร citrus ในมะนาวสามารถออกฤทธิ์*ทำลาย*เซลล์มะเร็ง (ทุกชนิด) ได้รุนแรงกว่ายาคีโม adriamycin ที่นิยมใช้กันทั่วไปถึง*10,000 เท่า* เหตุที่ถูกปกปิดก็เพราะข้อมูลดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบต่อรายได้ของอุตสาหกรรมยาคีโมทั้งหมด และภาษีอากรของรัฐบาลในหลาย ๆ ประเทศทั้งยุโรปและอเมริกา

    ผู้ป่วยมะเร็งขั้น 2 ขึ้นไปหากมิได้เป็นโรคไต อาจผสม baking soda 1 ช้อนชากับน้ำมะนาวดังกล่าว วันละ 2 มื้อ ช่วงท้องว่างก่อนอาหารเช้า 30 นาที และก่อนนอน baking soda เป็นเกลือชนิดหนึ่ง มีรสเค็มเล็กน้อย กินได้ ใช้เป็นผงฟูในการทำขนม มีสภาวะความเป็นด่างปานกลาง มีค่า pH = 8.4

    *ห้ามดื่มน้ำโซดาอัดลมผสมมะนาวโดยเด็ดขาด เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรด*

    ดื่มน้ำด่างที่มีค่า pH = 9.0 แทนน้ำดื่มปกติ เพื่อร่วมสร้างสภาวะความเป็นด่าง

    7. กินทุเรียนเทศ มีผลการวิจัยว่า ทุเรียนเทศสามารถออกฤทธิ์*ยับยั้ง*การเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้มากกว่ายาคีโม *10,000 เท่า*เช่นกัน

    8. Anti-angiogenesis therapy คือการยับยั้งการสร้างเส้นเลือดใหม่ที่จะไปหล่อเลี้ยงก้อนเนื้อมะเร็ง ด้วยยา endostatin, angiostatin, thalidomide ซึ่งเป็นยาแก้แพ้ท้องที่ถูกห้ามขายในปัจจุบันเพราะเป็นต้นเหตุที่ทำให้ทารกพิการ เนื่องจากยาดังกล่าวมี side effect ในการยับยั้งการสร้างเส้นเลือด (angiogenesis inhibitor) ใหม่ในทารก แต่เราสามารถใช้ side effect ดังกล่าวมาเป็นประโยชน์ในการบำบัดรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งที่มิได้ตั้งครรภ์ได้ แต่ต้องสั่งซื้อเองโดยตรงจากต่างประเทศ

    9. ออกกำลังกายแบบแอโรบิค (ให้ร่างกายได้รับออกซิเจนสม่ำเสมอต่อเนื่อง 20-30 นาที) เช่น การวิ่งเหยาะ ๆ, การขี่จักรยานไม่เร็ว, การว่ายน้ำช้า ๆ, การเต้นแอโรบิค เพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน

    10. เสริมออกซิเจนขณะออกกำลังกายแบบแอโรบิค แต่ต้องออกกำลังกายอยู่กับที่ เช่น การเดินหรือวิ่งบนสายพาน, การถีบจักรยานเสมือน

    11. หมั่นฝึกหายใจเข้าทางจมูกยาวและลึก กลั้นลมไว้ 3-4 วินาที แล้วหายใจออกทางปากโดยผ่อนลมออกช้า ๆ ควรทำเซ็ทละ 10 รอบ หลาย ๆ เซ็ท ทั้งนี้โดยประสานมือทั้งสองข้าง ให้ปลายนิ้วสัมผัสจุดชีพจรซึ่งกันและกัน และกำหนดจิตคิดถึงจุดกึ่งกลางบนกระหม่อม (จักระที่ 7) อย่างผ่อนคลายตลอดเวลา เพื่อเพิ่มปริมาณอ็อกซิเจนให้กระแสเลือด และเพื่อรับพลังชีวิตเข้าสู่กระแสเลือด ส่งต่อไปยังเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย

    12. ดื่มน้ำโอโซนที่ผลิตขึ้นในทันที เพื่อเพิ่มออกซิเจนในกระแสเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนเนื้อมะเร็ง

    13. ควรอยู่ในห้องที่อากาศสามารถถ่ายเทได้ดี จึงห้ามอยู่ในห้องแอร์

    14. ห้ามอยู่ในพื้นที่อากาศหนาว และห้ามอยู่ในห้องแอร์
    ควรทำร่างกายให้อบอุ่นอยู่เสมอ ขณะนอนพักผ่อนให้ใช้ผ้าห่มชนิดสร้างความร้อนด้วยไฟฟ้า หรือใช้แผ่นความร้อนไฟฟ้า หรือกระเป๋าน้ำร้อน วางบริเวณที่มีก้อนเนื้อมะเร็ง เพราะเซลล์มะเร็งไม่ชอบสภาวะแวดล้อมที่ร้อนกว่าอุณหภูมิปกติของร่างกาย

    15. เซลล์มะเร็งนั้นอ่อนแอเปราะบางกว่าที่คาดคิด หากอุณหภูมิสูงถึง 42 องศา C เมื่อใด เซลล์มะเร็งก็จะเริ่มตายในทันที

    จึงควรทำร่างกายให้ร้อนกว่าปกติใน*ช่วงเวลาที่จำกัด*เป็นครั้งคราวทุก ๆ วัน ด้วยการทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูงเท่ากับคนมีไข้สูง และหากสามารถทำให้อุณหภูมิสูงถึง 42 องศา C ได้ก็จะยิ่งได้ผลดี โดยการแช่น้ำอุ่นที่ค่อนข้างร้อน และหรือเข้าตู้อบไอน้ำ วันละ 2-3 ครั้ง

    อุณหภูมิของร่างกายที่ร้อนกว่าปกติยังช่วยให้การรักษาด้วยยาคีโมและรังสีบำบัดได้ผลดียิ่งขึ้น และยังช่วยกระตุ้นประสิทธิภาพการทำงานและเพิ่มปริมาณของภูมิคุ้มกันของร่างกายในช่วงเวลา 4-6 ชั่วโมงถัดไปได้อีกด้วย

    16. อาบแดดอ่อน ๆ เพื่อรับรังสีฟาร์อินฟราเรด (far infrared ray / FIR) ช่วยบำบัดรักษา

    17. ใช้พลังงานสเกล่าร์ (scalar force) จากเหรียญควอนตัมช่วยบำบัดรักษา

    18. ใช้พลังจักรวาล, พลังชี่, พลังปราณ ช่วยบำบัดรักษา (อ้างอิงถึงข้อ 10 ด้วย เพราะมีความเกี่ยวเนื่องกัน)

    19. พยายามประครองรักษาจิตใจให้สงบเย็นอยู่เสมอ ห้ามเครียด ห้ามโกรธ ห้ามอาฆาตแค้น ห้ามวิตกกังวล ห้ามเสียใจน้อยใจ เพราะจะทำให้ร่างกายเกิดสภาวะกรดและระดับภูมิคุ้มกันลดลง จึงควรหมั่นฝึกสมาธิทุกวัน

    20. ควรสวดมนต์บทโพชฌงค์และบทชะยันโต ไม่ควรสวดด้วยระดับเสียงสม่ำเสมอ แต่ควรสวดมนต์ด้วยระดับเสียงสูง-กลาง-ต่ำ 7-8 ระดับเสียง สลับกันไปมา วิธีการสวดมนต์ดังกล่าวเป็น vibrational medicine รูปแบบหนึ่งที่สามารถช่วยบำบัดรักษาโรคมะเร็งได้

    21. Vibrational medicine อีกรูปแบบหนึ่งคือการใช้เสียงสั่นสะเทือนจากโถคริสตัล (crystal bowl) และหรือฆ้อง ช่วยบำบัดรักษา

    22. ควรทำสมาธิเพื่อขอขมาขออโหสิกรรมจากเจ้ากรรมนายเวรทุกวัน

    23. ใช้พลังอำนาจของจิตใต้สำนึกช่วยบำบัดรักษา

    ...will be continued...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2015
  3. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    เซลล์มะเร็งไม่ชอบ environment ที่มีออกซิเจนมาก (oxygenated environment):

    Dr. Otto Heinrich Warburg, Doctor of Chemistry in 1906 and Doctor of Medicine in 1911, won Nobel Prize in 1931.

