สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย นโมพุทธายะ๕, 21 สิงหาคม 2014.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    โอวาทธรรม หลวงปู่สด จนฺทสโร

    แม้เวลานี้ จะเป็นกาลล่วงมาช้านาน จากที่พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อห้ามว่า ผู้ที่ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับผลอย่างที่ท่านได้รับ นอกจากคำกล่าวอ้างของคนเกียจคร้าน ข้อนี้มีคำว่า"อกาลิโก" ในบทธรรมคุณนี้เอง เป็นหลักฐานยันอยู่ว่า ธรรมของพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติตาม ย่อมเกิดผลทุกเมื่อ ไม่มีขีดคั่น พระอริยสาวกทั้งหลายนั้น ฐานะเดิม ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนนี้เอง แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็เช่นกัน มิใช่เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน แต่ที่เลื่อนขึ้นสู่ฐานะ เป็นพระอริยะได้ ก็เพราะการปฏิบัติเท่านั้น

    ....................
    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    ....................
    จากเทศนาธรรม
    พระพุทธคุณ
    พระธรรมคุณ
    พระสังฆคุณ
     
  3. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    จะรู้ได้อย่างไรว่า สิ่งที่เห็นในขณะปฏิบัติภาวนาธรรมนั้น ไม่ใช่สิ่งที่นึกเอาเอง ?



    รู้ได้ด้วยการพิสูจน์ด้วยตนเอง เช่น

    การนึกให้เห็นดวงแก้วหรือพระแก้วขาวใสที่เรียกว่า กำหนดบริกรรมนิมิต ในเบื้องต้นของการฝึกเจริญภาวนาสมาธินั้น จะไม่มีทางนึกให้เห็นได้ชัดเจน ใสแจ๋ว และสว่างไสว เท่าเมื่อใจรวมหยุดเป็นสมาธิแนบแน่นมั่นคงดีแล้ว (ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ อันเป็นที่ตั้งของ กายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม)


    การเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย และการเห็นกายในกายไปจนถึงธรรมกายนั้น สวยงาม ละเอียด ประณีต และมีรัศมีปรากฏ แตกต่างจากการนึกเห็นด้วยใจในเบื้องต้นนั้นมากมายนัก อย่างที่เรียกว่า “ไม่เคยได้พบเห็นมาก่อน” แล้วจะไปนึกเอาเองได้อย่างไร จึงไม่ใช่สิ่งที่นึกเอาเอง




    เมื่อปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว ก็ทดลองฝึกน้อมเข้าสู่อนาคตังสญาณ ดูเหตุการณ์ในอนาคตอันใกล้ๆ ดูบ้าง หรือฝึกขยายทิพยจักขุและข่ายของญาณทัสสนะ ดูสิ่งต่างๆ ที่พอจะพิสูจน์ได้ว่าเห็นจริงหรือไม่จริงดูบ้าง ก็ค่อยๆ มีประสบการณ์เองว่า ที่เห็นนั้นถูกต้องตามที่เป็นจริงก็มีมาก ที่ผิดพลาดบ้างก็มี ก็ให้พิจารณาเหตุสังเกตผลดู ว่าเป็นเพราะเหตุใด




    และถ้าได้ทำนิโรธดับสมุทัยปหานอกุศลจิตให้หมดสิ้นไปได้ดีเพียงใด และใจเป็นอุเบกขาเพียงใดในขณะใด ในขณะนั้นการรู้เห็นจะเป็นตามจริง ทั้งจริงโดยสมมติและจริงโดยปรมัตถ์เพียงนั้น แต่ถ้าขณะใด จิตใจยังมัวหมองอยู่ด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน มีอคติ การรู้เห็นในขณะนั้นก็มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ง่ายดาย



    ผู้ปฏิบัติธรรมที่เป็นพระอริยเจ้า หรือผู้ปฏิบัติธรรมที่หมั่นมีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันในกองกิเลส และหมั่นชำระจิตใจให้ผ่องใสไว้เสมอ ด้วยการเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ และทำนิโรธ ให้ใจสะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอเพียงใด ธรรมชาติเครื่องรู้เห็นมีทิพพจักขุและญาณทัสสนะเป็นต้นย่อมบริสุทธิ์ ให้สามารถรู้เห็นได้ถูกต้อง แม่นยำ กว่าผู้ที่ทรงคุณธรรมที่ต่ำกว่าเพียงนั้น เพราะฉะนั้น เมื่อปฏิบัติถึงธรรมกายแล้วก็อย่าได้เหิมเกริมว่าเลิศแล้ว ต้องปฏิบัติภาวนาธรรมเพื่อกำจัดขัดเกลากิเลสให้หมดสิ้นไป ด้วยสติสัมปชัญญะและปัญญาอันเห็นชอบอยู่เสมอ นั่นแหละจึงจะพอแน่ใจได้ว่าพอเอาตัวรอดได้ และเมื่อนั้นเครื่องรู้เห็น ได้แก่ ทิพพจักขุและญาณทัสสนะก็จะบริสุทธิ์ ให้สามารถรู้เห็นได้อย่างถูกต้องแม่นยำเอง




    จึงพึงเข้าใจว่า การสอนให้ตรึกนึกเห็นด้วยใจเป็นเครื่องหมายดวงแก้วกลมใส หรือ พระพุทธรูปขาวใส ขึ้น ณ ศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้น เป็นเพียงอุบายวิธีในการอบรมจิตใจ ให้มารวมหยุดเป็นจุดเดียว (เอกัคคตารมณ์) ตรงศูนย์กลางกายอันเป็นที่ตั้งกำเนิดธาตุธรรมเดิม และเป็นที่ตั้งกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิตและธรรมในธรรม เพื่อเจริญสติปัฏฐาน ๔ อันเป็นการเจริญภาวนานั้นเองทั้งสมาธิและปัญญา ด้วยการที่ให้ได้ทั้งรู้และทั้งเห็นสภาวธรรมและสัจจธรรมตามธรรมชาติที่เป็นจริง
     
  4. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    เมื่อ เลื่อนดวงกลมใสมาหยุดนิ่ง ตรงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ แล้ว ไม่ต้องเลื่อนไป(ซ้าย-ขวา-หน้า-หลัง-ล่าง-บน) ไหนอีก ให้ประคับประคองใจ รวมใจหยุดในหยุด กลางของ
    หยุด ให้นิ่งตรงนี้แห่งเดียว โดยกำหนดบริกรรมนิมิตนึกเห็นด้วยใจ และบริกรรมภาวนา
    ท่องในใจ พร้อมกับสังเกตลมหายใจเข้า-ออก ผ่าน (กระทบ) ดวงกลมใสนั้นด้วย แต่ไม่ต้องตามลม คงสังเกตเห็นลมหายใจเข้า-ออก ตรงศูนย์กลางดวงศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ นั้น
    แห่งเดียว
    ตามที่หลวงพ่อท่านสอนให้มีสติกำหนดเห็นลมหายใจเข้า-ออกอยู่ตรงศูนย์กลางกาย
    อันเปน็ ฐานที่ตั้ง ของใจฐานที่ ๗ แต่แห่งเดียว ทำนองเดียวกันกับที่เคยกำหนดสติพิจารณาเห็น
    ลมหายใจเข้า-ออก ในเบื้องต้นที่ปากช่องจมูก อันเป็นฐานที่ตั้งของใจฐานที่ ๑ นี้เป็นทำนอง
    เดียวกันกับที่พระพุทธโฆสาจารยไ์ด้อรรถาธิบายถึงการเจริญอานาปานสติ(๖ )ว่า่ ไม่พึงกำหนดใจ
    ไปตามลมหายใจเข้า-ออก เพราะจิตที่แกว่งไปมาจะเป็นไปเพื่อความปั่นป่วนและหวั่นไหว
    แห่งจิต แต่พึงกำหนดจิตอยู่ตรงๆ ที่ลมกระทบด้วยสติ ดังที่พระธรรมเสนาบดีสารีบุตร
    ได้กล่าวไว้ว่า(๗)
    “เมื่อพระโยคาวจรใช้สติตามลมหายใจเข้าตรงส่วนเบื้องต้นท่ามกลาง
    และที่สุดของลมอยู่ กายและจิตก็จะปั่นป่วน หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิต
    แกว่งไปมา ณ ภายใน
    เมื่อพระโยคาวจรใช้สติตามลมหายใจเข้าตรงส่วนเบื้องต้นท่ามกลาง
    และที่สุดของลมอยู่ กายและจิตก็จะปั่นป่วน หวั่นไหวและดิ้นรน เพราะจิต
    แกว่งไปมา ณ ภายนอก
    เพราะพอใจยินดีเที่ยวลังเลสงสัยถึงลมหายใจออก กายและจิตจึง
    ปั่นป่วน หวั่นไหว และดิ้นรน
    เพราะพอใจยินดีเที่ยงลังเลสงสัยถึงลมหายใจเข้า กายและจิตจึง
    ปั่นป่วน หวั่นไหว และดิ้นรน...”

