เปิดตำนานหลวงปู่ทิม อิสริโก วัดละหารไร่

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย แก้วสว่าง, 4 ธันวาคม 2014.

  1. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    การพิจารณาที่เรียกว่าอนุสติ คือการนึกถึงบุคคลหรือธรรม หรือความจริงอันจะก่อให้เกิดความเลื่อมใส ความซาบซึ้งในเหตุผลอันเป็นอุบายวิธีที่พระพุทธองค์ทรงวางให้สาธุชนทั่วไปนำ พาไปปฏิบัติเพื่อความสงบใจ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ มรณานุสติ คือการนึกถึงความตาย ว่าเป็นภาวะที่แท้จริงอันหนึ่ง ซึ่งเมื่อมาถึงชีวิตแล้วทำให้ชีวิตสะบั้นลง แต่ก่อนเคยไปไหนมาไหนได้ นั่ง นอน ดื่มกินได้ ครั้นเมื่อมรณะมาถึงกิริยาอาการนั้นจะอันตรธานหายไป มรณะนี้มีอำนาจยิ่งใหญ่สุด ไม่มีมนุษย์คนใดเอาชนะได้
    เมื่อ มรณะมาถึง ทรัพย์สมบัติ ลูกหลานก็จะหมดไป ที่สำคัญความตายจะมาสู่ชีวิตมนุษย์ไม่มีใครจะบอกได้ว่าจะเป็นเมื่อใด ดังนั้นมนุษย์ไม่ควรอยู่ด้วยความประมาท พึงรีบเร่งปฏิบัติความเพียรประกอบบุญทานไว้อย่างสม่ำเสมอ ควรนึกถึงความตายให้บ่อยเพื่อเตือนสติตนให้ตื่นตัวจากความโลภหลงอันเป็น อวิชชาโดยเร็ว
    โบราณจารย์ได้ยกย่อง มรณานุสติ
    ไว้มากมายหลายประการ หนึ่ง คือสามารถขจัดความโลภออกจากใจสอง คือ...ตัดราคะอันเป็นสิ่งเย้ายวนในโลกที่เป็นเครื่องขวางกั้นการปฏิบัติสมาธิสาม...เป็นปัญญานำพาสู่สัจจะความจริงด้วยความไม่ประมาท อีกทั้งทำให้เกิดความขยันหมั่นเพียรในทั้งประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านก่อนจะสายเกินไป ทั้งหมดคืออานิสงส์แห่งมรณานุสติ!
    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2014
  2. ekasit S

    ekasit S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +256
    กราบหลวงปู่ทิม ,ลุงสาย และ ข้อมูลดีๆ จาก อ.แก้วสว่าง ครับ
     
  3. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    การศึกษาร่ำเรียนวิชาอาคมใดๆที่ทรงคุณค่าแก่การนำมาใช้ประโยชน์ที่ดีที่จะก่อให้เกิดผลกับมนุษย์เราได้ เราจะเห็นแล้วว่าการร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆให้เกิดผลได้อยู่ที่จิตวิญญาณความตั้งใจสูงเพื่อการร่ำเรียน หลวงปู่ทิม อิสริโกท่านปรารถนาในการศึกษาและร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆเพื่อความเข้าใจที่ดีที่จะสนองนโยบายกับการตั้งปณิธานของท่านเอง แต่วิชาอาคมที่แท้จริงนั้นมีทั้งคุณเอกอนันต์และโทษอย่างมหันต์ได้ ถ้ารู้จักศึกษาให้ถูกหลักการและนำมาใช้ให้ถูกต้องกับสังคมที่เป็นอยู่ได้ การศึกษาวิชาอาคมและไสยเวทย์ต่างๆเป็นสิ่งที่คนรุ่นเก่ายุคโบราณได้ให้ความสำคัญและตระหนักให้เห็นถึงอานุภาพของความศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งที่จะต้องมีการศึกษาเรียนรู้ไว้เพื่อการสืบทอดในรุ่นต่อมาได้เรียนรู้กันไว้เพื่อมิให้วิชาต่างๆที่มีคุณประโยชน์นั้นสูญหายไปได้ แต่สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่จะได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมเพื่อคุณประโยชน์ที่ดีและให้มีประสิทธิ์ภาพของความน่าเชื่อถือนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าใจไม่เข้าถึงกันจริง

    ในคนยุคก่อนนั้นจะเห็นว่าเขาสามารถทำกันได้จริงและเห็นผลได้อย่างเหลือเชื่อนั่นก็แสดงว่าอานุภาพของความมหัศจรรย์นั้นมีจริงแทบจะไม่มีคำบรรยายใดๆเลยนอกเสียจากความไม่เชื่อถือหรือการลบลู่กัน โดยตามหลักทฤษฏีของพระพุทธศาสนาที่ได้บัญญัติไว้การเกิดปาฏิหาริย์ใดๆนั้นไม่ใช่หลักการหรือจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะไปสู่หนทางแห่งนิพพาน แต่ทางหลักพุทธศาสนาจะถือหลักคำสอนที่ดีเป็นประเด็นหรือจุดมุ่งหมายหลักที่จะน้อมนำไป และโดยหลักของไสยศาสตร์นั้นก็น่าจะถือกำเนิดควบคู่กับการกำเนิดพุทธศาสนามาเป็นเวลากว่าพันๆปีแล้ว ซึ่งเราอาจจะเห็นว่าปาฏิหาริย์นั้นเกิดขึ้นได้ถ้าเรามีใจศรัทธาและความเชื่อมั่นกันโดยที่อาจจะมองเปรียบลักษณะที่ตรงกับการถือหลักของธรรมะที่เมื่อเรามีจิตศรัทธายึดมั่นที่ดีและมั่นคงได้ในหลักธรรมก็จะมีอานุภาพของตัวเองที่จะสามารถฟันฝ่าอุปสรรคใดๆบนโลกมนุษย์ได้อย่างเชื่อเมื่อกัน ฉะนั้นจึงเป็นหลักสำคัญได้ที่จะมีการศึกษาควบคู่กันไปเพื่อเป็นบทบัญญัติที่ดีที่จะเข้าสู่บทบาทในสังคมหรือการอยู่ร่วมกันในสังคมที่จะอยู่อย่างสันติสุขได้นั้นเราจะเห็นว่าหลักธรรมคำสั่งสอนที่ดีและหลักของใสยศาสตร์ที่ถูกต้องนั้นจะมีบทบาทและส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยจรรโลงสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีและหลักความเชื่อที่ถูกต้องได้

    การศึกษาวิชาอาคมใดๆนั้นจะเห็นว่าวิชาอาคมแต่ละวิชานั้นสามารถเกิดผลได้ถ้าศึกษากันอย่างจริงจังและมีความแน่วแน่ การที่จะให้มีความเชื่อถือกันได้อย่างมั่นใจนั้นจะเห็นได้จากการเกิดปาฏิหาริย์ใดๆจากอำนาจแรงของอานุภาพอาคมหรือใสยศาสตร์ใดๆโดยเป็นส่วนสำคัญยิ่งที่จะให้เกิดความเชื่อถือและศรัทธากันอย่างมั่นใจได้ เราจะเห็นว่าเมื่อปาฏิหาริย์ใดๆที่เกิดขึ้นอย่างเด่นชัดและอานุภาพใดๆที่เห็นผลเป็นที่ประจักษ์แล้วยิ่งนั้น ย่อมมีความเชื่อถือกันได้ประกอบกับคนในยุคโบราณนั้นเขาถือสัจจะกันอย่างจริงจังจึงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้หลวงปู่ทิม อิสริโก แห่งวัดละหารไร่ ท่านได้เพียรศึกษาเรียนรู้วิชาอาคมจากเกจิคณาจารย์และฆราวาสผู้เรืองอาคมมาหลายท่านโดยที่หลวงปู่ทิมท่านได้มีความเชื่อมั่นในวิชาอาคมนั้นและอาจารย์ที่ต้องการที่จะเรียนรู้และศึกษาได้ อาทิเช่น หลวงพ่อกราดแห่งวัดชากกอไผ่ โดยที่หลวงปู่ทิมท่านได้ไปศึกษาวิชาสำคัญๆหลักและวิชาต่างๆที่เห็นผลกันเป็นที่ประจักษ์ตาได้และหลวงปู่ท่านสามารถใฝ่เรียนศึกษาจากหลวงพ่อกราดจนจบสิ้นได้ด้วยความเพียรพยายามความตั้งใจอย่างแน่วแน่ และจากนั้นก็ยังมีฆราวาสผู้เรืองวิชาอีกหลายท่านที่หลวงปู่ท่านได้ไปใฝ่เรียนศึกษาแต่เท่าที่หลวงปู่ท่านเคยเล่าให้นายสาย แก้วสว่างลูกศิษย์ของท่านฟังอยู่เสมอว่านอกจากหลวงปูท่านได้ไปร่ำเรียนวิชาอาคมในแถบหมู่บ้านนามะตูมและในเขตชลบุรีแล้วซึ่งฆราวาสที่เคยได้ไปร่ำเรียนวิชานั้นมีทั้งโยมสาย โยมเริ่มและโยมรอด แต่ฆราวาสที่หลวงปู่ท่านจะเอ่ยกล่าวเสมอเมื่อท่านได้ไปร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆเป็นเวลานานคือ ฆราวาสสายแห่งบ้านส้อง ซึ่งอยู่ในเขตพนมสารคาม จ.ปราจีนบุรี ซึ่งฆราวาสสายนี้ท่านจะเชี่ยวชาญมากในเรื่องวิชาอาคมทางสายเขมร โดยหลวงปู่ทิมท่านได้ไปศึกษาเรียนรู้วิชาอาคมทางสายนี้อยู่นานเลยทีเดียว หลวงปู่ท่านเคยเล่าว่าวิชาอาคมของเขมรนี้เขาเก่งมากและมีวิชาอาคมในหลากหลายวิชาสำคัญที่น่าเรียนรู้ซึ่งทางสายเขมรถือเป็นศาสตร์สำคัญที่ขึ้นชื่อลือชามากทางใสยศาสตร์ที่สามารถเห็นผลเป็นที่ประจักษ์กันได้