    Dr. Warburg ได้รับรางวัลโนเบลจากการนำเสนอข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเซลล์มะเร็ง ซึ่งพอสรุปได้ดังนี้...เซลล์มะเร็งมักเกิดขึ้นหรือเจริญเติบโตขยายตัวได้ดีในสภาวะแวดล้อมที่*มีออกซิเจนน้อยหรือไม่มีออกซิเจน* เพราะมันสร้างพลังงานภายในเซลล์ด้วยการ breaking down น้ำตาลกลูโคสแบบ anaerobic คือโดยการไม่ใช้ออกซิเจน

    หรืออาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า *เซลล์มะเร็งไม่ชอบสภาวะแวดล้อมที่มีออกซิเจนมาก ถ้ามีออกซิเจนมากมันก็จะดำรงอยู่ด้วยความยากลำบากหรือไม่สามารถดำรงอยู่ได้นั่นเอง*

    *เสริมการบำบัดรักษาด้วยออกซิเจน* (oxygenation therapy):

    ควรออกกำลังกายแบบ aerobic คือการออกกำลังกายอย่างเบาแต่ต่อเนื่อง เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนมากกว่าปกติอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ เช่น jogging, เดินเร็ว (อาจวิ่ง-เดินบนเครื่องสายพาน), ขี่จักรยาน, ว่ายน้ำ, เต้นแอโรบิค ควรพยายามเริ่มฝึกโดยใช้เวลาจากน้อยไปหามาก ควรทำต่อเนื่อง 20-30 นาที ในช่วงที่กำลังใช้พลังงานและหายใจแรงควรเสริมด้วยการให้ออกซิเจน

    ในต่างประเทศใช้วิธีการ*เสริมออกซิเจนให้ผู้ป่วยขณะออกกำลังกาย* (เช่น การขี่จักรยานเสมือน) ด้วยการให้ออกซิเจนผ่านน้ำคล้ายกับการให้ออกซิเจนแก่กับผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล ต่างกันตรงที่ไม่ได้ใช้ฝาครอบจมูก แต่ใช้วิธีติดตั้งท่อปล่อยออกซิเจนไว้ใกล้จมูกเท่านั้น หมายความว่า ไม่บังคับให้หายใจเอาออกซิเจนเข้าไปโดยตรงอย่างเข้มข้น แต่ปล่อยให้อากาศปกติที่มีไนโตรเจนปริมาณสูงเข้ามาผสมกับออกซิเจนเพื่อทำให้เจือจางลง จึงปลอดภัยจากกรณี over dose oxygenation แม้ว่าจะมีการให้ออกซิเจนเป็นระยะเวลายาวนานก็ตาม (อาจปรึกษาแพทย์เรื่องวิธีการให้ออกซิเจนในปริมาณที่เหมาะสมและปลอดภัย)

    ควรดื่มน้ำโอโซน (ozonated water) ในจังหวะที่เหมาะสม *ขณะท้องว่างจากอาหารใด ๆ* โดยเฉพาะหลังจากหายเหนื่อยจากการออกำลังกาย หรือโดยการใช้วิธีอดน้ำสัก 2 ชม. จนรู้สึกกระหายน้ำมาก แล้วจึงดื่มน้ำโอโซน ขณะนั้นเซลล์มะเร็งก็กำลังหิวน้ำด้วยเช่นกัน มันจะกินน้ำโอโซนเข้าไปผ่านทางเส้นเลือด หลังจากดื่มแล้วควรงดเว้นอาหารทุกชนิดประมาณ 1 ชม. รอให้ร่างกายดูดซึมน้ำโอโซนให้หมดเสียก่อน ตรงนี้สำคัญมาก *
    ห้ามดื่มน้ำโอโซนร่วมกับอาหารใด ๆ เพราะ nascence oxygen ในน้ำโอโซนจะไปทำปฏิกริยากับอาหาร ส่งผลให้ไปไม่ถึง tumor*

    การดื่มน้ำโอโซนต้องทำร่วมกับการงดน้ำตาลและควบคุมอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรทที่สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นน้ำตาลกลูโคสได้ โดยการงดดื่มน้ำสัก 2 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายกระหายน้ำ เซลล์มะเร็งก็กระหายทั้งน้ำและน้ำตาล ขณะนั้นให้ดื่มน้ำโอโซนที่ผลิตใหม่ ๆ ที่ผสมน้ำผึ้งเล็กน้อยในทันที เซลล์มะเร็งที่กำลังอดอยากหิวกระหายก็จะรีบกินน้ำโอโซนนั้นในทันทีที่กระแสเลือดนำไปถึงก้อนเนื้อมะเร็ง ซึ่งโอโซนจะสามารถทำลายเซลล์มะเร็งได้ในทันที

    เทคนิคกลอุบายดังกล่าวสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดื่มน้ำผสม baking soda ได้เช่นเดียวกัน โดยการผสมน้ำผึ้งลงไปเล็กน้อย

    การกิน baking soda ไม่ควรกินเกินกว่า 3-4 ช้อนชาต่อวันต่อเนื่องนานเกิน 3-4 สัปดาห์ เมื่อครบกำหนด ให้ลดปริมาณลงเหลือ 1-2 ช้อนชาต่อวันต่อเนื่องไปนาน 3-4 สัปดาห์เช่นกัน แล้วจึงกลับไปกิน 3-4 ช้อนชาต่อวันอีกรอบ สลับกันไปเช่นนี้จนกว่าโรคจะหาย ซึ่งไม่น่าจะเกิน 3-4 เดือน

    ผู้ป่วยที่กิน baking soda ต้องไม่เป็นโรคไต

    เซลล์ปกติสร้างพลังงานด้วยการเผาผลาญน้ำตาลกลูโคสปริมาณเล็กน้อยร่วมกับออกซิเจนหรือ aerobic metabolism ก็เกิดพลังงานมากเพียงพอ แต่เซลล์มะเร็งสร้างพลังงานให้ตัวเองแบบไม่ใช้ออกซิเจนหรือ anaerobic metabolism หรือ fermentation เพื่อให้ได้พลังงานเท่ากับเซลล์ปกติ มันจำเป็นต้องใช้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสมากเป็น 15 เท่าของเซลล์ปกติ ดังนั้น *เซลล์มะเร็งจึงหิวกระหายน้ำตาลปริมาณมากในแต่ละวัน* นี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมคนเป็นโรคมะเร็งระยะรุกลามจึงมักมีน้ำหนักตัวลดลงและผอมลง

    ฉะนั้น หากสามารถลดปริมาณการบริโภค carbohydrate ทุกชนิด (สามารถเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสได้หลังจากถูกย่อยแล้ว) ของผู้ป่วยลงให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ในแต่ละวัน โดยบริโภคเฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อการสร้างพลังงานของเซลล์ปกติเท่านั้น ก็ย่อมส่งผลเป็นการตัดเสบียงอาหารสำคัญของเซลล์มะเร็ง เซลล์มะเร็งก็จะผอมโซและสุขภาพทรุดโทรมเหมือนคนที่อดอยากขาดแคลนอาหาร วิธีการนี้คือการคุมกำเนิดและ starving เซลล์มะเร็งวิธีหนึ่ง

    มะเร็งชอบน้ำตาลมาก และชอบไขมัน จึงจำเป็นต้องงดหรือลดอาหารหวาน มัน หากต้องการรสหวานในอาหารและเครื่องดื่ม ให้ใช้หญ้าหวาน (stevia) แทนน้ำตาล

    ยกเว้นกรณีการใส่น้ำตาลหรือน้ำผึ้งจำนวนเล็กน้อยผสมกับ baking soda เพื่อล่อให้เซลล์มะเร็งที่กำลังหิวกระหายน้ำตาลมาเป็นเวลานาน กินน้ำตาลผสม baking soda โดยไม่ทันระวังตัวนั่นเอง

    ไม่ควรกินอาหารรสเค็มจัด เพราะเกลือส่งเสริมเซลล์มะเร็ง และปริมาณเกลือที่มากเกินไปส่งผลเสียต่อไต ซึ่งเชื่อมโยงไปถึงการมีปริมาณของกรด lactic และน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติด้วย