    **************************************************


    ๖ คัมภีร์วิสุทธิมรรค ภาค ๒ หน้า ๗๐-๗๓.
    ๗ พระไตรปิฎกบาลีฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๓๖๙ หน้า ๒๔๙.
     
  5. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ...........สติปัฏฐาน 4 ตามแนววิชชาธรรมกาย.............<!-- google_ad_section_end -->
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start -->ให้เพ่งตรงกลางดวงปฐมมรรค เมื่อถูกส่วน
    ก็จะเห็นดวงศีล ในกลางดวงศีลเห็นดวงสมาธิ ในกลางดวง
    สมาธิเห็นดวงปัญญา ในกลางดวงปัญญาเห็นดวงวิมุตติ
    ในกลางดวงวิมุตติเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ เมื่อได้ครบทั้ง
    5 ดวง ในกลางวิมุตติญาณทัสสนะ จะเห็นรูปคล้ายตัวผู้ปฏิบัติ
    เองนั่งอยู่ ในดวงกายนี้เรียกว่ากายมนุษย์ละเอียด เป็นกายที่
    เห็นได้ในความฝัน ถ้าเพ่งที่กลางกายมนุษย์ ก็จะมีดวงอีก 5
    ดวง คือดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    แล้วก็มีกายทิพย์เกิดขึ้น ตั้งแต่กายทิพย์นี้เป็นต้นไป จะมีกาย
    ประเภทเดียวกันเกิดขึ้นสองครั้ง ครั้งแรกเป็นกายสบายหรือ
    กายอดีต กายปัจจุบันเป็นกายละเอียด เมื่อเพ่งที่รูปกายเหล่า
    นี้ จะมีดวงอีก 5 ดวง เช่นนี้ทุกกาย ที่กลางกายทิพย์จะมีกาย
    รูปพรหม กลางกายรูปพรหม มีกายอรูปพรหม กลางกายอรูป
    พรหม มีกายธรรม

    พอปฏิบัติมาได้ถึงตอนนี้ ผู้ปฏิบัติจะเห็นสติ
    ปัฏฐาน 4 อย่างครบถ้วน

    การเห็นกายในกาย ได้แก่ การเห็นกายต่างๆดังได้กล่าว
    มาแล้ว กายเหล่านี้เป็นกายหยาบ กายละเอียด เป็นการเห็น
    กายหยาบละเอียด

    การเห็นเวทนาในเวทนา ได้แก่ การเห็นดวงในดวงขุ่น และ
    ดวงไม่ใส ไม่ขุ่น ถ้าสุขก็ใส ถ้าทุกข์ก็ขุ่น ถ้าไม่สุขไม่ทุกข์
    ก็เป็นสีตะกั่วตัด จะว่าดำก็อมขาว จะว่าขาวก็อมดำ
    ปรากฏการณ์นี้ จะเห็นได้ด้วยตากายมนุษย์ละเอียด

    การเห็นจิตในจิต ได้กล่าวมาแล้วว่า จิตนั้นลอยอยู่ในเบาะ
    น้ำเลี้ยงหัวใจ การเห็นจิตในจิต ก็คือ การเห็นจิตของกาย
    มนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม ที่เปลี่ยน
    ไป ตามสีของน้ำเลี้ยงหัวใจ

    ในเวลาเรียนอภิธรรมตอนวิถีจิต อาจารย์มักเขียนทาง
    เดินของจิตเป็นวงกลม ตามหางกันเป็นแถว ๆ ด้วยท่าทางอัน
    ทะมัดทะแมง มอง ๆ ดูคล้ายกับว่าอาจารย์กำลังสอนวิธี
    เล่นงูกินหาง ทำให้สำคัญไปว่า จิตคงเดินเช่นนั้น แต่ความ
    จริงแล้ว จิตเกิดขึ้นในจิตเอง คล้ายน้ำพุ


    การเห็นธรรมในธรรม ก่อนจะได้กายมนุษย์ กายทิพย์ และ
    กายอื่นๆ แต่ละกายจะมีดวงธรรม ขนาดไข่แดงของไก่นำมา
    ก่อน แล้วกายจึงจะเกิด การเห็นดวงธรรมหรือดวงขันธ์ 5
    ที่ทำให้เป็นกายต่างๆนี้แหละ คือการเห็นธรรมในธรรม จะรู้ว่า
    ดวงนั้นเป็นกุศล อกุศล อพยากฤต ก็คือสีของดวงนั้น
    ทำนองเดียวกันกับ การเห็นเวทนาในเวทนา เมื่อปฏิบัติได้จน
    เห็นกายทิพย์ ผู้ปฏิบัติจะมีอภิญญาขั้นต่ำ สามารถเห็นโลก
    ทิพย์บนพื้นพิภพนี้ได้ คือ สามารถเห็นพวกอมนุษย์ แต่ไม่
    สามารถทำจิตให้ลอยเหนือพื้นดินได้ อย่างสูงได้เพียงทำจิต
    ให้กระโดดไปอยู่บนตึก 10 ชั้น 20 ชั้น อย่างในนิยายจีน
    เท่านั้น ทั้งนี้เพราะกิเลสยังหนา ดวงจิตจึงหนัก ถ้าปฏิบัติ
    ได้ถึงกายธรรม ก็สามารถจะไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือ ชั้น
    พรหม ได้

    มีผู้กล่าวว่า การเห็นเทวดา พรหม นรก สวรรค์ เป็น
    ภาพลวง หรือได้เห็นภาพในโลกมนุษย์ แล้วติดตาไปปรากฏ
    เป็นนิมิตขึ้น ถ้าเป็นนักปฏิบัติเพียงได้สมาธิชั้นจตุตถฌาน จะ
    ไม่กล้ากล่าวอย่างนี้เลย เพราะถึง แม้ปรากฏการณ์ในนรก
    สวรรค์ และความเป็นไปของเทวดา พรหม จะได้มีผู้นำมา
    ใช้ประโยชน์ในการสร้างวิจิตรศิลป์ หรือสถาปัตยกรรมบ้างแล้ว
    ก็ตาม ก็ยังไม่อาจนำมาได้หมด ทั้งในการเห็นนรกสวรรค์
    เทวดา พรหม นักปฏิบัติก็ไม่ได้กำหนดรายละเอียด และการ
    เคลื่อนไหวของสิ่งเหล่านั้น ทั้งบางทีสิ่งเหล่านั้น ก็เกิดขึ้น
    เอง โดยไม่ได้อธิษฐาน
    <!-- google_ad_section_end -->



    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 18kaya.gif
      18kaya.gif
      ขนาดไฟล์:
      23 KB
      เปิดดู:
      568
  6. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ฌาน ไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ และอยู่ในฌานก็เหมือนคนนอนหลับ พิจารณาอะไรไม่ได้ ?

