ความเป็นจริงซับซ้อนกว่าที่คิด

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mamboo, 2 ธันวาคม 2014.

  1. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    ดูท่าวิทยาศาสตร์คงต้องใช้เวลาอีกหลายล้านปีกว่าจะค้นพบสุดยอดความลับของจักรวาล

    จักรวาลมีพื้นที่ว่างเป็น Space-Time Fabric

    ขอใช้ตัวย่อว่า ST

    ST นี้ จะถูกบิดงอได้โดยสิ่งที่มีมวลเท่านั้น

    และรูปร่างของ ST ก็จะมีผลต่อสิ่งที่มีมวลเท่านั้น

    กล่าวคือ.. ถ้าอะไรก็ตามที่ไม่มีมวล มันก็จะไม่ไหลไปตามรูปร่างของ ST

    กล่าวคือ ถ้า ST มีรูปทรงเป็นหน้าผาสูง สิ่งที่มีมวลเท่านั้นถึงจะเดินตกหน้าผา แต่สิ่งที่ปราศจากมวลจะไม่ตกลงไป

    อันนี้คือ จักรวาล จักรวาลมีพื้นที่ว่างๆเป็น Space-Time ไว้รองรับเฉพาะสิ่งที่มีมวล

    Space กับ Time มันถือเป็นอันเดียวกัน แยกจากกันไม่ได้

    ดังนั้น สิ่งที่ไม่มีมวลนอกจากจะไม่ใช้เวลาในการเดินทางแล้ว ยังไม่กินระยะทางอีกด้วย

    สิ่งที่ไม่มีมวลก็อย่างเช่น ความคิดของคน จิตสำนึก สติ จิต ความทรงจำ ความฝัน และอาจมีอยู่ในรูปแบบอื่นที่เรายังไม่รู้จัก

    อันนี้คือ จักรวาล ที่นักวิทย์ทั้งหลายกำลังศึกษาอยู่

    แต่มันยังมีมิติอื่นๆอีก เช่น ดวงวิญญาณคนตายที่ยังอยู่บนโลก พวกเขาไม่มีมวล เขาไม่ได้ถูกแรงดึงดูดของโลกดูดไว้ แต่น่าจะเป็นแรงกรรม แรงยึดติด อะไรแบบนี้ล่ะ คือยังมีกรรม มีห่วง

    แล้วยังมีภพภูมิต่างๆ

    ภพภูมิต่างๆนี้ ไม่อยู่ที่ไหนในจักรวาล แต่เป็นอีกสภาพหนึ่งแยกกันไปเลย ก็ตามชื่อเรียกล่ะ เป็นคนละภพภูมิ ไม่ได้อยู่บนหรืออยู่ล่าง แต่อยู่กันคนละภพภูมิ ไม่สามารถวัดเป็นระยะห่างได้

    แล้วมันยังมี เมืองลับแล

    เมืองลับแลมีอยู่จริง เป็นมิติทับซ้อน คนที่นั่นเหมือนคนบนโลกเลย ถ้าเปรียบคำทางวิทยาศาสตร์ มันเหมือนเป็นโลกคู่ขนาน เพราะพวกเขาเหมือนเราทุกอย่าง อยู่ภายใต้กฎของมวลและ Space-Time เหมือนกัน แต่เป็นโลกที่มีความเหลื่อมล้ำกันทางเวลา

    นอกจากเมืองลับแล แล้วยังมีมนุษย์ต่างดาว

    ตอนนี้มีหลายพวกมาที่โลกของเรา มีทั้งหวังดีและไม่หวังดี และกำลังคานอำนาจกันอยู่เลยไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไร

    มนุษย์ต่างดาวมันไม่ได้มีพวกเดียว มีหลายพวกและมาจากทั้งจักรวาลเดียวกันและมาจากต่างจักรวาล ต่างมิติก็มี

    มีหลายรูปแบบ พวกที่พื้นฐานเป็นพลังงาน พวกที่พื้นฐานเป็นแสง พวกที่พื้นฐานเป็นจิต และพวกที่มีพื้นฐานเป็นแรงโน้มถ่วง

    ส่วนพวกที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์มาจากดาวที่อยู่ใกล้ๆ เพราะไม่สามารถเดินทางไกลในจักรวาลได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เอ ....สารคดีของ ทรูแมน ใน UBC เขาไปไกลกว่านี้แล้วนี่

    เขา เพิก Time ออกได้แล้ว เพราะว่า เขาใช้ หลุมดำ เป็นตัววิจัยแทน เอกภพ ทั้งหมด

    คือ ตอนนี้นักวิทย์หลายจำพวก เขาตั้ง หลุมดำ เป็นที่มาของ สรรพสิ่ง แม้กระทั่ง ที่มา
    ของสิ่งที่ีเรียกว่า วิญญาณ( ธาตุที่ทำให้เกิดพฤติกรรมแบบสัตว์ )

