จิตไม่เที่ยง จิตเกิดดับ ใครว่า จิตเที่ยง จิตดับไม่มี นี่เป็นความเห็นผิด

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้, 5 พฤศจิกายน 2014.

  1. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เราชอบไปอ่านคำนิยาม นิพพาน ที่เรียบเรียง จากวิกิพิเดีย
    ...

    ในคัมภีร์รุ่นอรรถกถา ยังมีข้อความแสดงสภาวะของนิพพานอีกหลายแห่ง เช่นในปฏิสัมภิทามรรค มีอธิบายว่า นิพฺพานธมฺโม อตฺตสฺเสว อภาวโต อตฺตสุญฺโญ "ธรรมคือนิพพาน ว่างจากอัตตา เพราะไม่มีอัตตา" (ขุ.ป.อ.2/287) นอกจากนี้ในวิสุทธิมรรค พระพุทธโฆสะพยายามอธิบายให้เห็นถึงความไม่มีตัวตนของผู้ได้ชื่อว่าบรรลุนิพพาน ซึ่งเท่ากับว่าไม่มีอัตตา และนิพพานก็มิใช่สิ่งที่จะต้องมีอัตตาถึงจะมีอยู่ได้ ดังที่พระพุทธโฆสะกล่าวว่า "นิพพานมีอยู่ แต่ไม่มีผู้เข้าถึงนิพพาน มรรคามีอยู่ แต่ปราศจากผู้ดำเนินไป" (วิสุทฺธิ.3/101) ข้อความนี้แสดงให้เห็นว่า ไม่มีตัวตนบุคคลใด ๆ ที่ปฏิบัติตามมรรคมีองค์แปด แล้วบรรลุนิพพาน เมื่อปราศจาก "ตัวตน" ของผู้เข้าถึงนิพพาน นิพพานก็ย่อมไม่ใช่อัตตาไปด้วย

    ความมีอยู่ของพระนิพพาน มิใช่สภาวะที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของจิต แต่มีอยู่โดยตัวของตัวเอง คือเป็นความจริงขั้นปรมัตถสัจ ที่ตรงข้ามกับสมมติสัจในโลกแห่งปรากฏการณ์ มีสภาวะที่เที่ยง ไม่ใช่สิ่งที่เกิดดับสลับกันไปแบบสิ่งต่างๆ ในโลก นิพพานจึงเป็นอสังขตธรรมที่พ้นไปจากปัจจัยปรุงแต่ง ในสภาวะของนิพพานทั้งนาม (จิต) และรูป ย่อมดับไม่เหลือ ดังพุทธวจนะในเกวัฏฏสูตร ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ได้กล่าวถึงนิพพานว่าเป็น "ธรรมชาติที่รู้แจ้ง ไม่มีใครชี้ได้ ไม่มีที่สุด แจ่มใสโดยประการทั้งปวง ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ และวาโยธาตุ ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ อุปาทยรูปที่ยาวและสั้น ละเอียดและหยาบ ที่งามและไม่งาม ย่อมตั้งอยู่ไม่ได้ในธรรมนี้ นามและรูปย่อมดับไม่มีเหลือในธรรมชาตินี้ เพราะวิญญาณดับ นามและรูปย่อมดับ ไม่มีเหลือในธรรมชาติ ดังนี้ฯ" (ที.สี.14/350) เพราะฉะนั้น นิพพานจึงไม่ใช่จิต หรือสัมปชัญญะบริสุทธิ์ ซึ่งนั่นเป็นลักษณะของพรหมันหรืออาตมันของปรัชญาฮินดู ทั้งยังไม่ใช่เจตสิกที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เพราะทั้งจิตและเจตสิกนั้นล้วนเป็นสังขตธรรม ซึ่งต้องอาศัยปัจจัยปรุงแต่ง มีธรรมชาติเกิดดับ มีการเปลี่ยนแปร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป เช่นเดียวกับสิ่งอื่นๆ แต่นิพพานอยู่เหนือสภาพเช่นนี้ และว่างเปล่าจากสิ่งเหล่านี้ ขณะเดียวกัน นิพพานก็ไม่ใช่ความดับสูญอย่างสิ้นเชิง ซึ่งเป็นลักษณะของอุจเฉททิฏฐิการใช้ภาษาอธิบายนิพพานเป็นสิ่งที่ต้องกระทำอย่างรัดกุม เพื่อป้องกันการเข้าใจผิดว่าเป็นอัตตาเที่ยงแท้ (สัสสตทิฏฐิ) หรือว่าเป็นความขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ซึ่งเป็นทัศนะที่คลาดเคลื่อนจากพระบาลีทั้งสิ้น

