พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย ธรรมแท้, 6 พฤศจิกายน 2014.

  1. ธรรมแท้

    ธรรมแท้ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +200
    พระอรหันต์นิพพานแล้วเหลือแต่จิตบริสุทธิ์หรือ
    (ตอบโดย คณะสหายธรรม คัดลอกจาก http://www.84000.org/tipitaka/book/nana.php?q=24 )


    ถาม ผมอยากทราบว่า ตามหลักอภิธรรมกล่าวว่าจิตกับวิญญาณขันธ์เป็นสิ่งเดียวกัน ใช่หรือไม่ครับ ถ้าใช่อย่างนั้น เวลาบรรลุเป็นพระอรหันต์ และดับขันธ์ปรินิพพานเป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ขันธ์ทั้ง ๕ ดับหมด ก็สูญหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างนะสิครับ หรือความจริงเป็นอย่างไร
    มีบางท่านกล่าวไว้ดังนี้ว่า จิตถูกหุ้มห่อด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เป็นชั้นที่ ๑ และถูกหุ้มห่อด้วยวิบากเป็นชั้นที่ ๒ เมื่อทำลายกรรมและวิบากหมดแล้ว บรรลุเป็นอรหันต์เหลือแค่ขันธ์ ๕ ทรงอยู่อย่างบริสุทธิ์ ต่อเมื่อดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ขันธ์ทั้ง ๕ ก็ดับหมดเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ (เรียกว่า เกวล) ถึงบรมสันติสุขสถาพร ตลอดกาลนิรันดร
    ขอคำอธิบายจากคณะสหายธรรมด้วยว่า ความจริงแล้วเป็นอย่างไรกันแน่ในเรื่องนี้

    ตอบ ก่อนอื่นขอเรียนว่า หลักธรรมในพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะหลักธรรมขั้นสูง คือมรรคผลนิพพานนั้น บางนิกายก็มีความเห็นแตกต่างไปจากนิกายเถรวาทที่เรานับถือกันอยู่ คำถามที่คุณตั้งมานั้นจะเป็นคำสอนของผู้ใดนิกายไหนคณะไม่อาจทราบได้ แต่คำสอนในนิกายเถรวาทไม่ใช่เช่นนั้น เพราะฉะนั้น คำตอบที่จะตอบต่อไปนี้จึงเป็นคำตอบที่ได้มาจากคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าและพระอรหันต์สาวกและอรรถกถาในนิกายเถรวาทเท่านั้น
    ในพระอภิธรรม พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติชื่อของสภาพรู้ คือจิตไว้ถึง ๙ ชื่อดังนี้คือ
    ๑. จิต ๒. มนะ ๓. มานสะ
    ๔. หทยะ ๕. ปัณฑระ ๖. มนายตนะ
    ๗. มนินทรีย์ ๘. วิญญาณ ๙. วิญญาณขันธ์
    ซึ่งจะใช้ชื่อใดก็หมายความถึงจิตทั้งสิ้น ในบรรดาขันธ์ ๕ มีรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์นั้น วิญญาณขันธ์ก็คือจิตนั่นเอง
    ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ถ้าขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์ดับไปแล้ว คือปรินิพพานแล้ว เหลือแต่จิตล้วนบริสุทธิ์ ก็แสดงว่าขันธ์ของพระอรหันต์ดับไปเพียง ๔ ขันธ์ วิญญาณขันธ์คือจิตมิได้ดับด้วยจึงยังคงเหลือบริสุทธิ์อยู่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง จิตก็เที่ยง เพราะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ นี่ก็ขัดกับคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วจึงถูกต้องไปไม่ได้

    อนึ่ง ในพระอภิธรรมท่านแสดงว่านามขันธ์ ๔ คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เมื่อเกิดขึ้นต้องเกิดพร้อมกัน ๔ ขันธ์ และเมื่อดับก็ดับไปพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ ไม่ใช่ ๓ ขันธ์ดับ วิญญาณขันธ์ไม่ดับ เมื่อรูปกายอันเป็นรูปขันธ์แตกดับ นามขันธ์ทั้ง ๔ ก็อยู่ไม่ได้ ต้องแตกดับด้วย และต้องแตกดับพร้อมกันทั้ง ๔ ขันธ์ด้วย ไม่ใช่ดับเพียง ๓ ขันธ์ เหลือวิญญาณขันธ์คือจิตไว้ ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธในนิกายเถรวาท
    ธรรมดาขันธ์ ๕ เป็นสังขตธรรมหรือสังขารธรรม คือธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งและมีสภาพเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ปราศจากเหตุปัจจัยแล้ว ขันธ์ ๕ เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็เกิด เมื่อหมดเหตุปัจจัย ขันธ์ ๕ ก็ดับ
    ดังที่ พระอัสสชิกล่าวแก่อุปติสสะปริพาชก ซึ่งภายหลังคือท่านพระสารีบุตร ว่า
    “ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด พระตถาคตตรัสถึงเหตุแห่งธรรมเหล่านั้น และความดับแห่งธรรมเหล่านั้น พระมหาสมณะมีปกติตรัสอย่างนี้”
    ด้วยเหตุนี้ขันธ์ ๕ ของพระอรหันต์เมื่อดับ คือปรินิพพานแล้ว เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิดแล้วจึงไม่เกิดอีก ไม่ว่าจะเป็นรูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะเหลือแต่จิตล้วนๆ บริสุทธิ์ ในเมื่อจิตก็คือวิญญาณขันธ์ เมื่อวิญญาณขันธ์ซึ่งรวมอยู่ในขันธ์ ๕ ดับ การจะเหลือแก่จิตบริสุทธิ์จึงเป็นไปไม่ได้