    โดยข้อสรุปเกี่ยวกับวิญญาณ หรือ พฤติกรรมสัตว์ พฤติกรรมการรัก การมีญาติ การ
    เอื้อเฝื้อเผื่อแผ่ มันเป็นพฤติกรรมของ ธาตุ ที่มีต่อ ธาตุ เป็นไปตามรูปแบบ ที่ถอดรูป
    ออกมาจาก หลุมดำ อย่างมี รูปแบบ

    ดังนั้น คนสองคนรักกัน คนหลายคนเป็ยญาติกัน นี่คือ รูปแบบของ ธาตุ ที่มี บางสิ่ง
    บางอย่างในหลุมดำเป็น ตัวกำหนดรูปแบบนี้

    เช่น การแสดงพฤติกรรมโกรธ นักวิทย์ก็บอกว่า นี่คือ ตัวอย่าง ซ้ำๆ ที่แสดงออกมาโดย
    ธาตุ ไม่ใช่เกิดจากสัตว์ แต่เกิดจาก ธาตุมันมีพฤติกรรมบางอย่าง แล้ว พฤติกรรมของ
    ธาตุแบบนี้ เรารู้จักกันว่า คือ การโกรธ ( ภาษา พุทธ คือ โทษะ เป็น ปรมัตถ์ธรรม หรือ
    เจตสิก-พฤติกรรมของธาตุวิญญาณที่แสดงออกทุกชนิด เป็น ปรมัตถ์ )

    สิ่งที่สามารถจำแนก บ่งชี้ว่า มีเหมือนกันในทุกๆ สิ่งที่เป็น อาการของธาตุ ตรงนี้เปรียบเหมือน
    ใบไม้

    ซึ่งใบไม้นั้น ตั้งอยู่บน กิ่งก้านสาขาของต้นไม้ที่ทอดรูปโดยไม่จำกัดแบบ( แรงบางอย่าง ที่หลุมดำ
    เป็นตัวกำหนด แรงดึงดูดนั้น แรงยึดใบไม้นั้นให้ปรากฏ จนกว่าจะเหี่ยวเฉา หลุดร่วง และ ผลิใหม่
    ซึ่งเป็นการ เวียนบังเกิด เพราะใบที่หลุดล่วงก็กลายเป็นเชื้อดิน ปุ๋ย ส่งกลับมาเกิดเป็น กิ่งก้าน
    และ ใบใหม่ )


    เรียกว่า หลุมดำของฝาหรั่ง เขาวาดภาพเป็น ต้นไม้ ที่ตีนเขาพระสุเมร ซึ่งจะมีอยู่ สองต้น
    ตามตำรา พระพุทธศาสนา

    หลุมดำฝาหรั่ง ไม่ได้ระบุจำนวนต้น แต่ของ พุทธศาสนา ถ้าจำไม่ผิด ระบุว่ามีสองต้น
    มีเสาระเนียด และก็มีเขาพระสุเมร อีก รอบๆ เขาพระสุมร บางที่ บางแห่งเท่านั้น ที่ สิ่ง
    ที่เรียกว่า มนุษย์ จะ ถอดรูปออกมาจำเพาะตรงนั้นได้ ( ของวิทย์คือ ปลายๆ ขอบห่าง
    จากหลุมดำไปไกลสักหน่อย แต่ก็ไม่ไกลเกินไป ถึงจะมี ชีวิตวิญญาณหยั่งลงแสดงพฤติกรรม
    ธาตุที่ทำให้ดูเหมือนสัตว์ แต่จริงๆ เป็น สิ่งที่แปรปรวนไปตาม ธาตุ หรือ นามรูป เท่านั้น ไม่ใช่
    สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา แต่อย่างใด )

    อ้อ

    แล้ว ตอยจบของสารคดี มันมีคำแปลไทยใช้คำว่า

    " ตราบใดที่ยังมีความไม่รู้ ก็จะ แยกรูปถอดออกมาเป็น อะไรที่เรียกสมมติว่า สัตว์ ว่า มนุษย์ ไม่จบสิ้น "

    แล้วก็ขมวดเอาไว้ว่า หาก " รู้ถึงความไม่รู้ได้ จะเกิดอะไรขึ้น ............[ สารคดี ตัดฉาก จบตอน ] "

    ฝาหรั่ง เขาทิ้งเรื่องราวเอาไว้วิจัยต่อว่า " หลุมดำมันมีอะไรในนั้น และ ความรู้ใดๆที่เกิดจาก การเข้าไปรู้
    หรือวิจัยได้ในหลุมดำ จะรู้ได้อย่างไรว่า หลุมดำมันไม่เล่นตลก มันแค่ ถอดรูป ให้เราเข้าใจ ว่าเป็นแบบนั้น
    ก็เรียกว่า มีอุปทาน หรือ มีความไม่รู้ อยู่ดี โดนหลุมดำหลอก [ พระพุทธองค์แนะว่า มันจะหลอกได้ 62 ทิฏฐิ เท่านั้น ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ธันวาคม 2014
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ ก็เกิดการคิดว่า หลุมดำคือ อนุภาคพระเจ้า จากเดิม อนุภาคฮิกส์

