สงสัยเกี่ยวกับเรื่องความรู้สึกค่ะ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย M_Y, 14 ธันวาคม 2014.

  1. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    มาต่อครับ..วิธีการมันจะเป็นไปตามลำดับนะครับ...
    และเราต้องจำไว้นะครับว่าอย่าไปตั้งใจนะครับ
    เพราะการตั้งใจจะเป็นการปิดกลั้นตัวเราเองนั้นก็คือปิดกั้นใจเราครับ..
    ให้ค่อยๆเป็นค่อยๆไปได้แค่ไหนก็แค่นั้นครับ..ลำดับขั้นตอนจะเป็นไป
    ตามที่จะเล่าให้ฟังเป็นข้อๆดังต่อไปนี้
    ๑.เวลาปกติเรื่องพวกนี้จะไม่ผุดขึ้นมา..
    พอผุดขึ้นมาโดยปกติแล้วเราจะมีอารมย์และความรู้สึกทันที..
    ยกตัวอย่างเช่นเราบอกไม่กลัวแต่ร่างกายเราขนลุกอย่างนี้
    คือเรายังไม่ทันตรงนี้นะครับ..และการปรุงแต่งร่วมด้วยทันที
    ตรงนี้มักจะเป็นอัตโนมัติครับ เช่น พอโกรธปุ๊บจะหงุดหงิดปั๊บ
    รู้สึกร้อนๆในใจ.. หรือแม้แต่มีการปรุงแต่งทางด้าน
    ร่วมด้วยทันทีว่า.เพราะนั่นเพราะนี้ไปตามเรื่องตามราว
    แม้ว่าเราจะไม่ได้พูดหรือแสดงกิริยาอาการใดๆ แต่หน้าตามันออก
    อย่างนี้ถือว่าเป็นปกตินะครับ..และถ้าเป็นบ่อยๆแบบนี้บางครั้ง
    อาจมีการพูดบ้าง แสดงอาการบ้างก็ถือว่าเป็นปกตินะครับ...
    ลำดับต่อมา ๒. ถ้าเป็นอย่างข้างบนแล้ว เราระลึกรู้ได้ตอนไหน ช่วงไหน
    เวลาไหน ก็ดีไม่ต้องไป ย้อนนึกคิดว่า ทำไมเราเป็นอย่างนั้นอย่างนี้
    ทำไมต้องคิดอย่างนั้นอย่างนี้..แต่ให้น้อมจิตเอาไว้หลักๆอยู่ ๒ ประเด็น
    ในขณะที่ระลึกได้ตอนไหนก็ตามนะครับว่า อืมๆ เป็นกุศล หรือ อกุศล
    หรือ ควร หรือไม่ควร....ไม่ว่าจะเป็นกุศลหรืออกุศล ถ้าเราระลึกทัน
    จิตจะเปลี่ยนแนวทางเดินทันทีครับ..แม้ว่าจะยังมีความรู้สึกคงค้างอยู่ก็ตาม
    ให้เราระลึกไว้ว่า เราจะไม่คิดเรื่องพวกนี้อีก...และถ้ามันขึ้นมาอีกเราก็ตั้งเป้า
    อย่างนี้ก่อน.เพื่อให้จิตเปลี่ยนแนวทางเดินเพราะจิตมันจะคิดได้ทีละเรื่องครับ..
    แม้ว่าจะยังไม่เกิดปัญญาในช่วงนี้..แต่จะเป็นการสร้างตัวสติที่จะทำให้ระลึกรู้
    เรื่องพวกนี้ได้เร็วขึ้นครับ..เมื่อก่อนเราอาจจะคิดไปเรื่อย ๕ ถึง ๖ นาทีกว่าจะระลึกได้
    แต่ทำบ่อยๆ พอมันขึ้นมาปุ๊บ สติเราจะจับได้ปั๊บครับ....
    และต่อจากนั้น ๓..พอสติเรามันเริ่มคมขึ้น เร็วขึ้นพอเรื่องนั้นผุดปั๊บ มันจะจับไปปุ๊บและ
    มันก็จะผลักเรื่องนั้นออกไปทันทีในลักษณะที่ว่า ไม่ควร เป็นอกุศลเพียงแต่มันจะมีความไว
    มากกว่าในขั้นตอนที่๒ พัฒนาจากหลักนาที มาเป็นวินาที และพัฒนามาเป็นเสี้ยววินาทีครับ..
    ในขั้นต่อมา ๔. มันก็เร็วขึ้นไปอีกครับ พอเจอในสถานะการณ์แบบเดียวกันที่เคยทำให้