    
    ผู้ที่จะได้รูปฌาน อรูปฌาน เป็นของไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ (เป็นบางคนเท่านั้น) และผู้ที่อยู่ในฌาน เหมือนคนนอนหลับ ที่มีความสุขมาก จะพิจารณาอะไรไม่ได้ นอกจากจะอยู่ในอุปจารสมาธิ พระศาสดากว่าจะเข้าปรินิพพานยังเข้าฌานออกฌานแล้วออกจากฌานที่ 4 จึงปรินิพพาน ความเข้าใจเช่นนี้ของผม ถูกต้องหรือไม่ ?

    --------------------------------------------------

    [​IMG]






    ตอบ:

    ประการสำคัญที่สุด คำว่าเจริญฌานสมาบัติ แล้วพิจารณาสภาวธรรม เจริญฌานสมาบัติแล้วน้อมเข้าสู่วิชชา จะเป็นวิชชา 3 หรือจะเรียกว่า อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปันนังสญาณ ก็ได้ พิจารณาสภาวธรรม

    การพิจารณสภาวธรรม ไม่ได้เจริญฌานสมาบัติ 8 ท่านเข้าใจผิด ไปอ่านใหม่ เขากล่าวถึงเจริญฌานสมาบัติเฉยๆ ที่ให้พิจารณาทั้งหมด เขาถอยฌานลงมาทั้งหมด เจริญฌานเพื่อให้จิตละเอียด จิตละเอียดตั้งมั่น อ่อนโยนแล้ว อธิษฐานจิต เช่นว่า พิจารณากายคตาสติทั่วสังขารร่างกาย อธิษฐานจิตลงมาในระดับอุปจารสมาธิ คือ อธิษฐานให้เห็นรูป สัณฐาน กลิ่น สี ตามที่เป็นจริง เราเกือบจะไม่พูดกันถึงเรื่องฌาน เมื่อพูดไปแล้วจะไปเรื่องใหญ่เรื่องโตของสมถะอย่างเดียว แต่เราพูดถึงเรื่องสติปัฏฐาน 4 ทั้งสมาธิและปัญญา เราเจริญขึ้นพร้อมกัน

    ในทางปฏิบัติ เมื่อพิจารณาสังขารร่างกาย ให้ถอยให้เห็นสี กลิ่น สัณฐาน ตามที่เป็นจริง

    ฌาน ยากสำหรับคนทำไม่ได้ คนทำได้ก็ง่าย ท่านพูดเรื่องฌาน อรูปฌาน ท่านไม่พูดเรื่องสติปัฏฐาน 4 เราทำสติปัฏฐาน 4 อย่าไปสนใจเรื่องฌาน เพราะเกิดขึ้นเป็นผล แต่ถ้าเราไปตั้งต้นทำฌานสมาบัติ จะออกไปทางฤาษีชีไพร

    เพราะฉะนั้น การพิจารณาสภาวธรรม ละระดับสมาธิลงโดยอัตโนมัติที่ในหนังสือบอกไว้ นั่นเขาพิจารณาสภาวธรรมแล้ว เขาอาศัยกำลังฌาน อาศัยวิกขัมภณวิมุตติ เพื่อชำระธาตุธรรมเขา เพื่อให้ถึงธรรมกายที่ละเอียดๆ สุดละเอียด เพื่อไม่ให้อวิชชาทำอะไรได้ ธรรมกายที่สุดละเอียดจะไปปรากฏในอายตนะนิพพาน ได้รู้ได้เห็น ได้สัมผัส และได้อารมณ์พระนิพพานด้วย

    จริงๆ แท้ๆ พระคุณเจ้า อันนี้กระผมไม่กล้ายืนยัน เพราะยังไม่เห็นในตำราไหน แต่มันเป็นเพียงคำพูดที่จงเก็บมาฟังไว้ ในตำราวิสุทธิมรรค ปัญญานิทเทส กล่าวถึงอาการที่จะบรรลุมรรคผล อันชื่อว่า อุภโตวุฏฐาน คือ ออกจากภาคทั้ง 2 คือ ออกจากสังขารนิมิต และออกจากตัณหาปวัตติเครื่องปรุงแต่ง พร้อมกันว่า

    เมื่อพระโยคาวจร เจริญสมถวิปัสสนา เมื่อมรรคจิตจะเกิดขึ้นนั้น กำลังฝ่ายสมถะและวิปัสสนาเสมอกัน จิตยึดหน่วงเอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ มรรคจิตมรรคญาณเจริญขึ้นปหานสัญโญชน์ให้หมดสิ้นไป จึงเข้าสู่ผลสมาบัติ เป็นพระอริยบุคคลชั้นนั้นๆ ตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้

    คำว่า เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ ไม่ใช่นึกเอา ในวิชชาธรรมกาย พิสดารกายไปสู่สุดละเอียด มีสภาวะเป็นตัวนิโรธ หรือจะเรียกว่า วิกขัมภณะก็ได้ ด้วยการข่มกิเลส ปหานอกุสลจิตของกายในภพ 3 หรือดับสมุทัย ดับหยาบไปหาละเอียดจะอวิชชาทำอะไรไม่ได้ เป็นวิกขัมภณวิมุตติ ตกศูนย์เข้าอายตนนิพพาน แล้วจึงซ้อนหยุดแน่นนิ่งไปตรงกลางของพระนิพพาน ตรงนี้แหละ เอาพระนิพพานเป็นอารมณ์ประการหนึ่ง

    ประการที่สอง ออกจากสังขารนิมิต ดับหยาบไปหาละเอียดจนจิตละเอียดหนัก ปล่อยวางอุปาทานในขันธ์ 5 ได้ชั่วคราว ของกายในภพ 3 เป็นอันว่านิมิตซึ่งประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง คือตัณหานั้นหมดไป พ้นจากสังขารนิมิตนี้ เป็นแต่ธาตุล้วนธรรมล้วนของธรรมกาย

    ในขณะเดียวกัน เมื่อมรรคจิตของธรรมกายเกิดและเจริญเต็มที่ ปหานสัญโญชน์กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก หรือปหานตัณหาปวัตติเครื่องปรุงแต่งให้หมดไป เข้าผลสมาบัติเป็นพระอริยบุคคลตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ ชื่อว่า อุภโตวุฏฐานะ ออกจากภาคทั้ง 2

    เมื่อมาถึงตรงนี้ ท่านจะเข้าใจที่ผมพูดนี้ ผมพูดตามตำราที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ หรือประสบการณ์ของคนที่เขาปฏิบัติได้ กระผมกราบเรียนไว้อย่างนี้ กระผมมิได้กล่าวว่ากระผมเป็นอริยเจ้า.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    สะสางธาตุธรรม จนใสเหมือนเพชรแล้ว ทำไมยังเห็นอยู่อีก ?

    
    ทำไมเมื่อสะสางธาตุธรรม เก็บธาตุธรรมภาคดำและภาคกลางๆ จนใสเหมือนเพชรแล้ว ต่อไปยังเห็นมีธาตุธรรมภาคดำ ภาคกลางๆ อยู่อีก ?