    โดยเฉพาะศาสตร์ที่ลึกล้ำนั้นต้องยอมรับกับทางสายเขมร ซึ่งโดยตำนานใสยศาสตร์ของเขมรนั้นน่าจะถือกำเนิดขึ้นกันมาในช่วงยุคสมัยที่ขอมกำลังรุ่งเรืองอำนาจ โดยกล่าวกันว่าอาคมพวกขอมนั้นเก่งกล้ามากถึงขนาดแสดงอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศหรือว่าสามารถดำดินได้ โดยในสมัยก่อนจะมีคำร่ำลือที่ว่า “ขอมดำดิน หรือขอมปากพระร่วง”ซึ่งเป็นคำกล่าวหรือสำนวนภาษาที่ติดปากกันเรื่อยๆมา มันก็ย่อมแสดงได้ว่าคำเล่าลือนั้นย่อมมีเหตุและผลได้ ซึ่งในดินแดนยุคอารยะชนของขอมนั้น โดยในยุคสมัยที่ขอมกำลังเฟื่องฟู การถืออำนาจทางใสยศาสตร์จะมีอิทธิพลอย่างมากเช่นการแสดงอำนาจอิทธิฤทธิ์และการทำให้เกิดปาฏิหาริย์ใดๆที่เกิดจากอำนาจของวิชาอาคมอันแก่กล้าก็ย่อมเป็นได้ที่จะเกิดการเกรงขามหรือเกรงกลัวกับอำนาจของวิชาอาคมจนไม่กล้ามีกลุ่มชนพวกใดหรือชนชาติใดๆสามารถที่จะมารุกรานหรือจะมาถือยึดครองกันได้เพราะเกรงกลัวกับอำนาจมนต์ตราและบารมีชื่อชั้นของขอมที่เป็นที่เลื่องลือกัน เมื่อเราเห็นว่าการถือหลักยึดครองกับอำนาจของใสยศาสตร์หรือวิชาอาคมอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะก่อให้เกิดอำนาจบารมีขึ้นมาได้เมื่อถึงระยะกาลเวลาที่เหมาะสมจึงเป็นเหตุสมควรได้ที่จะต้องมีการสืบทอดหรือการสืบสานพุทธาคมเพื่อมิให้อาคมอันศักดิ์สิทธิ์นั้นสูญหายไปได้ เมื่อชนรุ่นต่อมาได้สืบทอดวิชาอาคมและคนรุ่นเก่าที่ได้ถ่ายทอดก็ได้ล้มหายตายจากกันไป แต่ความศักดิ์สิทธิ์ก็ยังคงอยู่ได้เมื่อได้รับการถ่ายทอดกันอย่างจริงจัง ซึ่งเราจะเห็นว่าในชนยุคก่อนนั้นการถือสัจจะวาจาเป็นที่มั่นหมายถือเป็นหัวใจหลักสำคัญของการสืบทอดวิชาอาคมที่จะทำให้อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์นั้นย่อมที่จะมีประสิทธิ์ผลได้เสมอ ฉะนั้นการถือสัจจะวาจาจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก โดยเฉพาะจะมีคำสำนวนที่ว่า “ ศิษย์ล้างครู” นั้นย่อมที่จะไม่เกิดขึ้นได้ หรือการใช้อาคมไปในหลักที่ถูกต้องประการใดนั้นก็จะต้องมีการตั้งสัจจะวาจาไว้เพื่อเกรงกลัวต่ออำนาจของครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    มะ อะ อุตรงๆหมายถึงศีล สมาธิ ปัญญา
    มะ อะ อุเป็นคำใช้ภาวนา และเป็นอุบายธรรม อธิบายได้ว่า การภาวนานั้นให้มีศีลเป็นบาทฐานในข้างต้น มีผลทำให้เกิดสมาธิตั้งมั่นได้ดี(สมถกรรมฐาน)เมื่อมีสมาธิตั้งมั่นดีแล้วพิจารณาต่อไป(เข้าสู่วิปัสสนากรรมฐาน)ย่อมทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้งแล้วก็ยังเป็นคาถาที่ครูบาอาจารย์โบราณนิยมใช้ภาวนาในทางด้านอิทธิฤทธิ์กันมากเป็นคำภาวนาแทนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แปลอิงมาจากบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ นิยมภาวนาคาถาแม่บทคืออิ สวา สุซึ่งเป็นบทย่อ เป็นการภาวนาจับ พุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ได้ดี เป็นอิทธิฤทธิ์ด้วย เท่าที่นึกได้ถึงคาถาบทนี้ของหลวงปู่ทิม ก็จะนึกถึงปริศนาธรรม ในตัวบทคาถา ที่หลวงปู่สอนไว้เป็นขั้นตอนตั้งแต่ต้นจนจบกิจพระศาสนาว่า

    พิจารณาคาถา และ ปริศนาธรรมของหลวงปู่ทิมที่ท่านแฝงธรรมเรื่องหลักการภาวนาว่า มะ อะ อุให้มีศีลเป็นข้างต้น จะมีผลให้เกิดสมาธิตั้งมั่นดี สามารถใช้งานได้ ให้ใช้สมาธิตั้งมั่นดีแล้วนั้น พิจารณาเพื่อเกิดปัญญา
    (หลักการพื้นฐานของการภาวนา)
    ทุกขังพิจารณาเห็นทุกสิ่งล้วนมีฐานเป็นทุกข์อยู่ตลอด
    (มีฐานเป็นความทุกข์ เมื่อทุกข์น้อยหน่อยก็เห็นว่าเป็นความสุข)

    อนิจจังเบื้องต้นพิจารณาเห็นแจ้งถึงการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของจิตอย่างไม่รู้จักจบสิ้น หาความเที่ยงแท้ไม่ได้ จนรู้ว่าสิ่งใดมีเกิดสิ่งนั้นย่อมมีดับไปเป็นธรรมดา
    (อยู่ในช่วงพระโสดาปัตติมรรค ถึง พระโสดาปัตติผล พระอริยบุคคลขั้นแรก ผู้ถึงแล้วซึ่งกระแสแห่งพระนิพพาน)

    อนัตตาเบื้องปลายพิจารณาเห็นแจ้งถึงความไม่เกิดไม่ดับของจิต จนรู้ว่าสิ่งใดไม่มีเกิด สิ่งนั้นย่อมไม่มีดับ
    (อยู่ในช่วงพระอรหัตตมรรค ถึง พระอรหัตตผล พระอริยบุคคลขั้นสุดท้าย)

    พุทโธ พุทโธเมื่อเกิดปัญญารู้แจ้งได้ดังนี้แล้ว ย่อมเป็นผู้เห็นธรรม จบกิจพระพุทธศาสนาแล้ว
    (พระอรหันต์ เป็นผู้รู้แล้ว ซึ่งจุดหมายที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และชี้ทางไว้ดีแล้
    ว)
     
  5. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เราจะเห็นแล้วว่าความสำเร็จใดๆนั้นอยู่ที่ความมานะอดทนและมีใจที่พากเพียรพยายามเพื่อผลของความสำเร็จนั้นได้ การศึกษาพระธรรมวินัยเพื่อการสืบทอดเจตนารมณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้บัญญัติไว้ในหลักพุทธศาสนาเพื่อถือการปฏิบัติให้ถูกหลักของสงฆ์ที่จะดำรงสืบทอดศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองต่อไป การท่องบทปาฏิโมกข์นั้นถือเป็นการปฏิบัติที่สำคัญยิ่งที่พระสงฆ์เรานั้นจะต้องมีการท่องบทให้ได้ เราจะเห็นว่าพระสงฆ์ในยุคก่อนนั้นการเล่าเรียนพระธรรมวินัยหรือการท่องบทสวดมนต์เขาจะมีความมุมานะมากยิ่งในยุคสมัยก่อนนั้นการสื่อสารใดๆก็ยังไม่ทันสมัย ต้องอาศัยตำราหลักในการท่องจำ โดยที่การเรียนรู้นั้นก็ต้องท่องจำจนขึ้นใจและเรียนรู้กันอย่างจริงจังและสามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในสังคมและชีวิตประจำวันได้ก็เปรียบเสมือนการเรียนวิชาอาคมใดๆก็ต้องเรียนและทดสอบให้เกิดผลได้จึงสามารถที่จะนำไปใช้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักต่างๆได้