    แต่นี้ ทฤษฏีฝาหรั่ง เขาไปไกล จนไปถึง หลุมดำ

    ทีนี้ หลุมดำ มันเกิดอย่างไร มันไม่ได้เกิดลอยๆ หรือ มีตัวใดตัวหนึ่งเที่ยง

    หลุมดำ มีการ กลืนกิน หลุมดำ ไปเรื่อยๆ ถ้า หลุมดำคือพระเจ้า ก็กลายเป็น
    ว่า พระเจ้าก็มีวันตาย คือ โดน หลุมดำ อื่นที่ใหญ่กว่า กิน หรือ อม ได้

    แล้วมันจะเหลือ 1 ไหม

    ฝาหรั่งเขาบอกว่าไม่ เพราะ หลุมดำหลุมหนึ่ง จะมี จังหวะ อ๊วกแตก ( ภาษา สารคดีนะ
    มันคงแปล ตรงเกินไป ) แต่เขาหมายถึง จะหวะที่ หลุมดำ มันส่งรังษี แกมม่า อะไรออก
    มาเป็นแท่งขาว เกิดจากการ คายเอาสิ่งที่กลืนกินไปไม่หมด ออกมา เป็นลำแสงตรง อะไร
    ขวางอยู่ละก็ ระเหิดหมด แต่ ที่ปลายของลำแสงนั้น จะเกิดการ ก่อตัวของ ดาวฤกษ์

    ซึ่งก็ไปสอดคล้องเอา เหนือสุดของเขาพระสุมร จะเป็นถิ่นอาศัย ของพระพรหม (ดาวฤกษ์ใหม่)

    ซึ่งพวก ดาวฤกษ์ใหม่พอเกิดมากๆเข้า ก็จะ หน่วงเหนี่ยวเขาหากัน วนเข้าหากัน จนอัดแน่น
    กลายเป็น ซุปเปอร์โนวา แล้วก็เกิดเป็น หลุมดำใหม่ กลายเป็นกลุ่มจักรวาลใหม่ ไปเรื่อยๆ

    เรียกว่า พระเจ้า(หลุมดำ) มีเกิด มีตาย มีชรา มีมรณะ ไม่จบสิ้นอยู่ดี


    ตราบใดที่ยังมีความ ไม่รู้ ( ตราบใดที่ยัง ไม่รู้สิ่งที่พ้น บัญญัติว่า หลุมดำ )
     
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    อย่าลืมนะ ฝาหรั่งเขาไม่ได้ มอง " วิญญาณ " ว่าเป็น สิ่งมีชีวิตเหมือน ปูเสฉวน หากระดองใหม่

    เขาระบุชัดว่า วิญญาณ เป็น ธาตุ มีน้ำหนักประมาณ 0.22 ไมโครกรัม ( ทดลอง
    วัดจาก สัตว์ที่ตาย ไม่ว่าคน นก หนู พอ สัญญาชีวิตดับ น้ำหนักจะ หายไป 0.22 ไมโครกรับ )

    แล้ว ทฤษฏีของฝาหรั่ง ก็ระบุแล้วว่า วิญญาณธาตุแปรปรวนไปตาม ทฤษฎีกิ่งไม้ รากไม้ สายใย
    ใบไม้ ที่มีรูปแบบแปรปรวนไปตาม ปัจจัยการ

    รากไม้นี่ต้องแตกแขนงแน่ๆ แต่ จะแตกแขนงไปอย่างไรนั้น ระบุไม่ได้ แต่ แปรผันตามเหตุปัจจัย
    แวดล้อม

    เรียกว่า " วิญญาณ อาศัย นามรูป " และ " นามรูป ก็อาศัย วิญญาณ "

    เพราะ วิญญาณแปรไปตามปัจจัยการแล้ว ปัจจัยการนั้นก็แปรผันไปเป็นปัจจัยการใหม่ ไปเรื่อยๆ

    แต่ฝาหรั่ง เขาเอา ปัจจัยการบางอย่างมีแรงกระทำจาก หน่วยกลางคือ " หลุมดำ "

    ปัจจัยการนั้นมีหลากหลายและออกมาจาก ความไม่รู้ ( หลุมดำ )


    ทีนี้ ฝาหรั่งเขาไม่รู้วิธีออกจาก หลุมดำ


    แต่ถ้า ใครสนใจจะหาวิธีนำออก ก็ไม่ได้ยาก หลุมดำ มันก็ไม่เที่ยง

    ตามเห็นความไม่เที่ยง กำหนดรู้ความไม่เที่ยงของหลุมดำ นั่นแหละ จะเป็น ปัจจัยให้เกิดความเบื่อหน่าย

    พอเกิดความเบื่อหน่าย สังเกตุเลย จะเกิดความ " คลายกำหนัด "

    เพราะ คลายกำหนัด จึงรู้ว่า ไม่ติดข้อง ไม่สาระวน โดยที่ ก็รับรู้ถึงการมี
    อยู่ของ หลุมดำ ตามสัจจธรรมของเขา