    เรื่องนั้นผุดขึ้นมา..สติมันจะจับและตัดได้ทันทีครับ..เราแทบจะไม่รุ้สึกอะไร ความรู้สึกเราจะ
    เฉยๆครับ..แต่การเฉยๆยังไม่ใช่ว่า มันจะยังไม่ผุดขึ้นมาอีกนะครับ..แต่ในความเฉยๆและทำ
    ให้ใจเรานิ่งๆตรงนี้.เราต้องพยายามหมั่นสังเกตุไอ้ตัวที่มันจับให้และทำให้เราเฉยๆแบบไม่สนใจ
    ไม่ได้มีอารมย์มาปรุงตรงนี้ไว้..ถ้าสังเกตุได้ทันแม้ไม่กี่วินาทีตรงนี้ กำลังสติเราพัฒนาแหลมคม
    ขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งครับ..
    และในลำดับต่อจากนี้..๕.ถ้าเราสังเกตุไอ้ตัวสติตรงนี้ได้นานขึ้นเรื่อยๆนะครับ..ด้วยความที่เรา
    เฉยๆไม่สนใจนั้นหละครับ..จิตเรามันจะเข้าสู่สภาวะที่เป็นกลางได้ของมันเองอัตโนมัตครับ..
    แม้ว่าเราจะยังมีความรุ้สึก ร้อน เย็น อะไรก็ตามแต่จะไม่มีความคิดใดๆไปร่วมครับ..และในขณะ
    ที่เราไม่คิดอะไรเหมือนๆกับว่าเราเฉยๆตรงนี้ นี่หละครับ..กำลังสติทางธรรมที่มีมันจะทำหน้าที่
    ควบคุมตัวจิตเรา ให้เห็นสภาวะอารมย์ตรงที่เราไม่มีความคิดไปร่วมตรงนั้นนั่นหละครับ..
    มันจะทำหน้าที่ของมันเองอัตโนมัติครับ...ช่วงนี้เรามักจะไม่รู้ตัวครับ...อยู่ดีๆเราก็อาจจะเกิด
    อาการอ่อออออออ คืออ่อๆ แบบเหมือนเข้าใจอะไรซักอย่างแต่จะยังไม่มีความคิดหรือเรื่องราว
    อะไรนะครับ....และจะเกิดปรากฏการณ์อย่างหนึ่งก็คือว่า ตัวจิตมันจะเย็นแบบผิดปกติจน
    เราสามารถรู้สึกได้ รับรู้ได้ ในชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งครับ...
    สุดท้าย กริยาอย่างที่กล่าวมา ก็คือว่าเป็นลำดับของขั้นตอนที่จิตเค้าได้รู้ได้เห็นในสภาวะ
    ที่เป็นกลางของเรื่องนั้นๆ ในสถานะการณ์ปัจจุบัน จนมันเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมาจน
    สามารถตัดเรื่องนั้นออกจากจิตเราได้ครับ...
    และต่อไปถ้าเราเข้าถึงสภาวะอย่างนี้ได้ เรื่องที่เคยผุดเรื่องนั้นๆ ให้เราพยายามคิด พยายามนึก
    ยังไงๆมันก็จะไม่ขึ้นมาอีก ไม่ว่าในอีก ๓ วัน ๗ วันหรือ ๒ เดือนครับ..
    .แต่ต้องคอยดูอีกครั้ง
    หนึ่งนะครับในอีก ๒ ปีข้างหน้าว่ามันจะย้อนขึ้นมาได้อีกหรือเปล่า
    ถ้าหากว่าในชีวิตปกติประจำวันของเรามีพฤติกรรมที่อยู่ในทางเดินที่จะทำให้เรื่องพวกนี้ผุดขึ้นมาได้ มันจะกลับมาได้อีก
    ภายในระยะเวลา ๒ ปีครับ....
    โดยความรวม ณ ปัจจุบันนี้.ไม่ว่าจะเป็นอนุสัยเรื่องอะไรก็ตามที่เราเห็นได้ รู้ทันได้..
    เราก็ใช้หลักการตามที่เล่าให้ฟังมา ซึ่งมันมีขั้นตอนประมาณที่เล่า และเราก็ค่อยๆจักการ
    กับกิเลสไปทีละตัว ทีละตัวครับ และก็ทุกเรื่องๆครับ..จำไว้วางเรื่องไหนได้ จิตจะเย็นและไม่คิด