    -------------------------------



    ตอบ:



    เพราะว่า

    1. เรายังละกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งรวมเรียกว่า สังโยชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) ที่ได้เคยสะสมมาแต่อดีต นับภพนับชาติไม่ถ้วน ยังไม่หมดสิ้นโดยเด็ดขาดเป็นสมุจเฉทปหาน ต่อเมื่อใดเราได้บำเพ็ญบุญบารมี อุปบารมี ถึงปรมัตถบารมี เต็มส่วน (ตามอธิษฐานบารมีเป็นพระอรหันตสาวก หรือเป็นพระอรหันต-ปัจเจกพุทธเจ้า หรือเป็นพระอรหันตสัพพัญญูพุทธเจ้า หรือถึงต้นธาตุต้นธรรม) ปฏิบัติธรรม ตรัสรู้พระอริยสัจจธรรม จนละสังโยชน์ ได้ทั้งหมด (10 ประการ) โดยเด็ดขาด เป็นพระอรหันตขีณาสพ ตามระดับบุญบารมีที่อธิษฐาน (บารมี) ไว้แล้ว ทั้งธรรมกายตรัสรู้ ชื่อว่า “พระนิพพานธาตุ” และกายมนุษย์พิเศษของพระอริยเจ้านั้นจึงโตใหญ่ เต็มธาตุเต็มธรรม และใสบริสุทธิ์ มีรัศมีสว่างอยู่อย่างนั้น (ไม่มีมัวหมองและไม่กลับเล็กลงอีก) พระนิพพานธาตุ และกายมนุษย์พิเศษ นั้นแหละจะเชื่อมเป็นอันเดียวกัน เป็นอมตธรรม ที่มีสภาพเที่ยง เป็นบรมสุข และเป็นตัวตนที่แท้จริง ที่ยั่งยืนของพระอริยเจ้านั้น

    เพราะฉะนั้น จงบำเพ็ญบุญบารมีและปฏิบัติธรรมให้ยิ่งขึ้นไป จนถึงบรรลุพระนิพพานที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง และที่เป็นบรมสุขนั้นเถิด

    2. เพราะธาตุธรรมของสัตว์โลกเกี่ยวเนื่องถึงกัน เมื่อเราทำวิชชาสะสางธาตุธรรมของเรา ก็เกี่ยวเนื่องถึงธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นๆ ด้วย

    วิชชาธรรมกายชั้นสูงเป็นวิชชาสะสางธาตุธรรมของพระพุทธเจ้าต้นธาตุต้นธรรม เพื่อช่วยรื้อสัตว์ขนสัตว์เข้านิพพาน เมื่อเราเข้าถึงแล้ว จึงได้วิชชานี้มาเพื่อสะสางธาตุธรรมของเราเองด้วย และเพื่อช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลกอื่นด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ปฏิบัติธรรมในสายธาตุธรรมเดียวกัน คือธาตุธรรมสายขาวหรือฝ่ายพระพุทธศาสนา ซึ่งพระอริยเจ้า พระอรหันตเจ้า และ พระพุทธเจ้า คือธรรมกายนั้นเอง จะได้รับผลก่อนและมากกว่าสายอื่น (คือธาตุธรรมสายกลางๆ และธาตุธรรมสายดำ) ซึ่งจะค่อยๆ ได้รับผล เมื่อผู้เจริญภาวนาวิชชาธรรมกายชั้นสูงช่วยสะสางธาตุธรรมของสัตว์โลก หมดทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั่วทั้งจักรวาล ตามศักดิ์แห่งบุญบารมี และพลัง คือทั้งจำนวน (ปริมาณ) และระดับภูมิธรรม (คุณภาพ) ของผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย และได้ฝึกเจริญสติปัฏฐาน 4 และวิชชาธรรมกายชั้นสูงที่ได้ผลดี คือที่บริสุทธิ์ และมั่นคงดีแล้ว ที่มีมากขึ้น และแก่กล้าขึ้นตามลำดับ

    เพราะเหตุนั้น วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ในสถาบันพุทธภาวนาวิชชาธรรมกาย อำเภอดำเนินสะดวก จังหวัดราชบุรี จึงมีนโยบายและโครงการที่จะ “สร้างพระในใจตน” และ “ช่วยสร้างพระในใจคน(อื่น)” ให้ได้คุณภาพและปริมาณที่ดีให้มากที่สุด เพื่อช่วยตนเองและผู้อื่น โดยมีหลักว่าเท่าที่กำลังสติปัญญาความสามารถ ภูมิธรรม และกำลังทรัพย์ สามารถและที่สามารถจะช่วยผู้อื่นได้ นี้เป็นงานช้าง (งานหนัก) แต่เราทำเท่าที่สามารถทำได้ตามกำลังของเรา แต่เราต้องช่วยตนเองและผู้อยู่ในสายธาตุธรรมที่ใกล้ชิดกันเอง คือผู้ปฏิบัติธรรม ที่ทำหน้าที่รบ ทำงาน ตรวจงาน เผยแพร่ กองเสบียงก่อน ให้มีกำลังกล้าแข็งพอที่จะขยายความช่วยเหลือแก่ผู้อื่นที่อยู่ห่างสายธาตุธรรม วิชชาธรรมกาย และนอกพระพุทธศาสนาออกไป

    เพราะเหตุนี้ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ท่านจึงกล่าวว่า “ธรรมกาย นั้นแหละ คือที่พึ่งของสัตว์โลก” ใครผู้ใดขัดข้อง คิดและกระทำการ ทำลายธรรมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อฯ และศิษยานุศิษย์ท่านสอนให้ปฏิบัติ ถึงธรรมกาย ถึงพระนิพพาน ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ด้วยมิจฉาทิฏฐิ จึงมีผลดุจดังเด็กกำถ่านเพลิง และดุจดังคนโง่ทุบหม้อข้าวตนเองฉันใด ฉันนั้น
     
  8. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ผู้ถึงธรรมกาย จัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรมได้ถึงที่สุดแล้วหรือ ?

    


    ผู้ปฏิบัติภาวนาที่ได้ถึงธรรมกาย แล้วจัดว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม ได้ถึงที่สุด (บรรลุมรรค ผล นิพพาน) แล้วหรือ ?

    ----------------------------------------

    ตอบ:


    ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกายแล้ว ตราบใดที่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์ (กิเลสเครื่องร้อยรัดให้ติดอยู่กับโลก) เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการ (คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส) ได้โดยเด็ดขาด ตราบนั้น ก็ยังมิได้บรรลุมรรคผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคล จึงยังมิใช่ผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ (บรรลุ) ถึงที่สุดแล้ว

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้สอนภาวนาตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ได้กล่าวถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่ได้ถึงธรรมกาย แต่ยังไม่สามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการได้ดังกล่าวแล้วว่า ยังจัดเป็นแต่เพียงโคตรภูบุคคล
    ซึ่งท่านอุปมาไว้ว่า
    เสมือนหนึ่งว่า ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นได้ก้าวขาข้างหนึ่งขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน ส่วนขาอีกข้างหนึ่งยังยืนอยู่ในภพ 3 กล่าวคือ หากผู้ปฏิบัติธรรมที่ถึงธรรมกายแล้วนั้นก้าวหน้าต่อไป คือปฏิบัติภาวนาต่อไปอีกจนสามารถละสัญโญชน์เบื้องต่ำอย่างน้อย 3 ประการนั้นได้โดยเด็ดขาด ก็ได้บรรลุมรรค ผล นิพพาน เป็นพระอริยบุคคลตามภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ แต่ถ้าผู้ที่เคยปฏิบัติได้ถึงธรรมกายแล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติตนในลักษณะของการก้าวถอยหลังกลับคืนมาสู่โลก (ภพ 3) ด้วยอำนาจของกิเลส อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นเหตุนำ เหตุหนุน จนธรรมสัญญาขาดจากใจและธรรมกายดับลงเมื่อใด บุคคลผู้นั้นก็กลับเป็นปุถุชนธรรมดาที่หนาไปด้วยกิเลส และมีสิทธิถึงทุคคติได้เมื่อนั้น

    ผู้ปฏิบัติธรรมจนได้ถึงธรรมกาย และยังทรงอยู่เสมอนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ได้บวชภายใน
    ไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชาย คือแปลว่า ใจนั้นบวชอยู่ และถ้าหากได้บรรพชาอุปสมบทอีกด้วย (ในกรณีที่เป็นชาย) ก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้บวชทั้งภายในและภายนอก
     