    นอกจากนี้ ควรงดเว้นการดื่มนมเปรี้ยวด้วย เพราะมีทั้งกรด lactic และน้ำตาลมาก

    เนื่องจากเซลล์มะเร็งใช้วิธีการสร้างพลังงานแบบ fermentation มันจึงจำเป็นต้อง break down น้ำตาลกลูโคสปริมาณมากแบบ anaerobic (ไม่ใช้ออกซิเจน) ฉะนั้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งขั้นสุดท้าย ซึ่งเซลล์มะเร็งเติบโตขยายตัวมากและรุกลามไปในหลายส่วนของร่างกายแล้ว จึงเกิดกรด lactic ขึ้นในร่างกายจำนวนมาก อีกทั้งยาคีโมเองก็มีสภาวะเป็นกรดด้วย ร่างกายจึงเกิดสภาวะกรด (acidosis) อยู่เสมอ เป็นเหตุให้ติดเชื้อโรคแทรกซ้อนได้ง่าย โดยเฉพาะเชื้อราในสมองและปอด ดังนั้น จำเป็นต้องรีบแก้ไขโดยด่วน ด้วยการพยายามทำให้ร่างกายกลับคืนสู่สภาวะด่างให้ได้ เช่น *การดื่มน้ำมะนาวผสม sodium bicarbonate ทุกวัน*

    ...will be continued...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มีนาคม 2015
  4. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    *เซลล์มะเร็งไม่ชอบ environment ที่เป็นด่าง* เพราะภายในตัวของมันเองมีค่าเป็นกรด โดยมีค่า pH = 6.0 ในทางเคมีกรดกับด่างหากพบกัน มันจะทำลาย (ทำปฏิกริยา) ซึ่งกันและกัน ได้ผลออกมาเป็นสภาวะที่เป็นกลาง (ไม่เป็นกรดและด่าง)

    ตามปกติของเหลวและเนื้อเยื่อในร่างกายของมนุษย์ทั่วไปมีค่าเป็นด่างเล็กน้อย โดยมีค่า pH ประมาณ 7.4 (เส้นเลือดดำ pH = 7.38, เส้นเลือดแดง pH = 7.43)

    หากเราสามารถทำให้ค่า pH ของเนื้อเยื่อ น้ำเหลือง น้ำไขสันหลังในร่างกายเพิ่มมากขึ้นกว่าค่าปกติได้ ก็จะทำให้เกิดสภาวะด่างเพิ่มขึ้น เช่น ค่า pH = 7.7-7.8 เซลล์มะเร็งก็จะไม่สามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นได้ หากสามารถทำให้ค่า pH เพิ่มมากขึ้นถึง 8.0 ได้ เซลล์มะเร็งทั่วทั้งร่างกายก็จะอยู่ในอาการโคม่าทันที และจะตายทั้งหมดเมื่อค่า pH มากกว่า 8.0 (pH = 8.5 คือค่า optimal dose ระยะสั้นที่ไม่เกิดอันตรายต่อร่างกาย) แต่ต้องไม่ดำรงค่า pH = 8.5 ไว้ต่อเนื่องยาวนานเกินไป เช่น ไม่ควรเกิน 3 สัปดาห์ แล้วลดค่า pH ลงมาอยู่ที่ 7.8-8.0 ประมาณ 3 สัปดาห์ จากนั้นจึงค่อยเพิ่มค่าอีกสลับกันไปจนกว่าจะหาย ซึ่งไม่น่าจะเกิน 3-4 เดือน (วัดค่า pH ได้ด้วยการตรวจน้ำลายแลปัสสาวะ)

    ในขณะที่เพิ่มค่า pH ให้แก่ร่างกายโดยรวม *เลือดกลับมีการเปลี่ยนแปลงค่า pH น้อยกว่าเนื้อเยื่อและของเหลวอื่นในร่างกายมาก*

    นอกจากนี้ pH 7.8-8.0 ยังช่วยป้องกันและยับยั้งการติดเชื้อโรคแทรกซ้อนของผู้ป่วยที่ได้รับยาคีโมได้อย่างดี (ยาคีโมทำให้ร่างกายเกิดสภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ) เพราะทั้งไวรัส แบคทีเรีย รา และพาราสิท ก็ล้วนมีสภาวะภายในเป็นกรดทั้งสิ้น

    *เพราะเหตุใดพระพุทธเจ้าจึงทรงแนะนำพระสาวกที่อาพาธให้ฉันยาดองน้ำมูตเน่า คำตอบก็คือ ปัสสาวะที่เก็บใส่ภาชนะไว้เป็นระยะเวลานานย่อมจะมีสภาวะความเป็นด่างค่อนข้างสูงเกิดขึ้นนั่นเอง*

    เมื่อตรวจน้ำปัสสาวะของมนุษย์ทั่วไปพบว่า แม้ค่า pH ในปัสสาวะของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน แต่พบสิ่งที่เหมือนกันคือ เมื่อทิ้งน้ำปัสสาวะไว้นานจะเกิดการย่อยสลายเกิดก๊าซและคายพลังงานออกมาเป็นประจุไฟฟ้าลบมากขึ้น และจะกลายเป็นด่างมากขึ้น

    จากการตรวจน้ำปัสสาวะของบางคนที่มีสุขภาพปกติ โดยตรวจปัสสาวะใน 3 นาทีแรก ได้ค่า pH = 7.2 เมื่อเวลาผ่านไป 3 ชั่วโมงครึ่ง พบว่า มีภาวะความเป็นด่างเพิ่มมากขึ้นกลายเป็น pH = 7.5

    และจากการตรวจน้ำปัสสาวะของผู้ป่วยโรคมะเร็งรายหนึ่งพบว่า เมื่อวัดค่า pH ในปัสสาวะช่วงเริ่มแรกอยู่ที่ 7.1 แต่เมื่อเทใส่ถ้วยแก้วทิ้งไว้กลับมีอัตราเร่งในการเป็นด่างเร็วมากกว่าคนปกติ และมีค่าประจุไฟฟ้าลบเพิ่มมากขึ้นกว่าคนปกติธรรมดา จนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไป 30 ชั่วโมงพบว่า น้ำปัสสาวะได้กลายสภาพไปเป็นด่างค่อนข้างสูงโดยมีค่า pH = 9.8

    นั่นหมายความว่า ***ธรรมชาติได้ให้ทางรอดในการบำบัดรักษาตัวเองของผู้ป่วยโรคมะเร็งไว้แล้ว*** ยกเว้นกรณีผู้ป่วยที่ได้รับยาคีโม

    *ไม่แนะนำให้ดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ได้รับยาคีโม เพราะน้ำปัสสาวะที่ไตขับถ่ายออกมาย่อมมียาคีโมปะปนอยู่ด้วย*

    บ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ บ่อน้ำธรรมชาติที่มีชื่อเสียงในการบำบัดรักษาโรคในส่วนต่าง ๆ ของโลกที่มีคนศรัทธานำเอามาดื่มเพื่อใช้บำบัดรักษาโรคหลากหลายชนิดนั้น หากตรวจวัดด้วยกรรมวิธีทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่า มีค่า pH อยู่ระหว่าง 9.0-11.0
     
  5. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    Baking soda (sodium bicarbonate) an alkaline therapy:

    ทุก ๆ เซลล์ในร่างกายของเราต้องการ oxygen สำหรับการดำรงชีวิตและเพื่อพยุงรักษาการมีสุขภาพสมบูรณ์ดีที่สุดเอาไว้

    ค่า pH ของเนื้อเยื่อและของเหลวในร่างกายนั้นมีนัยสำคัญและมีความสำคัญเป็นอันดับต้น เพราะมันสะท้อนให้เห็นถึงสภาวะของสุขภาพและความสะอาดภายในของร่างกาย

    ค่า pH ปกติภายในร่างกายอยู่ระหว่าง 7.35-7.45 ค่าที่สูงกว่านี้ไม่มากนักแสดงถึงความมีสุขภาพดี หากสามารถดำรงสภาวะดังกล่าวเอาไว้ได้ ก็ย่อมสามารถที่จะเพิ่มความต้านทานต่อโรคที่เกิดการเจ็บป่วยอย่างเฉียบพลันได้ เช่น ไข้หวัด ไข้หวัดใหญ่ มะเร็ง และโรคอื่น ๆ

