ปุถุชน....คนช่างสงสัย...

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 4 กุมภาพันธ์ 2015.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    รู้ กับ เพ่ง ต่างกันอย่างไร? น่าจะพอเห็นแนวทางการแยกแยะแล้วนะครับ...
    คิด กับ พิจารณา ต่างกันอย่างไร?
    ผู้รู้ คือสติ ต่างจาก วิญญาณธาตุ ซึ่งก็เป็นธาตุรู้ เช่นกัน และต่างจาก จิต ที่เป็นธาตุรู้ อย่างไร?

    ฝึกสติ ต้องฝึกสมาธิไปด้วยไหม?
    สติ อันจะนำไปซึ่ง วิปัสนาญาณ สำหรับการพิจารณาในธรรมนั้น หากไม่มีสมาธิเป็นฐาน มันก็เป็นเพียงแต่ความฟุ้งซ่าน...
    สมาธิ ที่ขาดสติ มันก็เป็นแต่เพียงสมาธิตอไม้ จะเกิดปัญญาก็หาไม่
    ดังนั้นทั้งสติ และสมาธิ จึงเกิดขึ้น ควบคู่กันไปอยู่แล้ว
    การฝึกควบคู่กันไปแบบนี้ ในสมัยก่อน จะเรียกรวมๆกันว่า การเจริญกรรมฐาน...

    จิต...
    ความคิด...
    อารมณ์...
    รู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง....
    แตกต่างกัน....ดังนี้...

    การรู้เย็น ร้อน อ่อน แข็ง รู้ได้ด้วย สัมผัสทางกาย เมื่อกายสัมผัสวัตถุธาตุ หรือรูป ภายนอก รูปภายในคือร่างกายนี้ มีวิญญาณธาตุ ส่งความรู้สึก เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ไปยังจิต...การรู้ เย็น ร้อน อ่อน แข็งนี้ จึงรู้ด้วย วิญญาณธาตุ...ซึ่งเป็นธาตุรู้ตัวหนึ่ง...

    เมื่อธาตุรู้ กระทบถูกเข้ากับจิต สัญญา คือความจำได้ก็เข้ามาสู่จิต สังขารคือความคิดนึกปรุงแต่ง ด้วยอาศัยสัญญาคือความจำได้นี้ ปรุงขึ้นมาเป็นความคิด...

    เมื่อเกิดความคิดขึ้นแล้ว จึงเกิดอุปทานเข้ายึดมั่นถือมั่นในสิ่งนั้น เมื่ออุปทานเกิดแล้วจึงเกิดอารมณ์ หรือ เวทนา คือความรู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ ...

    เมื่อนั้นจิตที่อยู่ในสภาวะว่าง ก็เปลี่ยนเป็นไม่ว่าง ซึ่งท่านสมมติเรียกว่า จิตเสวยอารมณ์
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ถ้าในมุมสีของจิต ถ้าเป็นดวงจิตภายนอก
    ส่วนที่ทราบคือสีบอกความเป็นเอกลักษณที่เด่นชัด
    ของดวงจิตที่ได้บำเพ็ญมาชัดเจนที่สุด..สีขาวมาทางความดี
    สีเขียวมาทางป้องกันรักษาโรค สีแดงทางฤิทธิ์
    สีฟ้าทางอภิญญาจิตภายใน
    สีม่วงทางด้านกำลังจิต. สีทองพวกพลังงานภายนอก
    สีดำแบบเซรามิคพวกที่ดูและระบบพลังงาน และก็มีสีเขียวเฉพาะ ..
    และก็ยังมีบอกได้อีกว่า..ถ้าเป็นดวงจิตเดียวแต่มีหลายๆสีรวมกัน ซึ่งความจริง
    ข้างในเป็นหลายๆดวงจิตซ้อนกัน หมายความว่า ดวงจิตนั้นมีบริวารร่วมด้วยครับ..
    และขนาดของดวงจิตก็เป็นการบ่งบอกถึงบารมีที่ได้สะสมมาด้วยครับ..
    ส่วนมากถ้าเป็นระดับสูงๆ ดวงจิตจะไม่มีสีครับ คือจะใสและมองทุลุได้
    แต่ขนาดจะแตกต่างๆกัน และดวงจิตพวกนี้ก็มีพลังงานที่แตกต่างกันออกไป
    ถ้าขนาดประมาณซักครึ่งเมตร จะมีความสามารถที่จะทำให้เรานิ่งๆแบบ
    ขยับไม่ได้..
    ถ้าสีจิตของคนก็จะคล้ายๆกันครับ..สำคัญว่าตอนที่เรามองจิตคนอื่นๆนั้น.
    จิตเราดีหรือเปล่า..ซึ่งถ้ามาทางสายอภิญญาจิตภายในส่วนมากจะเสร็จครับ..
    ยิ่งเจอคนมีเครื่องป้องกัน หรือมีครุบาร์อาจารย์ด้วยแล้วก็เสร็จครับ..
    และถ้าจะให้ละเอียดจริงๆก็มีแยกได้ ถึง ๒๑ สีแต่คงไล่ไม่หมด
    แต่อย่างที่บอกถ้ายังเห็นเป็นสี ก็แสดงว่ายังมีการปรุงแต่งได้อยู่
    ไม่ว่าจะจากตัวจิตเรา หรือดวงจิตภายนอกเพื่อให้ทราบอะไรบางอย่าง..
    ถ้าจะเอาจิตเดิมจริงๆมันจะใสครับ แต่จะแตกต่างกันที่ประกายครับ
    และประกายนี้ ก็สามารถเกิดขี้นได้หลายๆสี ตามแต่ที่ได้บำเพ็ญบารมีมาด้วยครับ..
    และการที่เราจะสามารถรู้และทราบได้ว่า ดวงจิตนั้นๆเป็นของท่านผู้ใด.
    ดวงจิตนั้นก็ต้องปรากฏให้เราเห็น ณ เวลาหลังจากที่เราได้ทำการอฐิษฐานเพื่อทราบ
    ไม่งั้นก็จะกลายมาเป็นในลักษณะความจำได้ในแบบสัญญาที่แสดงเป็นรูปร่างครับ..
    แต่จะทราบได้ว่าปลอมตัวมาหรือเปล่า ก็ต้องรักษาอารมย์และใช้ตัวสติในการมองดู
    ที่ภาพนั้นๆในระยะเวลาหนึ่งด้วยครับ ..แต่บางสายอาจจะบอกว่าให้เข้าออกหลายๆครั้ง
    ว่ายังเป็นภาพเดิมหรือเปล่า แต่ส่วนตัวมองว่า ยังมีโอกาสถูกหรอกได้ เพราะว่าในการ
    เข้าออกก็เหมือนเราถอยกำลังลงมาเพื่อความชำนาญในการเข้าอารมย์ของเราเอง..
    แต่ว่าดวงจิตดวงนั้นก็จะยังคงมีเวลาที่จะปลอมสัญญาได้ สู้การที่เรารักษาอารมย์
    แล้วใช้กำลังสติทางธรรมไม่ได้ เพราะว่าถ้าระดับพลังงานที่ต่างกัน จะไม่สามารถ
    สร้างหรือปลอมเป็นพลังงานที่สูงกว่าได้นานนั่นเองครับ...
    ส่วนอื่นๆ ป๋า มิงค์ ตอบไปเรียบร้อยครับ...
    แต่การจะเห็นจิตตัวเองได้ หรือ เห็นดวงจิตตัวเองได้จริงๆนั้น..
    จะต้องในกำลังระดับสมาธิระดับสูงที่กายกับจิตแยกจากกันเด็ดขาดชั่วคราวครับ
    และไม่ใช่ว่าแยกครั้งสองครั้งจะเห็นได้ด้วย เพราะเราจะเหมือนมองออกไป
    ข้างนอกแต่จะไม่เห็นดวงจิตครับ..ต้องมาสร้างสติทางธรรมให้มันต่อเนื่อง
    ให้มากๆ..ถึงจะมีเหมือนคล้ายดวงกลมๆใหญ่ๆอีกดวง หรือ คล้ายๆฝ่ามือ
    คอยตามควบคุมจิต เราจะเห็นจิตเราได้เองจากการมองผ่าน ตัวที่ตามดวงจิต
    ตรงนี้นี่หละครับ ตัวนี้หละครับ ที่เราเรียกว่า สติทางธรรม ในแบบนามธรรมครับ..