    ในยุคก่อนสมัยที่หลวงปู่ทิมท่านได้เรียนรู้และศึกษาวิชาการใดๆที่จะสามารถนำพาประโยชน์ที่ดีแก่มนุษย์เราได้ ซึ่งการเรียนรู้วิชาใดๆนั้นจักต้องจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีจิตวิญญาณในการเรียนรู้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากเย็น ดังตัวอย่างที่หลวงปู่ทิมท่านได้ไปขอศึกษาร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อกราดแห่งวัดชากกอไผ่ ซึ่งตามตำนานนั้นกล่าวกันว่า เมื่อครั้งที่หลวงปู่ทิมท่านได้ไปขอเรียนวิชาจากหลวงพ่อกราดแต่กลับโดนหลวงพ่อกราดท่านด่ากราดกลับไปและบอกว่ากูไม่มีวิชาใดๆทั้งสิ้นและดุด่าว่ากล่าวกันไปต่างๆนาๆ ซึ่งก็มีหลายคนที่มาขอร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อกราดเหมือนกันแต่เมื่อโดนดุด่ากลับต้องรีบเผ่นกันไม่ทันตั้งตัวเหมือนกันก็มี ด้วยความที่หลวงพ่อกราดท่านเป็นพระที่คงแก่กล้าวิชาและเป็นพระที่ดุด้านเอาการประกอบด้วยวัตรปฏิบัติของท่านที่จะแปลกกว่าพระทั่วไปจึงอาจทำให้มีน้อยรายที่จะกล้ามาขอร่ำเรียนวิชาได้ ซึ่งเมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้โดนหลวงพ่อกราดท่านด่ากลับไปแต่หลวงปู่ทิมท่านก็ไม่ละความพยายามใดๆท่านก็ยังไปขอร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อกราดอีกและคำตอบก็เป็นดังเดิมคือหลวงพ่อกราดท่านก็ด่ากลับไปว่า “กูบอกแล้วไงว่ากูไม่มีวิชาใดๆทั้งสิ้น มึงมาทางไหนมึงจงกลับไปทางนั้นซะ “ ซึ่งเมื่อหลวงปู่ทิมท่านได้ยินดังนั้นท่านก็ยังไม่ละทิ้งความพยายามใดๆและด้วยจิตวิญญาณความต้องการที่จะเรียนรู้ให้ได้ โดยที่หลวงปู่ทิมท่านก็มีความเพียรพยายามทุกทางที่จะร่ำเรียนให้ได้จและด้วยความเพียรพยายามนั้นเองหลวงปู่ทิมท่านจึงได้ทราบว่าหลวงพ่อกราดท่านชอบสูบกัญชาเป็นชีวิตจิตใจ จากนั้นหลวงปู่ทิมท่านจึงได้นำกัญชาไปถวายให้แก่หลวงพ่อกราดห่อหนึ่งและบอกเจตนารมณ์ความต้องการประสงค์ที่จะร่ำเรียนวิชา ซึ่งเมื่อหลวงพ่อกราดท่านรับและท่านคงรู้และทราบได้ถึงความเพียรพยายามความตั้งใจของหลวงปู่ทิมที่ต้องการจะสืบทอดวิชาอาคมต่างๆด้วยจิตวิญญาณโดยแท้ หลวงพ่อกราดท่านจึงได้เมตตาถ่ายทอดวิชาอาคมต่างๆให้กับหลวงปู่ทิมซึ่งวิชาต่างๆที่ถ่ายทอดไปนั้นถ้าไม่มีจิตวิญญาณสูงจะร่ำเรียนกันไม่ได้เลย ประกอบกับหลวงพ่อกราดท่านจะหวงวิชาอาคมของท่านมาก เมื่อหลวงพ่อท่านถ่ายทอดไปแล้วจะต้องทำให้เห็นผลและถูกต้องตามตำราให้ได้ ถึงแม้มันจะยากเย็นแสนเข็ญเพียงใด หลวงปู่ทิมท่านเคยเล่าให้นายสาย แก้วสว่างฟังว่า เมื่อครั้งตอนที่ได้ไปร่ำเรียนวิชาจากหลวงพ่อกราด ซึ่งหลวงปู่ท่านได้ร่ำเรียนมาหลายวิชาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิชาการสร้างผ้ายันต์พัดโบกซึ่งเป็นวิชาที่มีอานุภาพสูงทางเมตตามหานิยมโดยจากประสบการณ์เมื่อคราวที่หลวงปู่ทิมท่านได้เห็นเพื่อนของท่านสมัยที่เป็นพลลูกหมู่นำไปใช้แล้วเกิดผลได้อย่างอัศจรรย์

    และเมื่อคราวตอนที่หลวงปู่ทิมท่านได้ร่ำเรียนวิชาการสร้างผ้ายันต์พัดโบกโดยที่หลวงพ่อกราดท่านจะถ่ายทอดวิชาตามตำราการสร้างโดยที่จะต้องใช้ผ้าห่อศพหรือผ้ามัดตราสังข์แล้วนำว่านต่างๆที่กำหนดไว้แล้วนำมาเขียนลงบนผ้าโดยที่จะต้องกำหนดจิตว่าคาถาลงทุกตัวแล้วนำไปเสกในโบสถ์ถึง 7วัน จนกว่าผ้าที่เสกนั้นจะปลิวหรือลอยขึ้นเองจึงจะเป็นอันว่าใช้ได้ เราจะเห็นว่าการเรียนวิชาอาคมในยุคสมัยก่อนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะร่ำเรียนกันได้ถ้าไม่มีจิตวิญญาณความตั้งใจสูง และอำนาจจิตสมาธิที่แก่กล้าได้
     
  6. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เรื่องราวการบันทึกประวัติของหลวงปู่ทิม อิสริโกแห่งวัดละหารไร่นั้นเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันมานาน ผมได้พยายามศึกษาค้นคว้าจากโยมผู้เฒ่าผู้แก่ลูกศิษย์ลูกหาและชาวบ้านที่ได้เคยไปมาหาสู่ที่วัดกันซึ่งปัจจุบันที่ยังมีชีวิตนั้นก็ยังมีกันอยู่ โดยคำบอกเล่าที่สืบทอดกันมาหรือการบันทึกความทรงจำต่างๆที่เคยได้ยินได้ฟังกันมาหรือการเห็นประจักษ์กับตาสามารถเป็นประสบการณ์เรื่องเล่าที่ได้ถ่ายทอดสู่กันฟังเพื่อจะได้ทราบถึงครูบาอาจารย์ที่เรานับถือกันโดยการน้อมนำเอาคำสอนสั่งที่ดีที่เป็นประโยชน์หรือบทความบันทึกการถ่ายทอดบทเรียนจากครูบาอาจารย์ที่สามารถนำมาสื่อใช้ในชีวิตประจำวันของเราได้เพื่อให้เป็นหนทางแห่งความเจริญก้าวหน้าของชีวิตที่ดีอย่างเป็นรูปแบบ ซึ่งหลวงปู่ทิม อิสริโกนั้นท่านถือเป็นหนึ่งในเกจิอาจารย์ทั้งหลายที่ถือเป็นแม่บทที่ดีที่สาธุชนผู้นับถือทั้งหลายสามารถยึดถือและเป็นแนวปฏิบัติตามหลักวิธีของพระพุทธศาสนา เราจะเห็นว่าความสุขนั้นอาจจะเป็นหนทางของการเกิดกิเลสได้คือเกิดความลุ่มหลงได้ถ้าไม่เข้าใจตามหลักของวิถีแห่งชีวิตได้ และบางครั้งความทุกข์หรือความลำบากนั้นก็อาจจะสามารถเป็นหนทางให้เกิดความเข้าใจหรือรู้จักความหมายอย่างลึกซึ้งของชีวิตนั้นได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญๆต่างๆที่ก้าวเข้ามาในสังคมชีวิตนั้นถือเป็นบทเรียนที่จะพัฒนาตนเองให้มีความเข้าใจหรือมีทัศนคติตามหลักปฏิบัติแห่งทิศทางของชีวิตให้ดำเนินต่อไปอย่างถูกต้องได้ "