    ไม่มีผุดขึ้นมาอีก ถ้ายังผุดขึ้นมาก็ทำไปเรื่อยๆ ไม่ต้องไปซี ไม่คิด ไม่ต้องตั้งใจ ขอให้เข้าใจ
    ว่าธรรมชาติมันเป็นอย่างนี้ ตัวจิตเราก็จะเข้าสู่สภาวะอุเบกขารับรู้แต่ไม่ยึดได้ครับ..
    เหมือนเราจะห้ามหู ห้ามตาให้ไม่เห็น ไม่ได้ยินคงไม่ได้ แต่แม้ว่าเราจะได้ยิน ได้เห็นเราก็มี
    วิธีการปล่อยให้มันเห็น มันได้ยิน แต่ไม่ยึดได้ แต่ก็ต้องเป็นที่ตัวจิตไม่ยึดนะครับ..
    ให้เราค่อยๆพัฒนาจนจิตเข้าสู่ความว่างในสภาวะลืมตาปกติอย่างนี้ ถ้าเราทำได้จริงๆ
    มันจะเริ่มจากหลักวินาทีก่อนครับ.และก็พัฒนามาเป็นนาที..พวกนี้ไม่ใช่แค่จิตสงบ
    ไม่ใช่ว่าจิตเฉยๆไม่คิดอะไร แต่เป็นกระบวนการในการทำให้จิตไม่เกิด คือไม่ปรุงร่วม
    กับอารมย์ใดๆ ด้วยการที่ตัวจิตมันรับรู้ตามความเป็นจริงและตัวจิตก็ตัดเรื่องนั้นๆทิ้งไป
    เพราะฉนั้น เราอย่าไปคาดหวังอะไรมาก เราต้องดูภาระหน้าที่อื่นๆทางสมมุติของเรา
    ประกอบร่วมด้วยครับ..ว่ายังมีอะไรที่เรายังคงติดค้างหลงเหลือ ที่ให้เกิดความคิดสะสม
    ควบคู่กันไป ตลอดจนคอยควบคุมพฤติกรรมในชีวิตปกติประจำวันของเรา ไม่ให้ส่งออก
    ไปคิด ไปปรุงแต่งภายนอกร่วมด้วยครับ ตลอดจนสร้างสะสมความดีของเราให้มันต่อ
    เนื่องอย่าได้ขาดตอน..พวกนี้ที่กล่าวมา มันล้วนแล้วแต่เกลื้อหนุนกันอยู่ในตัวที่จะทำ
    ให้จิตเราเข้าสู่ความว่างจากการเกิดได้ทั้งนั้นครับ..
    พวกการว่างอย่างนี้แม้เพียงไม่กี่วินาทีถ้าเราทำได้นะครับ..มันจะเกิดปัญญาทางธรรมขึ้นมา
    แม้เพียงเราปิ้งแว๊บในจิตไม่กี่วินาที การที่เราจะมาถ่ายทอดให้ใครฟังก็ตามเป็นตัวอักษร
    บางครั้งอาจจะต้องมานั่งเขียนเป็น ๒ ถึง ๓ หน้ากระดาษเลยครับ....
    และตัวจิตเราก็จะหันเข้าสู่ความดีขึ้นเรื่อยๆ ปล่อยวางทุกๆเรื่องได้ดีขึ้น ในขณะเดียวกัน
    เราก็จะอยู่ร่วมกับสังคมได้เป็นปกติและแยบยล โดยที่การปฏิบัติหน้าที่ทางสมมุติของเรา
    ก็จะไม่บกพร่องด้วย..เรียกได้ว่าอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างลงตัวนั้นเองครับ...
    ปล.อาจต้องจับหลักในอ่านเล็กน้อย..จำหลักการเอาไว้ครับ...
    หน้าที่เราก็คือเพิ่มระยะเวลาที่จิตมันไม่เกิดให้นานๆขึ้นในสภาวะ
    ลืมตาปกติแบบที่มันเย็นๆอย่างน้อยนั้นหละครับ..
    และถ้าวาระเวลามันยังมาไม่ถึงเนื่องจากองค์ประกอบต่างๆเรายังไม่พร้อม
    ไม่สมบูรณ์ แม้ว่าเราจะทำอย่างไรจิตมันก็จะยังไม่วางครับ..ถ้าวาระมาถึง
    แม้เราไม่อยากให้มันวาง จิตมันก็จะวางและว่างของมันได้เอง เพราะฉนั้น
    เราจึงควรพิจารณาองค์ประกอบต่างๆในการสร้างเสริมทุน สร้างเสริมบารมี
    เพื่อมาเป็นตัวหนุนให้เราถึงวาระของเราใด้เร็วขึ้นร่วมด้วยครับ....
    ปล.ขอบคุณมากครับ..
     