    และ พอรู้ว่าไม่ติดข้อง จึงรู้ว่าพ้น

    พอรู้ว่า พ้น ก็กำหนดรู้ญาณว่าพ้น หลังจากนั้น ค่อยว่ากันต่อ ว่า จะโน้มไปไหน
     
  5. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    มีมโนบอกว่า หลุมดำเป็นสิ่งกำเหนิดทำให้เกิดต้นกำเหนิดธาตุ
    สิ่งใดที่มีมวลจะไม่หลุดเล็ดลอดออกไปจากหลุมดำได้
    หากหลุดเข้าไปในหลุมดำ จะทำให้เกิดแตกกระจาย
    นอกจากว่าสิ่งนั้นไร้มวลแล้ว จึงหลุดออกไปได้

    ถ้าอยากรู้ความจริง ต้องพิสูจน์ดู ทำตัวเองไม่มีมวล
    คือความบริสุทธิ์ ของจิตวิญญาณดูนะ
    ถึงจะรู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า
     
  6. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    หาคำตอบด้วยความคิดอย่างเดียวบ้าครับเรื่องโลกและจักรวาล ฝึกสมาธิกันดูครับ ไปดูให้เห็นเองกับตากับจิตใจเราเลย จะได้ไม่ต้องสงสัยอีก โดยส่วนตัวได้คำตอบหมดแล้ว ไม่รู้จะอธิบายไปเพื่ออะไร เพราะเคยอธิบายกับคนใกล้ตัวฟังแล้ว เกินกว่าเขาจะเข้าใจได้ทั้งหมดจริงๆ ยิ่งพูดเราก็ดูเหมือนจะบ้า ทั้งๆ ที่เรื่องพวกนี้เป็นแค่ขยะในจิต รู้ก็เท่ากับไม่รู้ ไม่เห็นว่าจะสำคัญอะไรเลย เพราะสุดท้ายสิ่งที่อยู่ปัจจุบันสำคัญที่สุดเสมอ

    สภาพเอกภพจริงๆ เห็นด้วยตาไม่ได้ ต้องเห็นด้วยใจ สภาพของภาพที่เห็นในส่วนละเอียดเล็กลงไปกว่าอนุภาคจะเป็นเหมือนผิวของเหลวหนืดๆ แล้วมีฟองผุดขึ้นมา ลักษณะที่ฟองเหล่านั้นผุดขึ้นมา ก็จะสลายไป จะมีฟองผุดขึ้นมาแบบนี้ไม่หยุด เมื่อกลุ่มฟองเหล่านี้ผุดใกล้กันมากก็ดูเหมือนเป็นรูปร่างขึ้นมา เป็นอนุภาคต่างๆ ซึ่งแต่ละกลุ่มฟอง ที่ผุดขึ้นมานี้มาจากผิวที่กระเพื่อมได้ตลอดเวลา อันนี้ที่เห็นน่าจะเป็นชั้นสุดท้ายที่เป็นรอยต่อระหว่างชั้นกายภาพกับชั้นที่เป็นนามหรือเป็นข้อมูล

    เอกภพในรูปแบบ 3 มิติอย่างที่เราเรียกกันนี้ เป็นเพียงชั้นนึงที่มีขอบเขต เพียงแต่ระยะเวลาและขนาดถูกขยายอย่างต่อเนื่องไม่จำกัด เพราะขนาดเริ่มแรกของขอบเขตจำกัดไม่มี หรือพูดง่ายๆ ว่าเอกภพจะมีขนาดเท่าไหร่ก็ได้ ไม่สามารถวัดค่าคงที่ได้แน่นอน

    ในภพภูมิอื่นๆ นรก สวรรค์ เป็นมิติที่อยู่อีกชั้นนึงยังซ้อนอยู่กับมิติของเอกภพนี้ ส่วนพรหม อรูปพรหม จะอยู่แยกเป็นอีกส่วนไม่เกี่ยวข้องหรือไม่มีชั้นรอยต่อเชื่อมโยงโดยตรงกับเอกภพ แต่มีภพพิเศษที่เรียกว่านิพพานที่ไม่มีชั้นรอยต่อเชื่อมกับภพภูมิใดๆ ได้เลย

    รู้แรกๆ สนุกอยู่ครับ หลังๆ พอเริ่มเห็นภาพรวมทั้งหมด จะไม่เหลืออะไรให้รู้สึกว่าสำคัญ จะเหลือแค่เพียงจิตใจเท่านั้นที่สำคัญที่สุด จะเห็นการมีชีวิตมีค่ากว่าเดิมมาก ไร้ความกังวล แทบจะหมดความกลัว เพราะความรู้ที่สงสัยทุกอย่างถูกเชื่อมโยงด้วยความจริงแท้เรื่องเดียวคือ ทุกอย่างมันไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีอะไรเป็นของจริงเลย