    พระพุทธเจ้าไม่เคยทรงอธิบายว่า พระอรหันต์ผู้บรรลุนิพพานเมื่อดับขันธ์แล้วจะอยู่ในสภาพเช่นใด การอธิบายทำได้ในลักษณะเพียงว่า นิพพานคือการดับทุกข์ สิ้นตัณหา เหมือนไฟที่ดับจนสิ้นเชื้อไม่สามารถที่จะลุกลามขึ้นมาได้อีก สำหรับพระอรหันต์ที่ปรินิพพานแล้วนั้น พระพุทธองค์ไม่ตรัสยืนยันถึงความมีอยู่หรือความดับสูญ พระองค์ตรัสแต่เพียงว่า เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ทั้งเทวดาและมนุษย์จะไม่สามารถเห็นพระองค์อีกต่อไป "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคต มีตัณหาอันนำไปสู่ภพขาดแล้ว ยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต" (ที.สี.14/90) ในคำสอนพระพุทธศาสนา ไม่มีอัตตาใดเข้าสู่นิพพาน และไม่มีอัตตาดับสูญในภาวะแห่งนิพพาน แม้ในโลกแห่งปรากฏการณ์ เบื้องหลังเบญจขันธ์อันไม่เที่ยงนั้น ก็มิได้มีอัตตาซึ่งเป็นผู้รับรู้หรือเป็นพื้นฐานแห่งตัวตนที่เที่ยงแท้อยู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกอยู่ในรูปของกระบวนการที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ทั้งรูปธรรมและนามธรรม กระบวนการแห่งนามรูปที่สมมติว่าเป็น ตัวตน สัตว์ บุคคล เราเขา นี้ เมื่อวิวัฒนาการไปจนกระทั่งถึงที่สุด ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปก็เป็นอันยุติลง สภาพความสิ้นสุดกระบวนการแห่งนามรูปที่ไม่เที่ยงแปรปรวนอยู่ทุกขณะนี้ เรียกว่านิพพาน เมื่อรูปและนามดับ นิพพานจึงไม่ใช่ทั้งจิตและสสารซึ่งต้องอาศัยเหตุปัจจัยในการดำรงอยู่ พระนิพพานตั้งอยู่โดยไม่ต้องอาศัยเหตุปัจจัย จึงเรียกว่าอสังขตธรรมในพระไตรปิฎกมักเปรียบนิพพานว่าเหมือนกับไฟที่ดับแล้ว ไม่สามารถบอกได้ว่าไฟที่ดับไปนั้นหายไปไหนหรืออยู่ในสภาพใด

    นิพพาน - วิกิพีเดีย
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ====================

    แล้วท่านพระอวโลกิเตศวรเจ้าแม่กวนอิม ท่านพระกษิติ ท่านหลวงปู่ทวด สมเด็จโต หลวงพ่อเงิน หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อปานท่านเป็นอะไรหนอ?????

    แต่ที่รู้ผมไม่เป็นอะไรเลยเพราะไม่ได้ยึดมั่นอะไรครับ รู้แค่ว่า ต้องสร้างความดีสักแต่ว่าทำไปทำไปทำไปๆๆๆๆๆๆๆๆก็เท่านั้นครับ
     
  3. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    ผิดแล้วครับ

    แม้สิ่งที่มีอยู่ในพระไตรปิฏกแม้จะสั้นก็ตาม
    แต่ใช้อธิบายทุกสิ่งทั่วโลกธาตุได้ทั้งหมด

    "อริยสัย" "ปฏิจสมุปบาท"
    แค่หลักธรรม สองอย่างนี้
    ก็ใช้อธิบายความทุกข์ของมนุษย์ได้หมดแล้ว
    ให้แตกธรรมะเป็นตำราได้เป็นกอง ท่วมแผ่นดินก็ยังได้ครับ

    เพราะคำที่ออกจากปากพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น
    มีความหมายทุกคำ ไม่เว้น แม้ประโยคเดียว