    การประคับประครองรักษาค่า pH ไว้ในช่วงที่ส่งผลให้เกิดสุขภาพดีดังกล่าว จำเป็นต้องเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตและการกินอาหารด้วย โดยในระยะยาวจะสามารถช่วยให้ร่างกายมีสุขภาพดีได้

    แต่การใช้ sodium bicarbonate นั้น ช่วยให้เราสามารถก้าวกระโดดได้อย่างรวดเร็วมากในการเริ่มต้นการสร้างสภาวะความเป็นด่างให้เกิดขึ้นแก่ร่างกาย

    pH = potential hydrogen or hydrogen ion

    Hydrogen ions นั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ oxygen นั่นหมายความว่า ยิ่งของเหลวมีสภาวะความเป็นกรดมากเท่าใด ก็ยิ่งมี oxygen ที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ น้อยลงเท่านั้น

    ยกตัวอย่าง กรณีที่ฝนกรดทำลายทะเลสาป ปลาก็ไม่สามารถหายใจได้อีกต่อไปและจะตาย เพราะว่ากรดในทะเลสาปย่อมสกัดกั้น oxygen ทั้งหมดที่สามารถใช้ประโยชน์ได้เอาไว้ มันมิใช่ว่า oxygen หายไปไหน เพียงแต่ oxygen ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เท่านั้นเอง ในทางกลับกัน เมื่อเราเพิ่มค่า pH ของทะเลสาปให้มีสภาวะความเป็นด่างมากขึ้น oxygen ก็จะสามารถใช้ประโยชน์ได้ในทันที และทะเลสาปก็จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง

    The ocean, the mother of all life, has an average pH of about 8.1

    โรคมะเร็งนั้นเกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมที่เป็นกรด (ขาด oxygen) ยิ่งค่า pH สูงขึ้นเท่าใด oxygen ในเซลล์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นมากเท่านั้น เซลล์มะเร็งจึงยากที่จะรอดชีวิตอยู่ได้
     
  6. nop070

    nop070 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,335
    คนที่ไม่ป่วยเป็นมะเร็ง จะกิน baking soda ไว้บ้าง ได้หรือไม่ ครับ
     
  7. nop070

    nop070 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2008
    โพสต์:
    578
    ค่าพลัง:
    +1,335
    บทความนี้มีประโยชน์มากเลย ครับ
    ขออนุโมทนาด้วย ที่นำมาเผยแพร่
     
  8. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    กินได้ครับ ถ้าคุณไม่ได้เป็นโรคไต แต่ควรกินในปริมาณน้อยกว่าผู้ป่วยหากต้องการกินต่อเนื่องระยะยาว เช่น กิน 1/2 ช้อนชาผสมน้ำหนึ่งแก้ว วันละครั้ง โดยกินวันเว้นวัน หรือกินวันเว้นสองวัน

    ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้นควรผสมมะนาวสัก 2-3 ลูก และน้ำผึ้งเล็กน้อยเพื่อช่วยเพิ่มรสชาด เพราะในมะนาวมี alkaline mineral อยู่เป็นจำนวนมาก

    มะนาวมีสองชนิดคือ lime กับ lemon

    lime ลักษณะส่วนใหญ่ ลูกเล็กสีเขียว pH = 8.5 เป็นมะนาวในประเทศของเรา

    lemon ลักษณะส่วนใหญ่ ลูกใหญ่สีเหลือง pH = 9.0 เป็นมะนาวของยุโรปและอเมริกา ถ้าซื้อในบ้านเราราคาแพงมาก จึงไม่ค่อยจำเป็น ใช้ lime ก็เพียงพอ

    ในช่วงวันเว้นของการกิน baking soda คุณก็สามารถดื่มน้ำมะนาวอย่างเดียวได้ครับ

    baking soda ยังช่วยบรรเทาอาการกรดไหลย้อน (heartburn), กรดในกระเพาะมากเกินไป, และยังช่วยรักษาโรค gout ได้อีกด้วย เพราะมันจะไปทำลายกรด uric ในเลือดมิให้ไปสะสมตามข้อกระดูก
     
  9. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    Dr. Tullio Simoncini The Father of Sodium Bicarbonate Cancer Treatment:

    Dr. Tullio Simoncini เป็นแพทย์แผนปัจจุบัน ได้รับ Ph.D. จากมหาวิทยาลัย La Sapienza ของประเทศอิตาลี ตอนช่วงวัยหนุ่ม Dr. Simoncini เคยเป็นหมอประจำอยู่ที่ศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งของเด็กเล็กแห่งหนึ่งในประเทศอิตาลี เด็กเหล่านี้มีจำนวนประมาณ 30 กว่าคน และได้รับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโมและรังสีบำบัด แต่ในที่สุดก็ตายหมดทุกคน เรื่องนี้ทำให้เขาสลดใจมาก เขาได้เกิดความคิดว่า ยาคีโมน่าจะเป็นคำตอบที่ผิดในการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง และได้คิดค้นวิธีการบำบัดรักษาใหม่ขึ้นโดยการใช้ *sodium bicarbonate* แทน

    แต่เขามีสมมุติฐานที่ไม่เป็นที่ยอมรับในวงการแพทย์โรคมะเร็งทั่วไปว่า เซลล์มะเร็งนั้นเกิดขึ้นจากการปรับตัวของร่างกายด้วยการสร้างเซลล์จำนวนมากอย่างผิดปกติ (making cellular hyper-productions) เพื่อต่อสู้กับอาณานิคมของเชื้อรา (encysting candida albicans colonies / encysting fungal colonies) หากสามารถกำจัดเชื้อราได้ โรคมะเร็งก็จะหายไปเอง เขาจึงใช้วิธีการทั้งการพ่นละออง การให้ดื่ม และการให้สารละลาย sodium bicarbonate ในปริมาณที่เหมาะสมทางเส้นเลือดแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งเพื่อกำจัดเชื้อรา แม้ว่าสมมุติฐานนี้อาจจะผิดหรือไม่อย่างไรก็ตาม แต่ก็*ไม่ได้หมายความว่าวิธีการใช้ sodium bicarbonate ในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งต้องผิดไปด้วย*

    กล่าวโดยทั่วไป การใช้ sodium bicarbonate นั้นมีการใช้ในห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลทุกแห่งมาเป็นเวลานานแล้ว ปริมาณจำกัดสูงสุดของ sodium bicarbonate ที่ใช้ในการให้สารละลาย 500 cc. ทางเส้นเลือด คือสารละลายเจือจาง 5% โดยสามารถเพิ่มหรือลด dose ของสารละลายได้ไม่เกิน 20% ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของผู้ป่วย ซึ่ง dose ดังกล่าวไม่มีอันตรายใด ๆ และเคยใช้ได้โดยไม่มีปัญหาใด ๆ กับอาการของโรคจำนวนนับไม่ถ้วนมาเป็นเวลายาวนานมากกว่า 30 ปีแล้ว เช่น

    Severe diabetic ketoacidosis
    Cardio-respiratory reanimation
    Pregnancy
    Haemodialysis
    Peritoneal dialysis
    Pharmacological toxicosis
    Hepatopathy
    Vascular surgery

    ในกรณีของการบำบัดรักษาแบบกำหนดเป้าหมายจำเพาะเจาะจงหรือ target therapy ด้วยการสอดท่อเล็ก ๆ เข้าไปในหลอดเลือดที่เชื่อมต่อไปถึง tumor โดยตรง สามารถใช้สารละลาย sodium bicarbonate ที่*เข้มข้นมากกว่า 5%* ได้ เพราะได้จำกัดบริเวณไว้เฉพาะตำแหน่ง tumor เท่านั้น ความสำเร็จในการบำบัดรักษาแบบ target therapy นี้อยู่ที่ 99% (99% efficacy) [ในขณะที่การใช้ยาคีโมแบบ target therapy ความสำเร็จอยู่ที่ 85% ( 85% efficacy)] ซึ่งใช้เวลาเพียง 7 วันเท่านั้น tumor ก้อนนั้นก็จะหายไปจากร่างกาย ส่วนเซลล์มะเร็งที่กระจายตัวอยู่ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย (stage 3, 4) ที่ยังไม่ปรากฏชัด ก็ยังจำเป็นต้องบำบัดรักษาด้วยสารละลายของ sodium bicarbonate 5% 500 cc. โดยทางเส้นเลือด หรือด้วยวิธีการกินต่อไป