  10. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    ลอเรน รีด จอห์นสัน อายุ 24 ปี อาศัยอยู่ที่นอร์ธฮอลิวูด แคลิฟอร์เนีย เขาเป็นนักบำบัดด้วยการนวด เป็นครูสอนโยคะ และเป็นนักเรียนการแสดง
    ลอเรนฝึกโยคะซึ่งเรียนมาจากครูชาวอินเดียอยู่ทุกวันเป็นเวลานานถึง 5 ปี เขารู้สึกว่ารีชี่โยคะช่วยให้เขานั่งเจริญภาวนาได้ดี การฝึกโยคะนี้รวมถึงการจำกัดอาหารเหลือแค่ผลไม้และผักเท่านั้น ลอเรนและภรรยามาฮันนีมูนกันในประเทศไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดของฝ่ายหญิง แล้วตระเวนไปตามวัดต่างๆ เพื่อหาผู้ที่สอนเจริญภาวนาเป็นภาษาอังกฤษได้ ด้วยเหตุนี้เองได้นำเขามาสู่วัดหลวงพ่อสดฯ เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับธรรมกายเลย พระภาวนาวิสุทธิคุณ เจ้าอาวาสวัดจึงแนะนำให้เขามาร่วมกิจกรรมแบ่งกลุ่มเจริญภาวนาตอนเช้าวันอาทิตย์ ซึ่งทำให้ท่านรับรู้ถึงความสามารถอันพิเศษของลอเรน ท่านจึงให้รองอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาทำหน้าที่สอนเขาทุกๆ วัน หลังจากนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลวงป๋าก็เริ่มสอนเขาเป็นการส่วนตัว แม้ลอเรนเรียนได้แค่ 2 สัปดาห์ แต่เขาก็ประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้บันทึกการสัมภาษณ์ลอเรนมีความยาว 15 นาที


    ผู้สัมภาษณ์ของช่อง 9 : สวัสดีค่ะ ยินดีที่ได้พบคุณ. คุณได้เรียนรู้อะไรจากการเจริญภาวนา ?

    ลอเรน: อันดับแรก ผมได้เรียนวิธีการรวมใจหยุดนิ่งตรงศูนย์กลางกาย. หยุดนิ่งถูกส่วนตรงนั้น ศูนย์กลางขยายออกไปเป็นดวงใสรอบตัว เมื่อใจหยุดกลางของหยุดเรื่อยไปก็หยุดในหยุดกลางของหยุดเรื่อยๆ ไป ได้เข้าถึงกายละเอียดๆ ต่อๆ ไปจนสุดละเอียดจนถึงธรรมกาย

    คุณรู้สึกอย่างไร เมื่อคุณถึงดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายในท้องของคุณ ?

    ผมรู้สึกสงบเยือกเย็นมาก อย่างล้ำลึก และความสุขที่แผ่ขยายออกมา

    เมื่อเจริญภาวนาถึง 18 กาย และถึงธรรมกายนั้น คุณรู้สึกอย่างไรบ้าง ?

    รู้สึกว่าแต่ละกายที่เข้าถึงนั้น [กิเลส]เบาบางลงตามลำดับ เริ่มตั้งแต่กายมนุษย์ซึ่งเป็นกายที่หยาบที่สุดและเป็นกายโลกิยะ ถึงกายมนุษย์ละเอียดต่อๆ ไปจนถึงสุดละเอียดได้ถึงธรรมกาย ซึ่งเป็นกายที่ทึบน้อยที่สุด. มันพ้นจากความรู้สึกยึดถือในความเป็นตัวตนใดๆ ทั้งสิ้น.

    คุณรู้สึกไหมว่า สิ่งที่คุณได้เห็นเป็นของจินตนาการหรือของจริง ?

    ใช้จินตนาการน้อยมาก [อาจใช้ในช่วงแรกๆ ในระดับขณิกสมาธิ]. แต่สิ่งที่เห็นนั้นปรากฏขึ้นมาเองโดยอัตโนมัติ. ผมเพียงแต่เพ่งไปที่กลางของกลาง แล้ว[ดวงและกายต่างๆ]ก็ปรากฏขึ้นเอง.

    คุณได้เห็นนรก-สวรรค์บ้างไหม

    เห็นครับ

    แล้วคุณเห็นอะไรที่นั่น

    ได้เห็นหลายอย่างครับ. ในนรก, เห็นการลงโทษที่แตกต่างกันหลายระดับมาก. เห็นผู้คน[สัตว์นรก]มากมายกำลังถูกสุนัขกัด มันดุร้ายและเกรี้ยวกราดมาก. พวกเขาพยายามวิ่งหนี - ปีนต้นไม้ที่มีหนามแหลม [ต้นงิ้ว]. ยังถูกสัตว์ที่คล้ายแร้งจิกทึ้งจนพลัดตกลงมาจากต้นงิ้ว แล้วก็ถูกสุนัขก็จะเข้ามาจัดการกับพวกเขา.
    ผมได้เพ่งดูที่ศูนย์กลางดวงธรรมของสัตว์นรกเหล่านี้ เห็นเป็นสีดำมืด. ผมได้มองเข้าไปในจุดศูนย์กลางกายของพวกเขาเพื่อดูว่าทำไมพวกเขาจึงต้องไปอยู่ในนั้น - เป็นเพราะประพฤติผิดในกาม. และผมได้เห็น[ว่าเขาทำ]สิ่งที่น่าละอาย ความผิด และสิ่งที่ชั่วร้ายต่อจิตใจ.
    ผมไปยังอีกระดับหนึ่ง [นรกอีกขุมหนึ่ง] เห็นผู้คน[สัตว์นรก]อยู่ในกระทะ[ทองแดง]ใหญ่ … ใหญ่มาก! ร้อน! มีสิ่งซึ่งดูเหมือนของเหลวร้อนหรือโลหะหลอมเหลว เหมือนตะกั่ว [หมายถึงน้ำทองแดงร้อนจัดที่สัตว์นรกต้องดื่ม]. มันแผดเผา[อวัยวะ]ภายใน. บางคนก็ต้องดื่มของเหลว ที่มีกลิ่นเหม็นมาก แย่มาก [หมายถึงน้ำทองแดงนั้นเอง].
    และผมได้เพ่งดูที่ศูนย์กลางดวงธรรมของสัตว์นรกเหล่านี้อีก ได้เห็นว่า [พวกเขาได้รับวิบากกรรมเช่นนี้ เป็นเพราะ]ดื่มแอลกอฮอล์กันเป็นส่วนมาก. รวมทั้งยาเสพติดอื่นๆ, แต่ส่วนมากเป็นแอลกอฮอล์ [เพราะเป็นสิ่งเสพติดที่ถูกกฎหมาย และโฆษณาประชาสัมพันธ์ได้].
    และแล้ว, ในนรก, สิ่งที่ร้ายสาหัสที่สุดที่ผมเห็น - ลึกลงไปกว่าระดับ[นรกขุม]ที่ 8 - ลึกกว่านรกของพวกที่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิต พวกที่พูดโกหกหลอกลวง และพวกที่ขโมย โกง คอร์รัปชั่น ของผู้อื่น - ในนรกขุมนั้น ผมเห็นผู้ที่สอนผู้อื่นผิดๆ พวกเขาเหล่านี้ถูกปิดตาจนมืดมิด. พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้และต่างคนต่างวิ่งเข้าหากันด้วยความสับสนอลหม่าน และทุกข์ทรมานมาก. ร่างกายของพวกเขาถูกเผาไหม้จนดำเหมือนกับถูกลวกด้วยน้ำกรด มีกลิ่นเหม็นเหมือนซากศพ กลิ่นตลบอบอวลมาก.
    ผมได้เจริญภาวนาถึงธรรมกายที่สุดละเอียด ได้เห็นสวรรค์ซึ่งตรงข้ามกับนรก อย่างสิ้นเชิง. สว่างไสวมาก - สวยงามมาก. ศูนย์กลาง[กาย - ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกาย]ของเทพดาเหล่านี้ส่องรัศมีสว่างนัก. ในนรก สัตว์นรกมีศูนย์กลาง ดำมืดมัวมาก. ในสวรรค์ ผมเห็นเทพยดาบนสวรรค์มีรัศมีใสสว่างเป็นประกาย ประดุจดังแก้วผลึก. และผมสามารถดูไปที่ศูนย์กลางของเทพดาเหล่านี้ และรู้เห็นว่า ทำไมพวกเขาได้มาอยู่บนสวรรค์ - ก็เนื่องจากสิ่งที่เป็นบุญกุศลทั้งหมด, กรรมดีมากมายที่เขาได้ทำแก่[ตนและ]ผู้อื่น.
    เทวดาบางตนอยู่บนพื้นดิน; บางตนอยู่ในอากาศ และผมเห็นเทวดาอยู่ในต้นไม้ก็มาก.
    แต่, ความแตกต่างสำคัญระหว่างสวรรค์กับนรก ก็คือ สิ่งที่ผมเห็นที่ศูนย์กลางกายของสัตว์นรกและเทพดาเหล่านั้น - ไม่กรรมดีก็กรรมชั่ว อย่างใดอย่างหนึ่ง [สองอย่างนี้เท่านั้น ที่พวกเขาได้ทำลงไป เห็นปรากฏได้ที่ศูนย์กลางกาย - บุญกุศลนำให้มาเกิดเป็นเทวดา ส่วนบาปอกุศลนำให้ไปเกิดเป็นสัตว์นรก].