    ในยุคสมัยก่อนนั้นใครที่เก่งกล้าวิชาอาคมหรือเก่งกาจในเรื่องใดๆของอาคมต่างๆ สามารถเรียนรู้วิชาอาคมใดๆได้แตกฉานเร็วคนในสมัยก่อนนั้นเขาจะเรียกยกย่องคนๆนั้นว่า”ไอ้เสือ “หรือ “ อ้ายเสือ “เป็นคำเรียกแทนนามกัน ซึ่งไม่ว่าจะเป็นพระหรือฆราวาสนั้นก็จะเรียกเปรียบเสมือนกัน อย่างในยุคสมัยก่อนนั้นเมื่อมีฆราวาสที่ห้าวหาญไปออกปล้นตามที่ต่างๆและศาสตราวุธใดๆนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้ โดยที่มีอิทธิฤทธิ์ทางอยู่ยงคงกระพันก็จะเรียกผู้นั้นว่าไอ้เสือเหมือนกัน ซึ่งไม่ว่าจะมีคาถาอาคมที่ดีหรือการถือใช้เครื่องรางของขลังและการสักยันต์ที่นิยมกันในยุคนั้นมีอานุภาพที่ศักดิ์สิทธิ์สามารถรอดพ้นภยันตรายใดๆได้ก็จะเรียกดั่งเช่นเดียวกัน ซึ่งที่มาของคำว่า ไอ้เสือหรืออ้ายเสือนั้นคงเรียกกันตั้งแต่โบร่ำโบราณกันมาแล้ว ซึ่งคำว่าไอ้เสือนั้นเราอาจจะตีความหมายว่า ผู้เก่งกาจหรือผู้รอบรู้ หรือผู้มีสรรพวิชาดีในตัวก็ได้ เราจะเห็นว่าแม้กระทั่งหลวงปู่หินแห่งวัดหนองสนมเกจิผู้เรืองนามยังให้การยอมรับกันกับอาคมและอำนาจจิตที่แก่กล้าของหลวงปู่ทิมแห่งวัดละหารไร่ และวิชาอาคมใดๆนั้นการที่เกจิอาจารย์ต่างๆที่นำเอาตัวยันต์มาสร้าง ซึ่งตัวยันต์แต่ละตัวที่นำมาสร้างเป็นเครื่องรางนั้นจะต้องได้รับการศึกษาและเรียนรู้ถ่ายทอดจากอาจารย์จนมีความมั่นใจในตัวเองได้จึงจะสามารถนำมาสร้างให้เกิดอานุภาพที่เชื่อมั่นกันได้ ในยุคสมัยก่อนนั้นการกำหนดตัวยันต์หรือการเรียกสูตรอักขระต่างๆนั้นจะพิถีพิถันหรือเคร่งครัดตามขั้นตอนมาก แม้กระทั่งวัสดุที่นำมาสร้างจะต้องกำหนดตามตำราโบราณหรือครูบาอาจารย์ที่ท่านได้กำหนดไว้ เพื่อผลของอานุภาพและความศักดิ์สิทธิ์ที่เชื่อถือกันได้ ผมจะขอยกตัวอย่างเช่นการสร้างผ้ายันต์พัดโบกโดยเมื่อครั้งที่หลวงปู่ทิมท่านไปเรียนกับหลวงปู่กราดแห่งวัดชากกอไผ่ โดยตามตำราการสร้างของครูบาอาจารย์กำหนดว่าตัวผ้าที่จะนำไปสร้างเป็นผ้ายันต์พัดโบกนั้นจะต้องใช้ผ้าห่อศพหรือผ้าที่มัดตราสังข์จากนั้นต้องนำมาพลีหรือมาบังสุกุลอุทิศให้แก่ผู้ตายให้เสร็จเรียบร้อยจึงจะสามารถนำมาสร้างได้ จากนั้นจะต้องหาว่านต่างๆที่กำหนดไว้ในตำราการสร้างให้ครบแล้วนำมาผสมกันเป็นน้ำว่านหรือผสมกับหมึกแล้วนำมาลงอักขระยันต์บนผ้าที่เตรียมไว้ ซึ่งเวลาลงอักขระแต่ละตัวนั้นจะต้องว่าคาถากำกับทุกตัวและต้องกลึงอักขระของแต่ละตัวไว้ หลังจากนั้นต้องนำไปปลุกเสกในโบสถ์อีกเจ็ดวันเจ็ดคืนจนกว่าผ้ายันต์ที่เสกนั้นลอยหรือกระพือขึ้นก็แสดงว่าเป็นอันสำเร็จเรียบร้อยสามารถที่จะนำมาใช้ให้เกิดผลดั่งปรารถนาได้ เราจะเห็นว่าการสร้างเครื่องรางของขลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะสร้างกันให้ถูกต้องตามตำราที่กำหนดมาได้ ซึ่งเกจิในยุคนั้นเขาสามารถทำกันได้จริงด้วยอำนาจจิตที่คงมั่นและการเรียนรู้กันอย่างจริงจัง และการที่จะนำไปใช้ให้เกิดผลได้นั้นก็จะต้องมีเคล็ดลับในการใช้หรืออยู่ที่จิตศรัทธาความเชื่อมั่นถึงจะให้มีผลตอบรับที่แน่นอนได้ และการสร้างเครื่องรางของขลังในยุคต่อมานั้นเกจิอาจารย์ในยุคเก่าที่ท่านเคร่งครัดในอาคมไสยเวทต่างก็ได้สิ้นยุคกันไปตามกาลเวลา และเกจิอาจารย์ในยุคต่อมาที่ได้สืบทอดวิชและสามารถที่จะทำให้เกิดอานุภาพให้เป็นดั่งที่อาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชานั้นได้ ก็คงจะต้องมีความเชี่ยวชาญเป็นอย่างมากถึงจะสามารถทำให้เกิดผลได้เหมือนกับอาจารย์ที่ได้ถ่ายทอดวิชากันมา ซึ่งในปัจจุบันนี้นั้นอาจจะด้วยความเจริญของโลกมนุษย์ด้วยสรรพสิทธิ์ทั้งหลายที่ย่างก้าวเข้ามา ความสะดวกสบายหรือความกะทัดรัดเพื่อความรวดเร็วของเวลาที่ทุกวินาทีเพื่อความคุ้มค่าและประหยัดเวลา การสร้างวัตถุมงคลทั้งหลายจึงได้นิยมสร้างเครื่องรางของขลังกันในรูปแบบจำนวนที่มากหลายโดยจะใช้หลักการเป็นแบบพิธีปลุกเสกหมู่หรือการใช้อำนาจจิตที่เชื่อมั่นของเกจิอาจารย์ผู้ปลุกเสกนั้น และด้วยความสะดวกทันสมัยนั้นจึงทำให้วิธีการสร้างเครื่องรางของขลังในยุคโบราณนั้นค่อยๆสูญสิ้นกันไปได้ และการสร้างเครื่องลางของขลังตามสูตรโบราณนั้นกลายเป็นตำนานเรื่องราวที่กล่าวขานกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 005.png
      005.png
      ขนาดไฟล์:
      501 KB
      เปิดดู:
      100
  7. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    เถาวัลย์บางชนิดพันต้นไม้ ไม่มีเลี้ยวไปทิศอื่น ต้องพันเลี้ยวไปทางทักษิณาวัตรเสมอ สังเกตเช่นนี้ก็มีระลึกตัว หากเราจะทำจิตให้ก้าวไปสู่ความดียังยิ่งยวด เราต้องเอาอย่างเถาวัลย์ คือเดินทางทักษิณาวัตร เพราะพระพุทธองค์ได้ทรงแสดงว่า กายกัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง ปทักขินัง ฉะนั้น เราต้องทักษิณาวัตร คือ เวียนไปทางทักษิณเสมอ นั่นคือ เราต้องทำตนให้เหนือกิเลสที่จะลุกลามใจ ขณะเรานั่งสมาธิหลับตาภาวนานั้น ก็ให้หลับแต่ตา ส่วนใจเราต้องให้สว่างไสวเหมือนต้นไม้นอนในวลากลางคืน ซึ่งใบไม้ไม่ปิดตาเรา เมื่อเราฟอกดวงจิตของเราให้ขาวสะอาดเป็นจิตที่บริสุทธิ์แล้ว จิตนั้นก็ย่อมจะเกิดแสงสว่างเป็นความรู้ ความคิด ความเห็นขึ้นในตน... ( คำสอนท่านพ่อลี วัดอโศการาม )
     
  8. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    [FONT=&quot]หลวงพ่อกราดท่าน เป็นพระผู้เรืองอาคมมากและเจริญยิ่งทางไสยคมต่างๆ โดยแม้กระทั่งหลวงพ่อวงศ์แห่งวัดบ้านค่ายเกจิอาจารย์ชื่อดังท่านยังให้มี ความนับถือและได้แลกเปลี่ยนหรือลองวิทยาคมด้วยกันเสมอ ด้วยวัตรปฏิบัติที่ท่านจะแปลกกว่าพระสงฆ์ทั่วไป โดยเล่ากันว่าท่านชอบจะสูบกัญชาเป็นชีวิตจิตใจ แต่โดยนัยยะความเป็นจริงแล้วนั้นท่านแขวงไปด้วยอำนาจจิตสมาธิที่แก่กล้ามาก สามารถที่จะใช้อำนาจของไสยเวทย์นั้นมาปฏิบัติให้เห็นผลได้ และสามารถสร้างผลต่างๆนั้นให้เกิดความอัศจรรย์ต่างๆได้ จนทำให้หลวงปู่ทิม อิสริโกแห่งวัดละหารไร่ท่านมีความเลื่อมใสหลวงพ่อกราดที่ท่านมีชื่อเสียง เป็นที่ร่ำลือกันโดยวิชาอาคมต่างๆนั้นเป็นที่เชื่อถือหรือเป็นหลักประกันได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัตถุมงคลต่างๆที่ท่านได้สร้างไว้ซึ่งในสมัยนั้นจะสร้าง เป็นเครื่องรางของขลังไม่ว่าจะเป็นตะกรุด ประคดแขนและผ้ายันต์ต่างๆโดยเฉพาะผ้ายันต์พัดโบกนั้นเป็นที่กล่าวขานกันมาก และเป็นที่เลื่องลือกันจนทำให้หลวงปู่ทิมท่านได้มาขอร่ำเรียนวิชาต่างๆและ การสร้างผ้ายันต์ผ้ายันต์พัดโบกจนสำเร็จได้ และทำให้ผ้ายันต์พัดโบกนี้เป็นที่นิยมกันมากตามหมู่คนที่นับถือกันทั่วไปและ เหล่าคนที่นิยมเครื่องรางของขลังต่างๆซึ่งอาจจะแสดงให้เห็นถึงความอัศจรรย์ ต่างๆได้ และหลวงพ่อกราดนั้นท่านก็ถือเป็นเกจิอาจารย์องค์หนึ่งที่ได้ถ่ายทอดวิชาอาคม ในแขนงต่างๆให้แก่หลวงปู่ทิมอิสริโกแห่งวัดละหารไร่เกจิชื่อดังของเมือง ระยอง

    [​IMG]
    [/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2014
  9. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    มนุษย์ทุกชีวิตที่เกิดมานั้นย่อมมีทั้งสุขและทุกข์ควบคู่กันมา มีความสำเร็จและปัญหาอุปสรรคใดๆก็ต้องควบคู่กันไป มีความดีและความชั่วที่จะต้องประสบกันได้ทุกคน ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่จะต้องประสบกันได้แม้กระทั่งพระ พุทธเจ้าท่านก็ต้องเจอ อยู่ที่ทุกคนเรานั้นจะครองสติปัญญาที่พินิจพิจารณาไตร่ตรองเห็นได้ถึงทาง แห่งการพ้นทุกข์เพื่อต้องการพบความสุขที่ดีแต่การที่จะพบสุขที่ดีได้จะต้อง รับรู้ถึงซึ่งอุปสรรคใดๆที่จะต้องผ่านเข้ามาได้และรับรู้ถึงปัญหาที่จะต้อง แก้ไขไปเพื่อให้เข้าใจถึงปัญหานั้นได้และเป็นประสบการณ์ที่ทราบได้ ฉะนั้นหลักธรรมของพระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า ให้เจริญในศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อ มีปัญหาชีวิตหรืออุปสรรคชีวิตเกิดขึ้นก็ย่อมสามารถแก้ปัญหาชีวิตได้ดีกว่าคน อื่น และการแก้ปัญหาด้วยปัญญานั้นทางพระพุทธศาสนาได้ยึดหลักการที่ว่า“ปัญหา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมมีสาเหตุหรือต้นเหตุ เราต้องค้นหาต้นเหตุของปัญหานั้นให้พบ แล้วแก้ปัญหาที่ต้นเหตุนั้น จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้ถูกต้องและถูกจุด”
     