     
  7. คะนึง

    คะนึง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    178
    ค่าพลัง:
    +402
    แฮะ ๆ ๆ จริงคะ และอนุโมทนาคะ

    เพียงแต่จินตนาการในเหตุผลของขอบเขตในความเป็นไปได้

    จุดกำเนิดเอกภพ คือ Big Bang ที่เกิดการระเบิดด้วยพลังงานความร้อน
    อันมหาศาล ก่อเกิดธาตุพลังงานต่าง ๆ มากมาย นับเป็นล้าน ๆ ปี
    แล้วค่อย ๆ เย็นลง จึงเกิดสิ่งมีชีชิตขึ้นมา ซึ่งเราก็คือ ธาตุหรือพลังงานในหนึ่งนั้น

    หลุมดำ ก็คือ จุดกำเหนิด Big Bang จินตนาการเล่น ๆ

    แรงดึงดูด หรือแรงโน้มถ่วง สามารถยึดรั้งไม่ให้หลุดพ้น ไปจากเอกภพ
    คือ วัตถุมวลที่มีน้ำหนัก หรือ ในพลังงานนั้นมีมวล คือ พลังงานที่
    ไม่มีความเป็นกลาง มี บวก ลบ หรือ บุญ บาป ไม่บริสุทธิ์
    มีแรงดึงดูดไว้ ยึดไว้ที่เรียกว่า โลก หรือ วังวนวัฎฎะ ที่เรียกว่า กฏแห่งกรรม จินตนาการเล่น ๆ คะ

    เมื่อสิ่งนั้นไร้มวล เป็นกลาง หลุดพ้นจากโลก พ้นวัฏฏะ พ้นจากแรงยึดเหนี่ยว
    พ้นจากแรงดึงดูด ก็ย่อมอิสระ หลุดพ้น

    จินตนาการเพื่อการเรียนรู้ แต่ถ้าจะรู้จริง ต้องปฏิบัติรู้ได้ตนเองนะคะ

    ไม่รู้ว่าวิทยาศาสตร์ เขาจะพิสูจน์กันไปทำไมนะ ถ้าเขาศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
    ไม่ต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ใด ๆ เลยคะ ใช้ใจก็พอ

    ส่วนข้าพเจ้าเรียนรู้คำสอน ผสมกับวิทยาศาสตร์ เป็นผลให้เกิดจินตนาการในการ
    เรียนรู้คะ อาจจะจริงหรือไม่จริงก็ได้ ถ้าจะให้รู้จริงต้อง ภาวนามยปัญญานะคะ
     
  8. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    ในเมื่อรู้แล้วว่า ไม่มีอะไรเป็นของจริงเลย
    แล้วเรามาทำอะไรกัน? มาทำไม?
    ในเมื่อที่สุดแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเหลือเลย.({)
     
  9. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163
    เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้ครับ สาเหตุที่ดวงจิตเกิดขึ้นจะเพราะอะไรไม่สำคัญแล้ว แต่การที่เราผ่านกาลเวลามานับไม่ได้ เรื่องราวจะดีร้ายมากมายขนาดไหน สุดท้ายตัวเราเองเป็นผู้รับประสบการณ์เหล่านั้นไว้เองทั้งหมด ซึ่งทางเลือกของดวงจิตไม่ว่าจะปรารถนาพิศดารขนาดไหน ก็จะยังอยู่บนรากฐานของความจริงแท้เสมอ คือ ต้องการความสุข ดังนั้น ไม่ว่าความจริงที่ผ่านมาในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จะไม่มีอะไรเป็นของจริงติดตัวเราไปได้แม้แต่อย่างเดียว แต่สิ่งที่เหลืออยู่คือการพัฒนาของจิต ที่ไม่มีใครสามารถจะปฎิเสธได้ ต่างกันแค่ใครจะเรียนรู้ได้ช้าหรือเร็วแค่นั้น

    หลังจากถามตัวเองแล้วว่า ในเมื่อรู้ว่าทุกสิ่งไม่มีอะไรอยู่มั่งคงแน่นอนตลอดกาลได้ และเรื่องราวต่างๆ ก็มีมากมายเสียจนเหมือนมันไม่มี เปรียบได้ดังความฝัน เราก็ต้องถามตัวเองต่อไปว่า เราจะเลือกทำแบบเดิมซ้ำๆ ไปถึงเมื่อไหร่ จะแสวงหาความสุข ความปรารถนาของตน ที่คิดและเชื่อว่านั่นคือความสุขไปได้อีกนานแค่ไหน ในเมื่อสุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรให้เป็นความสุขจริงๆ ได้แม้แต่เศษธุลี ดังนั้นเราจะเลือกทางที่ไม่มีหนทางจบ กับหนทางที่มีโอกาสจบมากกว่ากัน