    โหมดวิญญานธาตุ ไม่ทราบจะเหมือนที่ ป๋า มิงค์
    เข้าใจหรือเปล่านะครับ..ที่ทราบก็คือ..เป็นธาตุรู้เช่นเดียวกับป๋า มิงค์ ว่าครับ.
    แต่ว่ามันเป็นการข้ามเรื่องธาตุสี่ไปก่อนและไปรู้ในส่วนของการรับรู้โ
    ดยปราศจาก ธาตุทั้ง ๔ ที่ประกอบรวม
    กันเป็นร่างกายครับ.ถ้าเป็นระดับจิตธาตุก็คือ มันจะเป็นการสลายธาตุทั้ง ๔
    และสร้างธาตุทั้ง ๔ ขึ้นมาใหม่ครับ..ขอบอกว่าส่วนตัวยังทำไม่ได้ครับ..
    .และมันจะเป็นองค์ความรู้ในลักษณะของการออกไปเชื่อมกับองค์ความรู้ภายนอกต่างๆ
    เป็นโหมดที่มันออกจากตัวจิต โดยมีอากาศธาตุเป็นเสมือนตัวที่นำ
    ไปเชื่อมกับองค์ความรู้ต่างๆจากภายนอกครับ..และการออกไปเชื่อมกับภายนอกนี้
    จะมีการเชื่อมต่อกันอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ ในขณะที่กำลังเข้าถึงองค์ความรู้นั้นๆ..
    .เป็นการเข้าถึงในแบบที่ไร้สัญญาการปรุงแต่งเป็นภาพครับ มีแต่เส้นสายที่ใส
    เหมือนๆคลื่นความถี่วิทยุเหมือนๆ คล้าย เครื่อง ว หนึ่ง ว ๒ นั่นหละครับ.
    เพียงแต่มันจะมีความชัดเจนตรงที่ว่า เราจะต้องเห็นเส้นสายตรงนี้ด้วยครับ.
    และต้องมีการเชื่อมก่อนเสมอทุกๆครั้งด้วยครับ ถึงจะเรียกว่าเป็น โหมดวิญญานธาตุ
    นะครับ...จะมีแต่ความรู้และความรู้สึก.มีเรื่องพลังงานล้วนๆ.ที่จะย้อนแปรสภาพ
    เป็นเครื่องรู้ภายในกลับมาให้เกิดขึ้นกับดวงจิตดวงนั้นๆที่สามารถเข้าถึง
    ในระดับวิญญานธาตุได้ครับ..ถ้าใครก็ตามที่ไม่เห็นเส้นสายด้วยตาเปล่า
    ไม่มีความสามารถในการเชื่อมตรงนี้..แล้วบอกว่าตนเอง ถึงโหมดวิญญานธาตุ
    ล้านๆละล้านคือ ขี้โม้แน่นอนครับ..เพราะถ้าเข้าถึงโหมดนี้ได้แล้ว.การเชื่อม
    อะไรก็ตามมันจะข้ามเรื่องธาตุสี่ที่ประกอบกันอยู่ ที่มีดวงจิตอยู่ภายในครับ
    ไม่ว่าจะในวัตถุ ในตัวบุคคล หรือใสสิ่งของใดๆก็ตามที่มีธาตุ ๕ ประกอบกันครับ..
    การคิดคงพอรู้กิริยาบ้างแล้วนะครับ.ว่ากิริยาของความคิดเป็นอย่างไร.
    การจะพิจารณาได้นั้นเรื่องมันจะต้องผุดขึ้นมาจากการวางอารมย์ไว้ก่อน
    ล่วงหน้าครับ ไม่งั้นมันก็จะยังมีความคิดปนอยู่ครับ แม้แต่ในอารมย์ระดับอุปจารสมาธิ
    มันก็จะยังมีความคิดปนได้ เพียงแต่มันน้อยมากไม่เพียงพอที่จะทำให้หลุดจากอารมย์
    เราจึงสังเกตุได้ว่า แม้เราจะยกเรื่องขึ้นพิจารณาได้ในอารมย์ระดับอุปจารสมาธิ
    และพิจารณาจนวางได้ในขณะนั้นแล้ว พอออกมาในสภาวะปกติจิตเรามันก็จะยังฟูอยู่ครับ
    แต่มันเรื่องปกติครับ ในอารมย์ระดับนี้เค้าถึงให้พิจารณาซ้ำๆหลายๆรอบนั่นไงครับ...
    มันไม่เหมือนในระดับกำลังสมาธิระดับสูง ถ้าทำได้คร้้งเดียวมันตัดถึงขั้นกิเลสละเอียด
    ได้เลยครับ..และจะได้มรรคผลในเรื่องที่เราพิจารณาเรื่องนั้นๆได้ด้วยครับ.
    ได้ของแถมมาก็คือ ความสามารถรับรู้ทางนามธรรมที่ดีขึ้น ได้กำลังสมาธิสะสมดีขึ้น
    ภูมิต้านทานต่อสิ่งกระทบภายนอกต่างๆก็ดีขึ้นครับ..และได้สัมผัสพิเศษต่างๆที่จิต
    เราเคยฝึกมาก่อนในอดีตชาติกลับมาได้ตามแต่ดวงจิตใครดวงจิตมันครับ..
    และถ้าเรารู้ว่าจิตเป็นกลางเป็นอย่างไรแล้ว เราจะพิจารณาเรื่องอะไรก็ได้
    ถ้าเป็นกิเลสก็ต้องเจริญสติจนเห็นกิเลสให้ได้ก่อน แล้วรักษาอารมย์ไว้
    ถ้าจะตามสติปัฏฐาน ๔

    ไม่ว่าจะพิจารณาอะไร สำคัญที่ว่าต้องรู้จักการวางอารมย์ไว้ก่อนเช่นกันครับ..
    ไม่ใช่ว่าพิจารณากายอยู่ แล้วนึกๆไปพิจารณาจิตดีกว่า ถ้าคิดได้อย่างนี้
    แสดงว่าไม่ทันความคิด ไม่ทันขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมแล้วครับ...
    ถ้าจะยกกายขึ้นมาพิจารณา จิตก็ต้องว่างรับรู้ ถ้าจะยกธรรมขึ้นมาพิจารณาจิต
    ก็ต้องว่างรับรู้.เช่นกันครับ..ไม่งั้นจะไม่พ้นความคิด จะเป็นกิเลสธรรมตัวหนึ่ง
    เพราะมันดูเหมือนไม่ยึดติดไงครับ กิเลสตัวนี้ เราจึงไม่ควรประมาทครับ.
    เพราะมันยังเป็นปัญญาโลกีย์อยู่ครับ..
    เพราะจิตยังมี ความคิดปรุงร่วมกับดวงจิตอยู่ จิตมันยังมีขันธ์ ๕ นามธรรมปรุงร่วมอยู่นั่นเอง
    ส่วนมากเราไม่ทันมันตรงนี้ครับ..ความสามารถในการรับรู้ หรือ ความเข้าใจทางด้าน
    นามธรรมของเรา ร่วมทั้งความสามารถทางจิตด้านอื่นๆเรามันจึงยังไม่เกิดนั่นไงครับ.
    เพราะฉนั้น การเจริญสติจนกระทั่งแยกรูปแยกนามให้ได้ก่อนนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
    ก่อนที่เราจะวิปัสสนาครับ..
    เด่วผมยกตัวอย่าง ขันธ์ ๕ นามธรรม( สัญญา วิญญาน สังขาร และเวทนา)
    ให้ลองอ่านดูนะครับ เพื่อว่าจะเข้าใจเพิ่มมากขึ้น
    ว่าทำไมถึงบอกว่ามันฝ่ายอารมย์และเป็นนามธรรมครับ
    เช่น อยู่ดีๆเรานึกโกรธเพื่อนคนหนึ่งขึ้นมา เพื่อนคนนี้เค้าเคยขโมยของๆเรา..
    ถ้าเรานึกเรื่องนี้ขึ้นได้และรู้สึกโกรธแล้ว ในความหมายก็คือ ขันธ์ ๕ นามธรรม
    มันรวมกับดวงจิตของเราเข้าไปแล้วครับ..และถ้าเรานึกขึ้นมาอีกว่า เด่วจะต้อง
    ล้างแค้นมันให้ได้ หรือนึกได้ว่า ไปตายๆที่ไหนก็ไปซะ นี่ก็แสดงว่า ทั้งขันธ์ ๕
    นามธรรม and ความคิดที่เกิดจากจิต และดวงจิต มันรวมกันเรียบร้อยโรงเรียนจีนครับ...
    มันทำงานอย่างไรหรือครับ...จะแยกให้ดูนะครับ...
    เรานึกเรื่องนี้ขึ้นมาได้ มันก็คือ สัญญา ความจำได้นั่นเองเป็นเรื่องราวในอดีตครับ
    นี่คือเชือกเส้นที่หนึ่งนะครับ..
    เชือกเส้นที่สอง ก็คือ เรารับรู้เรื่องนี้ได้จากเครื่องรู้ จากทางวิญญานตา
    ได้ยินทางวิญญานหูครับ..และจิตเราก็เริ่มปรุงแต่ง ก็คือ สังขาร นี่เป็นเชือกเส้นที่ สาม ครับ..หลังจาก
    มันก็ทำให้เรารู้สึกโกรธ นี่ก็คือตัว เวทนา เป็นเชือกเส้นที่ สี่ ครับ..จะเห็นได้ว่า
    มันขึ้นมาเรื่องเดียว แต่มันก็มัดรวมกันเป็นเรื่องๆเดียวแต่เราขาดการสังเกตุตรงนี้ครับ..
    เราจึงไม่ค่อยรู้กันว่ามันขึ้นมาได้อย่างไร..และตอนที่มันลงเราก็ไม่ค่อยจะทันมันเช่นกัน
    ครับ ไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ปกติส่วนตัวก็ไม่ทันเป็นปกติครับ ๕๕๕๕..
    และยิ่งเราไปคิดว่าจะล้างแค้น ไปคิดแกล้งคืน นี่ก็แสดงว่า ความคิดที่เกิดจากจิตมัน
    ก็มาร่วมปรุงกับ ขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้ ปรุงร่วมกับจิต เรียบร้อยครับ..
    เรื่อง โลภ เรื่องหลง ก็ทำนองเดียวกันครับ..การที่เราจะมีปัญญาทางธรรมมากน้อย
    ได้เท่าไรก็คือ การที่เราตามทำความเข้าใจ ขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้ที่มันมัดรวมกัน
    จนเป็นเชีอกเส้นเดียวกัน และก็รวมกับความคิดจนเราไม่รู้ตัว ได้มากน้อยเท่าไรนั้นเองครับ..
    พอมองเห็นภายหรือยังครับ ว่าทำไมเราถึงจะต้องมาสร้าง ผู้รู้ ตัวใหม่ครับ...

    ขอบคุณมากครับ...
     