    การบำบัดรักษาด้วยยาคีโมแบบ target therapy มี side effect ต่ำมาก ดังนั้น การบำบัดรักษาด้วย sodium bicarbonate แบบ target therapy จึงมี side effect ที่ต่ำยิ่งกว่าหรืออาจไม่มีเลย

    การใช้สารละลาย sodium bicarbonate แทนยาคีโมย่อมเป็นวิธีการที่ปลอดภัยมากกว่า เพราะคีโมเป็นยาพิษชนิดหนึ่ง แต่ sodium bicarbonate ไม่ใช่

    ข้อสำคัญที่เด่นชัดประการหนึ่งคือการใช้สารละลาย sodium bicarbonate มีราคาถูกกว่ายาคีโมราวดินกับฟ้า

    Dr. Simoncini ได้ถูกต่อต้านบีบคั้นกดดันอย่างมากจากวงการแพทย์ของยุโรปและอเมริกาในสมมุติฐานและวิธีการใหม่ของเขา เพราะมันมีราคาถูกมาก ซึ่งวิธีการใหม่นี้ได้ส่งผลกระทบต่อวงการแพทย์โรคมะเร็งที่ใช้ยาคีโม อุตสาหกรรมยาคีโม และภาษีอากรของรัฐในหลาย ๆ ประเทศ ฉะนั้น วงการแพทย์จึงได้พยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งเขา และในที่สุดก็สามารถยึดใบอนุญาตประกอบโรคศิลป์ของเขาได้ ถึงอย่างไรก็ตาม protocol ของเขาก็สามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยมะเร็งทั่วโลกได้เป็นจำนวนมาก *ผู้ป่วยบางคนที่ได้รับการบำบัดรักษาตั้งแต่ปี 1981 ก็ยังมีชีวิตอยู่ตราบจนปัจจุบัน* แต่อย่างไรก็ตาม ย่อมมีผู้ป่วยบางรายที่เสียชีวิตไป เพราะในความเป็นจริงการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรคมะเร็งย่อมมีอยู่ทั่วไปในวงการแพทย์โรคมะเร็งทั่วโลกอยู่แล้ว

    ฉะนั้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ยาคีโมยังเป็นที่นิยมในวงการแพทย์โรคมะเร็งทั่วโลก (โดยเฉพาะโรงพยาบาลเอกชน) ตราบจนปัจจุบันก็คือ มันมีราคาแพงมากเมื่อเปรียบเทียบกับการบำบัดรักษาด้วยวิธีการอื่น โดยเฉพาะยาคีโมรุ่นใหม่ ๆ

    ยาคีโมจึงเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความเจริญเติบโตของ GDP ให้เกิดขึ้นแก่ผู้ให้บริการ แรงผลักดันอันสำคัญนี้อาจส่งผลให้เกิดการมองข้ามวิธีการอื่น ๆ ที่ได้ผลดีแต่มีราคาถูกกว่า

    อย่างไรก็ดี *ปัจจุบันวงการแพทย์ของประเทศญี่ปุ่นได้ยอมรับใน Simoncini protocol แล้ว และกำลังดำเนินการเปิดศูนย์บำบัดรักษาโรคมะเร็งของ Dr. Simoncini แห่งแรกของโลกขึ้นในญี่ปุ่นด้วย* นอกจากนี้ ยังจะดำเนินการเปิดโรงเรียนสอนการบำบัดรักษาโรคมะเร็งตามแนวทาง Simoncini Protocol ขึ้นด้วย

    The Simoncini Protocol is a treatment that has helped cure cancer in many people during long time and now we take a very important step to introduce it to everyone by opening our clinic in Japan. We are sure that this treatment will forever revolutionize the way to treat cancer anywhere in the world. Your access door to this treatment is our Simoncini Cancer Center which has come from Rome all the way to Japan, and shall expand all over the world. The great battle for us has begun, this means the definitive cure of cancer.

    Chironcology Inc.
    CMO Tullio Simoncini
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2015
  10. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    โรคมะเร็งขั้นสุดท้ายได้โบกมือลาจากเขาไปเพราะ baking soda:

    เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Vernon Johnston

    เมื่อ Vernon Johnston ได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก stage 4 แล้ว ตอนนั้นทางเลือกของเขามีอยู่ไม่มากนัก

    หมอโรคมะเร็งทุกคนย่อมพูดชักนำผู้ป่วยด้วยเหตุผลต่าง ๆ นา ๆ อย่างหนักแน่นและจริงจังจนผู้ป่วยเกิดความกลัวตาย เพื่อให้ผู้ป่วยยอมรับการบำบัดรักษาด้วยยาคีโม โดยอ้างถึงผลของการรักษาสูงสุดที่ผู้ป่วยจะพึงได้รับ

    แต่บ่อยครั้งที่ chemotherapy ทำให้ร่างกายผู้ป่วยทรุดโทรมและทำลายระบบภูมิคุ้มกัน

    เมื่อ chemotherapy ประสบความล้มเหลว และมักล้มเหลวบ่อยครั้ง สิ่งที่ติดตามมาก็คือ chemotherapy ได้ลดโอกาสของความสำเร็จในการบำบัดรักษาด้วยทางเลือกอื่นลงไปอย่างมากด้วย

    9 ใน 10 คนของผู้ป่วยมักเลือก chemotherapy ก่อนเป็นอันดับแรก

    ในกรณีของ Vernon โรคมะเร็งต่อมลูกหมากได้รุกลามไปมากแล้ว และรุกลามจนเข้าถึงกระดูกแล้ว

    Chemotherapy ต้องใช้เวลาในการบำบัดรักษานานและราคาก็แพงมากด้วย และไม่มีหลักประกันอะไรมารองรับว่ามันจะได้ผล

    ดังนั้น Vernon จึงตัดสินใจแบกรับปัญหาเรื่องการบำบัดรักษาเอาไว้เอง

    จากคำแนะนำของพี่ชาย Vernon ได้ตัดสินใจที่จะเพิ่มค่า pH ให้ร่างกายของตัวเอง เพื่อต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่กำลังแพร่กระจายอยู่ในร่างกายของเขา และเพื่อการนี้ เขาได้มองหา cesium chloride

    Cesium therapy เป็นหลักวิธีการบำบัดรักษาโรคมะเร็งที่เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย แต่เป็นทางเลือกที่หมอโรคมะเร็งทั่วไปยากที่จะเลือกใช้แก่ผู้ป่วยของพวกเขา

    การบำบัดรักษาด้วย cesium chloride มีอัตราการเลือกใช้ของผู้ป่วยอยู่ที่ 50% เมื่อเปรียบเทียบกับ chemotherapy และ radiotherapy โดย cesium therapy ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า อัตราการเลือกใช้ cesium therapy ดังกล่าวเป็นเรื่องที่น่าประทับใจเมื่อพิจารณาความจริงที่ว่า ผู้ป่วยโรคมะเร็งส่วนใหญ่เลือกใช้ cesium therapy ภายหลังจากที่ได้รับการบำบัดรักษาและประสบความล้มเหลวมาแล้วด้วยยาคีโม รังสีบำบัด และหรือการผ่าตัด

    Vernon ได้สั่งซื้อ cesium chloride แต่โชคไม่ดีที่มันไม่สามารถจัดส่งมาให้ได้

    อย่างไรก็ดี Vernon ไม่ได้ยกเลิกความตั้งใจที่จะเพิ่มค่า pH ให้แก่ร่างกาย เพื่อทำให้ร่างกายเกิดสภาวะความเป็นด่างมากขึ้นในการต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่กำลังแพร่กระจาย