  2. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,430
    ค่าพลัง:
    +35,010
    คุณ บุคคลทั่วไปที่ ๓ ครับ.ทักได้ไม่เป็นไรครับ...
    ขอบคุณที่ยกข้อความขึ้นมาพิจารณานะครับ..
    ผมเข้าใจในเจตนาดีของคุณตอนนี้นะครับ..
    ถึงแม้ว่าตัวคุณจะเริ่มมีเมตตาขึ้นมาแล้ว..
    แต่ค่อยๆพัฒนาให้มันออกไปสู่ภายนอกให้ได้นะครับ..
    คุณจะมีอะไรๆดีกว่านี้เยอะเลยครับ..
    ประเด็นต่อไปนี้เขียนให้อ่าน ไม่ได้ตำหนิหรือว่ากล่าวคุณนะครับ..
    และกรุณาอ่านข้อความที่จะเขียนต่อไปนี้ก่อนนะครับ..
    ไม่ว่าเราจะอ่านอะไรก็ตามอย่าพึ่งรีบด่วนสรุปอะไร..
    และควรอ่านและพิจารณาให้ดีๆอีกรอบหนึ่งก่อน...
    สภาวะที่คุณยกมาแค่บางตอนนั้นเพื่อเสริมความคิดของเรา...
    มันจะถูกเป็นแค่บางช่วงบางตอนครับแต่มันไม่ใช่ทั้งหมดที่ผู้เขียนจะสื่อครับ..
    ..เราควรต้องอ่าน ต้องดูทั้งบริษทครับ..เราถึงจะมีความเข้าใจที่
    เป็นไปในแนวทางเดียวกันครับ เราถึงจะมองเห็นภาพองค์ความรู้
    ทั้งหมดในแบบองค์รวม....ไม่งั้นจะกลายเป็นว่าพูดกันไปเสียหยืดยาว
    เนื่องจากต้องจะมาคอยอธิบายในเรื่องที่มันมากความเกินความจำเป็น
    และสุดท้ายก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรทั้งต่อผู้อ่านและตัวเราเองครับ....
    สภาวะ..พวกนี้เราเห็นได้จากการปฏิบัติเท่านั้น...
    และถ้าอ่านดีๆ จะพบว่า..สภาวะที่ได้แนะนำไปนั้น เป็นสภาวะลืมตาปกติทั่วๆไป
    ในชีวิตประจำวันนะครับเพราะฉนั้นมันยังไม่ถึงระดับฌาน..
    มันจะเอากำลังที่ไหน ไปติดสุขได้ครับ.แต่เข้าใจอย่างไรตอนนี้ไม่ใช่ประเด็นหลักครับ.
    เอาว่าถ้าอ่านให้ดีๆอีกรอบ.ให้ลองย้อนไปอ่านอีกครั้งแล้วค่อยมาอ่านข้อ
    ความข้างล่างต่อนะครับ...
    .และไม่ใช่สภาวะที่เข้าสมาธิระดับสูงหรือในสภาวะที่จิตเรามีความเป็นทิพย์.
    ถ้าเป็นนักปฏิบัติที่มีความสามารถทำได้ในกำลังสมาธิระดับสูง หรือมีความ
    ชำนาญในการเข้าสู่สภาวะที่จิตเป็นทิพย์ได้ปกติ และใช้งานได้ปกติตลอด
    จนมีเครื่องรู้มีความสามารถในการใช้งานทางจิตได้..มักจะเข้าใจประเด็นเรื่อง
    ที่เจ้าของกระทู้ได้ถามเป็นอย่างดีและแทบที่จะไม่ต้องไปถามใครอีก...
    และในการปฏิบัติจนเข้าถึงสภาวะจิตว่างจากการเกิดหรือการไม่มีความคิด
    ไม่มีอารมย์ ตลอดจนไม่มีกิเลสใดๆมาปรุงร่วมที่ได้แนะนำมานี้นั้น..
    มันเป็นสภาวะที่เกิดจากตัวจิต ได้ผ่านการรับรู้ ตามความเป็นจริง ในสภาวะเป็นกลาง
    มาแล้วในสภาวะลืมตาปกติแบบชาวโลกทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน..
    ซึ่งเป็นสภาวะส่วนใหญ่ของบุคคลทั่วๆไป.ที่สามารถเข้าถึงได้อีกวิธีหนึ่ง..