    ถ้าไม่แยบคายจริง ไม่มีทางรู้เห็นได้
    จะเห็นว่า ในคำของพระพุทธองค์
    เป็นเพียงทฤษฏีบ้าง ที่ไม่ล้ำลึกบ้าง นำมาปฏิบัติไม่ได้บ้าง

    ในยุคที่ธรรมพระพุทธเจ้า ฟุ้งขจรไปทั่ว
    หาอ่าน หาฟัง ได้ง่าย
    แต่กลับถูกมองข้ามไป

    ต่างจากสมัยก่อน
    ที่ลำบากลำบน เพื่อจะได้ฟัง สิ่งที่เป็น "สัทธรรมแม้ซักบทหนึ่ง"
    จากพระพุทธองค์
    เพื่อจะทรงจำไว้ในได้ทุกคำทุกประโยค

    แต่
    ยุคนี้มันเฝือไป
    คนไม่ใส่ใจ "ในของที่มีค่าที่สุด"
    จะด้วยค่านิยมฝังหัว หรือ อะไรตาม
    มันทำให้สัตว์ไม่อาจพ้นไปจากวัฏสงสารได้

    ความที่สั้น กระชับ นั่นแหละครับ
    ปัญญาที่ใคร หรือ สาวกที่ไหนก็ไม่อาจทำได้

    ด้วยการพูดครั้งเดียว "เป็นสัจะความจริง ที่เป็นไปตามนั้นตลอดกาล"
    และทุกประโยค ทุกคำมีความหมาย และประกอบไปด้วยประโยชน์
    ทั้งสิ้น
    ธรรมทั้งหลาย(ธรรมชาติ)ทั่วโลกธาตุ
    รวมลงในคำที่สั้นเป็นหางอึ่ง อย่างที่คุณ tjs เห็นนี่แหละครับ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ====

    พระพุทธองค์ไม่เคยอธิบายว่า เมื่อสำเร็จอรหันต์แล้ว หลังจากนี้นั้นต้องทำอย่างไรในการดำเนินชีวิตส่วนที่เหลือ ความจริงพระองค์ก็มีอธิบายไว้บ้างแต่ไม่มากครับ แต่ถ้าเราพิจารณาให้ดีเราจะพบว่า ก็ชีวิตที่เหลือของพระพุทธองค์ภาระต่างๆที่พระองค์ดำเนินไป หรือแม่แต่อรหันต์สาวกทั้งหลายที่เจริญรอยตามก็ดี มีเรื่องราวมากมายให้เราได้ศึกษา

    อย่างเช่นพระโมคัลลานะ ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ทำไมเวลาท่านถึงคราวสิ้นชีพมรณะ นั้น ทำไมท่านต้องไปให้เขาทุบตีทำร้าย

    หรืออย่างพระองคุลีมาร ก็คล้ายๆกัน เมื่อสำเร็จพระอรหันต์แล้วเหตุใดยังต้องเผชิญชะตากรรมทุบตีถูกทำร้าย

    นี่คือบทเรียนอย่างดี ที่เหล่าพวกเธอทั้งหลายที่ควรทำความเข้าใจในความเป็นอรหันต์บุคคล ผู้ยังต้องรับใช้วิบากกรรม ยังต้องเผชิญกับ กายธาตุ เผชิญกับขันธ์5ที่ดับแล้วแต่ยังทำงานอยู่ครับ

    ถ้าท่านศึกษาถ้าท่านปฏิบัติไปถงทุกคำถามตอบได้หมดไม่มีข้อยกเว้นครับ เพราะมันเป็นสิ่งเดียวกันนั่นเองอันเป็นธรรมดาวิสัยครับ สาธุ
     
  5. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ===============

    ใช่ครับก็ธรรมปิฏก นั้นสามารถอธิบายได้ทั่วทั้งจักรวาล

    แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่ตรงนั้น ปัญหามันอยู่ที่ว่าผู้อธิบาย รู้แจ้งจริงในธรรมปิฏกดังกล่าวมากน้อยแค่ไหน ผู้รู้แจ้งกว่า ปฏิบัติได้มากกว่า ย่อมอธิบายได้ยิ่งกว่า