  3. aoirata

    aoirata Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    16
    ค่าพลัง:
    +91
    ขอความกรุณาท่านระมิงค์และคุณพี่นพ ช่วยแนะนำเรื่อง
    มรณานุสติ หน่อยได้มั้ยคะ พอดีเพิ่งเจอบททดสอบเรื่องการพลัดพราก
    แค่จากเป็น ก็ทำให้จิตเศร้าหมองมาก ความอาลัยเป็นสิ่งที่ตัดได้ยากจริงๆค่ะ

    ก็เลยคิดว่า ถ้าถึงเวลาตายแบบไม่ทันตั้งตัว เช่น เครื่องบินตก ก่อการร้าย
    ภัยธรรมชาติ หรืออุบัติเหตุ เราจะวางจิตยังไงคะ ตอนนี้เราต้องเตรียมจิต
    ของเรายังไง จิตถึงจะมีกำลังพอ ที่ว่าเมื่อความตายแบบกะทันหันมาถึง
    เราจะได้ไม่หลง

    ช่วยแนะนำหน่อยนะคะ ขอบพระคุณมากค่ะ
     
  4. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    น่าจะ ป๋า มิงค์นะครับ ที่แนะนำตรงนี้ได้เหมาะสมครับ..
    มรณานุสติ น่าจะเป็นการพิจารณาความตายเป็นอารมย์
    เพื่อความไม่ประมาทในการดำรงชีวิตนะครับ..
    ส่วนเรื่องการพลัดพรากเนาะ..มีกันทุกคนครับ..
    แต่จะส่งผลกระทบต่อจิตใจมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่
    กับเราครับ..ถ้าเรายังเก็บมาคิดไม่รู้จักปล่อยวาง
    มันก็จะเป็นการสร้างกำลังให้ความคิดตรงนี้อย่างที่เราไม่รู้ตัวครับ..

    มีอยู่ครั้งหนึ่งครับ..ก็เจอเหตุการณ์ทำนองนี้เหมือนๆกัน..
    ก็เลยคิดๆไว้ในใจว่าจะไปถามห่มเหลืองท่านหนึ่ง..
    เป็นท่านที่เคยแนะนำเคยสอนเรื่องสมาธิเรื่องภพภูมิมา
    ..ท่านก็พูดประโยคเป็นความรวมดังที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้
    โดยที่แค่มองหน้ากันเฉยๆนะครับ.ยังไม่ได้เอ่ยปากถามท่านนะครับ
    ท่านกล่าวว่า...
    ''เรื่องความพลัดพราก จากของที่รัก ของที่ห่วงเป็นเรื่องธรรมดา.
    เป็นความทุกข์ แต่หลีกเหลี่ยงเหลี่ยงไม่ได้..เราต้องได้พบได้เจอกันทุกคน
    เมื่อวาระและเวลามาถึง ไม่ว่าใครก็ต้องได้พบได้เจอกันทุกคน..
    หรือแม้แต่ดวงจิตของเราเองนี้.วันหนึ่งก็ต้องจากร่างกายนี้ไปเช่นกัน...
    เพราะฉนั้นให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา..
    แม้แต่ผู้เป็นเลิศทั้ง ๓ ภพท่านก็ยังเลี่ยงไม่ได้..ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์อันใด
    ในการที่จะไปกล่าวถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้วด้วยความอาลัย.และไม่มีประโยชน์อะไรที่
    กล่าวถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงให้กังวล....เพราะะฉนั้นเราดึงควรมาดุ
    ตัวเราเองว่าหน้าที่ของเราคืออะไร..ก็คือ..
    การมาเตรียมความพร้อมของดวงจิตของเราในวันนี้ให้ดีที่สุด..
    เพื่อเตรียมเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่ดวงจิตของเราเองนี้ มันจะต้องจากร่างกายนี้ไปครับ.."..

    หลังจากที่ได้ยินประโยคนี้แล้ว..ส่วนตัวก็ไม่เคยสนใจอดีตที่ผ่านมาอีกเลยครับ..
    มาดูที่จิตตัวเองอย่างเดียวครับ เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้สำหรับ
    วันที่มันจะต้องจากร่างกายนี้ครับ.และทุกวันนี้เราจะทำอะไร ก็ทำไปครับ..ประโยชน์ตน
    ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ ประโยชน์ในโลกหน้า.ประโยชน์ในปัจจุบัน
    ที่จะส่งผลในอนาคต เราต้องมาสร้างด้วยตัวเราเองครับ ทำหน้าที่ของเราให้ดี
    ที่สุดก็พอครับ..ใครจะว่าอย่างไร นั่นมันเรื่องของคนอื่นๆครับ ไม่ใช่เรื่องของเรา
    ปล.ประมาณนี้ครับ..
     
  5. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ดิฉันอยากทราบว่ากระแสพลังงานใดที่เข้ามาอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าแลบ ความรู้สึกเหมือนๆว่าไฟดูด แต่ก็ไม่ใช่เลยทีเดียวค่ะ เพราะอาการโดนไฟดูดดิฉันเคยโดนมาแล้วมีดูดจริงๆนี่แหละค่ะ แต่อันนี้ไม่ดูดค่ะเข้าอย่างเดียว เจ็บ+แสบ+ร้อนด้วยในเวลาเดียวกันอย่างรวดเร็ว รุนแรงแค่ทำเราสะดุ้งโหยงล่ะค่ะ ถ้าถือของอยู่คงหลุดมือประมาณนั้นค่ะ แต่ดิฉันสวดแผ่อยู่ค่ะ ไม่ได้สัมผัสสิ่งของใดๆนอกจากพระผงเหนือพรหมของหลวงปู่ค่ะ เข้ามาทางนิ้วกลางด้ายซ้ายมือค่ะ จริงๆเคยเป็นอยุ่หลายครั้งนะคะ แต่ดิฉันไม่สนใจเพราะคิดว่าเป็นอาการทางกาย แต่วันนี้รู้สึกชัดเจนเลยลองๆเข้ามาถามดู ยิ่งกลัวๆตายอยุ่ด้วยสิคะช่วงนี้ ๕๕๕๕๕๕๕๕


    ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่อยากทราบคือ มีวิชาใดบ้างที่สามารถถอดจิต หรือสั่งจิตให้เป็นแมลงต่างๆแล้วเข้ามาดูๆ หรือมาทำอะไรไม่ทราบในบ้านเราน่ะค่ะ ดิฉันคิดไปเองว่าเก็บร่างแมลงพวกนี้อยู่มาก จนทุกวันนี้ก็ยังเก็บมาเรื่อยๆ เคยคิดเหมือนกันว่าคงเป็นคุณแม่ที่เสียไป แต่หลังๆมานี้คงไม่ใช่แล้วคิดไปเองว่าคงเป็นจิตดวงอื่น ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
    คุณนพคะบอกทีสิคะว่าดิฉันกินเยอะไปความรู้สึกเลยแปรๆปรวนๆ บ้องส์ๆน่ะ


    อ้อ ... เรื่องการเดินจงกรมนะคะเคยเดินแล้วก็มีนิมิตเกิดขึ้นบ้าง เอาเป็นว่าไม่สนใจนะคะ และ ขอบคุณท่านระมิงค์นะคะที่แนะนำ ตอนนี้ไม่ท่ามากล่ะค่ะเริ่มที่ซ้ายก้าว(หนอ) ขวาก้าว(หนอ) ทำความรู้สึกตอนยก(ซ้าย,ขวา)-ก้าว-หนอก็ลง แบบนี้ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กุมภาพันธ์ 2015
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เดินจงกลมส่วนตัวก็พึ่งมาเดินไม่นานนี้เองครับ.
    เมื่อก่อนลองเดินดูแล้ว แต่ว่ามันกลายเป็นการเดินไม่กลมครับ ๕๕๕๕
    ควบกับการนั่งสมาธิอย่างเป็นพิธีการปกติของเรา..
    ส่วนกิริยาทางจิตที่เกิดมันก็ขึ้นได้พอๆกับตอนที่เรานั่งได้เช่นกันครับ
    เพราะฉนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก และไม่สนใจนะดีแล้วครับ....
    เพราะว่ามันช่วยเพิ่มกำลังสมาธิสะสมได้วิธีการหนึ่งครับ..จะช่วยให้จิตเราเข้าสู่
    ความสงบได้..ในกรณีถ้าเรานั่งสมาธิไปแล้วมันมีความคิดในอดีต
    ผุดขึ้นมากวนเป็นความคิดที่เปลี่ยนแปลงได้แต่พอเราเปลี่ยนมัน
    ไปในทางที่ดีแล้วความคิดตรงนี้มันก็ยังขึ้นมาอีก ความคิดตรงนี้เอา
    จริงมันพอวางได้ครับ.ถ้าเปลี่ยนมาเคลื่อนไหวร่างกาย หรือจดจ่อ
    กับลมหายใจมันพอเอาลงได้อยู่ แต่ว่าๆๆๆๆๆๆๆ..

    ไอ้ความคิดตัวหนึ่งนะครับที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมที่มันเป็นฝ่ายอารมย์
    พอขึ้นมากวนนี่หละครับ..เราจะไม่สามารถที่ทำให้มันวางลงได้ครับ.
    เพราะว่าถ้าเราสังเกตุดีๆนะครับ มันไม่ได้ขึ้นมาจากจิตเราครับ แต่มันอยู่ข้างๆกัน
    ครับถ้าเราสังเกตุไม่ออกเราจะคิดว่ามันคือตัวเดียวกันครับ ตรงนี้ต้องระวังให้ดีๆ
    และการจะวางมันลงได้ จำเป็นต้องใช้กำลังสมาธิที่มาจากตัวจิตของเรานั่นเอง..
    การเดินจงกลมจึง.ถือว่ามีประโยชน์มากครับ สำหรับกรณีนี้ บางคนอาจจะไม่
    ค่อยเข้าใจคิดว่า การทำสมาธิแค่ท่าเดียวก็พอ ต้องเจอแบบนี้ก่อนถึงจะเข้าใจครับ.
    บางคนก็เลยเปลี่ยนมาเคลื่อนไหวร่างกาย แต่หลักสำคัญก็คือเรื่องของการรักษา
    ระบบลมหายใจให้มันเป็นปกติไว้เหมือนตอนที่เรานั่งครับ.
    ซึ่งตรงนี้ก็สุดแล้วแต่ความถนัดของแต่ละบุคคล..