    จนตัวจิตยอมรับและวางเรื่องนั้นๆ เนื่องจากตัวจิต เห็นว่ามันไร้สาระ เป็นทุกข์
    จิตมันเลยตัดทิ้งไป..หากอ่านๆข้อความดีๆจะพบว่า แม้ว่าคุณพยายามจะคิดมันก็จะไม่เกิด
    หรือแม้กระทั้งอารมย์ความคิดมันจะไม่ผุดขึ้นมาอีกครับ
    ไม่ว่าจะ ๓ วัน ๗ วัน ๒ เดือนหรือ ๒ ปี อย่างน้อย
    เราควรต้องปฏิบัติเพื่อให้ทราบระยะเวลาการขึ้นมาของมันอย่างนี้ให้ได้ก่อน..
    ..การที่ติดฌานสุขอย่างที่คุณเข้าใจส่วนตัวพอเข้าใจครับ..
    แต่เนื่องด้วยการที่เราอาจจะยังไม่เคยเข้าถึงสภาวะจิตว่างจากการเกิดชั่วคราว
    ที่ผู้เขียนบอกว่าเริ่มจากหลักวินาทีได้นั้น(มันไม่ใช่ว่าจิตสงบนะครับ
    แบบนี้มันเรื่องง่ายๆสำหรับคนที่มีกำลังสมาธิสูงเป็นทุนครับ
    แต่มันไม่เกิดปัญญาทางธรรม ถ้าเรายังไม่เห็นกิเลส เราก็จะไม่ทราบ
    ว่าเราจะยกเรื่องอะไรขึ้นมาพิจารณาได้ในลำดับต่อมานั่นเองครับ.
    แม้ว่าจะเข้าได้นานจนเรื่องนั้นๆมันไม่เชื้อเกิดก็ตาม แต่มันก็จะยังมีกิเลส
    ตัวอื่นๆเกิดขึ้นมาได้อีกเหมือนเดิม แม้เราจะอยู่ได้ทั้งวัน..แต่เพราะเรากดเราข่ม
    แต่มันไม่ออกไปจากตัวจิตเรา.. เพราะฉนั้นเราควรจะต้องฝึกที่จะจัดการกับ
    กิเลสเรื่องอื่นๆร่วมด้วย.ซึ่งวิธีที่ได้แนะนำไปก็เพื่อเป็นแนวทาง ส่วนใครจะทำได้
    หรือไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับเหตุและปัจจัยส่วนบุคคลครับ..ตัวผู้เขียนเองทุกวันนี้
    ก็ยังต้องปฏิบัติอยู่เช่นกันครับ)..จะยังทำให้เราไม่พ้นสภาวะการรับรู้
    ภายใต้ความคิดตรงนี้ครับ..เพราะเราจะยังไปติดในสัญญาความจำได้ต่างๆที่เราได้
    เคยรับรู้มาจากทางโลก หรือพูดง่ายๆว่ามันยังอยู่ภายใต้ความคิดโดยที่เราไม่รู้ตัว..
    แม้ว่าตัวจิตเราตอนนี้จะยังพอมีเมตตาบ้างก็ตามนะครับ..
    แต่การที่เราอ่านทั้งบริษทยังไม่ดีพอจึงยังเป็นความเข้าใจที่คาดเคลื่อน
    ไม่ใช่ว่าเราไม่ดี แต่ยังเห็นไม่ครบทุกมุมครับ..
    สังเกตุนะครับ..ที่แนะนำย้ำว่าในสภาวะปกติแบบลืมตาปกตินะครับ.
    .ไม่ใช่การทำสมาธิอะไร ไม่ได้ใช้กำลังสมาธิที่สูงส่งอะไรเลย ไม่ได้จำเป็นจะต้อง
    ชำนาญในการเข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์ หรือต้องมีกำลังสมาธิใช้งานได้
    ในแบบพิเศษอะไรต่างๆครับ...เพราะฉนั้นสภาวะนี้มันยังไม่ถึงระดับฌานที่ ๑ ด้วยซ้ำครับ..
    มันไม่ใช่สภาวะแบบปิติ สภาวะแบบที่เข้าได้ด้วยการข่มด้วยกำลังสมาธิใดๆทั้งสิ้น...
    สภาวะติดสุขเนื่องจากการเข้าสมาธิระดับสูงได้ แต่ออกมาไม่เกิดปัญญาทางธรรมใดๆ..ตลอดจนเครื่องรู้หรือปัญญาทางธรรมใดๆนั้น เผลออาจจะเพี้ยนไปเลยก็มี