    คุณก็ได้เห็นทั้ง 2 ฝ่าย - ระหว่างสวรรค์กับนรก ระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่ว ที่ผู้คนพากันทำ. แล้วคุณได้เห็นพระนิพพานไหม ?

    ครับ, ผมเห็น. พระนิพพานอยู่นอกเหนือไปจากสิ่งที่เราคิดว่าเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ. ผมไม่เห็นธาตุทั้ง 4 เหล่านี้เลย. ผมได้เห็นพระนิพพานธาตุ นับไม่ถ้วน - เท่าที่ผมจะเห็นได้. และมีรัศมีเจิดจ้า สว่างไสว.

    คุณคิดว่าอะไร คือประสบการณ์ที่ดีที่คุณได้ปฏิบัติเข้าถึง ได้รู้ และได้เห็นจากการเจริญภาวนานี้ ?

    ผมรู้สึกว่า วิธีเจริญภาวนาวิชชาธรรมกายนี้ มีความพิเศษ เป็นการปฏิบัติทางตรง ทำให้ผมได้มีประสบการณ์อย่างสูง.

    เมื่อคุณกลับไปสหรัฐอเมริกาแล้ว คุณจะทำอะไร ?

    ผมวางแผนไว้ว่า จะสอนวิชชาธรรมกาย. ผมมีลูกค้าซึ่งผมสอนโยคะ, การเจริญภาวนา และการนวดอยู่แล้ว และผมเชื่อว่าการแนะนำวิชาธรรมกายให้จะช่วยให้พวกเขาให้ช่วยตนเองได้.



    Channel 9 Interviewer: Good morning. It's nice to meet you. What did you learn from meditation?
    Loren: Well, I learned first to focus my attention on the center of the center of the body. And, from there, the center expanded to surround my entire body. As I continued to focus on the center, I saw my refined human body and became that - continuing to focus on the center. This happened again and again, all the way until I reached my refinest Dhammakaya body.
    And, how did you feel when you first reached your own nucleus in your stomach?
    It felt very and calm and a very deep, expanding sense of joy... happiness.
    And how did you feel after you completed all 18 bodies and reached Dhammakaya?
    Well, each body became less and less dense. So, we begin with the human body which is the most crude and mundane, and then it becomes more and more refined until it reaches the most refined Dhammakaya which is the least dense. It totally transcends any sense of personal ego.
    And, did you feel that what you saw was imagination or reality?
    Very little imagination. It happened automatically. I just focused on the center of the center and it appeared by itself.
    And did you see hell or heaven?
    Yes.
    And what did you see there?
    Well, many things. In hell, I saw many levels of different punishments. I saw different people in one level who were being attacked by a dog - very mean and angry. And, they were trying to escape - climbing a tree with thorns. Also, like vultures were trying to attack them and they would fall and then the dog would get them.
    And, I would look at the nucleus of the people - very dark. In the nucleus I would see why they were there - because of sexual misconduct. And I would see lots of shame and guilt and mental poison.
    And then we went to another level and I saw a large caldron ... Large! People were inside it. Hot! With what looked like a very hot liquid or melted metal like lead.
    And they are inside, burning. And some had to drink this very smelly - very bad liquid.
    And I look at their nucleus and I see that most had drunk alcohol. Also some drugs and things, but mostly alcohol. And they drink the liquid and it cooks their organs - especially the brain. It fries the brain.
    And then, in hell, the worst thing I saw - below the 8th level - below the murders and all the liars and thieves - I saw the false teachers. And they had blindfolds. They couldn't see and they were running into each other - chaos and lots of torment. And their bodies were burned dark like they had been scalded with acid. There was a dead smell - a very thick smell.
    And then I became the refined Dhammakaya and then we saw heaven. And there we saw the opposite, really. Very luminous - very beautiful. The center of the beings was very radiant. In hell the beings had a very dark, cloudy nucleus. In heaven I saw them very radiant and glowing like a stal sphere. And, I could look into the center and see why they were there - all the meritorious things, the many good deeds they did for the people.
    Some were on earth; some flying through the sky. I saw many in trees. But, the main difference between heaven and hell was what I saw at the center of the beings - either evil deeds or good, meritorious deeds.
    So, you saw both sides - hell and heaven and the good things and bad things that people do. And, did you see Nirvana?
    Yes, I did. It goes beyond what we think of as earth and water and fire. All of these things, I saw none of. I saw countless saints and Buddhas - as far as the eye could see. And they were very very radiant, with glowing centers. I focused on them and I could see all the good things they did to make them so brilliant.
    But, the most luminous, in the center, was Buddha - the Primordial Buddha - surrounded by Buddhas. And, I asked for permission, and I touched Lord Buddha on the leg. And it felt very very cold, like ice.
    What do you think were the good points that you got from meditation?
    Well, I feel that this particular style of meditation, Dhammakaya, is a very very direct way to experience directly my highest self.
    And, when you are back in America, what will you do? Well, I plan on teaching Dhammakaya. I have clients that I practice meditation, yoga and massage with already, and I believe that sharing Dhammakaya with them will help them to help themselves.
     
  11. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    “การเจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย ... ให้ก้าวหน้าได้ผลดี”

    โดย
    หลวงป๋า




    เมื่อเห็น “ธรรมกาย” แล้ว
    โปรดจำไว้ว่า ... เห็นแล้วต้อง “เข้าถึง”
    ทุกอย่างต้อง ... “เข้าถึง”

    “วิธีเข้าถึง”
    ไม่ว่าจะเห็นดวงธรรม หรือกายละเอียดกายใดก็ตาม
    มีอุบายวิธีคือ “เหลือกตากลับนิดๆ”
    นั้นก็เพื่อมิให้สายตาเนื้อ ไปแย่งหน้าที่ตาใน
    ในขณะเดียวกันนั้นก็มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือ
    “ใจ” ของคนเรานี้ชอบที่จะฟุ้งซ่านออก “ข้างนอกตัว”

    ถ้าจะให้ ... “เข้าใน”
    เมื่อ ใจ ... จะ “เข้าใน” เมื่อไหร่
    ตาจะเหลือกกลับเองเมื่อนั้น ... นี้เป็นธรรมชาติ
    แต่เราไม่ได้สังเกตตัวเอง
    แต่ถ้าใครสังเกต เด็กทารกเวลานอนหลับ
    ก็จะพบว่า ตาของเด็กนั้นจะเหลือกกลับตลอดเวลา
    และนี่ก็เป็นธรรมชาติที่แปลก

    ซึ่ง “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ท่านพบและเข้าใจเลยว่า ...
    เวลาที่สัตว์จะเกิด จะดับ จะหลับ จะตื่น
    เมื่อจิตหยุดนิ่งตรงศูนย์กลาง “กำเนิดธาตุธรรมเดิม”
    จิตดวงเดิม ... จะ “ตกศูนย์”
    จิตดวงใหม่ จะเกิดขึ้นมาใหม่ตรงนั้น
    อาการของสัตว์โลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เรา ... ตาจะเหลือกกลับ