    บัดนี้ท่านได้ปฏิบัติธรรม ตามธรรมปิฏกที่ว่าให้แจ้งยิ่งๆขึ้นไปแล้วหรือยัง ครับ

    อุปมาดังคนที่พูดธรรมปิฏกเรื่องเดียวกัน แต่คนพูดคนละคนกัน ไม่มีทางที่จะพูดเหมือนกัน แม้แก่นแท้จะเหมือนกันก็ตาม ครับ เฉกเช่นพระสารีบุตรพูด กับพระอานนท์พูดเรื่องเดียวกัน ท่านว่าใครพูดได้เข้าใจง่ายลึกละเอียดกว่ากันครับ สาธุ
     
  6. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    คิดว่าสิ่งที่ออกมาจากผมทั้งหมดนี้
    มันเกิดจากอะไรครับ

    จากการอ่าน
    จากการฟัง
    จากการท่องจำ
    หรือเปล่า

    ลองพิสูจน์ซิครับ ดูว่า "ทิฐิเหล่านี้" ถูกหรือผิด

    ในกรณีพระสารีบุตร กับ พระอานนท์ กล่าวเรื่องเดียวกัน
    จริงๆต่างที่คำ แต่ความหมาย
    คือ สิ่งเดียวกัน
    มันอยู่ที่คนฟัง ต่างหากครับ
    จะมีปัญญาเข้าใจได้แค่ไหนครับ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    คนฟังนั้นเป็นปลายเหตุ

    ต้นเหตุคือคนพูด คำกล่าวก็ดี น้ำเสียงก็ดี ลีลาในการกล่าวก็ดี อรรสในการกล่าวก็ดี ความเข้าใจมากน้อยลึกซึ่งละเอียดละออก็ดี นี่เป็นเหตุทั้งนั้น

    เมื่อเหตุแตกต่าง ผลย่อมแตกต่าง

    ยิ่งคนฟังที่มีความแตกต่าง ผลที่ได้รับยิ่งแตกต่างทวีคูณครับ

    ปัจจัยที่กระทบ เหตุปัจจัยจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องพิจารณาเป็นเบื้องต้น

    ส่วนสิ่งที่ท่านถามกระผมมา ในเรื่องภูมิธรรมนั้น ผมไม่อาจทราบได้ แต่เข้าใจว่า ท่านก็สั่งสมมาไม่น้อยคือสั่งสมมาดีเช่นกันครับ
    เมื่อท่านทำไปปฏิบัติไปยิ่งกว่านี้ ท่านจะเห็นอะไรมากกว่านี้ ปัญญารู้แจ้งก้าวหน้ามากกว่านี้ ท่านย่อมเป็นที่พึ่งแห่งตนได้แท้จริงนั่นเอง เป็นผู้พ้นแล้วห่างไกลแล้ว นั่นเอง ก็อยู่ที่ความเพียร วิริยะอุตสาหะของท่านเป็นกำลังครับ
     
  8. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    1. แค่พระพรหมอนาคามีชั้นสุทธาวาส กับ อรูปพรหม
    คุณ tjs ยังแยกแยะความแตกต่างไม่ได้เลยครับ แต่กลับเอาคำศัพท์มาใช้ปนเปกันมั่วไปหมด

    เอาแต่ปฏิบัติ รู้ปริยัตินิดหน่อย แทนที่จะใช้ปริยัติตรวจสอบผลการปฏิบัติ กลับเอาคำที่บัญญัติไว้ดีแล้วมาใช้ ผิดความหมาย สับสนอย่างสิ้นเชิง

    พระพรหมอนาคามีชั้นสุทธาวาส ยังมีรูปเพราะ ยังละสังโยชน์ข้อที่ว่าด้วย รูปราคะ ไม่ได้

    ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับที่คุณ tjs พูดถึงละกายเลยครับ

    เพราะยังมีรูปราคะ เลยทำให้เกิดเป็นรูปพรหม

    ซึ่งสุทธาวาสนั้นเป็นรูปพรหม

    ส่วนอรูปพรหมนั้น ต่างกันที่ว่า

    ดับรูปขันธ์อย่างสิ้นเชิง มีแต่นามขันธ์ แต่ยังปล่อยนามขันธ์ไม่ได้

    ไม่มีรูปเหมือน พรหมชั้นสุทธาวาส ซึ่งคนละเรื่องกันเลย การที่คุณ tjs สรุป ว่า พรหมชั้นสุทธาวาส เป็น อรูปพรหมจึงเป็นเรื่องที่ผิดชัดเจนครับ