    ใน พรหมชาลสูตร ที. สีลขันธวรรค ข้อ ๙๐ ตอนท้าย
    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่ภิกษุว่า
    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กายของตถาคตมีตัณหาอันจะนำไปสู่ภพขาดแล้วยังดำรงอยู่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายย่อมเห็นตถาคตชั่วเวลาที่กายของตถาคตยังดำรงอยู่ ต่อเมื่อกายแตกสิ้นชีวิตแล้วเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะไม่เห็นตถาคต”
    จากพระพุทธดำรัสนี้ก็แสดงชัดว่า ผู้ที่ทำลายตัณหาอันเป็นเหตุให้เกิดในภพต่างๆ ได้ขาดแล้ว เป็นพระอรหันต์แล้วยังมีชีวิตอยู่ เทวดาและมนุษย์ย่อมเห็นกายของพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อพระอรหันต์สิ้นชีวิตแล้วคือปรินิพพานแล้ว เทวดาและมนุษย์ย่อมไม่เห็นกายของท่าน เพราะกายของท่านดับแล้วไม่เกิดอีกแล้ว
    อนึ่ง การดับของขันธ์ ๕ ท่านไม่เรียกว่าสูญ ในเมื่อขันธ์ ๕ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ดับไปก็เพราะสิ้นเหตุปัจจัย ท่านจึงเรียกการไม่ได้เกิดอีกของขันธ์ ๕ ว่า เพราะหมดเหตุปัจจัยที่จะให้เกิด ขันธ์ ๕ ก็ไม่เกิด
    อีกอย่างหนึ่ง จุติของพระอรหันต์ท่านเรียกว่า จริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายในสังสารวัฏ สำหรับบุคคลที่ตายแล้วยังต้องเกิดอีก จิตดวงสุดท้ายในแต่ละชาติที่ตายนั้นเรียกว่า จุติจิต เพราะจุติจิตดับแล้วมีปฏิสนธิจิตเกิดขึ้นในภพใหม่ชาติใหม่อีก ทั้งนี้บุคคลที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์นั้น ไม่ว่าจะเกิดมากี่ร้อย กี่พัน กี่แสน กี่โกฏิชาติ จิตก็เกิดดับติดต่อกันมาตลอดร้อยชาติ พันชาติ แสนชาติ โกฏิชาติ คือจุติจิตดับแล้วปฏิสนธิจิตก็เกิดสืบต่อไปอีกทุกๆ ชาติ
    ต่อเมื่อบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้วนั่นแหละ จุติของท่านจึงชื่อว่าจริมะจิต คือเป็นจิตดวงสุดท้ายของการเกิดมาในสังสารวัฏอันยาวนานนั้น เพราะไม่ปฏิสนธิจิตสืบต่ออีก เหมือนในชาติที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ นี่คือเหตุผลที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในเรื่องนี้และในนิกายเถรวาทนี้


    ________________________________________
    ที่มา อ้างอิง และแนะนำ :-


    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔

    มหาวรรค ภาค ๑

    พระอัสสชิเถระแสดงธรรม
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=4&A=1358&Z=1456#65



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑


    ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค


    พรหมชาลสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=09&A=1&Z=1071#90



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๔

    มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์

    มหาตัณหาสังขยสูตร

    ว่าด้วย สาติภิกษุมีทิฏฐิลามก
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=12&A=8041&Z=8506



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๘

    สังยุตตนิกาย นิทานวรรค

    อัสสุตวตาสูตร
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566



    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๙

    สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

    ยมกสูตร ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่
    http://www.84000.org/tipitaka/book/v.php?B=16&A=2519&Z=2566
     