  10. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    จากความศรัทธาที่ยึดมั่นและประสบการณ์ที่ได้นำไปใช้ทำให้ชาวบ้านนั้นเกิดความต้องการอย่างยิ่งที่จะมาขอให้หลวงปู่ทิมท่านช่วยเหลือในยามที่ตกทุกข์ได้ยากกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจ็บป่วยใดๆนั้นเป็นสิ่งที่ต้องการมาก เราจะเห็นว่าเมื่อมีชาวบ้านประสงค์ที่จะมีความต้องการกันมากขึ้น ประกอบกับการรักษาที่จะให้ทันท่วงทีนั้นคงจะเป็นไปตามความต้องการนั้นยาก ซึ่งชาวบ้านที่เก่งกล้าทางอาคมในยุคสมัยก่อนนั้นก็มีมากหลายซึ่งก็มีทั้งไสยขาวและไสยดำหรือการเล่นมนต์ดำต่างๆซึ่งในคนยุคสมัยก่อนนั้นเขาเล่นกันจริงจังและทำกันได้จริงและการถือสัจจะนั้นเป็นสิ่งสำคัญยิ่งในการเล่นไสยศาสตร์ให้ประจักษ์ตากันได้ยิ่ง ในยุคสมัยก่อนการร่ำเรียนวิชาอาคมต่างๆนั้นเมื่อมีการเรียนจบกันใหม่ๆก็แน่นอนที่จะต้องมีการใช้ความรู้ต่างๆที่ได้ร่ำเรียนศึกษามาเพื่อต้องการหาประสบการณ์เพื่อการเรียนรู้สู่ความชำนาญเพื่อความคล่องแคล่วกับวิชานั้นๆที่ศึกษากันมาได้ หลวงปู่ทิมท่านได้ร่ำเรียนรู้วิชาอาคมมาจากหลากหลายอาจารย์ ซึ่งโดยแต่ละอาจารย์นั้นการที่จะได้ถ่ายทอดวิชากันบางครั้งต้องผ่านบททดสอบให้ได้ถึงจะได้ร่ำเรียนรู้กันได้ ซึ่งวิชาต่างๆนั้นจะต้องมีความอดทนและความพากเพียรสูงถึงจะร่ำเรียนกันได้ บางครั้งเราอาจจะมองว่าเป็นเรื่องง่ายกับการเรียนในยุคสมัยนี้ที่เพียงรู้จักตัวคาถาและการใช้จิตสมาธิสื่อนำก็สามารถใช้ได้แล้ว แต่ในยุคสมัยก่อนการเรียนรู้ใดๆกับบททดสอบและการทำให้เกิดผลเป็นที่น่าพอใจจากผู้เป็นอาจารย์นั้นเป็นเรื่องที่คงไม่ง่ายกันแน่ นายสาย แก้วสว่างลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่ทิมท่านเคยเล่าว่า ในยุคก่อนสมัยที่หลวงปู่ทิมท่านได้ไปร่ำเรียนวิชาอาคมจากต่างแดนหรือในที่ต่างๆนั้นการเรียนรู้จากตัวบทคาถาที่จะใช้นั้นจะต้องท่องบทจำจนขึ้นใจเองหรือจดจำเองให้ได้ จะไม่มีการมาจดบันทึกเหมือนกับสมัยนี้ และจะต้องท่องบทคาถาแต่ละบทให้ได้ซึ่งถ้ายังท่องไม่ได้บางครั้งก็จะต้องอดฉันข้าว ซึ่งต้องอาศัยความมานะพากเพียรต่อการร่ำเรียนวิชาต่างๆนั้นให้สำเร็จไปได้ หลวงปู่ท่านต้องยอมอดฉันข้าวเหมือนกันเพื่อที่จะต้องท่องบทคาถาเพียงบทนั้นให้ได้เพื่อที่จะต้องการได้รับการถ่ายทอดสู่บทคาถาในบทต่อไปได้ ซึ่งเราจะเห็นว่าก็เป็นเหตุการณ์ที่เปรียบเสมือนกับรูปแบบของการเรียนในยุคสมัยก่อนซึ่งเป็นการศึกษาร่ำเรียนโดยใช้กระดานชนวนเมื่อได้ร่ำเรียนเขียนอ่านและท่องบทอาขยานจนขึ้นใจแล้วจากนั้นก็จะลบออกและจะได้เรียนกันในบทเรียนต่อไปได้ แต่ซึ่งถ้ายังเขียนอ่านหรือยังท่องบทไม่ได้ก็จะต้องทำให้ได้ถ้ายังทำไม่ได้ก็จะต้องไปเริ่มกันใหม่แต่จะไปช้ากว่านักเรียนที่เรียนด้วยกันได้ หรืออาจจะต้องเรียนซ้ำกับนักเรียนในรุ่นต่อไปได้ เราจะเห็นว่าวิชาอาคมในสมัยก่อนนั้นเขาจะเรียนกันจริงจังและสามารถทำกันได้จริงและเห็นผลได้ ซึ่งวิชาการต่างๆตามแต่ละแขนงนั้นมีมากหลายแล้วแต่การจะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในสิ่งที่ดีๆได้ และวิชาอาคมต่างๆนั้นมีทั้งไสยขาวและไสยดำที่กำเนิดขึ้นมาซึ่งการเรียนรู้นั้นอยู่ที่จิตวิญญาณของผู้เรียนที่จะสามารถนำไปใช้ให้ถูกต้องตามจุดประสงค์ต่างๆได้

    วิชาอาคมนั้นมีหลากหลายอย่างในการศึกษาละเรียนรู้เพื่อนำมาใช้กัน นายสายท่านเล่าว่าหลวงปู่ทิมท่านมีจิตวิญญาณในการศึกษาและเรียนรู้วิชาอาคมต่างๆอยู่เสมอแม้กระทั่งเมื่อเวลายามว่างหลวงปู่ท่านจะหมั่นทบทวนวิชาการต่างๆที่ร่ำเรียนมาอยู่เสมอซึ่งหลวงปู่ท่านอาจจะมีจุดประสงค์อยู่ที่ว่า การศึกษาหาความรู้ใดๆนั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็จะต้องหมั่นฝึกฝนและทบทวนอยู่เสมอเพื่อความชำนาญหรือความรู้วิชาต่างๆนั้นจะได้ไม่ลืมเลือน เราจะเห็นว่าการที่ได้ไปไขว่คว้าหาวิชาอาคมต่างๆนั้นมันอาจจะยากลำบากกันยิ่งนัก ด้วยในยุคสมัยก่อนด้วยแล้วการที่ได้ไปขอเรียนวิชาอาคมจากเกจิอาจารย์หรือผู้เรืองอาคมนั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ถ้าไม่มีจิตวิญญาณความอดทนสูงได้ ซึ่งโดยวิชาอาคมต่างๆนั้นการถือการปฏิบัติและคำสัตย์ต่อครูบาอาจารย์นั้นเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงกันอย่างมากในการศึกษาเล่าเรียน โดยการศึกษาเล่าเรียนกันในแต่ละครั้งนั้นต้องใช้ระยะเวลากันพอสมควรได้อยู่ที่ว่ามีความมานะอดทนและความตั้งใจหมั่นเพียรเรียนรู้กันมากเพียงใดกับการศึกษาและเรียนรู้ให้เกิดผลกันได้ ดังตัวอย่างเช่น การทำปลัดขิกหรือการเสกปลัดขิกเพื่อให้มีอานุภาพหรืออิทธิฤทธิ์ให้เชื่อถือกันได้ ซึ่งโดยตามตำราหรือเกจิอาจารย์ในยุคเก่านั้นอาจจะระบุไว้ว่า จะต้องเสกให้มีชีวิตชีวาขึ้นมาได้หรือให้มีจิตวิญญาณในตัวของมันได้ โดยจะต้องใช้อำนาจจิตในการเสกปลัดให้มีการเคลื่อนไหวได้นั่นอาจจะแสดงว่าปลัดขิกนั้นดุจมีชีวิตหรือมีอานุภาพในตัวแล้ว โดยพร้อมที่จะสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์และการคุ้มครองตัวเพื่อความปลอดภัยในชีวิตได้ ซึ่งการปลุกเสกปลัดขิกให้ตรงตามตำราที่กล่าวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆที่จะสามารถทำกันได้ถ้าไม่มีความอดทนเพียงพอ และด้วยความที่หลวงปู่ทิมท่านไม่ย่อท้อต่ออุปสรรคต่างๆถึงแม้จะทำไม่สำเร็จก็ตามที แต่ด้วยการที่มีจิตวิญญาณความตั้งใจและความเพียรพยายามสูงที่จะต้องการสามารถสืบทอดวิชาการดังกล่าวให้จบกระบวนสิ้นได้ จึงต้องเพียรพยายามหาเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในวิชาการนั้นๆเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามความต้องการให้ได้ เราจะเห็นแล้วว่าความมานะอดทนและบากบั่นหรือความเพียรนั้นสามารถที่จะบอกความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้าได้ โดยมีจุดประสงค์หลักเพื่อให้วิชาดังกล่าวนั้นได้มีผู้สืบทอดกันได้และจุดมุ่งหมายสำคัญเพื่อที่จะต้องการให้ผู้ที่นับถือและศรัทธาได้นำเครื่องรางของขลังที่มีอานุภาพได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กันได้