    2. เรื่องตืดค้างสัญญาปณิธานจึงกลับมาเกิดเป็นคนแม้จะบรรลุพระอนาคามีแล้ว

    นี่แต่งใหม่มั่วๆชัดๆ เพราะถ้าติดค้างเกี่ยวข้องในกามภพ จิตจะไม่เกิดอริยมรรคขั้น 3ล้างสังโยชน์ 5 ข้อได้เด็ดขาด ยิ่งเป็นตัวขวางการบรรลุมรรคผลด้วยซ้ำ
    จึงไม่มีแน่นอน พระอนาคามีที่ยังติดสัญญาปณิธาน แล้วกลับมาเกิดอย่างที่ว่า ไม่ใช่แค่ 1 ในแสนหรอกครับ ต่อให้ 1 ในร้อยล้านพันล้านก็ไม่มีครับ ไม่มีอย่างสิ้นเชิง

    ซึ่งนี่จะต่อเนื่องกับข้อ 3

    3. เรื่องหลวงปู่มั่นกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ประวัติท่านทั้งสองนั้น กล่าวไว้ชัดเจนว่า
    ท่านเคยเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน จึงไม่ได้บรรลุธรรมในขณะที่ปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า เนื่องจากตัวสัญญาปณิธานที่คุณ tjs ว่าเนี่ยแหละ ขวางกั้นมรรคผลนิพพานเอาไว้

    ต่อมา แต่ละท่านพบว่า การเกิดตายบ่อยๆนั้นเป็นทุกข์ ท่านทั้งสองจึงได้ตั้งจิตอธิษฐาน ละความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงสามารถบรรลุธรรมได้

    พอบรรลุธรรมขั้นพระอนาคามีแล้ว หลวงปู่มั่นท่านระลึกถึงหลวงปู่เสาร์ที่เป็นอาจารย์ของท่าน รู้ว่า หลวงปู่เสาร์ก็ปรารถนาที่จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าอยู่จึง เป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้บรรลุธรรม ท่านจึงไปหาหลวงปู่เสาร์และทำให้หลวงปู่เสาร์ละความปรารถนาจนบรรลุธรรมได้


    4. ที่ว่า แผนผังภพภูมิแต่ใหม่
    จริงๆแล้ว เขาสรุปคำสอนของพระพุทธเจ้ามารวมไว้ทีเดียวไม่ได้แต่งใหม่ เหมือนที่คุุณ tjs แต่งใหม่ครับ

    พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสเรื่องภพภูมิไว้ทีเดียว แต่ตรัสหลายๆที่ แล้วอาจารย์รุ่นหลังนำมาสรุปรวมครับ

    ทีคุณ tjs แต่งใหม่ ไม่ว่าตัวเองบ้างล่ะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤศจิกายน 2014
  9. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ผมว่า อยู่ที่คนฟัง มากกว่าครับ
    ถ้าฟังธรรมเป็น

    ผู้พูดจะเป็นใคร จะต่ำต้อย จะสกปรก
    กริยาจะไม่สำรวม

    แต่เนิ้อธรรมนั้น เป็นแก่นธรรมที่พาไปเพื่อหลุดพ้น
    ผมว่าน่าบันเทิงในธรรม
    มากว่า คนสูงส่ง สะอาด
    มีศัพท์แสงน่าอัศจรรย์
    แต่ธรรมนั้น ไปไม่ถึงแก่น ที่จะพาให้พ้นไป
    ผมว่ามันไม่น่าบันเทิงในธรรม

    ส่วนตัวคงหมดเรื่องคุยกับคุณ tjs แล้วครับ
    ต่างคนต่างได้มุมมองในธรรมกันไปครับ

    ไว้มีโอกาสคงได้แลกเปลี่ยนทัศนะกันอีก
     
  10. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ที่ชัดๆ ผมเห็นว่า คุณ tjs ยึดมั่นในความเห็นว่า
    พระอนาคามีมีบางส่วนที่น้อยนิดกลับมาเป็นพระพุทธเจ้าได้

    มีพระพุทธเจ้าองค์ไหนบ้างครับที่ชาติสุดท้ายนั้น ไม่มีนางแก้วคู่บารมี กับ พระบุตร ก่อนออกบวช