    หรือสภาวะปิติที่มันยังพอมีความคล้ายๆความคิดได้ โดยที่ไม่หลุดจากอารมย์เนื่องจาก
    มีกำลังสติทางธรรมอะไรพวกนั้น..มันเป็นคนละบริษัทกับที่ผู้เขียนพยายามได้ถ่ายทอด
    ให้กับเจ้าของกระทู้ครับ...อย่าลืมนะครับว่าเย็นได้ในหลักวินาทีก่อน ในแค่วินาทีนั้น
    นอกจากจะปรากฏภูมิความรู้แบบที่ถ้าคุณทำได้ จะต้องใช้การอธิบายหรือเขียนให้ผู้
    อื่นเข้าใจเป็นหน้ากระดาษนั้น..มันมีอะไรแฝงๆมากกว่านี้อยู่ครับ..ซึ่งไม่สามารถที่จะบอก
    หรือถ่ายทอดได้หมดแต่วันใดหากผู้ปฏิบัติเข้าถึงได้จริงๆ ย้ำว่าแค่วินาทีในสภาวะลืมตาปกติ
    ทั่วๆไป ไม่ต้องไปนั่งสมาธิอะไรเลย ก็จะเข้าใจสภาวะที่ตัวจิตเย็นๆแต่ต้องเป็นไปตามบริษท
    ที่ได้ถ่ายทอดให้อ่านนะ อีกอย่างหนึ่งก็คือตัวเราจะเบาเวลาเดิน
    เหมือนกับว่าเราจะเหาะได้ด้วยครับครับ.
    ในหลักสังเกตุถ้าบุคคลอื่นๆที่คิดว่าตนพอมีสัมผัส มีความสามารถใน
    การเข้าสมาธิระดับสูงได้ มีหลักการณ์ในการตรวจสอบตัวเอง..
    ..เอาง่ายๆถ้าคุณเป็นคนที่พอมีสัมผัส คุณดูตัวเองก็ได้นะครับว่า
    คุณมีเครื่องรู้อะไรที่มันพิเศษขึ้นไหมครับ มันลึกขึ้นไหม คุณย้อนรู้เหตุรู้ผล
    ที่เรื่องราวต่างๆมันเกิดขึ้น หรือย้อนรู้เหตุรู้ผลที่ทำให้คุณมาอยู่ตรงนี้ๆ
    ณ ปัจจุบันนี้ได้หรือไม่ คุณมีปัญญาทางธรรมมากพอในการตัดเรื่องภายนอก
    และภายในที่เข้ามากระทบจิตใจได้ทันทีโดยที่ไม่ทำให้คุณเกิดการปรุงแต่งได้ไหม..
    ..และถ้าคุณเป็นบุคคลประเภทมั่นใจว่าตนเองสามารถเข้าสมาธิได้สูง
    คุณดูตัวเองก็ได้ว่า จิตคุณมันสามารถทำอะไรพิเศษที่ทำให้คนอื่นๆรับรู้ได้หรือไม่ครับ..
    พวกนี้มันเป็นผลที่เกิดมาจากการเข้าสู่สภาวะจิตว่างจากการเกิดที่ผู้เขียนได้
    พยายามถ่ายทอดให้ฟังทั้งบริษทมาก่อนหน้านี้ครับ...
    ถ้ายังไม่ส่งผลต่อจิตเราอย่างที่ว่า ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง ให้เราพึ่งพิจารณาให้ดีๆ
    ว่าสิ่งที่เราทำได้ สิ่งที่เราเข้าใจ ตลอดจนปัญญาทางธรรมในการลด ละ กิเลสของเรา
    มันอาจจะยังไม่พ้นสภาวะทางความคิด..เนื่องจากจิตเรามันยังแยกแยะไม่ได้
    ว่าอะไรเป็นความคิดจากจิต อะไรเป็นความคิดที่ผุดขึ้นมาโดยไม่ได้ตั้งใจ..
    ตลอดจนยังไม่มีกำลังสติทางธรรมเพียงพอที่จะควบคุมจิตเรา จนทำให้จิต
    เค้าอยู่ในสภาวะเป็นเพื่อรับรู้ตามความเป็นจริงในสภาวะปัจจุบัน จนจิตเค้า
    คลายเรื่องอารมย์พวกนั้นออกจากตัวจิตได้จริงๆครับ..
    ถ้าเราผ่านขั้นตอนแบบนี้มา ถึงจะเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนพยายามสื่อครับ..
    ปล.หวังว่าคงพอจะเข้าใจนะครับ...ขอบคุณมากครับ.
     