    ในยุคสมัยก่อนเครื่องรางของขลังสามารถที่จะมีอิทธิพลสำคัญยิ่งในการดำเนินชีวิตประจำวันของคนเราได้ถ้ารู้จักนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ที่ดี เราจะเห็นว่าหลวงปู่ทิม อิสริโกท่านมีความเพียรพยายามสูงในการที่จะสืบทอดดำรงพระพุทธศาสนาและการศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคมและไสยศาสตร์เพื่อนำความรู้ความเข้าใจที่ได้ศึกษามาเพื่อดำรงประโยชน์แก่สังคมของมวลหมู่มนุษย์ที่ดี นายสาย แก้วสว่างอดีตไวยาวัจกรของวัดละหารไร่และลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านเล่าว่า เมื่อครั้งตอนที่ท่านยังเด็กๆหรือเท่าที่จำความได้นั้นหลวงปู่ทิมท่านจะออกเดินบิณฑบาตเพียงองค์เดียว ไม่ว่าเจ็บไข้ได้ป่วยใดๆหลวงปู่ท่านก็ยังถือเดินบิณฑบาตรเป็นกิจวัตรของสงฆ์โดยไม่รู้จักการเหนื่อยท้อและความออน่แอเพียงยากประการใดเลย โดยเฉพาะที่วัดละหารไร่ในยุคนั้นอาจด้วยเป็นวัดที่ห่างไกลความเจริญ และห่างไกลผู้คนสัญจร การคมนาคมก็ลำบากยากเย็นแสนเข็ญกัน จึงทำให้มีพระภิกษุนั้นมาจำพรรษากันน้อยมากเมื่อถึงเวลาเข้าพรรษา ซึ่งโดยส่วนใหญ่นั้นผู้คนที่มาบวชก็จะเป็นในคนหมู่บ้านและละแวกใกล้เคียงกัน และชาวบ้านละหารไร่ในยุคนั้นโดยส่วนใหญ่เมื่อถึงเวลางานเทศกาลใดๆก็จะถือที่วัดละหารไร่นั้นเป็นจุดศูนย์กลางในการชุมนุมเพื่อทำกิจกรรมใดๆกัน ซึ่งสมัยนั้นศาลาอาจจะยังไม่เพียงพอสำหรับการประกอบกิจกันได้ ต่อมากำนันเสถียร อดีตกำนันตำบลละหารไร่ท่านเล่าว่า บิดามารดาของท่านคือก๋งย้วนและนางจิ๊ด มีความเลื่อมใสในตัวหลวงปู่ทิมมากประกอบกับจริยวัตรและการปฏิบัติเป็นที่น่านับถือของชาวบ้านละหารไร่กัน จึงได้มีจิตศรัทธาบริจาคปัจจัยร่วมสร้างศาลาหลังย่อมๆขึ้นมาเพื่อถวายแด่องค์หลวงปู่ทิม อิสริโกโดยมีจุดประสงค์เพื่อสำหรับเป็นที่พักพิงของชาวบ้าน โดยได้สร้างไว้อยู่บริเวณเหนือของโรงเรียนที่ตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ออกไป โดยศาลานั้นได้ตั้งชื่อไว้ว่าศาลาย่าจิ๊ด หรือศาลาทวดจิ๊ด ซึ่งได้ตั้งชื่อตามคนที่ออกปัจจัยสร้างเพื่อบันทึกไว้ให้เป็นเกียรติประวัติ ต่อมาทางวัดก็ได้ใช้พื้นที่ของศาลาทวดจิ๊ดนี้เป็นสถานที่สำหรับการเรียนหนังสือของหมู่บ้านหรือพระเณรซึ่งในยุคนั้นการเรียนยังน่าจะใช้กระดานชนวนเป็นสื่อในการเรียนการสอน โดยที่ในยุคก่อนนั้นโรงเรียนของหมู่บ้านละหารไร่ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้นมาเป็นรูปร่างส่วนใหญ่จะมาเรียนกันในวัดโดยใช้พื้นที่ของศาลาในการศึกษาร่ำเรียนกัน ต่อมาเมื่อทางการได้สร้างโรงเรียนของวัดละหารไร่ขึ้น จึงทำให้ศาลาทวดจิ๊ดนั้นได้เป็นที่พักพิงของชาวบ้านใครผ่านไปผ่านมาก็มาพักหลบฝนหลบแดดกันหรือมานั่งสนทนากัน และต่อมาด้วยกาลเวลาที่เนิ่นนานศาลาทวดจิ๊ดนั้นก็ได้ผุพังลงและจากนั้นชาวบ้านก็ได้ช่วยรื้อกันไป ซึ่งด้วยเหตุนี้ศาลาทวดจิ๊ดนี้จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาเล่าเรียนในหมู่บ้านละหารไร่กัน และโดยในระยะก่อนนั้นชาวบ้านแถบนั้นจะมาเรียนกันที่วัดละหารใหญ่ซึ่งถือกำเนิดการเรียนขึ้นมาก่อน เราจะเห็นแล้วว่าสิ่งสำคัญของคนเราที่จะสื่อสารกันได้ดีคือการเรียนหนังสือ เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจและมีทัศนคติในโลกกว้าง ฉะนั้นการศึกษาร่ำรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตได้ หลวงปู่ทิมท่านเคยกล่าวกับนายสาย แก้วสว่าง ว่าการศึกษาร่ำเรียนวิชากันนั้นเป็นสิ่งที่เราต้องเรียนรู้อยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสที่ดีเราควรไขว่คว้าหาความรู้มาใส่ตัวเพื่อให้ตัวเรามีศักยภาพเป็นที่น่าเชื่อถือ โดยที่อายุอานามนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือปัญหาใดๆที่จะมาขวางได้ นายสายท่านยังเล่าว่าในยุคสมัยที่หลวงปู่ทิมท่านได้พัฒนาวัดละหารไร่ให้เจริญรุ่งเรือง โดยเมื่อถึงเวลายามว่างทุกครั้งหลวงปู่ทิมท่านจะไม่ค่อยอยู่นิ่งหรือปล่อยเวลาไปให้ปล่าวประโยชน์ไป หลวงปู่ท่านจะหมั่นทบทวนความรู้และวิชาการต่างๆที่ได้เคยศึกษาร่ำเรียนมา หรือการเดินจงกรมเพื่อการเจริญสติอยู่เสมอ หรือแม้กระทั่งการท่องบทปาฏิโมกข์ซึ่งเป็นหลักสำคัญทางพุทธศาสนานั้นหลวงปู่ทิมท่านจะหมั่นทบทวนอยู่เสมอ นายสาย แก้วสว่าง ท่านเล่าว่า ครั้นยามเวลาเข้าพรรษาเมื่อถึงวันพระ15ค่ำนั้นจะต้องมีการทำสังฆกรรมของพระภิกษุในวัดและจะต้องมีการท่องบทสวดปาฏิโมกข์ซึ่งเป็นบทสำคัญมากในทางพุทธศาสนาโดยถือเป็นคัมภีร์ที่รวมวินัยของสงฆ์227ข้อและจะต้องมีการท่องบทเพื่อทบทวนศีลทั้ง227ข้อนี้ของพระภิกษุสงฆ์ทั้งหมดท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ในอุโบสถกัน ฉะนั้นการสวดพระปาฏิโมกข์จึงถือเป็นหน้าที่ที่สำคัญยิ่งที่การถือตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดจะต้องพึงปฏิบัติกันได้ นายสาย แก้วสว่างท่านเล่าว่าในอดีตที่ผ่านมานั้นหลวงปู่ทิมเมื่อครั้งที่ท่านได้รับตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ท่านพากเพียรหมั่นท่องบทสวดปาฏิโมกข์จนจบสิ้นได้แต่นายสายท่านก็ไม่ทราบว่าหลวงปู่ท่านท่องบทปาฏิโมกข์มาแต่ครั้งใด เพียงแต่หลวงปู่ท่านบอกนายสายว่าหลังจากได้มาเป็นเจ้าอาวาสวัดได้ไม่นาน เราจะเห็นว่าการท่องบทปาฏิโมกข์นั้นเป็นหัวใจสำคัญในหลักคำสอนของพระพุทศาสนาที่ถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้าที่ต้องการสืบสานพุทธศาสนาให้ยั่งยืนที่ดีตลอดไปได้ นายสาย แก้วสว่างท่านยังเล่าอีกว่าในสมัยที่ท่านได้บวชอยู่กับหลวงปู่ทิมนั้นครั้นเมื่อถึงเวลาสวดบทปาฏิโมกข์ในอุโบสถเก่านั้นหลวงปู่ท่านท่องบทสวดได้คล่องแคล่วรวดเร็วและชัดเจนมาก ถึงแม้อายุอานามจะมากก็ตามทีแต่หลวงปู่ทิมท่านจะท่องบทสวดรวดเดียวไปจนจบสิ้นโดยไม่มีการพักเหนื่อยหรือพักฉันน้ำใดๆเลย

    [​IMG]
     
  11. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ให้ลูกหลานทั้งหลายจงจดจำคิดว่า " โลกนี้เป็นอนิจจังทุกอย่างไม่มีอะไรเที่ยงมันไม่มีการทรงตัวโลกนี้ ถ้าเราเอาจิตเข้าไปยึดถือมันก็ทุกข์ " ให้ทุกคนทำกำลังใจแข็งไว้ว่า เราจะไม่ยอมแพ้ความชั่ว จะไม่ยอมให้ความชั่วเข้ามาเป็นเจ้านายหัวใจ เราจะทรงกำลังใจไว้แต่เพียงความดี เมื่อจิตใจมันเข็มแข็งอย่างนี้ ความชั่วมันเป็นเจ้านายไม่ได้ สิ่งใดที่เคยทำผิดพลาดไปแล้ว พระพุทธเจ้าทรงบอกว่า ให้ลืมเสียทุกอย่าง ไม่ตามนึกถึงมัน มุ่งหน้าเฉพาะความดีที่ให้ภาวนา พุทโธ ธัมโม สังโฆนี้ ให้นึกถึงความดีอย่างเดียว ไอ้ความที่ไม่ดีอาจแล่บเข้ามาบ้างเป็นของธรรมดา เราก็นึกถึงความดีให้มาก ไม่ตามนึกถึงมัน มันก็ไม่เกาะใจเรา ใจเราเกาะเฉพาะบุญใช่ไหม เกาะเฉพาะบุญเวลาตาย บุญก็นำเราไปก่อน ไปสวรรค์ก่อนอย่างน้อย... พระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ))
     