  2. Aunyadham

    Aunyadham ธรรมใด เกิดขึ้นเพราะเหตุใด ย่อมดับที่เหตุนั้นแล

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2012
    โพสต์:
    441
    ค่าพลัง:
    +627
    อนุโมทนาด้วยครับอธิบายได้ดีเข้าใจง่ายเป็นหลักเป็นพื้นฐานที่ควรเข้าใจให้ถูกต้องเพราะไม่เช่นนั้นจะเกิดวิวาทะยุ่งเหยิงวุ่นวายมิรู้จบเพราะถ้าเข้าใจผิดไปจากนี้พอจะไปอธิบายเรื่องอื่นมันจะขัดกันมั่วไปหมดเลยครับสังเกตมาหลายกระทู้แล้วอธิบายวกวนหาที่ลงไม่ได้กล่าวขัดกันมั่วตีกันไปหมดในเรื่องที่อธิบายมานี้สมควรแล้วด้วยเหตุและผลไม่กล่าวขัดกันในตอนอื่นในพระไตรปิฎกกระผมมิได้เชื่อพระไตรปิฎกแต่เพียงฝ่ายเดียวเพราะผมว่าเนื้อหาที่แท้จริงหายไปหลายส่วนเหลือแต่โครงที่ให้เราพอจะนำมาปฏิบัติตามดูให้รู้อยู่บ้างแต่ส่วนไหนที่อธิบายได้ถูกเป็นเหตุเป็นผลไม่กล่าวขัดกันกระผมขออนุโมทนาด้วยเป็นธรรมที่ไม่จำกัดไปด้วยเวลาอย่างแท้จริงธรรมแท้ย่อมไม่จำกัดด้วยกาลเวลาผ่าน2500กว่าปีแล้วก็ยังมีผู้รู้ตามและจะเกิดประโยชน์อย่างที่สุดถ้านำไปปฏิบัติอย่างจริงจังปรมัตถธรรมสี่มีรูปจิตเจตสิกนั้นอธิบายออกไปได้หลากหลายแต่ถ้าดับเหตุแห่งการเกิดของจิตและเจตสิกได้ย่อมนำไปสู่นิพพานได้เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนั้นจึงดับด้วยเข้าสู่ความพ้นทุกข์คือนิพพานนั่นเองรูปดับพร้อมจิตและเจตสิกเรียกอนุปาทิเสสนิพานถ้ารูปยังไม่ดับแต่สามารถดับจิตและเจตสิกได้เรียกสอุปาทิเสสนิพพานธรรมนี้ขอน้อมนอบแด่พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ได้มอบอมตะธรรมไว้ให้สรรพสัตว์ที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏสงสารนี้ขอนอบน้อมแด่หลวงปู่สาวกโลกอุดรธัมมปาโลสาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤศจิกายน 2014
  3. kengkenny2

    kengkenny2 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    592
    ค่าพลัง:
    +289
    พระอรหันต์นิพพานแล้วไม่เหลือสมมุติ ไม่มีสมมุติ ถ้าสรรพสิ่งเกิดจากการสมมุติก็คือไม่เหลือสมมุติ ถ้าสรรพสิ่งเกิดจากความจริงก็ไม่เหลือความจริง ถ้าสรรพสิ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆก็ไม่เหลือปัจจัยต่างๆ ถ้าสรรพสิ่งเกิดจากความทุกข์ ก็ไม่เหลือความความทุกข์ จริงไม่จริงไม่รู้ก็ฝึกเอาปฏิบัติเอา ถ้าจริงก้อเห็นจริงถ้าไม่จริงก็ไม่เห็นตามจริง เดินทางตามพระศาสดาสอนนั่นแหละถูกแล้วคั๊บ
    อนุโมทนาคั๊บ
     
  4. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ถูกต้องตามหลักพุทธศาสนา
     
  5. Veeravit

    Veeravit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +278
    อาจารย์ผมเล่าว่าจิตปุถุชนจะมีเปลือกหุ้ม เมื่อบรรลุมรรคผลเปลือกหุ้มนี้จะขาดออกแล้วจะกลับมาห่อหุ้มจิตอีกที และเป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อได้โสดา สกิทา อนาคามี แต่เมื่อได้บรรลุพระอรหันต์เปลือกหุ้มจิตนี้จะหายไปไม่กลับมาคลุมจิตอีก แต่จิตยังคงตัวอยู่เพราะอาศัยธาตุขันธ์

    และพระอรหันต์เมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน จิตก็กระจายซึมซาบเข้ากับนิพพาน/กระจายเต็มจักรวาล (ไม่ใช่ไปสร้างบ้านสร้างเมืองในนิพพานแบบที่เล่ากัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2015
  6. บุคคลทั่วฺไป

    บุคคลทั่วฺไป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,159
    ค่าพลัง:
    +1,231
    ท่านเปรียบการนิพพาน เหมือนเปลวไฟที่ดับไปเพราะสิ้นเชื้อ
    ไม่มีใครบอกได้ว่าเปลวไฟที่ดับไปๆอยู่ ณ ที่ไหน
     
  7. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เหลือความจริงดิ....ไม่เหลืออะไรได้ไง...อิอิ

    จิตก็ สมมุติขึ้นมา ทั้งนั้น
     
  8. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    จิตทำลายตัณหา..คือจิตหมดอยาก..จิตหมดความอยาก..คือจิตรู้ความจริง ว่าการหลงยึดมั่นถือมั่นในตัณหาอยู่นั้น...คืออวิชชา...เนี่ยความจริง

    ก็ต้องมาดูกันล่ะทีนี้ว่า...ใครเหลืออะไร
     
  9. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    เขาไม่มาดูว่าจิตมันหิวอะไรหรอก...ทำตัวงี่เง่า
    เขาดูว่าจะเอาอะไรมาให้จิตมันเสพต่างหาก...อิอิ...
     
  10. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ยันย้นกับใครล่ะ ยืนยันกับเอกระวี นี่เหรอ.?.ไร้สาระจัง ถามแบบนี้

    ถดถอยๆ
     

แชร์หน้านี้

Loading...