    ไม่ใช่แค่พระสมณโคดมพุทธเจ้า ที่เป็นศาสดาของพวกเราขณะนี้เท่านั้น
    พระพุทธเจ้าในอดีต ก็ต้องมีลูกทุกพระองค์ เพราะยังตัดกามราคะไม่ได้
    ในขณะที่ท่านเหล่สนั้นยังไม่ออกบวช

    ลองอ่านประวัติดูนะครับ

    http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=33&A=6874&Z=7263&pagebreak=0
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 11 พฤศจิกายน 2014
  11. ฟางว่าน

    ฟางว่าน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    1,080
    ค่าพลัง:
    +968
    -
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 พฤศจิกายน 2022
  12. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ที่คุณเห็นน่ะ เป็นพระอนาคามี รึเปล่า ที่เห็นนามดึงจิตไปเกิดส่วนใหญ่ก็ปุถุชนทั้งนั้น

    จะเอามาอ้างว่า พระอนาคามี นั้น นามขันธ์ดึงจิตไปเกิดเป็นคนอีกเหมือนปุถุชนคนทั่วไปได้ยังไงครับ

    ถ้าบอกว่า พระอนาคามีแสนองค์มีสักองค์ที่มาเกิดเป็นคน
    อยากถามว่า คุณ tjs ไปเห็นพระอนาคามีเป็นแสนคนเลยรึไง
    ถึงเจอสักคนที่กลับมาเกิด

    แล้วแน่ใจได้ยังไงว่า ไม่โดนนิมิตหลอกเอาว่า ที่เห็นนั้นเป็นพระอนาคามี
    ล่ะครับ

    การปฏิบัติเห็นโน่น นี่ นั้นก็ดี
    แต่มีข้อเสียคือ ไม่ได้ละความยึดมั่น ในความเห็นเลย

    ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านบอกเลยว่า ไม่มี ก็คือไม่มีครับ
    พระพุทธเจ้าท่านเห็นพระอนาคามีเยอะกว่าที่คุณ tjs เห็นอยู่แล้วครับ

    ท่านไม่ได้พูดที่เดียว ท่านพูดตรงกันหมดทุกที่

    นิมิตคุณ tjs ก็ผิดพลาดได้เช่น เรื่องช้างปาลิไลยกะ เป็นต้น
     
  13. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    เอาเถอะ คุณ รามเมืองลพ

    คุณเองก็ เอาสิ่งที่ พระที่คุณนับถือ มาปฏิบัติบ้างละกัน จะได้ฉลาดขึ้นบ้าง ดีกว่า ทำตัวเป็น ตัวบุ้งตัวหนอนแทะคัมภีร์อาจาริยวาท คอยแต่ โพสต์คำสอน ของพระมาสนับสนุน ความเห็นตัวเอง หรือเอามาใช้ด่าคนอื่นทางอ้อมก็แล้วกัน

    คัมภีร์ที่ว่า อย่ามัวแต่ทำตัวเหมือนบุ้งหนอนแทะคัมภีร์ นั้น ไม่ใช่แค่ พระบาลี อรรถกถา แต่ยังรวมถึง อาจาริยวาท ในระดับอัตตโนมัติ ที่คุณยกมาอ้างด้วยเหมือนกัน
     
  14. รามเมืองลพ

    รามเมืองลพ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2014
    โพสต์:
    32
    ค่าพลัง:
    +99
    (หลวงตามหาบัว)

    แต่สำหรับท่านผู้รู้ท่านไม่สงสัยแหละ รู้อันนี้ปั๊บรู้ทันทีเลย จิตจะดีดขึ้น ทีนี้มีแต่ดีดเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีจึงไม่กลับมาเกิดอีก มีแต่ขึ้นเรื่อยตั้งแต่ อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิษฐา สุทธาวาส ๕ ชั้น พวกนี้ขึ้นเรื่อย เปลี่ยนขั้นภูมิไปเรื่อยๆ ถึงอกนิษฐาแล้วก็นิพพาน ไม่กลับ ก้าวขึ้นตามขั้นของภูมิอนาคาเรื่อย ถึงขั้นอกนิษฐาแล้วก้าวขึ้นสู่นิพพาน ขาดสะบั้นหมดไม่มีอะไรเหลือภายในจิต มันรู้ชัดๆ พูดได้อย่างชัดๆ ถ้าจะพูดนะ http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=3317&CatID=2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2017
  15. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    ขอเพิ่มเติม เรื่องภพภูมิ