    ส่วนแมลงไม่บ๊องส์ หรอกครับ เรื่องปกติ แต่ถามหน่อยดวงจิตดีๆ
    เค้าจะมาในรูปของแมลงทำไมหละครับ..เมื่อก่อนซัก ๒ ถึง ๓ ปีก่อน เจอบ่อยครับ
    น่าจะเรียกว่า วิชาการใช้แมลงนะครับ วิชาพวกนี้มีมาก่อนเราจะเกิดอีกครับ.
    ไอ้พวกแมลงต่างๆ ไม่ว่าจะผีเสื้อแปลกๆ แมลงหน้าตาประหลาดๆทั้งหลายแหล่
    ที่มันมาเกาะตามพนังแล้วเราเหมือนกับว่ามันกำลังดูหน้าเราอยู่ ถ้าถ่ายรูปได้
    วันหลังลองเอามาดูซิครับ จะเห็นได้ว่าจะมีดวงจิตอยู่ในนั้นหลายดวง.
    แต่ก็เป็นดวงจิตประเภทที่ถูกบังคับหรือสะกดมานะครับ เพราะฉนั้นกำลังจิตพวกนี้
    ไม่มากครับ ไม่ต้องห่วงจะทำอะไรเราได้..มันจะไม่เหมือนพวกแมลงที่เป็นสัตว์
    ที่มาสามารถทำร้ายเราได้ นี่ก็เป็นอีกประเภทหนึ่งครับ หน้าที่เราก็คือ
    เก็บไปทิ้งก็พอครับ ๕๕๕๕๕

    มันเป็นวิชาหนึ่งที่พวกเซียนสวดหรือหมอธรรมเค้าทำได้เป็นปกติครับ
    ส่วนใหญ่ถ้าส่งมาแบบนี้ ก็จับดึงวิญญานออกหมดหละครับ...
    .พวกที่เค้าทำอย่างนี้ส่วนมาเค้าจะไม่มีทิพย์คิกคุครับ
    เพราะจิตใจเค้าไม่ดีพอยังไงครับ.เค้าจะมองเห็นได้แต่ในระดับ
    ภูมิที่เค้าสามารถจับหรือใช้คาถากำกับได้เท่านั้นครับ..
    ..และปกติสายตาเค้าไม่สามารถที่จะทะลุทะลวงไปดูคนที่เค้าอยากดูได้
    เนื่องจากจิตยังมีความคิดเชิงอกุศลกรรมอยู่..
    เพราะคนที่เค้าไปดูก็มีตัวกันเยอะ ไม่ว่าจากครูบาร์อาจารย์หรืออะไรก็ตาม
    ..การใช้แมลงแล้วเอาพวกบริวารที่เค้าเลี้ยงไว้
    อัดไว้ในตัวแมลงจึงเสมือนเป็นการสอดแนมเพื่อดูการเคลื่อน
    ไหวของเรายังไงครับ...
    เรื่องการรับพลังงานภายนอกเค้ามาก็เรื่องธรรมดาครับ.และด้านซ้ายมันจะ
    รับได้ดีกว่าด้านขวาปกติครับ พลังงานพวกนี้เป็นคลื่นกระแสไฟฟ้าไงครับ.
    เส้นเลือดดำด้านหลังขวาเรามันมีธาตุเหล็กเยอะครับ..ก็คล้ายแม่เหล็กดูด
    คลื่นนั่นหละครับ มันพอมีระยะทางในการดูดเราเลยพอรู้สึกได้ดี.
    ถ้ามาทางด้านขวาเราจะรู้สึกเหมือนกันแต่จะไม่มากเท่าด้านซ้าย
    ส่วนเราจะทราบได้ยังไงว่าเป็นกระแสพลังงานแบบไหนนั้น.
    เราต้องมาเทียบดูจากจักระของเรา
    และเทียบความรู้สึกที่ผิวดูร่วมด้วยครับ
    .ตลอดจนการจับกระแสที่เข้ามาว่าเชื่อมอยู่ระดับไหน
    ถึงจะพอทราบความสามารถและกำลังจิตได้ครับ..
    ค่อยๆเป็นค่อยๆไปนะครับในประเด็นหลังนี้
    เด่วอนาคตจะทราบได้เองครับ.
    ตอนนี้ยังไม่ใช่หน้าที่ๆเราจะต้องเข้าใจในเวลานี้ครับ
    เอาพื้นฐานให้มันแน่นๆก่อนค่อยว่ากันครับ...

    ประมาณนี้หละครับ..
     
  7. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มรณะ+อนุสติ เป็นมรณานุสติ เป็นกรรมฐานกองหนึ่งที่ผมชอบมาก กับกายคตานุสติ และอสุภ10 จำได้ว่าเคยเล่าเรื่องมรณานุสติเอาไว้บ้างแล้ว แต่ว่าหาไม่เจอ จึงคิดว่าจะเขียนขึ้นมาเป็นกิจลักษณะ สำหรับเอาไว้รวมเล่มแจกงานศพ แต่ก็ตั้งใจจะเขียนแต่เพียงขั้นพื้นฐานเท่านั้นครับ ขั้น Advance นั้นต้องไปศึกษาจากครูบาอาจารย์จะดีกว่า ส่วนผมจะเขียนเอาไว้สำหรับปุถุชน คนธรรมดา ...

    เนื่องด้วยความรู้ความสามารถผมยังมีจำกัด คงจะเป็นลักษณะการเล่าสู่กันฟังซะมากกว่า...
    ตั้งใจว่าไหนๆจะเขียนแล้ว ก็ว่าจะเขียนพื้นฐานการเจริญสติ พื้นฐานการฝึกสมาธิ เอาแบบขั้น Basic เขียนเก็บๆเอาไว้ครับ และสอดแทรกข้อผิดพลาดที่ผมเคยทำผิด คิดผิด หรือเข้าใจผิด เอาไว้อวดโง่โชว์ห่วย ประกอบเอาไว้ให้เป็นอุทธาหรณ์ด้วยครับ แต่คงค่อยๆเขียนไปนะ ....

    ความจริงแล้วคุณนพฯมีประสบการณ์การฝึก และผลการฝึกที่ได้ผลก้าวหน้าชนิดที่หาคนปฏิบัติจนเกิดผลเช่นนี้ได้ยากยิ่งกว่ายาก ผมยังคิดว่าคุณนพฯน่าจะบันทึกเอาไว้เป็นหมวดหมู่ เพื่อให้คนที่ต้องการเดินสายอภิญญาได้มีแนวทางในการฝึกอย่างถูกวิธีนะครับ คิดเอาไว้ว่าทำแจกครบรอบแซยิด ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ได้ศึกษากัน ก็น่าจะเป็นประโยชน์ดี ผมเองก็จะได้ขอศึกษาไปด้วยครับ...
     
  8. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    นั่งสมาธิ เสียงเพลงล่องลอย แผ่เมตตา หมาหอน แผ่นเน็บเข้าบ้าน หุหุ จิตอ่อนชะมัด ! (ขออนุโมทนา มรณานุสติ)
     
  9. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องการฝึกกรรมฐานนี้ ความจริงแล้ว ก็ไม่ได้จำกัดวิธีว่ามีเพียง 40 วิธี หรือ 40 กองนี้เท่านั้น ในอดีตหลายๆท่านก็มีกุสโลบายในการบรรลุธรรมจากการเจริญภาวนาที่แตกต่างกันไป

    เรื่องการฝึกมาแบบผิดๆ การเข้าใจผิด การที่ยังมีข้อสงสัยอยู่นั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก ทั้งนี้เพราะตัวผมฝึกผิดมาเยอะมากๆ ... ทุกวันนี้ก็ยังผิดอยู่นะครับ และก็ยังมีข้อสงสัยอีกเช่นกัน เนื่องจากผู้ที่จะไม่ผิดเลยผมเห็นมีแต่พระอรหันต์เท่านั้นเอง ส่วนถ้าเป็นปุถุชนคนธรรมดาอย่างผมนี่ยังมีข้อผิดได้อีกมาก ...

    การฝึกกรรมฐานของบางคนนั้น บอกให้จับลมหายใจ ก็จับไม่ได้ มันอึดอัด แน่นอก ปวดหัว มึนงง...
    บางคนให้นั่งหลับตา กำหนดลูกแล้วไว้ภายใน กำหนดทีไร หลับไปทุกที 10 ปีก็ไม่คืบหน้า
    บางคนให้เพ่งพระพุทธรูป เพ่งไปแล้ว ก็ปวดหัว ปวดตา พาใจฟุ้งซ่าน
    บางคนให้ยุบหนอ พองหนอ ยกหนอ ย่างหนอ เหยียบหนอ มันก็อึดอัด มันเครียด มีอาการตึงและเกร็ง คือประสาทมีอาการเกร็ง ความก้าวหน้าก็ไม่มี

    สำหรับคนที่ฝึกแนวทางปัญญามามาก อย่างเช่นสุกขวิปัสโกนั้น หากจะให้ไปอธิบายถึงฤทธิ์ อภิญญา ท่านเหล่านี้อธิบายไม่ได้ หรืออธิบายได้ คนไม่เข้าใจ

    ส่วนท่านที่ฝึกหนักมาทางฤทธิ์ อภิญญา เวลามาอธิบายเรื่องปัญญา คนฟังไม่ค่อยเข้าใจ ด้วยเพราะอาศัยกำลังจิตที่สูง จึงพุ่งผ่านไปในช่องทางที่คนอื่นๆไม่สามารถทำได้ วิถีทางในการบรรลุธรรมแตกต่างกัน แม้จะมีจุดหมายปลายทางที่เดียวกันก็ตาม

    จะทำให้ถึงพร้อมด้วยฤทธิ์และปัญญาด้วยนั้น เป็นไปได้ยาก ลำพังอย่างใดอย่างหนึ่งก็ยากจนแทบจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ดังนั้น หากจะต้องทำให้ได้ทั้งสองอย่างนี้ เห็นที ชาตินี้ หรืออีกหลายแสนชาติ มันจะไม่ทันกาลกัน...