    ขณะที่เขากำลังค้นหาทางเลือกอื่น ๆ อยู่นั้น เขาก็เกิดนึกถึงสิ่งสามัญธรรมดาที่สามารถสร้างสภาวะความเป็นด่างให้เกิดขึ้นได้ และสามารถหาซื้อได้ทั่วไปและมีราคาถูกมาก นั่นก็คือ baking soda สิ่งประกอบการทำอาหารที่มีอยู่ในครัวเรือนทั่วไป และยังสามารถใช้เป็นยาลดกรดในกระเพาะอาหารและใช้บรรเทาอาการกรดไหลย้อนได้อีกด้วย

    Vernon ได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งผู้ใหญ่ยิ่งด้วยสิ่งสามัญธรรมดาที่เอามาจากห้องครัวของเขาเอง...baking soda
     
  11. แก้วทิพย์

    แก้วทิพย์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    450
    ค่าพลัง:
    +2,435
    บทความนี้ดีมากๆ ขอบคุณ จขกท.ที่เผยแพร่
     
  12. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    The Use of Baking Soda in Oncology:

    แม้ว่าหมอโรคมะเร็งส่วนใหญ่จะไม่แนะนำ sodium bicarbonate ให้แก่ผู้ป่วยของพวกเขา แต่หมอเหล่านั้นก็อาจใช้ sodium bicarbonate จำนวนน้อยร่วมกับยาคีโมในการบำบัดรักษาโรคมะเร็ง โดยการผสมสารที่ออกฤทธิ์เป็นด่างนี้กับยาคีโม ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อปกป้องอวัยวะภายในร่างกายจากการถูกทำลายด้วยพิษของยาคีโมเหล่านั้น แต่ไม่ใช่วัตถุประสงค์เพื่อทำลายเซลล์มะเร็ง

    Sodium bicarbonate สามารถเพิ่มค่า pH รอบ ๆ อวัยวะในร่างกาย ป้องกันการขยายตัวของเซลล์มะเร็ง และป้องกันความเสียหายที่เกิดจากยาคีโมมิให้มากเกินไป

    แม้ว่า Dr. Simoncini จะเชื่อว่า การกิน sodium bicarbonate นั้นส่วนใหญ่มักเหมาะสมกับโรคมะเร็งที่เกิดกับระบบทางเดินอาหารก็ตาม แต่หมอโรคมะเร็งคนอื่น ๆ (ที่ไม่ยึดติดกับ chemotherapy) และผู้ป่วยโรคมะเร็งเช่น Vernon Johnston ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การกิน sodium bicarbonate สามารถส่งผลได้จริงในการบำบัดรักษาโรคมะเร็งของอวัยวะส่วนที่อยู่ลึกภายในร่างกาย

    Clinical Evidence for the Efficacy of Baking Soda in Cancer Therapy:

    งานศึกษาวิจัยในปี 2009 ชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน the journal, Cancer Research อยู่ระหว่างการยืนยันเป็นครั้งแรกว่า สภาวะความเป็นด่างของ sodium bicarbonate สามารถหยุดยั้งโรคมะเร็งได้จริง

    ด้วยการฉีดสารละลาย sodium bicarbonate เข้าไปในหนูทดลองกลุ่มหนึ่ง ผู้เขียนงานวิจัยสามารถที่จะตัดสินได้ว่า การเพิ่มค่า pH ให้อวัยวะที่เป็นโรคมะเร็งของหนู สามารถส่งผลยับยั้งการเจริญเติบโตและการขยายตัวของเนื้องอกมะเร็งได้

    ผลการศึกษาวิจัยแสดงว่า baking soda สามารถเพิ่มค่า pH และลดการรุกลามของโรคในหนูที่เป็นมะเร็งเต้านมได้

    นักวิจัยหลายคนเห็นพ้องต้องกันว่า sodium bicarbonate ออกฤทธิ์ด้วยการเพิ่มค่า pH ภายนอกเซลล์ แต่ไม่ส่งผลเข้าไปภายในเซลล์ เรื่องนี้สำคัญมากเพราะว่า sodium bicarbonate ไม่ได้แทรกแซงเข้าไปในกระบวนการ metabolism ของเซลล์ปกติ แม้ว่า sodium bicarbonate จะสามารถทำให้สภาวะแวดล้อมบริเวณที่มีเนื้องอกมะเร็งไม่เอื้ออำนวยส่งเสริมต่อการเจริญเติบโตของก้อนเนื้อมะเร็งก็ตาม

    กลุ่มนักวิจัยดังกล่าวได้บันทึกไว้ว่า การฉีดสารละลาย sodium bicarbonate เข้าไปในสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่เป็นโรคมะเร็ง แสดงให้เห็นว่า สารดังกล่าวสามารถยับยั้งมะเร็งต่อมลูกหมากได้ แต่ไม่ยับยั้งมะเร็งผิวหนัง (มะเร็งผิวหนังต้องใช้วิธีการแช่สารละลาย sodium bicarbonate หรือพอกด้วยสำลีชุบสารละลาย ฯ เพื่อให้ซึมเข้าทางผิวหนัง)

    จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าว กลุ่มนักวิจัยกำลังพยายามที่จะตัดสินว่า จะให้ผลดีกว่าหรือไม่ ? หากจะผสมยาคีโมร่วมกับสารละลาย sodium bicarbonate

    งานศึกษาวิจัยในปี 2011 ชิ้นหนึ่งที่ถูกตีพิมพ์ใน the journal, BMC Cancer กลุ่มนักวิจัยได้สืบค้นถึงผลการออกฤทธิ์ของ dichloroacetate และการผสมผสาน dichloroacetate เข้ากับ sodium bicarbonate ในการบำบัดรักษาหนูทดลองที่เป็นมะเร็งเต้านมขั้นรุกลาม

    Dichloroacetate เป็นยาทางเลือกชนิดหนึ่งที่ออกฤทธิ์คล้ายกับ sodium bicarbonate มันสามารถเพิ่มค่า pH รอบ ๆ เซลล์มะเร็ง สามารถยับยั้งการ breakdown น้ำตาลกลูโคสของเซลล์มะเร็ง รวมทั้งสามารถยับยั้งสภาวะกรดที่เป็นผลผลิตของเซลล์มะเร็งด้วย

    ผลการศึกษาได้แสดงว่า การผสมผสาน dichloroacetate และ sodium bicarbonate เข้าด้วยกัน ไม่ได้ช่วยลดการรุกลามหรือขนาดของเนื้องอกได้มากขึ้นกว่าการใช้ sodium bicarbonate เพียงอย่างเดียว แต่กลับช่วยลดการรุกลามได้น้อยกว่า

    การศึกษาวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า sodium bicarbonate นั้น ไม่เพียงแต่ปลอดภัยกว่าเท่านั้น แต่ยังเป็นยารักษาโรคมะเร็งที่มีราคาถูกกว่า และสามารถออกฤทธิ์ได้ดีกว่า dichloroacetate อีกด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 มีนาคม 2015
  13. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    *****LIME-LEMON and BAKING SODA are POOR MAN's RICH MAN's CANCER TREATMENT*****
     
  14. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    *หายจากโรค หรือ หายจากโลก*

    ปัจจุบันได้มีการเผยแพร่ข้อมูลกันอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ จากปากต่อปาก แนะนำให้ประชาชนดื่มน้ำโซดาผสมมะนาว โดยให้เหตุผลว่า เพื่อต้องการให้ส่วนผสมดังกล่าวกลายเป็นน้ำด่าง ซึ่งจะช่วยส่งเสริมสุขภาพของผู้ดื่ม และอาจช่วยบำบัดรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ ได้

    เรื่องนี้น่าจะเป็นความผิดพลาดครั้งสำคัญของข้อมูลดังกล่าว และเนื่องจากมีประชาชนให้ความเชื่อถือสูง จึงส่งผลให้มีประชาชนปฎิบัติตามเป็นจำนวนมาก อาจจะเป็นจำนวนมากถึงหลักแสนคนขึ้นไปทั่วทั้งประเทศก็อาจเป็นได้

    แม้แต่แพทย์ก็ยังแนะนำบอกต่อข้อมูลดังกล่าวนี้ ทั้งแก่แพทย์ด้วยกันเองและแก่ผู้ป่วย โดยมิได้พิจารณาไตร่ตรองให้ถ่องแท้และรอบคอบเสียก่อน