    เพราะฉะนั้น ... “อุบายนี้ เป็นเรื่องสำคัญ”
    เมื่อเราเหลือกตากลับนิดๆ ... ใจจะ “หยุดข้างใน” ได้โดยง่าย
    จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกให้ชำนาญ
    ผู้ที่ทำวิชชาชั้นสูงนั้น ... ตาเขาจะเหลือกกลับตลอดเวลา
    แต่ต้องไม่ลืมตา คือ ตาจะพรึมๆอยู่แล้วนั่นแหละ
    ใจจะ “เข้าใน และ ตกศูนย์” อย่างละเอียดด้วย

    เพราะฉะนั้น …
    วิธีทำให้ใจสามารถเข้าไปเห็น “ดวงในดวง” “กายในกาย”
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระหรือ “ธรรมกาย” ได้สนิทดีนั้น
    ให้เหลือกตากลับนิดๆ ... แล้วนึกเข้าไปเห็น “ศูนย์กลางองค์พระ”
    เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ... ไม่ใช่มองดูเฉยๆ


    ถ้ามองดูเฉยๆ ... มองไปอย่างไร ก็ไม่ก้าวหน้า
    ต้องนึก ... “เข้าไปเห็น” และ “เข้าไปเป็น”


    ถ้า “เห็นดวง” ก็นึก ... “เข้าไปเห็น ณ ภายใน”
    ทิ้งความรู้สึกภายนอกของเรา ... เข้าไปเห็นภายใน
    เหมือนกับมีกายอีกกายหนึ่งของเรา ... เข้าไปเห็นข้างใน
    ทำอย่างนี้ ... จะก้าวหน้าได้

    ถ้า “เห็นกาย” แล้ว ก็ให้ ... “ดับหยาบไปหาละเอียด”
    คือ สวมความรู้สึก เข้าไปเป็นกายละเอียดนั้นเลย
    ทิ้งความรู้สึก อันเนื่องอยู่กับกายเนื้อของเรา

    “กายละเอียด” ปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่
    ก็ “ดับหยาบไปหาละเอียด” เข้าไปเป็นกายละเอียดนั้น
    แล้ว ใจ ก็จะ “ตกศูนย์” เอง
    เพราะว่า ใจของกายละเอียดนั้น ... จะทำหน้าที่เอง
    โดยวิธีดังนี้ ใจของกายละเอียด ... จะทำหน้าที่เจริญภาวนาต่อ
    หยุดนิ่งเข้าไปจนถึง ... ดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    อันเป็น เจตสิกธรรม ที่สุดละเอียดของใจ ของกายนั้น
    แล้วก็จะถึงธาตุธรรม เห็น, จำ, คิด, รู้
    คือ “ใจ” ของอีกกายหนึ่ง ที่ละเอียดๆต่อไป
    เหมือนกับการถ่ายทอดถึงซึ่งกันและกัน ... เข้าไปจนสุดละเอียด



    ที่กล่าวมานี้ก็เป็นอุบายวิธี ในการเจริญจิตตภาวนาให้ได้ผลดี
    ซึ่งพอจะสรุปหลักย่อๆได้ ๔ ประการ คือ

    ๑. เห็นดวง ให้ “เดินดวง”
    คือ นึกเข้าไปเห็น “จุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางดวง”
    ให้ “ใจ” ... หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของกลางดวง
    ให้เห็นใสละเอียด ... ไปจนสุดละเอียด

    ๒. เห็นกาย ให้ “เดินกาย”
    คือ “ดับหยาบไปหาละเอียด”
    คือนึกเข้าไปเห็น “จุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางกายละเอียด” ที่ปรากฏขึ้นใหม่
    ให้ ใจของกายละเอียด นั้น ... เจริญภาวนา
    ... หยุดในหยุด กลางของหยุด
    ให้เห็นใสละเอียด ทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งองค์ฌาน

    ๓. โดยวิธีเหลือกตากลับนิดๆ(ไม่ต้องลืมตา) ... ขณะเจริญภาวนา
    จะป้องกันไม่ให้สายตาเนื้อ ไปแย่งงานจิตตภาวนาของตาใน
    และจะช่วยให้ใจหยุดนิ่ง “กลางของหยุด” ณ ศูนย์กลางกายได้ดี

    ๔. “เข้ากลาง ทำให้ขาว”
    คือ นึกเข้าไป “หยุดในหยุด” “กลางของหยุด”
    ณ “ศูนย์กลางดวง” หรือธาตุธรรม เห็น, จำ, คิด, รู้
    ... ของกายที่ใสละเอียดที่สุดไว้เสมอ *






    ที่มา “หนังสือตอบปัญหา ธรรมปฏิบัติ”
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
     
  12. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    ประกาศข่าวโครงการอบรมพระกัมมัฏฐานประจำปี พ.ศ.2557 รุ่นที่ 68 (รุ่นปลายปี)
    ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 1-14 ธันวาคม พ.ศ. 2557





    ขออาราธนาพระภิกษุ-สามเณร และขอเชิญอุบาสก อุบาสิกา ผู้สนใจศึกษาสัมมาปฏิบัติ ทุกท่าน สมัครเข้ารับการอบรมพระกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 ถึงธรรมกาย ซึ่งพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ปฏิบัติและสั่งสอนถ่ายทอดไว้

    วัตถุประสงค์การอบรม 3 ประการ คือ

    1. เพื่อสร้างพระในใจตนเองและผู้อื่น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสาธุชนให้กว้างขวางออกไป
    2. เพื่อสร้างพระวิปัสสนาจารย์หรือวิทยากรให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และให้งดงามพร้อมด้วยศีลาจารวัตร เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เป็นที่พึ่งทางใจแก่สาธุชนได้อย่างแท้จริง ได้ช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวยิ่งๆ ขึ้นไป
    3. เพื่อรักษาและสืบต่อธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้ถูกต้องสมบูรณ์ ตามที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้สั่งสอนและถ่ายทอดเอาไว้
    กฏระเบียบง่ายๆสำหรับผู้ที่จะมาขอร่วมฝึกอบรมกัมมัฏบานเป็นครั้งแรก!!!!!
    1.เตรียมชุดขาวและของใช้ส่วนตัว(ส่วนเครื่องนอนอุปกรณ์ต่างๆมาเบิกที่วัดได้)
    2.ภายในวันที่ 1-14 ธ.ค.ท่านสามารถมา/กลับได้ทุกวันตามแต่สะดวก(แต่ถ้าให้ดีควรอยู่ติดต่อกัน3วันขึ้นไป)
    3.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ(สำหรับการลงทะเบียนรับสมัคร)


    ติดต่อสอบถามได้ที่
    ประชาสัมพันธ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 โทร.090-5955162




    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]
     
  14. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    โอวาทธรรม หลวงปู่สด จนฺทสโร

    แม้เวลานี้ จะเป็นกาลล่วงมาช้านาน จากที่พระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ก็ไม่มีอะไรเป็นข้อห้ามว่า ผู้ที่ปฏิบัติตาม จะไม่ได้รับผลอย่างที่ท่านได้รับ นอกจากคำกล่าวอ้างของคนเกียจคร้าน ข้อนี้มีคำว่า"อกาลิโก" ในบทธรรมคุณนี้เอง เป็นหลักฐานยันอยู่ว่า ธรรมของพระองค์ ผู้ใดปฏิบัติตาม ย่อมเกิดผลทุกเมื่อ ไม่มีขีดคั่น พระอริยสาวกทั้งหลายนั้น ฐานะเดิม ก็เป็นมนุษย์ปุถุชนนี้เอง แม้องค์สมเด็จพระบรมศาสดาก็เช่นกัน มิใช่เทวดา อินทร์ พรหม ที่ไหน แต่ที่เลื่อนขึ้นสู่ฐานะ เป็นพระอริยะได้ ก็เพราะการปฏิบัติเท่านั้น