    ใครถนัดอะไร ก็ฝึกไปให้สุดกำลังของตน ในด้านนั้นๆ ทำไปให้สุด เมื่อถึงที่สุดแล้ว พระธรรมย่อมไม่ทอดทิ้งผู้ปฏิบัติธรรมอย่างยิ่งยวดลงได้ ย่อมจะได้พบเจอครูบาอาจารย์หรือคำแนะนำเพื่อไปให้พ้นเสียจากภพชาตินี้ได้

    ทำไปให้สุดๆก่อน ส่วนที่สงสัยอะไรก็ถามได้ แต่อย่าเอาแต่สงสัยแล้วไม่ฝึก อันนี้ต่างหากที่สมควรโดนด่า... อีกจำพวกนึงคือ ฝึกครึ่งๆกลางๆ พอคนนั้นทักว่าไม่ดีก็เลิกเสีย พออีกคนว่าไอ้นั้นดีกว่าก็ไปฝึกเอาบ้าง คนโลเลอย่างนี้เป็นอีกจำพวกนึงที่สมควรโดนด่า เรื่องการลังเลสงสัยในนิวรณ์ 5 นั้น เขามีไว้กำจัดบุคลิกทั้ง 2 ประการนี้เท่านั้น ส่วนเรื่องที่ว่าให้ฝึกไปแล้วจะรู้เอง ไม่ต้องถาม ตรงนี้ก็ต้องพิจารณาว่าผู้พูดเป็นใคร ถ้าผู้พูดเป็นผู้ทรงคุณธรรมขั้นสูง ก็ต้องฟังเอาไว้ก่อน ... แต่ถ้าผู้พูดก็ยังไม่มีคุณธรรมอันใดปรากฎชัด ก็ขอให้รู้ไว้ว่า คนผู้นั้นไม่มีปัญญา ไร้ประสบการณ์ ไม่มีความรู้ความเข้าใจเพียงพอต่อการตอบข้อซักถาม จึงได้หยิบยกคำกล่าวครูบาอาจารย์มาอ้างเช่นนี้...

    ใครที่ฝึกอยู่ดีแล้ว ก็ฝึกต่อไป ใครสงสัย ก็ถามได้ครับ คุณนพฯ มีคำตอบ...
    ส่วนตัวผมกำลังคิดว่าจะเป็น ปี่ ดี หรือว่าจะเป็น ขลุ่ย ดี....
    เอางี้ไม๊ ผมให้ ป๋า toplus99 เลือกก่อนละกันครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  10. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วขอแว๊ปไปนอนวัดหนึ่งก่อนนะครับ ๒ วัน.วัดที่บุคคลที่ไปส่วนมาก
    เป็นภูมิ ชีปะขาว ภูมิพยานาค ภูมิฤาษีครับกลุ่มที่ไปเต็มไปด้วย
    บุคคลที่มีความสามารถพิเศษมากกว่าปกติๆทั่วๆไปครับ..
    .ขอไปลองฟังบุคคลกลุ่มที่มากความสามารถกลุ่มนี้เค้า
    เคารพก่อนนะครับ มี ๒ ท่านเค้าเรียกว่า ปู่กับท่านพ่อ(ห่มเหลือง)ครับ..
    เด่วพอมีประสบการณ์อะไรมาบ้างจะมาเล่าให้ฟังครับ
    ถ้ามีประโยชน์นะครับ พอดีมีการส่งสัญญานออนไลท์มาเมื่อคืน.

    ปล.ส่วนเน้นไปพักผ่อน(เที่ยว)นะครับ ๕๕๕
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ผมลองตอบกลับจากกล่องข้อความแล้ว ส่งไม่ผ่านครับ จึงคิดว่าเอามาตอบกันหน้ากระทู้นี้เลยก็คงจะได้อยู่ เพราะเป็นเรื่องเล่า สมัยก่อนของผมเอง ซึ่งน่าจะพอมีประโยชน์กับท่านที่สงสัยเหมือนผม...

    สมัยก่อนผมเคยถามหลวงพ่อฤษีว่า ผมควรจะฝึกกรรมฐาน กองไหนดีครับ?
    ท่านตอบสั้นๆเพียงว่า "ชอบกองไหน ก็ฝึกกองนั้น"
    ผมเรียนท่านว่า ผมชองเพ่งไฟ ท่านก็บอกว่า ไปฝึกกสิณไฟ ...
    แล้วหลวงพ่อก็บอกว่า เรื่องจริตใครเหมาะกับกรรมฐานกองไหน ผู้ที่จะรู้ได้และพยากรณ์ได้นั้นมีเพียงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ...
    เว้นแต่มหาสติปัฏฐาน 4 ที่ไม่ขึ้นอยู่กับจริต คือทุกคนสามารถฝึกได้....
    ....................................
    เรื่องฝึกไปแล้วมีอารมณ์ฟุ้งซ่าน ส่วนตัวผมเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเรายังไม่ได้บรรลุอรหัตผล เรื่องนิวรณ์ที่เข้ามารบกวนก็ต้องถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา หน้าที่เราเพียงแต่เข้าไประงับ การระงับก็ทำกันได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นครับ

    ในทางสมถะ จะเพ่งไปที่ลุกแก้วจนลูกแก้วหายไป มือก็หายไป ตัวก็หายไป คงเหลือแต่ดวงแก้วใสสว่าง โพลงๆ อยู่ เวลานั้น อารมณ์ฟุ้งซ่านรำคาญใจ จะหายไปด้วย ที่จริงแล้วอารมณ์ฟุ้งซ่านนี้ ไม่ได้หายไปไหน เพียงแต่เป็นอาการที่จิตหดตัว จากอารมณ์ภายนอกเท่านั้นเอง เพราะเมื่อใดคลายออกจากสมาธิจิตก็จะขยายออกมาสัมผัสเข้ากับอารมณ์ฟุ้งซ่านเหมือนเดิม แต่ว่าเมื่อจิตเข้าเขตปฐมฌาณแล้ว อารมณ์ฟุ้งจะไม่ปรากฎ แม้จะได้ยินเสียงก็เหมือนได้ยินอยู่ไกลๆ ไม่รบกวนการเจริญสมาธิ...

    แต่หากเป็นการเจริญสติเพื่อเข้าภูมิวิปัสนา จะต้องอาศัยสติ หรือผู้รู้ ตามดูอารมณ์ฟุ้งซ่านนั้น เบื้องต้น สติมีกำลังอ่อนกว่า อารมณ์ ย่อมถูก อารมณ์ฉุดกระชากลากไป ต่อเมื่อฝึกไป ฝึกไป บ่อยๆครั้งเข้า สติเริ่มมีกำลังกล้าขึ้น เมื่อสติ ตามดูอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์ฟุ้งซ่านนี้ ก็จะดับไป คงเหลือแต่จิตว่างๆโพลงๆ...

    บางครั้ง บางคราว เมื่อเกิดอารมณ์ฟุ้งซ่าน ระงับไม่อยู่ หากจะอาศัยสติตามดู ก็ให้มีปัญญาเห็นว่า ความฟุ้งซ่านนี้ก็ไม่ใช่เรา เมื่อก่อนไม่เคยเกิดขึ้น บัดนี้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมไม่เที่ยง ย่อมเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และสลายหายไปในที่สุด เราพึงสักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น....
    จนเมื่อความฟุ้งซ่านดับลงไปแล้ว เกิดสภาวะจิตที่ว่าง โพลงอยู่ สติตามรู้ตามดูจิตอยู่อย่างนั้น ก็ให้ระลึกไว้ว่า อาการของจิตที่ว่างอยู่ขณะนี้ก็ยังไม่เที่ยง คงอยู่ในสภาพนี้ไม่ได้นาน ในไม่ช้า จิตนี้ก็จะไม่ว่าง เป็นเช่นนี้เอง
    เมื่อระลึกไว้เช่นนี้แล้ว ก็ทรงสติเอาไว้ตามเดิมตามปกติ เมื่อจิตเสวยอารมณ์ เกิดการเปลี่ยนแปลงก็รู้อยู่อย่างนั้น ว่านี่หนอ จิตนี้ก็ไม่เที่ยงเป็นเช่นนี้เอง...

    เมื่อเป็นเช่นนี้แม้จิตสงบ ก็เกิดปัญญา แม้จิตไม่สงบ มีอาการฟุ้งซ่าน ก็เกิดปัญญาเช่นกัน ผู้ปฏิบัติโดยมาก ต้องการเอาสงบ และไม่ต้องการความไม่สงบ ก็ความอยากนี้เป็นภวตัณหา และความไม่อยากนี้ก็เป็นวิภวตัณหา ยังหาใช่ทางไม่ เนื่องจากสตินี้ เพียงแต่เป็นผู้รู้ สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าเห็น ไม่ได้ยินดี ไม่ได้ยินร้าย ไม่ใช่อยาก แล้วก็ไม่ใช่ไม่อยาก ให้วางฑิฐิของตนไว้อย่างนี้....นี่สำหรับท่านที่ต้องการจะฝึกในแนวสติปัฎฐาน...