    ความผิดพลาดดังกล่าวเกิดผลเสียอย่างกว้างขวางมาก โดยเฉพาะต่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพราะส่งผลให้โรคมะเร็งรุกลามได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังทำให้ผู้ป่วยมีสุขภาพทรุดโทรมลงอย่างมาก เนื่องจากน้ำโซดาอัดลมส่งเสริมให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ acidosis ได้โดยง่าย (ร่างกายของผู้ป่วยโรคมะเร็งก็มีแนวโน้มที่จะเข้าสู่สภาวะ acidosis ได้ง่ายอยู่แล้ว เพราะก้อนเนื้อมะเร็งระยะรุกลามสร้างกรด lactic จำนวนมากในทุก ๆ วัน)

    มีกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นแล้วกับผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดที่อาการของเขาเคยดีขึ้นมากแล้วจากการบำบัดรักษาด้วยการแพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับธรรมชาติบำบัดและ alternative medicine อยู่มาวันหนึ่งผู้ป่วยคนดังกล่าวได้โทร.มาเล่าว่า อาการของเขากลับทรุดหนักลง เมื่อสอบถามถึงเรื่องการใช้ชีวิตและการปฎิบัติตัว จึงได้ความว่า เขาได้ดื่มน้ำโซดาอัดลมผสมมะนาวมานานระยะหนึ่งแล้ว ตามคำแนะนำของเพื่อนที่เป็นแพทย์แผนปัจจุบันคนหนึ่ง

    ผลสุดท้ายก็คือ ผู้ป่วยคนดังกล่าวได้*หายจากโลก*นี้ไปแล้วในระยะเวลาไม่นานหลังจากที่ได้พูดคุยกัน

    นี่คือความผิดพลาดที่สำคัญมากสำหรับผู้ที่มีอาชีพแพทย์ เพราะแพทย์คือผู้กุมชะตาชีวิตของผู้ป่วย

    ผู้ที่จะเข้าเรียนแพทย์ได้ต้องจบมัธยมปลายสายวิทยาศาสตร์ ซึ่งต้องเคยเรียนผ่านวิชาเคมีมาก่อน มิใช่เรียนแต่เฉพาะวิชาชีววิทยาเท่านั้น และการสอบเอ็นทรานซ์ก็ต้องสอบผ่านวิชาเคมีด้วย

    น้ำโซดาคือน้ำอัดลมหรือ carbonic acid (H2CO3) มีสภาวะความเป็นกรดสูง มีค่า pH = 3.0 ส่วนมะนาวแม้จะมีกรด citric เป็นส่วนประกอบ แต่เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะไม่ทำให้เกิดสภาวะกรด แต่กลับจะทำให้เกิดสภาวะด่างค่อนข้างมาก เพราะมี alkaline minerals อยู่เป็นจำนวนมาก ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น
    แต่ค่าความเป็นกรดของน้ำโซดานั้นสูงมาก เมื่อหักล้างกันแล้ว ผลที่ได้รับท้ายสุดก็คือสภาวะกรดนั่นเอง ซึ่งจะทำให้ร่างกายเข้าสู่สภาวะ acidosis ได้โดยง่ายหากดื่มเป็นประจำสม่ำเสมอ

    จึงมีข้อสันนิษฐานว่า ข้อมูลต้นสายดังกล่าวน่าจะเป็นข้อมูลที่ได้รับคำแนะนำมาจากเพื่อนหรือคนรู้จักที่เป็นแพทย์ชาวตะวันตก ที่ได้แนะนำว่า "หากเอา soda ผสมกับ lemon แล้ว จะทำให้เกิดน้ำด่าง การดื่มน้ำด่างจะทำให้ร่างกายมีสภาวะเป็นด่าง ส่งผลให้มีสุขภาพดี และยังสามารถช่วยบำบัดรักษาโรคชนิดต่าง ๆ รวมทั้งโรคมะเร็งได้ด้วย"

    ความหมายของ "soda" ในภาษาอังกฤษกับ "โซดา" ในภาษาไทยนั้น แตกต่างกัน

    ถ้าคนไทยได้ยินคำว่า"โซดา" ทุกคนจะคิดถึงน้ำโซดาอัดลมที่ใช้ผสมกับเหล้าหรือผสมน้ำหวาน

    แต่คำว่า "soda" ของชาวตะวันตกอาจไม่ได้หมายถึงน้ำโซดาอัดลมก็ได้

    ในภาษาอังกฤษคำว่า "soda" มีความหมายหลายอย่าง
    1. sodium bicarbonate (baking soda) 2. sodium carbonate 3. sodium + something 4. soda water 5. soda pop

    ความหมายของ soda water
    1. สารละลายอย่างเจือจางของ sodium bicarbonate ที่ผสมกรดบางชนิด [เช่น กรด citric (มะนาว)] ลงไปเล็กน้อยเพื่อให้เกิดฟอง
    2. เครื่องดื่มที่มีน้ำอัดลมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาจเป็นน้ำเปล่าอัดลม หรืออาจเป็นน้ำผลไม้หวานอัดลมเช่น coke เป็นต้น
    3. soda pop เช่น ไอศครีมผสมน้ำโซดาอัดลม

    เมื่อพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ของผู้พูดที่ต้องการ*สร้างน้ำด่าง*แล้ว soda หรือ soda water จึงควรหมายถึง sodium bicarbonate หรือสารละลายอย่างเจือจางของ sodium bicarbonate เพราะ sodium bicarbonate มีสภาวะเป็นด่างนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  15. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    *Acidosis is main cause of cancer*

    The real story of Josie Nunez, last stage brain cancer patient:

    หลังจากได้รับการผ่าตัด การบำบัดรักษาด้วยยาคีโม และรังสีบำบัดจนครบถ้วนแล้ว Josie Nunez เด็กหญิงอายุ 8 ปี ผู้ป่วยโรคมะเร็งสมองขั้นสุดท้ายได้กลับไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง ซึ่งแพทย์ได้แจ้งให้พ่อแม่ของเธอได้รับรู้ถึงระยะเวลาที่ยังเหลืออยู่อีกไม่กี่สัปดาห์สำหรับชีวิตของเธอ

    พ่อแม่ของ Josie ได้พยายามสืบค้นใน internet ถึงอะไรก็ได้ที่จะสามารถช่วยชีวิตของลูกสาวของพวกเขาเอาไว้ให้ได้ และในที่สุดพวกเขาก็ได้ค้นพบ Dr. Bernardo Majalca แพทย์ทางด้านธรรมชาติบำบัด ผู้ซึ่งได้ให้ความหวังต่อพ่อแม่ของ Josie ในวิถีทางของธรรมชาติบำบัด

    Dr. Bernardo Majalca เป็นแพทย์แผนปัจจุบันชาวอเมริกัน มีประสบการณ์ในการทำงานด้านการแพทย์แผนปัจจุบันและการแพทย์ทางเลือกมายาวนานมากกว่า 60 ปี และยังได้ทำงานด้านการบำบัดรักษาโรคมะเร็งมายาวนานมากกว่า 40 ปีอีกด้วย

    Dr. Majalca ได้เคยกล่าวในเชิงประชดประชันไว้ว่า "ตอนนั้น Josie ไม่ได้กำลังจะตายเพราะโรคมะเร็ง แต่เธอกำลังจะตายเพราะ acidosis ต่างหาก" (หมายถึงตอนที่ Josie ยังไม่ได้รับการบำบัดรักษาจาก Dr. Majalca)

    จากประเด็นสำคัญเรื่อง acidosis ดังกล่าว จึงได้นำไปสู่การบำบัดรักษาที่ได้ผล Dr. Majalca ได้แนะนำให้ Josie ควบคุมอาหารโดยให้เลือกกินเฉพาะอาหารที่สามารถทำให้ร่างกายเกิดสภาวะด่าง และให้ดื่มน้ำผักผลไม้สดคั้นวันละ 4 แก้วทุกวัน รวมทั้งให้กินสมุนไพรหลายชนิดที่ช่วยในการขับสารพิษออกจากร่างกายและช่วยเสริมสร้างระบบภูมคุ้มกัน จนในที่สุด Josie สามารถรอดชีวิตจากโรคมะเร็งสมอง และปัจจุบันเธอมีสุขภาพแข็งแรงดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มีนาคม 2015
  16. ชะมะนาด