    ถึงพระพุทธศาสนาจะเป็นเพียงศาสนานึงในนิยามความหมายของโลก แต่ด้วยความจริงแท้ที่สูงสุดไม่มีสิ่งใดจะยิ่งใหญ่และเสมอเหมือนเท่ากับพระรัตนตรัยแล้ว ไม่ว่าจะในอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต พระพุทธศาสนาจึงไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่เป็นประตูสุดท้ายของทุกคน ทุกๆ ดวงจิต ที่ได้ถือกำหนดเกิดมาเวียนว่ายในโลกนี้

    แล้วคำถามสุดท้ายที่ควรจะถามตัวเองจริงๆ คือ เมื่อไหร่เราจะพ้นจากวงเวียนซ้ำซากนี้เสียที

    ถ้าลองได้เห็นความจริงชัดแล้ว หนทางที่แท้จริงที่เราจะตั้งใจทำให้จบก็จะมีอยู่ และนั่นคือที่สุดท้ายที่เราทุกคนทุกดวงจิตจะไปเจอกัน นั่นคือ พระนิพพาน

    เป็นกำลังใจให้ทุกๆ ท่านครับ
     
  10. yothin4213

    yothin4213 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2011
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +63
    :cool:cool::cool::cool:ชอบx3
     
  11. mamboo

    mamboo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    1,129
    ค่าพลัง:
    +1,973
    สุดยอดเลยค่ะ แต่ละท่าน

    :cool:

    ความเป็นจริงซับซ้อนกว่าที่คิด

    บางที การศึกษาโครงสร้างของสิ่งต่างๆอาจไร้ประโยชน์ เพราะพวกเราอาจเป็นสิ่งๆเดียวกัน มาจากที่เดียวกัน

    คือไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง แต่ทุกๆโลกถูกสมมติขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง

    :cool:
     
  12. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ถูกสมมติขึ้นมา เพื่อวัตถุประสงค์บางอย่าง อยู่แล้ว.ชัวร์ป๊าบๆ
    ปล.ทั้งๆที่รู้ว่าถูกสมมติ หลายคนก็ยังไม่วายทำท่าเสมือนจริงอยู่เรื่อย({)
     
  13. GenerationXXX

    GenerationXXX เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    561
    ค่าพลัง:
    +2,163

    ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เราจะรู้อะไรมากหรือน้อย สำคัญที่เราพร้อมจะยอมรับความจริงหรือไม่ หลายๆ ครั้งที่ผมเคยพยายามจะอธิบายให้คนที่ฟังได้เข้าถึงความสำคัญในชีวิตที่เกิดมา การเลือกที่จะกระทำมีผลกับความเชื่ออย่างแยกออกจากกันไม่ได้ จนผมเองต้องยอมรับความจริงที่ว่า ความเชื่อ ความเข้าใจและการยอมรับของแต่ละคนมีไม่เท่ากัน และเป็นผลทำให้ ต่อให้เขาสามารถที่จะรับรู้ความจริงได้ แต่ก็ไม่สามารถยอมรับทำใจให้เชื่อได้

    ผมเคยคุยกับคนๆ นึงเขามีความฉลาดมีปฎิภาณไหวพริบดีมาก มีใจที่เปิดรับกว้างมาก สนใจเทคโนโลยี ครั้งนึงเคยคุยกัน ในเรื่องโลกและจักรวาล ระยะเวลาเรื่องของกาลเวลา ในช่วงนึงที่อธิบาย เกี่ยวกับความว่างเปล่าในอวกาศ เขากลับรู้สึกสะเทือนใจและรู้สึกกลัวจนจับใจอย่างบอกไม่ถูก ด้วยตอนนั้นผมยังมีสมาธิดีอยู่ก็เลยไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น ก็อธิบายไปว่า

    ครั้งนึงในชาตินึง เขาเคยเป็นทหารสู้รบในสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ สมัยนั้นวิทยาการสูง เรื่องการเดินทางในอวกาศเป็นปกติ มีอาวุธที่ทันสมัยมาก เหตุที่เขาหวั่นไหวกลัวเรื่องนี้เพราะในชาตินั้น เขาต้องตายอยู่ในอวกาศแต่เพียงลำพัง เพราะระบบยังชีพของชุดอวกาศในยุคนั้นดีมาก สามารถรักษาผู้สวมใส่ให้อยู่ได้นานมาก และด้วยอายุขัยมนุษย์ในสมัยนั้นยืนยาว กว่าร่างกายจะทนสภาพอดอาหารไม่ไหว ก็กินเวลาหลายเดือน และประกอบกับระบบชี้ตำแหน่งเสีย ทำให้ไม่สามารถติดต่อใครและกลับเข้ายานแม่ได้ (ยานถูกทำลายแต่เขาหนีออกมาก่อน)
    ทำให้ต้องลอยอยู่ในอวกาศเป็นเวลาหลายเดือน และตายไปในที่สุด ด้วยการที่อยู่ในที่ๆ ไม่มีอะไรเลย เป็นเวลานานความฟุ้งซ่านจึงมีมาก และความคิดสุดท้ายคือไม่อยากตายไปแบบนี้อย่างโดดเดี่ยว ความคิดนี้จึงฝังติดอยู่ในใจมาจนถึงทุกวันนี้