    แต่ถ้าจะฝึกในแนวสมถะสมาธิ ย่อมเกิดนิมิตขึ้นได้ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา มองเห็นลูกแก้วของตนมีความสว่างไสวสวยงาม ก็ขอให้ทรงไว้อย่างนี้ก่อน เพื่อสะสมกำลังจิต ทิพยอำนาจ ให้เพียงพอก่อน ยังไม่ต้องสลับไปพิจารณาในด้านวิปัสนา การกลับไปกลับมา เหมือนจับปลาสองมือ สุดท้ายแล้วจะไม่ได้อะไรสักอย่างเดียว เป็นแต่ผู้จับจรดเท่านั้น..หาประโยชน์มิได้...

    การเดินเข้าสู่ทางปัญญาของผู้เจริญสมถะนั้น แตกต่างจากผู้เจริญสติปัฎฐานอยู่บ้าง เนื่องเพราะต้องอาศัยกำลังฌาณที่กล้าแข็งกว่า การพิจารณานั้น จึงเพียงแต่พิจารณาที่กายเป็นหลัก คือทำที่กายคตานุสติเป็นหลัก และมีกำลังใจตัดสุดท้ายคือ ความไม่ยินดีในการเกิด ไม่ว่าจะเกิดในภพภูมิใด ไม่มีความปรารถนา ที่จริงแล้วตัดตรงสักายะฑิฐิตัวนี้เพียงตัวเดียว โดยขั้นต้น โดยขั้นกลาง และโดยขั้นสุด ท่านทำที่ตรงนี้จุดเดียว ก็เป็นอันว่าจบธุระได้...เรื่องตรงนี้ผมไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าจะเป็นจริง ผมไม่เชื่อหลวงพ่อ แต่ก็ไม่ใช่ไม่เชื่อเฉยๆ ผมไปวิ่งวนค้นคว้า ฝึกฝนเจียนเป็นเจียนตาย สุดท้ายแล้วผมก็พบว่า หลวงพ่อพูดถูก ...ไอ้เรามันโง่เอง...สมน้ำหน้าตัวเอง ทุกวันนี้ก็ยังโง่ต่อไป...
    .................................................

    อีกประการหนึ่ง ที่จะตั้งไว้ให้เป็นข้อซักถาม ชวนให้สงสัยกันดีไหมว่า...
    นิมิต กับ อุปทาน พวกเราแยกกันออกไหมครับว่า..
    นี่คือนิมิต หรือ นี่คืออุปทาน
    อาจจะมีบางคน จำคำครูบาอาจารย์มาอวดข่มว่า นิมิต ก็เป็นของไม่จริง อุปทานก็เป็นของไม่จริง ตอบแบบนี้เขาก็รู้กันหมดแหละครับว่าผู้ตอบไม่มีความรู้ในการปฏิบัติเลย เพียงแต่อ่านเอาจำเอาคิดเอาเท่านั้น
    รสเค็ม รสหวาน ก็เป็นสมมติ ไม่ใช่ของจริง แต่คนผู้ชิมยังแยกออกได้ ว่าอันไหนคือเค็มอันไหนคือหวาน ก็ผู้ฝึกอยู่ จะรู้แยกแยะได้ไหมว่า สิ่งที่ปรากฎให้เห็นให้รู้นี้ คือนิมิต หรือ คือ อุปทาน...





    ปล.มีอาการปวดหัวเล็กน้อยสงสัยพายุจะปล่อยพลังมาที่สมองส่วนพอนด์ทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก ขอลาไปพักผ่อนก่อนนะครับ...แต่พักกันคนละที่กับคุณนพฯนะครับ แถวๆที่ผมอยู่มีแต่พวกหมดฤทธิ์ งอมแงม งอแง กันเต็มไปหมด...ปวดหัว..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2015
  12. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    ไม่ทราบค่ะ แต่ขอเดาตามความเข้าใจ จะอย่างไรก็รอฟังคำสอนต่อไป
    นิมิตนี่ ถ้ามีนิมิต มันคงมาในช่วงที่เราไม่ได้ตั่งใจให้เกิด ไม่เคยนึกถึง แต่จิตต้องนิ่ง เงียบ สมองโล่ง เหมือนดู แต่ไม่คิด และอาจจะนิมิตเรื่องเดียวกันซ้ำๆ และสุดท้ายก็ปรากฎขึ้นจริงๆ อาจเป็นการดลใจ เพื่อเตือนภัย เพื่อต้องการบอก สื่อความ (แต่บางทีอาจนิมิตเห็นครั้งเดียว และมีเหตุการณ์เกิดขึ้นจริงในเวลาต่อมา

    ถ้าอุปทาน(สงสัยจะประจำ) อันนี้ฝันไปเรื่อยเปื่อยหาสาระไม่ได้ ไม่ได้ก่อเกิดประโยชน์อะไรกับผู้ฝัน และมักไม่ค่อยซ้ำเรื่อง .

    อันนี้ตอบตามความเข้าใจ และประสบค่ะ .สติไม่มีปัญญายังไม่เกิด

    ปล.เขาหายไปไหนกันหมดนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 กุมภาพันธ์ 2015
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เด่วผมจะขอเขียนทริคง่ายๆเลยแล้วกันนะครับ..ว่าการที่เราจะทำจิตมันลงสู่ความ
    ไม่มีอะไรได้ยาวนานขึ้น..โดยที่เราไปต้องไปอาศัย วิธีการ ตำรา คำสอนอะไรก็ตาม
    เทคนิคต่างๆในระหว่างอะไรร่วมด้วยนะครับ...
    ไม่ว่าจะเรื่องนิมิตร ไม่ว่าจะ ตบะ ฌาน ญาน อภิญญา ร่างกาย ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    (วิญญาน เวทนา สังขาร สัญญา) ง่ายๆว่า เครื่องรับรู้ ตัวรู้สึกต่างๆ ตัวคิดปรุงแต่งไป
    ต่างๆนาๆ ๑๐๘ , ๑๐๐๙ และสุดท้าย
    ตัวความคิดความจำได้ต่างๆพวกนี้...ที่มันจรขึ้นมาของมันเองอยู่แล้วเป็นปกติ
    และมันก็มีความไม่เที่ยงเป็นปกติทั้งหลายเหล่านี้ของมันอยู่แล้วปกตินั้น.....
    ถ้าเราไปเผลอรับรู้ด้วยตัววิญญาน.
    ไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่งแล้วเราเกิดวาง และปล่อยไม่เป็น..
    มันก็จะไปสร้าง ไปอุปโลกตัวรู้ตัวหนึ่งขึ้นมา..ไม่ว่าจะเป็นโมหะ โลภะ โทสะ.
    ไม่ว่าตัวใดตัวหนึ่ง มันก็จะซ้อนทับเข้าไปกับตัววิญญานตัวนั้นอีก..
    ก็ยิ่งจะทำให้จิตยิ่งห่างไกลการเข้าสู่ความว่าง ความไม่มีอะไรในจิตครับ...
    แม้ว่าการอุปโลกซ้อนทับบางอย่าง มันจะมีประโยชน์อยู่เช่น ความรู้ความเข้าใจ
    ในวิชาที่เราต้องใช้เพื่อการดำรงชีพอย่างนี้ไม่เป็นไรครับ...

    แต่ถ้าเป็นในทางธรรมแล้ว...การไปอุปโลกสมมุติซ้อมทับสมมุติซ้อนทับตัวรู้
    เข้าไปอีก ก็จะยิ่งทำให้จิตยิ่งห่างไกลความไม่มีอะไรครับ...
    ถ้าเป็นในทางปฏิบัติแล้ว..ไม่ว่าจะอะไรเข้ามาก็ตาม..เราต้องมีความเข็มแข็ง
    ในการตัดมันครับ..แรกๆคือ ช่างมัน ไม่เอา จะสัญญาจรในจิตต่างๆที่เป็นพวก
    อตีตัง อนาตัง หรือการไปรู้ภายนอกต่างๆ หรือรู้ภายในจิตต่างๆอะไรก็ช่างมันครับ
    ตัดและมีความเข็มแข็งในการตัดอย่างเดียว..ไม่งั้นจิตมันก็จะเกิดอยู่อย่างนั้นหละครับ
    เกิดแล้วก็มันก็ลงได้ยากครับ..เพราะว่ามันมีตัวไปรู้คือตัววิญญานอยู่ตั้งแต่แรกนั้นไงครับ
    ..ที่เราฝึกๆกัน เราไปฝึกเพื่อที่จะตัดที่ตัวที่มันอุปโลก หรือตัวที่เราเรียกว่าอุปทานเฉยๆ
    มันเป็นการตัดแค่เปลือกไงครับ..เราต้องตัดตั้งแต่ตัววิญญานครับ.

    ถึงจะตัดในเรื่อง ของการอุปโลกแม้กระทั้งตัวรู้ อุปโลกตัว สัญญาต่างๆ อุปโลกตัว
    อุปทานต่างๆ และตัดตัวอุปโลกซ้ำในเรื่องของเทคนิคและวิธีการต่างๆได้ครับ....
    ..ส่วนท่านจะตัดไดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับตัวท่านครับ..ท่านตัดอย่างที่ว่านี้ได้..
    ตัวจิตก็จะไม่มีสายใยเชื่อม ไม่ว่าเชื่อมไปภายนอก หรือ ตัดสัญญาจรที่ขึ้น
    มาจากจิตของท่านได้เอง จิตก็จะเริ่มเข้าสู่ความไม่มีอะไรได้นานขึ้นครับ..
    แต่ต้องมีความเข็มแข็งตรงนี้ด้วยครับ..เพราะตัวอุปโลกต่างๆมันขึ้นมานาน
    จนแทบเรียกว่าจะตกผลึกเป็นตัวเดียวกันกับจิตของเราแล้วครับ..มันย่อมมี
    กำลังมากเป็นธรรมดาครับในช่วงแรกๆ..ก็จะเข้าทำนอง รู้ละ รู้วาง รู้ว่าง
    แล้วก็พัฒนาต่อไปจากวินาที เป็นนาที ตลอดจนนานที่สุด ชีวิตนี้ก็จะมีแต่สุข
    ทุกข์ไม่มี...ส่วนความสามารถอะไรต่างๆนั้น..เมื่อจิตมันว่างได้นานขึ้นมันก็จะ
    กลับขึ้นมาได้เองครับ..และก็จะเป็นการนำไปใช้งานถ้าเราจะใช้เพื่อการเป็นไป
    เพื่อความไม่มีอะไร เพื่อความหลุดพ้นครับ..ทุกๆกิริยาในชีวิต ทุกๆการกระทำ
    ไม่ว่าจะการสร้างบุญอะไรก็ตาม การฝึกกรรมฐานอะไรก็ตาม เราทำเพื่อความไม่มี
    ครับ.เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นครับ...แต่ต้องรู้จักตัด ต้องรู้จักการละ การวาง
    การคลาย เพื่อที่จะกลายเป็นรู้แต่ไม่ยึด กลายเป็นอุเบกขารับรู้. ทำอะไรก็ถึงจะ
    ว่างรับรู้อยู่ภายในได้ของมันเองครับ...