  12. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    จะเห็นว่าคนไทยเรานั้นผูกพันยึดมั่นในความเชื่อเรื่องพระเครื่องกันมายาวนาน การแขวนพระนั้นก็ เพื่อที่จะเตือนสติให้คนเรานั้นกระทำความดี จะได้ไม่ไปพลั้งเผลอทำในสิ่งไม่ดีหรือสิ่งที่ชั่วร้ายใดๆ ซึ่งเมื่อได้ห้อยพระเครื่องตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการตามความเชื่อกันแล้ว โบราณเรานั้นจะถือกันว่าเป็นการห้อยพระเป็นโดยที่มีพุทธคุณหรือพุทธานุภาพเป็นการบ่งบอกอย่างเชื่อมั่นได้และในอีกด้านหนึ่งนั้นนอกจากวัตถุประสงค์หลักดังกล่าวแล้ว พระเครื่องก็ยังเป็นสิ่งที่ให้กำลังใจและคอยยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจให้ยึดมั่นกันอีกด้วย เราจะเห็นว่าพระเครื่องในพิมพ์หรือปางต่างๆที่เห็นกัน นั้น ยังแฝงนัยแห่งความเชื่อตามหลากหลายพิมพ์ซึ่งมีทั้งพิมพ์นั่งสมาธิ พิมพ์ปางมารวิชัย พิมพ์ลีลา หรือพิมพ์พระนอน เป็นต้นฯลฯ ซึ่งแต่ละพิมพ์นั้นอาจมีความหมายตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงแสดงอากัปกิริยาต่างๆไว้ แต่หลักการที่สำคัญคงหนีไม่พ้นหลักของกรรม และ การมีสติระลึกเสมอว่า เรามีพระนำหน้าอยู่ทีคอที่หน้าอก จะไปทำชั่ว ก็ควรละอายกับพระที่แขวนบ้าง ถ้าทำได้แบบนี้พระก็ศักดิ์สิทธิ์ คนก็ขลังครับ ก็เปรียบเสมือนกับเหล่าต้นไม้ต่างๆนั้นมันจะขึ้นได้ต้องมีดิน มีปุ๋ย พระเครื่องจะสถิตอยู่ได้ต้องอยู่กับคนดี คนไม่ดีก็เหมือนหิน เหมือนปูน เอาเมล็ดพืชวิเศษแค่ไหนไปเพาะไปปลูกก็คงโตเป็นต้นไม้ไม่ได้ ก่อนจะห้อยพระเครื่องเพื่อขอพลานุภาพที่ดีอย่างเชื่อมั่นนั้นตัวเราเองต้องมีใจและกายให้บริสุทธิ์พร้อมด้วย ก่อนที่จะรองรับกับสิ่งเป็นมงคลนั้นไปด้วย.....
     
  13. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    มื่อเกิดมามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
    เจ้ามามือเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร? เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา
    "ทุกข์แท้จริงคือขันธ์ห้ามหาทุกข์" คละเคล้าสุขชัง-รักที่หนักหนา
    ทั้งทุกข์ใจ-ทุกข์กายท้อทรมา- ทรกรรมนำพาน้ำตานอง
    สิ่งใดใดไม่ใช่ของใครหมด ไม่ปรากฏว่าใครเป็นเจ้าของ
    แม้เฝ้ารักเฝ้าหวงเฝ้าห่วงปอง ก็จำต้องทิ้งไว้ในโลก
    า...

    [​IMG]

    ใครเห็นธรรมดา คนนั้นเห็นธรรม ใครเห็นธรรม คนนั้นเห็นธรรมดา ใจที่เห็นธรรมดา เป็นใจที่ไม่หวั่นไหวเพราะสุขและทุกข์อีกต่อไป เนื่องเพราะสุขและทุกข์ ไม่ใช่สองด้านของเหรียญอันเดียวกัน แต่เป็นด้านเดียวกันมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ไปสร้างสมมุติซ้อนขึ้นมาว่า สุขและทุกข์เป็นด้านทั้งสองของเหรียญแห่งชีวิตอันเดียวกัน..........
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2014
  14. ekasit S

    ekasit S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +256
    มื่อเกิดมามีอะไรมาด้วยเจ้า เจ้าจะเอาแต่สุขสนุกไฉน
    เจ้ามามือเปล่าแล้วเจ้าจะเอาอะไร? เจ้าก็ไปมือเปล่าเหมือนเจ้ามา
    "ทุกข์แท้จริงคือขันธ์ห้ามหาทุกข์" คละเคล้าสุขชัง-รักที่หนักหนา
    ทั้งทุกข์ใจ-ทุกข์กายท้อทรมา- ทรกรรมนำพาน้ำตานอง
    สิ่งใดใดไม่ใช่ของใครหมด ไม่ปรากฏว่าใครเป็นเจ้าของ
    แม้เฝ้ารักเฝ้าหวงเฝ้าห่วงปอง ก็จำต้องทิ้งไว้ในโลกา...


    ขออนุญาติ อ.แก้วสว่าง แชร์บทความนี้ด้วยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2014
  15. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    ในยุคสมัยก่อนการสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังใดๆนั้น เพื่อการสืบทอดเจตนารมณ์ในพุทธศาสนาต้องการให้ทุกคนนั้นมีจิตสำนึกที่ดีและเห็นความสำคัญในหลักปฏิบัติของพุทธศาสนาได้และเพื่อให้ก่อเกิดในสิ่งดีที่จะทำให้โลกมนุษย์นั้นมีความเป็นอยู่ที่ดี เราจะเห็นว่าการสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลในยุคสมัยก่อนจะสร้างกันโดยยึดพลังอำนาจของพุทธานุภาพเป็นหลักสำคัญโดยที่มีความยึดมั่นและศรัทธาในหลักพุทธศาสนาเป็นส่วนสำคัญร่วมกันเพื่อให้เกิดอานุภาพที่ดีได้ ซึ่งสมัยนั้นการถือหลักพุทธพาณิชย์ยังไม่ก่อกำเนิดขึ้น แต่จะถือการทำบุญหรือทำนุบำรุงเพื่อพุทธศาสนาอย่างเช่นการสร้างอุโบสถและวิหารต่างๆหรือการบำรุงซ่อมแซมวัดวาอารามให้อยู่เคียงคู่กับพุทธศาสนาวัตถุให้เจริญยิ่งขึ้นไป เมื่อใครได้ทำบุญตามความเชื่อถือกันแล้วก็จะเกิดผลบุญที่ดีมีอานุภาพของบุญบารมีที่จะเกิดขึ้นมาได้ และการถือวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังที่สร้างกันมาเพื่อสืบทอดพุทธศาสนาก็จะเกิดอานุภาพที่ดีได้ตามความเชื่อมั่นและศรัทธากัน เมื่อเป็นเหตุผลเช่นนี้จึงทำให้มนุษย์ทุกคนที่มีความเลื่อมใสในพุทธศาสนาจึงนิยมทำบุญและปฏิบัติตามหลักของพุทธศาสนาเพื่อมุ่งตามสู่จุดมุ่งหมายที่พุทธศาสนาได้กำหนดมาเพื่อการคุ้มครองในชีวิตที่ดีต่อไป