    พอเขารับฟังและเริ่มเข้าใจเหตุผล ก็ทำให้ความเชื่อในตัวเขาเปลี่ยนไป กลับกลายเป็นคนที่รักครอบครัว เข้าอกเข้าใจผู้อื่น เห็นความสำคัญของการอยู่ร่วมกัน ซึ่งผมเองก็ไม่ได้บอกเขาให้เปลี่ยนอะไร สิ่งเหล่านี้เป็นผลกระทบโดยตรงที่เกิดขึ้นระหว่างการเรียนรู้ ซึ่งก็ไม่ใช่จะเกิดแบบนี้ทุกคนเสมอไป

    และก็จริงอย่างที่คุณ mamboo กล่าวทิ้งท้ายไว้ วัตถุประสงค์ในสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวแบบไหน ต่างก็นำไปสู่จุดหมายเดียวกัน นั่นคือเรื่องของจิตใจ

    จริงๆ ในช่วงที่สมาธิยังดีอยู่เคยไปดูระบบของเอกภพและจักรวาลนี้มาจนถึงแกนหลัก เรียกว่าเป็นชั้นแรกสุดยิ่งกว่านามด้วย เคยเล่าให้ฟังในเว็บครั้งนึง แต่มันก็ดูเป็นจินตนาการเสียจนหาจุดเชื่อมโยงในเหตุผลไม่เจอ เว้นแต่ว่าจะเปิดใจรับฟัง แต่อย่างน้อยก็มีคนที่เข้าใจในจุดเริ่มแรกของระบบทั้งหมดได้มีอยู่

    ผมไม่ได้อินอะไรมากกับเรื่องพวกนี้ ยังใช้ชีวิตปกติมาก เหมือนมนุษย์ทั่วไป ถึงแม้จะเคยสัมผัสเรื่องราวที่คนทั่วไปจะบอกว่าเหนือธรรมชาติ แต่มันก็ไม่ได้มีผลทำให้ความเชื่อมั่นส่วนตัวเปลี่ยนไป เพราะที่สุดแล้วความเป็นตัวเราเองเท่านั้นที่สำคัญที่สุด ที่จะบอกตัวเราเองได้ว่าเราจะทำอะไรต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 ธันวาคม 2014
  14. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ความเป็นจริงเมื่อเข้าใจแล้วจะไม่มีอะไรซับซ้อน

    เมื่อเข้าใจ จะไม่ซับซ้อน
     
  15. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ความเป็นจริง ไม่ต้องคิด
     
  16. OSR

    OSR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2014
    โพสต์:
    50
    ค่าพลัง:
    +107
    ความจริง กับ ความคิด ดูเหมือนจะสัมพันธ์กับสมองของเรา
    การทำงานของสมองทั้งสองซีก น่าจะเฉลยเรื่องนี้ได้ในระดับหนึ่ง
    ซึกขวา คือ ความจริงที่ไม่ขึ้นกับเวลา ซีกซ้าย คือ เวลาและการเปรียบเทียบ
    แต่ ซีกซ้าย คิดไม่ได้ ถ้าไม่มี ซีกขวา เป็นตัวจ่ายพลังงาน อยู่เบื้องหลัง
     
  17. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    ความจริงไม่เกี่ยวกับสมอง เพราะความจริงมันมีอยู่อย่างนั้นของมันอยู่แล้ว
    สมองมีเอาไว้ใช้เพื่อการใช้ชีวิต สมองมีเอาไว้คิดหรือประมวลผลในสิ่งอื่นทั่วๆไป
    ใจรู้ ไม่ได้คิด ไม่เกี่ยวกับสมองเลย
     
  18. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    โอ้ย อ่านแล้วเพลีย [​IMG]

    คนนึงถึงถาม ถึงความเป็นจริงที่มีอยู่ ยังไม่ถูกค้นหา ค้นพบ หรือถูกไปพบไปรู้แค่บางคนบางกลุ่ม

    อีกคน ดูๆแล้วคงกะตอบไป ประมาณว่า ความจริงที่แท้จริง >ทุกสิ่งเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไปก็ว่ากันไป หรือจะ อริยสัจ 4 ก็ว่ากันไป

    เพราะถ้ารู้ตามความเป็นจริง ถึงจะบอกว่ามันก็ไม่ต้องคิด แต่ยังไงมันก็ต้องไตร่ตรองในสิ่งที่รู้
    ที่คิดก็เพราะว่ามันไม่รู้+ไม่ได้ไปรู้
    อย่างพวกที่ไปเห็นมิติภพภูมิต่างๆถือว่าไปรู้ แต่คนที่ไปไม่ได้อาศัยอ่านเอาเป็นไม่รู้ถือว่าคิด
     