    ชะมะนาด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,383
    ค่าพลัง:
    +1,778
    อยากขอเรียนถามหน่อยค่ะ ว่า ควรซื้อBAKING SODA ยี่ห้อไหนดีค่ะ ดิฉัน เคยเรียนทำขนมอยู่พักหนึ่ง ใช้ ยี่ห้อ ตราคนป่า ไม่ทราบว่า ใช่ ยี่ห้อนี้หรือเปล่าค่ะ
    หากไม่ใช่ ขอความกรุณาแนะยี่ห้อด้วยได้ไม๊ ทางpm ก็ได้น่ะ หากลงทางกระทู้ไม่ได้
    ขอบพระคุณมากๆๆค่ะ
     
  17. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    ใช้ยี่ห้อไหนก็ได้ครับที่เป็น baking soda อย่างเดียว ไม่มีสารอื่นเจือปน เช่น ยี่ห้อ แม็กกาแรต (McGarrett)
     
  18. ZOMZARN

    ZOMZARN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    218
    ค่าพลัง:
    +950
    Seven Most Alkaline Foods:

    1. Spinach

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    [RDA = Recommended Dietary Allowances = ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้แต่ละคนได้รับในแต่ละวัน ซึ่งปริมาณที่กำหนดนี้จะเป็นปริมาณที่ครอบคลุมถึงร้อยละ 98 ของประชากร]

    Vitamin K – 1110%
    Vitamin A – 337.3%
    Manganese – 84%
    Folate – 65.7%
    Magnesium – 38%
    Iron – 35%
    Vitamin C – 31%
    Vitamin B2 – 27%
    Calcium – 25%
    Potassium – 23%
    Vitamin E – 21%
    Fiber – 19%

    2. Kale

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Vitamin K: 1327%
    Vitamin A: 354%
    Vitamin C: 88.8%
    Manganese: 27%
    Fiber: 12%
    Calcium: 11%
    Magnesium: 11%
    Iron: 9%
    Omgega 3: 7%

    3. Cucumber

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Vitamin K: 23%
    Molybdenum: 8%
    Vitamin C: 6%
    Potassium: 5%
    Manganese: 5%
    Magnesium: 4%

    4. Broccoli

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Vitamin C: 135%
    Vitamin K: 115%
    Folate: 16%
    Vitamin A: 14%
    Manganese: 10%
    Dietary Fiber: 10%
    Potassium: 8%
    VItamin B6: 8%
    Vitamin B2: 7%
    Molybdenum: 6%
    Phosphorus: 6%
    Vitamin B5: 5%
    Protein: 5%
    Magnesium: 5%
    Calcium: 4%
    Selenium: 4%
    Vitamin E: 4%

    5. Avocado

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Dietary Fiber: 40%
    Vitamin K: 38%
    Folate: 30%
    Vitamin C: 24%
    Vitamin B5: 20%
    Potassium: 20%
    Vitamin B6: 19%

    6. Celery

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Vitamin K: 37%
    Folate: 9%
    Vitamin A: 9%
    Potassium: 8%
    Molybdenum: 7%
    Dietary Fiber: 6%
    Vitamin C: 5%
    Manganese: 5%
    Calcium: 4%
    Vitamin B2: 3.5%
    Vitamin B6: 4%
    Magnesium: 3%
    Vitamin B5: 3%

    7. Capsicum, Bell Pepper, Pepper: The antioxidant superpower

    Capsicum furtescens เป็นพริกกลุ่มที่มีความเผ็ดมาก ได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกขี้หนูไทย และพริกเหลือง

    Capsicum annuum คือ Bell pepper หรือ sweet pepper เป็นพริกกลุ่มที่มีความเผ็ดน้อยหรือไม่มีความเผ็ด ได้แก่ พริกยักษ์, พริกตุ้มใหญ่, พริกระฆัง, พริกหยวก, พริกชี้ฟ้า, และพริกหวาน

    Pepper คือ พริกไทย ทั้งพริกไทยดำ (black pepper) และพริกไทยล่อน (white pepper)

    Here are just SOME of the antioxidants bell pepper contains:

    # Flavonoids
    – luteolin
    – quercetin
    – hesperidin
    # Carotenoids
    – alpha-carotene
    – beta-carotene
    – cryptoxanthin
    – lutein
    – zeaxanthin
    # Hydroxycinnamic Acids
    – ferulic acid
    – cinnamic acid

    Alkaline Recipe Book Nutrients per 1 Cup (RDA):

    Vitamin C: 195.8%
    Vitamin A: 58%
    Vitamin B6: 14%
    Folate: 11%
    Dietary Fiber: 7%
    Vitamin E: 7%
    Molybdenum: 6%
    Vitamin K: 6%
    Potassium: 6%
    Manganese: 5%
    Vitamin B2: 5%
    Vitamin B3: 5%
    Vitamin B1: 3%
    Vitamin B5: 3%
    Magnesium: 2%

    THIS IS REALLY IMPORTANT

    I really want you to think about this: If you made a smoothie or juice containing just 1/2 a cup of each of these seven ingredients it would give you:

    Vitamin K – 1326% RDA
    Molybdenum – 13.5% RDA
    Vitamin C – 243% RDA
    Potassium – 35% RDA
    Manganese – 68% RDA
    Magnesium – 32% RDA
    Vitamin A – 386% RDA
    Fiber – 47% RDA
    Calcium – 22% RDA
    Iron – 22% RDA
    Folate – 66% RDA
    Vitamin B2 – 21.5% RDA
    Vitamin E – 16% RDA
    Vitamin B6 – 22.5% RDA
    Vitamin B5 – 15.5% RDA

    ALL IN ONE DRINK?

    Can you imagine this? Leaving the house every morning having already consumed 243% of your vitamin c intake, 47% of your daily fiber needs, 68% of you manganese and 32% of your magnesium, over 22% of your vitamin B2 – imagine all of the incredible antioxidants? Before you’ve left the house?!
    This really is giving you not only huge antioxidants, huge alkalinity, huge chlorophyll, huge detoxification nutrients – but if you want to go really mainstream – its giving you the recommended 5 Veg a Day before 9 am!
    Please give it a try – have a fresh vegetable juice or smoothie every morning for a week and you'll know the effect this has!

    Alkaline fruits: apple-tangerines, grapes-peaches, blueberries-orange, pineapple-banana, raspberries-strawberries, blackberries
    Others: navy bean (ถั่วเม็ดเล็กสีขาว), black bean
     
  19. ชะมะนาด

    ชะมะนาด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,383
    ค่าพลัง:
    +1,778
    ขอบพระคุณมากๆๆค่ะ
    อยากเรียนถามอีกน่ะค่ะ คนที่เป็นเบาหวาน น้ำตาล ขึ้น 180/220/320/390 ควรปฏิบัติตัวอย่างไร มีสมุนไพร ตัวไหนบ้างที่ควรทาน และ อาหารประเภทใด ที่ไม่ควรทาน และสาเหตุของการเป็นเบาหวานมาจาก อะไรค่ะ
    ตอนนี้ มีเพื่อน เป็นเบาหวาน ขึ้น 390 เค้าบอกว่า ปัสสาวะ บ่อยมาก และน้ำหนักจาก 78 เหลือ72 ภายใน2อาทิตย์ แฮะๆๆพุงยุบเลยค่ะ อายุ52 ค่ะ
    ขอคำแนะนำด้วยค่ะ ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไร หาหมอแล้ว แต่หมอไม่ให้ยาด้วยค่ะ บอกให้ลดอาหารและออกกำลังกาย แต่เค้าเดินไม่มากน่ะก็เหนื่อยและหายใจ ลำบากมากค่ะ จะเป็นลมด้วย
    กราบขอบพระคุณมากๆๆค่ะ
     
  20. narata 12

    narata 12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มกราคม 2010
    โพสต์:
    990
    ค่าพลัง:
    +1,462
    ช่วยอัพกระทู้ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...