    ที่คุณ tjs เปรยขึ้นมาว่า ทำไม พระหมชั้นสุทธาวาส อยู่ระหว่าง
    พรหม(ชั้น เวหัพลา กับ อสัญญีสัตตา) กับ อรูปพรหม

    จริงๆแล้วเขาแบ่งตาม อายุของพรหมแต่ละชั้น กับ แบ่งตามรูปพรหม กับอรูปพรหมครับ

    เวลาทำเป็นแผนภาพ อรูปพรหมจึงอยู่ชั้นบนสุดเพราะมีอายุยืนยาวนานที่สุด
    นั่นเอง แต่ไม่ได้หมายความว่า อรูปพรหมมีภูมิธรรมสูงกว่า พระพรหมชั้นสุทธาวาสเสมอไปครับ
     
  16. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    อย่าเอาความคิดของตนมาชนะธรรมเพราะมันไม่มีวันเป็นไปได้ เป็นได้แต่เพียงชนะผู้อื่นเพียงถ้อยคำแต่ไม่มีวันชนะตนเองเลย ธรรมะนั้นเหนือจากความคิดเพราะเป็นจิตจุดแรกเริ่มเดิมทีหากมองไม่เห็นก็ไม่มีทางที่ใครจะมาพาให้เห็นได้ แม้คนที่บอกว่าเราไม่เห็นก็ใช่ว่าคนที่กล่าวนั้นจะรู้จะเห็น มันเป็นไปตามที่มันควรจะเป็นเสมอ แต่ก็ยังอนุโมทนาคั๊บ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ==============

    ผมทราบครับการแบ่งแผนผังสาระ นั้นแบ่งตามอายุเป็นเกณฑ์แต่ สิ่งที่กล่าวไม่สอดคล้องกับสิ่งที่ผมรู้ คือ ชั้นสุทธาวาส เป็นรูปภูมิ ซึ่งไม่จริง

    ชั้นสุทธาวาสแท้จริงเป็นอรูปภูมิ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นกึ่งอรูปพรหม อุปมาเหมือน ระดับสมาธิฌาณ4 ที่จริงก็เป็นกึ่งอรูปฌาณ เพราะเหตุจากกาำลังของสมาธิจิต ว่าง ไม่สุขไม่ทุกข์เหลือเพียงเอกคตาจิต ธรรมารณือื่นดับหมด เหลือเอกคตาจิตดวงเดียวสงบนิ่งอยู่เป็นเช่นนั้น

    เอาละครับ ก็ขอ ผมชื่นชมท่านรณจักร นะครับ ท่านเป็นผู้มีความกล้าหาญ และมีภูมิรู้ภูมิธรรมสูงท่านหนึ่ง กระผมให้ความเคารพแก่ท่านและท่านอื่นๆ ทุกๆท่าน ด้วยเช่นกันเสมอครับ ธรรมที่ร่วมแสดงร่วมแถลงมาทั้งหมดนั้น หากมองในส่วนที่เป็นประโยชน์ย่อมมีมาก ทำให้เห็นภาพหลายมิติ ทำให้มีมุมมองที่กว้างไกลขึ้นครับ

    ขอให้ท่านทั้งหลายพึงเจริญยิ่งๆขึ้นไปในธรรม เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดคือ อัน ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ สามสิ่งนี้ต้องดำเนินไปด้วยกัน เป็นเครื่องผูกไว้ยึดเหนี่ยวไว้ด้วยกันครับ และเมื่อท่านได้มรรคผลแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้ยึดอีกต่อไป อันความเจริญในธรรมของท่านนั้นถึงที่สุดแล้วนั่นเองครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  18. Ron_

    Ron_ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    568
    ค่าพลัง:
    +1,284
    พระพรหมชั้นสุทธาวาส เป็นรูปพรหมแน่นอนครับ
    ด้วยเหตุผลดังนี้
    1. ฆฏิการพรหม ซึ่งเป็นพระพรหมอนาคามี ตั้งแต่พระพุทธเจ้าองค์ก่อน
    ยังนำบาตรจีวรมาให้ สิทธัตถะโพธิสัตว์เลยครับ แสดงว่าต้องมีรูปจึงถือของได้ พูดคุยติดต่อได้
    http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1&p=6