    ปล.ประมาณนี้ครับ...บางคนผมพยายามแนะพยายามสอน
    ก็เพื่อที่ไม่ให้คุณๆไปอุปโลกตัวรู้สึก ตัวนึกคิด ตัวความจำ ตัวจำได้
    มาซ้อนทับตัววิญญานในจิตที่มันมีอยู่แล้วเข้าไปอีก .
    แนะและพูดจนปากฉีกจะถึงดาวอังคารอยู่แล้วครับ..
    ทุกวันนี้ก็ยังจะอุปโลก
    ตัวนึกคิด ตัวรู้ ตัวรู้สึก ตัวจำได้อยู่นั้นหละแม่คู๊ณณณณ
    ..ถึงไม่แปลกใจหรอกครับ.
    ว่าทำไมจิตมันถึงพัฒนาแบบเต่าพิการเดินได้แบบนี้
    พอเข้าใจเนาะ(ด่าครับ) ๕๕๕๕.
     
  14. The eyes

    The eyes เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    968
    กระทู้เรื่องเด่น:
    3
    ค่าพลัง:
    +2,638
    รับทราบค่ะ ขอจรลีตัดอุปทานก่อนค่ะ (ทั้งขันธ์5 อุปทานจิต ). เอาไว้จะมาหาความรู้ใหม่ (อีกกี่ปีหว๋า ToT") ขอบพระคุณท่านนพอีกครั้งค่ะ 555 ^_^
     
  15. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ "สติ" สามารถทำให้เราพ้นจากความกลัวได้ไหมคะ ...
    และถ้าช่วงที่เรากำลังฝึกสร้างสติอยู่ มันก็ยังเป็นช่วงที่สติปัญญาเรายังอ่อนอยู่ ..
    ช่วงระหว่างนี้ การที่เราจะข้ามผ่านความกลัวเหล่านั้นได้คุณนพทำยังไงคะ หรือมันเกี่ยวกับการเคยชิน เช่น เจอสิ่งที่น่ากลัวบ่อยๆ จิตก็จะชินไปเอง หรือการฝืนสู้ในขณะที่เกิดความกลัวนั้นๆ หรือที่เรียกว่า "ดู" อาการ ..
    แต่ทำไมยิ่งดูยิ่งกลัวล่ะคะ
    จริงๆมันน่าอายมากเลยนะคะกับคำถามนี้ ยิ่งเห็นรูปครูบาอาจารย์แล้วดิฉันยิ่งไม่อยากสู้หน้าท่านเหล่านั้นเลย ..ยังโง่หลายเลยค่ะ
    อย่างคุณนพนี่ไปเดินป่าช้าตอนกลางคืน ตี 2 ตี 3 แสดงว่าจิตแข็งไม่เบานะคะ ก่อนที่คุณนพจะทำได้แบบนี้ คุณนพมีความกลัวบ้างไหมคะ แล้วคุณนพทำยังไงที่ก้าวข้ามมันไปได้คะ ...?

    จริงๆแล้วท่านระมิงค์นั้นจิตมีกำลังสูงมาก ท่านระมิงค์จะไม่สอนเทคนิค งูๆปลาๆ ให้เป็นขวัญตาของกบของเขียดบ้างเหรอคะ
    ท่านระมิงค์ชอบเป็นกองหลังเลี้ยงส่งลูกให้คนอื่นทุกที ทั้งๆที่ถ้ายิงจากกองหลังไปเข้าประตู ดาวซัลโวล์ยังอายเลยนิ ... แม่นบ่

    ถามอีกทีนะคะ .. จริงๆแล้ว ไอ้ความกลัวที่มันอยู่ลึกๆในใจเรา
    มันกลัวอะไรกันแน่คะ

    ขอบคุณค่ะ
     
  16. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    ขออนุโมทนากับทุกท่านที่สงสัยและใฝ่รู้ในทางธรรม...
    อ่านแล้วได้เพิ่มพูนความรู้ครับ...
    คุณนพการมีความรู้และความสามารถที่ละเอียดลึกซึ้งดี...ไม่่ธรรมดาจริงๆ
     
  17. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    เรื่องความกลัวไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไรเลยครับ..ยิ่งถ้าเราเป็นผู้ปฏิบัติด้วย
    นะครับ..ถ้ารู้สึกกลัวได้เนี่ยยิ่งดีครับ..และสติทางธรรมต่อให้เรามีมันก็ไม่ใช่
    ตัวที่จะทำให้เราไม่กลัวครับ..ต่อให้เราเริ่มเดินปัญญาได้..ความกลัวก็ยังมี
    เป็นปกติครับ และยิ่งถ้าจิตเรามันแยกรูปแยกนามธรรมได้เมื่อไรจริงๆนะครับ
    ร้อยละร้อยครับ จิตมันจะทั้งรู้สึกกลัวและรู้สึกเหงาครับ..
    เพราะว่าจิตมันขาดเพื่อนไง เพื่อเก่ามันก็คือความคิดต่างๆนั้นหละครับ
    และเพื่อนที่ไม่ดีที่ทำให้เราต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดและชด
    ใช้วิบากกรรมต่างๆก็คือ พวกขันธ์ ๕ นามธรรมที่มันผุดขึ้นมารบกวนจิตใจ
    เราตลอดนั่นหละครับ..พอเราแยกรูปแยกนามได้ เพื่อนไม่ดีนี้ยิ่งจะขึ้น
    มารบกวนจิตใจเราเพื่อไม่ให้จิตเรามันสงบ จนลงสู่ความว่างได้
    เราถึงต้องมาเดินปัญญาต่อยังไงหละครับ..
    ถ้าเราไม่เดินปัญญาลด ละ กิเลสต่อ เพื่อนไม่ดีคนนี้
    มันก็จะคอยแอบมารวมกับตัวจิตเรา มาปรุงร่วมกับความคิดเรา
    ให้เราคิดไปในทางอกุศลต่างๆนาๆ พูดง่ายๆก็คือ คิดอะไรก็ตาม
    ที่ทำให้จิตเศร้าหมอง คิดเชิงลบ คิดไปในทางออกห่าง
    ความสงบของจิต คอยหนุนให้เราสร้างอกุศลเรื่องต่างๆ
    ไม่ว่า จะโลภ โกรธ หลง แถมยังปั่นรวมกันจนสร้างเป็น
    กิเลสต่างๆ เพื่อให้เราหลง จนกระทั่งจิตเราไม่รู้จักคำว่า
    ว่างซักทีในระหว่างวันหรือแม้กระทั่งตอนทำสมาธิแบบพิธีการครับ


    .หรือต่อให้เกิดมาจะเห็นดวงวิญญานเห็นผีแบบเห็นๆด้วยตาเปล่า
    และต่อให้สำเร็จกสิณ ๑๐ กอง ให้จิตมีอภิญญาจิต
    ภายในสูง ให้มีความสามารถสามารถทางจิต ประเภททำอะไรให้คนรับรู้
    สัมผัสได้ ใช้งานได้ มากมายด้วยพันธมิตรทางภพภูมิ หรือมากมายด้วย
    ครูบาร์อาจารย์มีชื่อทั้งหลาย.ต่อให้มีระดับสูงที่สุดเป็นครูบาร์อาจารย์
    ก็ยังมีความกลัวอยู่เหมือนเดิมครับ.แต่จะมากหรือน้อย และกลัวนานหรือ
    ไม่นานแตกต่างกันครับ.ขึ้นอยู่กับว่าใครจะตัดความกลัวได้เร็วกว่ากันครับ..
    ถ้าบอกว่าไม่กลัวตาย.ลองเข้าไปป่าดงดิบดูครับ ไปคนเดียว ไปปฏิบัติคน
    เดียวดูครับ เจอเสือตัวเป็นๆมาอยู่ใกล้ๆ เจองูเหลือมตัวเป็นๆมาเลื้อยแล้วรัด
    ตัว..ไปเจอภพภูมิมีฤิทธิ์ภูมิอื่นๆมายืนใกล้ๆ
    ไปเจอพยานาคมีฤิทธิ์มากายทิพย์
    มาเลื้อยรัดรอบตัวเราดูครับ..ถ้าบอกว่าเฉยๆ หรือ จิตไม่เกิดเลยขณะนั้น
    ต้องบอกว่า ดวงจิตดวงนั้นๆถึงจะไม่มีความกลัวเพราะอะไร ไม่ใช่เพราะ
    คุ้นเคยหรือว่าเห็นบ่อยๆจนชิน..ไม่ใช่เพราะจิตมีกำลังจิต มีฤิทธิ์หรือมี
    ความสามารถพิเศษมากมาย ไม่ใช่เพราะจิตดวงนั้น สติไวแก่กล้ามาก.
    ไม่ใช่เพราะจิตดวงนั้นมีปัญญาทางธรรมสูงส่งครับ...