  3. hastin

    hastin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,113
    ค่าพลัง:
    +3,083
    ขอบคุณครับ

    ส่วนตัวตั้งระดับการปฎิบัติไว้ ระดับหนึ่ง ยังไม่ได้ตัดทุกอย่าง

    เพราะว่ายังมีหน้าที่ ภาระต่างๆ เพราะยังอยู่ในสังคมที่ยังต้องทำงานเลี้ยงชีพ
     
  4. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    อย่าไป ด้น เด้า เดา เอาสิคร้าบ

    ฝึกขึ้นไปเห็น สติ ตัวนี้ได้ ก็แค่ แยกธาตุ แยกขันธ์ พิจารณา ธรรม อย่าง ปุถุชนสดับธรรม เท่านั้น

    จะ บรรลุ เนี่ยะ ยังห่างไกลมาก ยังต้องภาวนากันอีกเยอะ

    ถ้าไม่ขึ้นตัวนี้ ก็จะเรียกว่า " ปุถุชนไม่เคยสดับ " เสียโอกาสที่เกิดมาเป็น มนุษย์พบพระพุทธศาสนา
     
  5. jamesnuke

    jamesnuke เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กันยายน 2012
    โพสต์:
    34
    ค่าพลัง:
    +224
    มหาสตินั้น เป็นภูมิสติของพระอนาคามี ภูมิจิตชั้นนี้ จิตจะเห็นอารมณ์เกิดดับตามความเป็นจริง ไม่ตามอารมณ์ จิตเป็นเพียงแต่ผู้รู้ คนหรือสัตว์ เป็นเพียงเเค่สภาวะธาตุ4.
     
  6. บุคคลทั่วไป 3 คน

    บุคคลทั่วไป 3 คน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,938
    ค่าพลัง:
    +1,253
    คุณ hastin คร้าบ เคยได้ยิน พระสูตรชื่อ มหาสติปัฏฐานสูตร ไหมครับ

    พระสูตรนี้ คือ ชื่อที่คนมักเอาไปเรียกย่อๆว่า " มหาสติ " บ้างก็ " มหาปัญญา "

    พระสูตรดังกล่าว เอาเด็กสองสามขวบมาอ่าน ยังทราบเลยว่า เด็กอ่านได้ ผู้ใหญ่อ่านดี
    อ่านเป็นปี ไม่ฝึก ไม่หัด ก็ชื่อว่า ไม่มี มหาสติ มหาปัญญา

    ดังนั้น มหาสติ มหาปัญญา แค่ น้อมใจมาฝึกหัดตามพระสูตร ก็ได้ชื่อว่ามี หรือ เถิดไว้
    ซึ่ง มหาสติ มหาปัญญา แล้วหละคร้าบ



    ส่วนเรื่อง มหาสติ มหาปัญญา ที่เอาไว้แฝง การระบุชั้น ยศ อนาคาฮี อะไรนั่น

    นั่นมันเอาไว้ สำหรับพวกต้องการ แอบแฝงประกาศว่าสำนักข้ามีอรหันต์ อะไร
    ประมาณนั้น เป้นการ เทศนาแฝงเพื่อการหาแดกศรัทธา อันพระพุทธองค์ตรัสห้าม