    2.คุณ tjs ยังเขียนเองว่า มีรูปงาม แล้ว มาบอกว่า อรูป คือ ไม่มีรูปแสดงว่าขัดแย้งกันเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤศจิกายน 2014
  19. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เผอิญได้ยินคำว่า
    ผลปฏิบัติมันมากไปหน่อย เลยอธิบายพระไตรปิฎกได้บางเรื่องที่เป็นแค่หางอึ่ง
    ก็เลยสงสัยว่า tjs ไปถึงขั้นไหนหนอ..??
    ยิ่งเอาพระอวโลกิเตศวร พระกษิติครรภ์ ครูบาอาจารย์มาเปรียบ
    tjs ไปถึงไหนแล้วหรือจ๊ะ..??

    เราศึกษามหายานมาก็ไม่มากไม่น้อย
    ไม่ใช่ไม่เคย ไม่ได้ยินเรื่อง พระอริยะโพธิสัตว์
    ทั้งยังเคย ได้ฟังพระสูตรหลายพระสูตรในมหายาน
    แต่กระนั้น ท่านเสถียรโพธินันทะ ที่เก่งทั้งพระไตรปิฎก และคำภีร์มหายาน
    ก็ยังยืนยัน พระไตรปิฎกในเถรวาท ที่ควรนำอ้างอิง
    เพราะมีการสังคายนา มีหลักฐานสืบทอด และมีการบิดเบือนน้อยกว่า
    พระสูตรมหายาน ที่มีการแต่งปรับปรุงไปเรื่อยๆ นะ
    ที่สำคัญ ท่านแม่นพระไตรปิฎกมากๆด้วย
    เรื่องที่เหนือพระไตรปิฏก สำหรับพุทธภูมิ เราเข้าใจ
    เพราะท่านเสถียรฯ ก็บอกว่าพระพุทธองค์ทรงสั่งสอนไว้ นิกายมหายานก็มีอยู่
    แต่กระนั้น ก็ต้องแบบจับต้องได้นะ มีเหตุมีผล
    ไม่ใช่แบบไร้เหตุผล งมงาย อะไรอย่างนั้น

    อรหันตมรรค ต้องมีสัมปชัญชะ(ปัญญาเจตสิก) เกิดร่วมด้วยแน่นอน
    เพราะเป็นตัวปหานกิเลส(เห็นตามจริง)

    ส่วนมหากิริยาจิต 8 ดวง จะมีปัญญาประกอบบ้างไม่ประกอบบ้าง ไปตามอาการ เช่นดีใจ ก็ไม่ต้องประกอบปัญญาเจตสิก
    ถ้าเกิดในบุคคลทั่วไป ก็เป็นมหากุศล 8 ดวง ยังมีวิบาก
    ของพระอรหันต์เป็นกิริยา เพราะไม่ส่งผลเป็นวิบากต่อไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 พฤศจิกายน 2014
  20. ปุณฑ์

    ปุณฑ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2008
    โพสต์:
    2,760
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,692
    เรื่องพระอรหันต์ ที่ยังทรงสังขาร เพราะเหตุปัจจัยเดิม ยังส่งผลอยู่ และยังไม่ละสังขาร ก็เรื่องหนึ่ง..

    ส่วนที่เข้านิพพานแล้ว ก็เรื่องหนึ่ง ก็ไม่ทราบว่า พระอสังขตธาตุ ทำอะไรกันเหมือนกัน

    แต่ที่ยังไม่เข้านิพพาน เชี่ยวชาญในฌาน แล้วยังทรงสังขารอยู่ แล้วจะทำอะไรต่อ นี่ก็อีกเรื่องหนึ่ง

    คือการจะอธิบายอะไร ที่เกินวิสัยนี่ เราก็ต้องเข้าใจว่าเป็นการสันนิษฐาน

    ไม่ใช่ต้องเป็นแบบที่เราตัดสิน
    และกล่าวว่า ปฏิบัติมามากอธิบายได้เกินพระไตรปิฎกบางเรื่องที่เป็นหางอึ่งอะไรแบบนั้น
     

แชร์หน้านี้

Loading...