    แต่เพราะว่าจิตดวงนั้นๆ มันพร้อมที่จะตายตั้งแต่ร่างกายยังไม่ตายครับ..
    แต่ไม่ใช่ว่าไม่กลัวตาย..แบบนักเลงหัวไม้ หรือ คนที่ผ่านเรื่องตีรันฟันแทง
    อะไรมา หรือผ่านส่งคราม ผ่านศึก สมรภูมิ นะครับ..เพราะว่าการไม่กลัวแบบ
    นี้ก็เพราะว่าตัวจิตนั้นมันมีกำลังทางความคิดเรื่องความไม่กลัวมันแทรกอยู่ใน
    ดวงจิตดวงนั้นๆอยู่..พูดง่ายๆว่า จิตมันยังไม่ว่าง และยังไม่คลายทิฐิตรงนี้
    และจิตมันยังไม่ได้เข้าสู่
    สภาวะที่เดินปัญญามากมายเพียงพอ จนกระทั่งมันเห็นว่าการเกิดเป็นทุกข์
    จนกระทั่งตัวจิตมันไม่อยากเกิดอีก..เรียกได้ว่า จิตมันจะตัดทุกสิ่งทุกข์อย่าง
    แม้กระทั่งรายกายที่มันเข้าไปรวมอยู่ มันก็ไม่สนใจ เรียกว่าจิตมันไม่เอาอะไร
    ทั้งนั้น..ทรัพย์สินก็ไม่เอา สภาพแวดล้อมไหนๆมันก็ไม่สน.
    ญาติๆก็ไม่เอา สติก็ไม่เอา ปัญญาก็ไม่เอา
    ตัวรู้ เครื่องรู้ ตบะ ฌาน ญาณ ต่างๆอะไรก็ไม่เอา
    การไปเกิดในไตรภพนี้มันก็ไม่เอาครับ. เรียกว่า ขอไม่กลับมาเกิดอย่างเดียว
    เพื่อเข้าสู่ความไม่มีอะไรครับ...และปกติดวงจิตที่จะเห็นอย่างนี้ได้..
    ก็เรียกได้ว่า จิตมันเข้าสู่ความไม่มีอะไรได้ แทบจะทั้งวันแล้วครับ..
    จะว่าน้องๆดวงจิตที่ไม่เกิด ไม่มีกิเลส ไม่มีอะไรมาปรุงร่วมกับจิตได้นั้นหละครับ.

    ปล.ประมาณนี้ครับ ลองเทียบเคียงดูครับ
    .
     
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    โดนคุณนพฯบ่นไปหน่อย หายเงียบกันไปหมด ไม่มีใครมาสงสัยเลย...
    ผมจึงมาทำหน้าที่ตั้งข้อสงสัย ให้เพื่อนพ้องน้องพี่ ได้งึดกันต่อครับ...

    ว่าง...

    ว่างในโลกียฌาณก็อย่างหนึ่ง...
    ต่างจากว่างในโลกุตระฌาณอย่างใด...
    ในเมื่อว่างก็ผิด ไม่ว่างก็ผิด...เหนือว่าง เหนือไม่ว่าง ต้องทำอย่างไร?
    เมื่อจิตปล่อยวางไปแล้ว...จะดำรงชีวิตแตกต่างจากปุถุชนอย่างไร?
     
  19. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ๕๕๕๕ ครับผม พอเข้าครับ..ขอบคุณครับ ป๋า มิงค์...
    ว่างแบบที่ใช้กำลังสมาธิ ตบะ ฌาน ญาณ อำนาจจิต
    ศีล สมาธิ สติ ปัญญา ไงคับ..เพราะถ้ายังมีพวกนี้อยู่
    ตัวใดตัวหนึ่ง ยังไงๆ จิตก็ยังไม่ว่างครับ..เพราะตัวจิตเรา
    มันยัง อุปโลกตัวพวกนี้ตัวใดตัวหนึ่งขึ้นมาทำให้มันว่างอยู่ครับ...
    พูดง่ายๆง่ายก็คือ จิตมันไม่คลายใจออกจากความคิด
    จากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมนั่นเองครับ..บางท่านก็ว่า
    มันยังไม่พลิกจากสมมุติไปวิมุติ..หรือสุดแล้วแต่จะเรียกครับ..


    ว่างอีกแบบก็คือ การที่จิตมันคลายตัวอุปโลกทุกๆอย่างที่มี
    พูดง่ายๆก็คือ คลายออกจากความคิด คลายจากขันธ์ ๕
    ส่วนนามธรรมนั่นหละครับ..และก็อย่างที่บอกก็คือ
    ไม่ใช่ว่านี้คือความว่าง และก็ไม่ใช่ว่านี้ไม่ว่าง
    นั่นหละว่าง.........


    บางคนสงสัย.อ่านแล้วงงๆ.
    เขียนอะไรมาให้ปวดสมองอีกแล้วน้อ ๕๕๕
    .ความคิดกับขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม มันเกี่ยวกันยังไง..
    ยกตัวอย่างง่ายๆ..อย่างบางคนฝึกสมาธิมากำลังสูง
    และสามารถทำให้จิตว่างได้นั้น..การใช้สมาธิก็คือ
    การอุปโลกตัวหนึ่ง.ผลของสมาธิที่ใช้มันก็คือ ขันธ์ ๕ นามธรรม
    ตัวหนึ่งที่มันซ้อนทับกันเข้าไปอีก เรียกว่า ตัณหาซ้อนตัณหายังๆไง
    ก็ยังทำให้ตัวจิตยังต้องเวียนว่ายตายเกิด
    นั้นหละครับ..พอนึกๆภาพออกไหมครับ..
    ค่อยๆนึกเทียบกับเรื่องอื่นๆนะครับ...


    ถ้าสมมุติว่าสามารถเข้าใจได้แล้ว..ก็พลิกจากที่ไม่ใช่ว่าว่าง
    หรือไม่ว่าง นั่นหละที่ว่างได้แล้ว...ก็ถึงจะดำริกำลังที่มีขึ้น
    มาใช้ ใช้แล้วก็ใช้แล้ว ให้แล้วก็แล้วไป ช่วยแล้วก็แล้วไป
    จิตก็กลับสู่ความว่างได้เหมือนเดิม และก็จะไม่ไปติดผลของ
    ความดี ไม่เกาะเกี่ยวกะแสต่างๆ เข้ามาให้เป็นสัญญาต่อเนื่อง
    กับเรื่องอื่นๆ กับดวงจิตอื่นๆอีกไงครับ...


    ถ้าทำได้ คนที่ไม่มีสัมผัสทางด้านนามธรรม เวลาทำหน้าที่
    การงานอะไร มันก็จะไหลลื่น เรียบง่าย เป็นไปตามจังหวะของมัน...
    คนที่มีความสามารถทางจิต เวลาใช้งานอะไร ก็จะไม่ตะกุกตะกัก
    ไม่ต้องตั้งท่าอะไรมากมาย มันก็จะเป็นไปแบบอัตโนมัติ และครอบคลุม
    ที่สุดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน...

    คนที่่ไม่มีภาระทางสมุมติแล้ว มีสัมผัส มีกำลังจิต
    มีตบะ ญาณ ฌานมาก่อน ก็จะเปลี่ยนเป็นการดำริตรงนี้ขึ้นมาเป็นการโปรด
    การอุทิศส่วนกุศลแทน เปลี่ยนมาเป็นการอโหสิกรรมแทน
    เพื่อที่ในขณะที่จิตยังอยู่ในร่างกาย จะได้ใช้กายทำหน้าที่ทางโลก
    ไปเรื่อยๆ และไม่สร้างกระแสต่างๆให้เข้ามาเกาะเกี่ยวกับจิต
    ตัวเองอีก..


    แต่ไม่ใช่ว่า ไม่เคยผ่านอะไรมาก่อน แล้วมาอ่านมันจะเป็นไปอย่างที่
    แนะนำ คงเป็นไปไม่ได้ครับ..เพราะมันจะต้องมีเครื่องมือที่ให้เห็น
    ให้เข้าใจตัวอุปโลกที่เล่ามาต่างๆก่อนหน้านี้ก่อน และก็มีปัญญา
    ทางธรรมเพียงพอที่จะเข้าใจร่วมด้วยครับ..เรียกว่ามันขาดสิ่งใด
    สิ่งหนึ่งไม่ได้นั้นเองครับ เพราะมันอาศัยซึ่งกันและกันอยู่ครับ..

    สุดท้ายอย่างเราๆ ก็อยู่ที่ว่า จะทำให้จิตเข้าสู่ความไม่มีอะไร ไม่อะไรกับ
    ไม่อะไรเลย หรือ ว่างอย่างที่บอก ได้นานให้มากที่สุดในระหว่างวัน
    ผลที่เกิดก็จะเป็นไปตามจริตของแต่ละดวงจิตนั้นๆนั่นหละครับ.
    ปล.เข้าใจยากหน่อยหนึ่งนะครับ..
     
  20. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คุณนพคะ ทำไมดิฉันอ่านๆดูมันเหมือนคำว่า "ปล่อย"
    ปล่อยในนี้ของดิฉันมันเหมือน ไม่โลภ ไม่หลง ไม่รัก ไม่ชัง ไม่ชอบ ไม่ชอบ ไม่ซ้ายไม่ขวา ฯลฯ เหมือนกับว่ามันอยู่เหนือทั้งสองฝั่ง
    อันนี้ "ว่าง" อย่างที่ดิฉันเข้าใจ ...
    เอ่อ .. เข้าใจว่า เฉยๆนะคะ ยังทำไม่ได้ และก็ไม่ทราบว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า
     

แชร์หน้านี้

Loading...