    ในยุคสมัยก่อนที่วัดละหารไร่นั้นหลังจากที่หลวงปู่ทิม อิสริโก ท่านได้มาดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าอาวาสวัด การถือเครื่องรางของขลังหรือวัตถุมงคลใดๆนั้นเป็นที่ต้องการของชาวบ้านและผู้ที่เคารพนับถือกัน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจที่ดีในการประกอบสัมมาอาชีพหรือเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจเพื่อหวังผลความปลอดภัยทางด้านร่างกายและความปรารถนาเพื่อให้เกิดผลทางด้านจิตใจที่ดี ซึ่งภายหลังจากที่หลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาและเรียนรู้ในด้านจิตอาคมและศาสตร์ต่างๆตามความรู้เข้าใจในสิ่งที่เกิดผลต่อชีวิตมนุษย์ โดยที่หลวงปู่ทิมนั้นท่านจะสอนให้คนเราทุกคนนั้นยึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของพุทธศาสนาและการปฏิบัติในคุณธรรมที่ดีเพื่อก่อให้เกิดอานุภาพที่เชื่อมั่นต่อตัวเองโดยที่มีความศรัทธาและการกระทำที่ก่อให้เกิดผลดีนั้นสามารถเกิดเป็นแรงแห่งพุทธานุภาพที่ดีตามความเชื่อมั่นของแต่ละคนได้ ซึ่งอานุภาพที่จะก่อให้เกิดขึ้นจากพลังของพุทธานุภาพที่เชื่อมั่นได้นั้นหลวงปู่ทิมท่านจะให้ยึดถือมั่นในคุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ คุณบิดามารดาผู้ให้กำเนิดขึ้นมา และคุณครูบาอาจารย์ที่ได้อบรมสั่งสอนเพื่อให้เป็นคนดีมีความรู้ความเข้าใจในศีลธรรมและจริยธรรมต่างๆ ซึ่งถือเป็นพลังอำนาจที่มีอานุภาพคุ้มครองคนเราให้เป็นดีมีศักดิ์ศรีของความเป็นคนหรือมีคุณธรรมประจำใจ สามารถอยู่ในโลกมนุษย์ได้อย่างปลอดภัยและสงบสุขได้ด้วยฤทธิ์ของบุญญานุภาพที่ดีของตัวเราเองได้ ซึ่งการถือวัตถุมงคลใดๆนั้นเมื่อจิตเกิดความศรัทธาที่ดีและเชื่อมั่นในวัตถุมงคลและได้ยึดดำเนินตามรอยหลักของพุทธศาสนาที่ดีก็จะสามารถทำให้วัตถุมงคลที่ได้ปลุกเสกมานั้นเกิดเป็นแรงของอานุภาพได้ดั่งที่ปรารถนาและคุ้มครองกันได้อย่างเชื่อมั่นหรืออัศจรรย์ได้ แต่ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับผลกรรมที่เคยกระทำมาและการปฏิบัติในสิ่งที่เป็นอกุศลใดๆของแต่ละบุคคลที่ได้กระทำอยู่ ด้วยหลักของเหตุผลฉะนี้วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังใดๆนั้นก็ไม่สามารถที่จะก่อให้เกิดอานุภาพได้ถ้าเรายังมีจิตที่เป็นอกุศลกันอยู่ ซึ่งเราเห็นว่าการที่ได้ถือวัตถุมงคลต่างๆตามความเชื่อกันนั้นจะสอดคล้องกับการถือหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าที่บัญญัติไว้ในหลักพุทธศาสนา ที่กล่าวว่าคนทำดีย่อมได้รับผลดี คนชั่วย่อมได้รับผลกรรมที่ก่อกันไป ซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นเหตุผลที่ไม่แตกต่างกันเลยกับการถือวัตถุมงคลและการถือเครื่องรางของขลังใดๆเพื่อให้เกิดอานุภาพของความศักดิ์สิทธิ์ที่ดีกับการยึดมั่นและศรัทธาในหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ดีและเชื่อมั่นได้จึงสามารถที่จะเป็นแนวโน้มในการเกิดอำนาจแห่งพุทธานุภาพที่ดีและร่วมถือปฏิบัติกันได้เมื่อใจเรายึดมั่นและศรัทธากันโดยจริงจัง ฉะนั้นการถือวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังใดๆนั้นจึงจำเป็นที่ทุกคนจะต้องตระหนักเป็นอย่างยิ่ง

    ในยุคสมัยที่หลวงปู่ทิมท่านเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่เล่าขาน ซึ่งด้วยจากการที่หลวงปู่ทิมท่านเป็นพระหมอที่คอยเกื้อกูลช่วยเหลือดูแลชาวบ้าน เมื่อเวลาตกทุกข์ได้ยากหรือเมื่อยามเวลาเจ็บป่วยใดๆซึ่งใครๆต่างก็มาหาท่าน แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่คู่กับคุณธรรมทางด้านจิตใจที่ได้เรียนรู้กับการเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวทางด้านจิตใจหรือเป็นวัตถุธรรมที่มีอิทฺธิพลทางด้านจิตใจซึ่งเป็นที่ต้องการกันอย่างมากเพื่อความอยู่รอดปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่พึงมีอยู่กันนั้นก็คือ วัตถุมงคลและเครื่องรางของขลัง ซึ่งถือเป็นตัวแทนของพระพุทธเจ้า และคุณอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถมีพลังอำนาจของฤทธานุภาพที่จะบันดาลในสิ่งที่ใจเราต้องการได้ตามความปรารถนาและคุ้มครองในสิ่งที่ถูกต้องได้ ซึ่งเป็นไปโดยตามความเชื่อถือที่มีอยู่กันมาและความเชื่อถือกันนี้มันก็เป็นเหตุผลที่มีกันมาช้านานแล้ว โดยการวิเคราะห์ในหลักและเหตุผลสำคัญที่จะเชื่อได้ว่าอานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ที่เกิดจากพลังอำนาจของพุทธคุณนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อถือกันได้เมื่อทุกคนนั้นได้ถือสัจจะวาจาและความเชื่อมั่นศรัทธากันด้วยจิตอันบริสุทธิ์โดยแท้จริงได้ หลังจากที่หลวงปู่ทิมท่านได้ศึกษาและเรียนรู้วิชาการอาคมมาหลากหลายอาจารย์ ซึ่งการเรียนรู้วิชาอาคมแต่ละวิชาการต่างๆนั้นเมื่อสำเร็จในวิชาใดๆก็จะต้องมีการทดสอบหรือการลองวิชาอาคมที่ได้ศึกษาเรียนรู้อยู่ซึ่งจะทดสอบกันจนกระทั่งเป็นที่น่าพอใจต่อครูบาอาจารย์จึงจะสำเร็จวิชานั้นได้ และการสร้างเครื่องรางของขลังและวัตถุมงคลต่างๆเพื่อให้ผู้ที่มีจิตศรัทธาหรือผู้ที่ต้องการนำไปใช้นั้นเพื่อจุดประสงค์ในการคุ้มครองในด้านต่างๆและความมั่นหมายมั่นคงในชีวิตที่ดีที่จะต้องปฏิบัติกันเพื่ออนาคตในภายภาคหน้าที่จะต้องดำเนินการกันต่อไป


    [​IMG]
     
  16. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่

    ..ความเชื่อที่ดี มักก่อเกิดสิ่งที่ดีตามมา
    ปาฏิหารย์เกิดได้ถ้าใจยึดมั่น
    พระดีไม่บูชาก็ไม่ต่างอะไรกับก้อนดิน
    สักแล้วไม่รักษาถึงเวลาใครเล่าจะช่วย
    หมั่นทำกรรมดีคุณพระคุ้มครอง....


    [​IMG]
     
  17. แก้วสว่าง

    แก้วสว่าง ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    3,232
    ค่าพลัง:
    +49,927
    “วัตถุมงคลต่างๆของวัดละหารไร่ที่ถือกำเนิดสร้างขึ้นมาเพื่อความศรัทธาของหมู่ชน ถ้าจะกล่าวถึงบทบาทเรื่องราวการสร้างพระเครื่องในวัดละหารไร่ ยังคงมีการศึกษาอีกกันมากมาย ในบริบทที่เป็นเรื่องราวโดยแท้จริง ซึ่งโดยบางครั้งคำว่ามาตราฐานคือการกำหนดกะเกณฑ์ในรูปแบบครั้งขึ้นมา เพื่อวัดเกณฑ์ความจริงหรือความชัดเจน ซึ่งโดยถ้าคิดตามมาตราฐานคงได้แต่รูปแบบที่กำหนดกันเท่านั้น แต่ถ้าจะเอาเรื่องราวที่มันเป็นเหตุเป็นผลหรือการเล่าเหตุการณ์การสร้างจริงคงไม่มีคำอธิบายอย่างถูกต้องได้กับวงการที่กำหนดขึ้นมา

    การสร้างพระเครื่องของวัดละหารไร่คือการสร้างที่เป็นแบบพัฒนาสูตรเนื้อหา และการตกแต่งพิมพ์ทรงเพื่อให้มีความสวยงามและเรียบร้อย เราจะสังเกตเห็นว่าทำไมพระเครื่องที่สร้างกันจริงๆในวัดละหารไร่จึงมีแบบลักษณะที่คล้ายคลึงกันและไม่เหมือนกันหมดทุกอย่างเพราะอะไร เอาอย่างเช่นพิมพ์พระขุนแผน หรือพิมพ์เศียรโต เป็นต้น

    การกดพิมพ์พระในยุคแต่แรกการลองพิมพ์ลองแบบสร้างนั้นจะใช้ผงที่เป็นเนื้อหาหลักตามที่หาได้ในวัด ทั้งนี้ทั้งนั้นผมให้มองตามเหตุผลจริงของการทำแบบชาวบ้านๆที่ใช้ ถ้าจะให้มีความสะสวยและเรียบร้อยเลยแต่แรกคงยังไม่มีกัน .”

    "การที่จะสำเร็จลุล่วงอย่างเป็นผลได้ด้วยความเพียรพยายามนั้น ย่อมมีก้าวแรกเสมอ " เปรียบได้กับการสร้างพระเครื่องของวัดละหารไร่ในยุคแต่แรกเริ่มก็ย่อมที่จะ มีก้าวแรกนำมาเสมอ การลองพิมพ์ ลองผิดลองถูก หรือการลองสูตรเนื้อหา มันเป็นเรื่องของเหตุผลที่หนีไม่พ้นโดยตามหลักความเป็นจริง จนมาถึงความพอใจกันแบบการยอมรับ


    ถ้าจะให้เปรียบกันระหว่างก้าวแรกกับก้าวหลังนั้นคงเอามาเปรียบกันไม่ได้ ด้วยมูลเหตุผลเดียวกัน ฉะนั้นการมองเหตุผลให้เข้าใจอย่างชัดเจนจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2014
  18. รอดป่อง

    รอดป่อง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มกราคม 2013
    โพสต์:
    292
    ค่าพลัง:
    +2,473
    กราบนมัสการหลวงปู่ทิม ลุงสาย แก้วสว่าง
    กราบสวัสดีอาจารย์แก้ว สว่างครับ ติดตาม
    บทความและเรื่องราวต่างๆของหลวงปู่ทิมครับ
     
  19. ekasit S

    ekasit S เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +256
    กราบหลวงปู่ทิม ,ลุงสาย และ ข้อมูลดีๆ จาก อ.แก้วสว่าง ครับ
     
  20. FATAL_FRAME

    FATAL_FRAME เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    808
    ค่าพลัง:
    +3,990
    ศิษย์ขอกราบครูบาอาจารย์ หลวงปู่ทิม หลวงปู่แก้ว หลวงปู่ทาบ และ หลวงพ่อสาคร ในวันพระครับ กราบกราบกราบ

    [​IMG]

     

แชร์หน้านี้

Loading...