    แต่ถ้า ต้องการบอกกล่าวว่า อริยะ ในปัจจุบัน นี้มีอยู่ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความ พอใจในธรรม
    ก็พอทำเนา ( แต่ เคสคุณ hastin ไม่ได้ต้องการไปถึง อริยะ เป็นการส่วนตัว ก็ว่ากันไป
    ว่าคุณ hastin จะพอใจ การเรียกศรัทธาเพื่อหา....ของเขาหรือเปล่า ไม่ว่ากันอยู่แล้ว
    เพราะ มันเป็น บุญ )

    แต่เอาเข้าจริงๆ การจะประกาศว่า พระอริยะ ยังมีอยู่ อาศัยการกล่าวว่า มีการปฏิบัติ
    ตามมรรค หรือ มีการปฏิบัติตามสติปัฏฐาน ก็ได้

    **************

    อนึ่ง พึงทราบว่า ทักขินัยบุคคลนั้นมี 9 โดย 8 บุคคลจะเป็น บุคคลที่จะ ข้ามไปฝั่งโน้น
    ข้ามไปฝั่งอริยะ

    ......แต่สำหรับคนที่มี ห่วง ( ออกมาจาก จิตใต้สำนึกเอง ไม่ใช่การ"มโน"สร้างภาพ) เราจะเรียก
    บุคคลที่เป็น ทักขินัยบุคคลนี้ว่า " โคตรภู " ก็ ปุถุชนคนหนาไม่ตัดกิเลสสักแอะ นี่แหละ
    แต่ทว่า เจริญการปฏิบัติตาม มหาสติปัฏฐานสูตร ไป 4 แสนอสงไขยบ้าง 8 อสงไขยบ้าง
    16 อสงไขยก็แล้ว ก็ยังไม่ตัด บางคนท่านก็บอกว่า เกินแล้ว มีกำไรส่วนอสงไขยอีกเยอะเลย
    ก็ยังไม่ข้ามไปไหน แต่ก็ไม่แน่หน่าคร้าบ พอถึงเวลาที่ใช่ ก็ต้องเหลือกตากันบ้าง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2014
  7. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    การทันความคิดกุศล อกุศล ในใจได้ แสดงว่ามีสติสัมปชัญญะเป็นตัวระลึกรู้ตัว
    มีการพิจารณาโดยแยบคาย(สติปัญญา) ว่าอะไรควรไม่ควร ดีไม่ดี..
    ก็ควรจะได้ฝึกสติปัฏฐานสี่.. เพื่อให้เกิด สัมมัปธานสี่(ความเพียรสี่)
    คือ ยังกุศลที่ยังไม่เกิดให้เกิด ที่เกิดแล้วให้รักษา
    ส่วนอกุศลที่ยังไม่เกิดก็อย่าให้เกิด ที่เกิดแล้วให้ละเสีย
    เพื่อให้เกิด สุจริตสาม กายวาจาใจ ซึ่งจะช่วยให้สติปัฏฐานสี่นั้นบริบูรณ์..
    ตามหลักโพธืปักขิยธรรม 37
    คือ สติปัฏฐาน4 สัมมัปธาน4 อิทธิบาท4 อินทรีย์5พละ5 โพชฌงค์7 อริยมรรคองค์8(ค้นกูเกิ้ลศึกษาได้)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการดังนี้
    การคบสัปบุรุษที่บริบูรณ์ ย่อมยังการฟังสัทธรรมให้บริบูรณ์
    การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ ย่อมยังศรัทธาให้ บริบูรณ์
    ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมยังการทำไว้ในใจโดยแยบคายให้บริบูรณ์
    การทำไว้ในใจโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติสัมปชัญญะให้บริบูรณ์
    สติสัมปชัญญะ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังการสำรวมอินทรีย์ให้บริบูรณ์
    การสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์ ย่อม ยังสุจริต ๓ ให้บริบูรณ์
    สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์
    สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์
    โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมยังวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์
    วิชชาและวิมุตตินี้มีอาหารอย่างนี้ และบริบูรณ์ อย่างนี้ ฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...