  19. หนึ่งจิต

    หนึ่งจิต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,928
    ค่าพลัง:
    +4,388
    อย่าเพลียเลยครับ ในส่วนที่คุณอ้างว่าความเป็นจริงที่มีอยู่ในส่วนที่คนยังรู้ไม่มาก
    พระพุทธเจ้าท่านค้นพบมารู้เห็นมาหมดแล้ว และก็เอามาเล่ามาเปิดเผยหมดแล้ว ในส่วนที่ไม่นำมาเปิดเผยเพราะอาจยังไม่ถึงเวลา รอให้มนุษย์เราพัฒนาสมองให้เข้าถึงในเหตุผลในเรื่องนั้นได้ก่อน เมื่อถึงเวลาสมควร มันย่อมเปิดเผยเองครับ

    ซึ่งที่พระพุทธเจ้าท่านไม่พูดถึงทั้งหมด อาจเพราะ บางอย่างมันไม่มีประโยชน์ต่อการค้นหาความจริง แต่ถ้า จะแก้ไขปัญหาข้อสงสัยของคนบางคน อาจจะต้องยกมากล่าวอ้างถึง แล้วแต่เฉพาะบุคคลไปครับ

    สิ่งที่กล่าวอ้างไม่ไช่ว่ามันไม่มี แต่จะกล่าวอ้างเมื่อมันเกิดประโยชน์สมควร
    เหมือนยาที่รักษาเฉพาะบางโรคที่ร้ายแรง ถ้าไม่มีโรคนั้นเกิดขึ้น ยานั้นก็จะไม่มีใครพูดถึงเลย
     
  20. blackangel

    blackangel เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    1,750
    ค่าพลัง:
    +1,919
    แหน่ะ ผมเพลีย กับคุณแหละครับ คุณซีอาน
    ผมรู้ครับ และหลายคนก็คงรู้ ว่าพระพุทธเจ้าไปรู้ เห็นความเป็นไปหมดทุกอย่าง
    เพราะท้ายที่สุดแล้วความจริงของทุกสิ่ง ก็คือมันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป เป็นธรรมดา

    ความรู้ วิทยาการ ศาสตร์ต่างๆ บนโลก เปรียบเทียบเหมือน ใบไม้เต็มป่า ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย ก็เรียนรู้ไม่หมด ไม่เป็นไปเผื่อสาระ ถ้าคุณ ซีอาน คิดได้อย่างงั้นก็ได้ ก็ดีครับ :cool:
    (หรือคิดว่าตัวเองเป็น พระศรีอารย์ จะมากล่าวในสิ่งที่เป็นธรรม เป็นสัจจะ เป็นความจริง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เว็ปพลังจิต แนวๆนี้มีหลายคน ฮาา)

    แต่ต้องเข้าใจอย่างนึงว่า บางอย่างมันก็อดสงสัยไม่ได้ กระหายที่อยากจะไปรู้ อยากจะเรียนรู้ รวมถึงบางสิ่งที่อาจจะดูเป็นสิ่งไร้สาระ เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้า ไม่ได้บอกไว้ กล่าวไว้

    ถ้า พัฒนาสมอง ในการไปรู้บางสิ่งบางอย่าง ต้องใช้เวลา+ความสงสัย อยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ครับ ไม่งั้นเราก็ไม่รู้หรอก ว่าดาวอังคาร เป็นยังไง มีสภาพแบบไหน เอาง่ายๆขนาดเทวดา ชาวทิพย์ ยังมีปัญหา ยังมีข้อสงสัย เลย

    หรือใครอยากจะพัฒนาจิต ไปรู้ไปเห็นเองก็ได้ แต่ก็ใช่ว่าสิ่งที่ไปเห็นจะเป็นอย่างที่เห็นเสมอไป:boo:

    มันต่างกันนะ การที่ไปรู้เห็นความจริงบางอย่าง จนหมดความสังสัย คลายความสังสัย แล้วเห็นความจริงที่แท้จริง
    เช่นพวกที่ระลึกชาติไปเห็นนั้นนี่ แล้วก็เห็น ว่า เรา ตายๆเกิดๆไม่รู้เท่าไร ไปเห็นสิ่งมีชีวิตในมิติภพภูมือื่นๆ ซึ่งก็ มีเกิดๆตายๆเหมือนกัน เกิดความสลดสังเวช เห็นความจริงที่แท้จริงก็ว่าไป

    กับการที่คิด ที่อ่าน ถึงความจริงที่แท้จริง+อาจจะเอามาใช้เทียบเคียงนิดๆ จนไม่จำเป็นที่ต้องจะไปรู้ไปสงสัยอะไร
    เช่นพวกที่อ่านๆมา เช่น ความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ ก็ลองมานั่งๆนึกๆคิดๆ มาคิดเทียบเคียง หน่อย ว่าเออ มันก็จริง แล้วก็ดูๆแล้วคงไม่ใช่เรื่องที่จะไปรู้สนใจในสิ่งอื่นให้วุ่น ให้ยุ่งยากมากมาย

    แต่ก็นะอยู่ที่จริตของแต่ละคน ถ้าควบคู่กันไปได้ อย่างสมดุลก็ คงดี
     

แชร์หน้านี้

Loading...