    ....................
    พระมงคลเทพมุนี
    หลวงปู่สด จนฺทสโร
    ....................
    จากเทศนาธรรม
    พระพุทธคุณ
    พระธรรมคุณ
    พระสังฆคุณ
     
  15. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]
     
  16. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]



    “การเจริญภาวนาวิชชาธรรมกาย ... ให้ก้าวหน้าได้ผลดี”

    โดย
    หลวงป๋า




    เมื่อเห็น “ธรรมกาย” แล้ว
    โปรดจำไว้ว่า ... เห็นแล้วต้อง “เข้าถึง”
    ทุกอย่างต้อง ... “เข้าถึง”

    “วิธีเข้าถึง”
    ไม่ว่าจะเห็นดวงธรรม หรือกายละเอียดกายใดก็ตาม
    มีอุบายวิธีคือ “เหลือกตากลับนิดๆ”
    นั้นก็เพื่อมิให้สายตาเนื้อ ไปแย่งหน้าที่ตาใน
    ในขณะเดียวกันนั้นก็มีธรรมชาติอยู่อย่างหนึ่งคือ
    “ใจ” ของคนเรานี้ชอบที่จะฟุ้งซ่านออก “ข้างนอกตัว”

    ถ้าจะให้ ... “เข้าใน”
    เมื่อ ใจ ... จะ “เข้าใน” เมื่อไหร่
    ตาจะเหลือกกลับเองเมื่อนั้น ... นี้เป็นธรรมชาติ
    แต่เราไม่ได้สังเกตตัวเอง
    แต่ถ้าใครสังเกต เด็กทารกเวลานอนหลับ
    ก็จะพบว่า ตาของเด็กนั้นจะเหลือกกลับตลอดเวลา
    และนี่ก็เป็นธรรมชาติที่แปลก

    ซึ่ง “หลวงพ่อวัดปากน้ำ” ท่านพบและเข้าใจเลยว่า ...
    เวลาที่สัตว์จะเกิด จะดับ จะหลับ จะตื่น
    เมื่อจิตหยุดนิ่งตรงศูนย์กลาง “กำเนิดธาตุธรรมเดิม”
    จิตดวงเดิม ... จะ “ตกศูนย์”
    จิตดวงใหม่ จะเกิดขึ้นมาใหม่ตรงนั้น
    อาการของสัตว์โลกโดยเฉพาะอย่างยิ่งมนุษย์เรา ... ตาจะเหลือกกลับ

    เพราะฉะนั้น ... “อุบายนี้ เป็นเรื่องสำคัญ”
    เมื่อเราเหลือกตากลับนิดๆ ... ใจจะ “หยุดข้างใน” ได้โดยง่าย
    จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องฝึกให้ชำนาญ
    ผู้ที่ทำวิชชาชั้นสูงนั้น ... ตาเขาจะเหลือกกลับตลอดเวลา
    แต่ต้องไม่ลืมตา คือ ตาจะพรึมๆอยู่แล้วนั่นแหละ
    ใจจะ “เข้าใน และ ตกศูนย์” อย่างละเอียดด้วย

    เพราะฉะนั้น …
    วิธีทำให้ใจสามารถเข้าไปเห็น “ดวงในดวง” “กายในกาย”
    โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์พระหรือ “ธรรมกาย” ได้สนิทดีนั้น
    ให้เหลือกตากลับนิดๆ ... แล้วนึกเข้าไปเห็น “ศูนย์กลางองค์พระ”
    เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ ... ไม่ใช่มองดูเฉยๆ


    ถ้ามองดูเฉยๆ ... มองไปอย่างไร ก็ไม่ก้าวหน้า
    ต้องนึก ... “เข้าไปเห็น” และ “เข้าไปเป็น”


    ถ้า “เห็นดวง” ก็นึก ... “เข้าไปเห็น ณ ภายใน”
    ทิ้งความรู้สึกภายนอกของเรา ... เข้าไปเห็นภายใน
    เหมือนกับมีกายอีกกายหนึ่งของเรา ... เข้าไปเห็นข้างใน
    ทำอย่างนี้ ... จะก้าวหน้าได้

    ถ้า “เห็นกาย” แล้ว ก็ให้ ... “ดับหยาบไปหาละเอียด”
    คือ สวมความรู้สึก เข้าไปเป็นกายละเอียดนั้นเลย
    ทิ้งความรู้สึก อันเนื่องอยู่กับกายเนื้อของเรา

    “กายละเอียด” ปรากฏขึ้นมาเมื่อไหร่
    ก็ “ดับหยาบไปหาละเอียด” เข้าไปเป็นกายละเอียดนั้น
    แล้ว ใจ ก็จะ “ตกศูนย์” เอง
    เพราะว่า ใจของกายละเอียดนั้น ... จะทำหน้าที่เอง
    โดยวิธีดังนี้ ใจของกายละเอียด ... จะทำหน้าที่เจริญภาวนาต่อ
    หยุดนิ่งเข้าไปจนถึง ... ดวงศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ
    อันเป็น เจตสิกธรรม ที่สุดละเอียดของใจ ของกายนั้น
    แล้วก็จะถึงธาตุธรรม เห็น, จำ, คิด, รู้
    คือ “ใจ” ของอีกกายหนึ่ง ที่ละเอียดๆต่อไป
    เหมือนกับการถ่ายทอดถึงซึ่งกันและกัน ... เข้าไปจนสุดละเอียด



    ที่กล่าวมานี้ก็เป็นอุบายวิธี ในการเจริญจิตตภาวนาให้ได้ผลดี
    ซึ่งพอจะสรุปหลักย่อๆได้ ๔ ประการ คือ

    ๑. เห็นดวง ให้ “เดินดวง”
    คือ นึกเข้าไปเห็น “จุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางดวง”
    ให้ “ใจ” ... หยุดในหยุด กลางของหยุด กลางของกลางดวง
    ให้เห็นใสละเอียด ... ไปจนสุดละเอียด

    ๒. เห็นกาย ให้ “เดินกาย”
    คือ “ดับหยาบไปหาละเอียด”
    คือนึกเข้าไปเห็น “จุดเล็กใส ที่ศูนย์กลางกายละเอียด” ที่ปรากฏขึ้นใหม่
    ให้ ใจของกายละเอียด นั้น ... เจริญภาวนา
    ... หยุดในหยุด กลางของหยุด
    ให้เห็นใสละเอียด ทั้งดวง ทั้งกาย ทั้งองค์ฌาน

    ๓. โดยวิธีเหลือกตากลับนิดๆ(ไม่ต้องลืมตา) ... ขณะเจริญภาวนา
    จะป้องกันไม่ให้สายตาเนื้อ ไปแย่งงานจิตตภาวนาของตาใน
    และจะช่วยให้ใจหยุดนิ่ง “กลางของหยุด” ณ ศูนย์กลางกายได้ดี

    ๔. “เข้ากลาง ทำให้ขาว”
    คือ นึกเข้าไป “หยุดในหยุด” “กลางของหยุด”
    ณ “ศูนย์กลางดวง” หรือธาตุธรรม เห็น, จำ, คิด, รู้
    ... ของกายที่ใสละเอียดที่สุดไว้เสมอ *






    ที่มา “หนังสือตอบปัญหา ธรรมปฏิบัติ”
    วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม
    อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี
     
  17. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    .....ได้คุยนอกกระทู้ กับผู้ปฏิบัติสติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกายท่านหนึ่ง



    ....มีกายละเอียด ของครูบาอาจารย์ หรือ พระพุทธรูปต่างๆ เกิดขึ้น
    มาในจิตจะทำอย่างไร

    1. ถ้านอกศูนย์กลางกาย

    ไม่จำเป็นไม่ต้องยุ่ง ทำใจเฉยๆ เราก็ทำหน้าที่ของเรา เข้ากลางของกลางของกายเราไปเรื่อยๆ


    2. ถ้าเกิดขึ้นมาที่ศูนย์กลางกาย

    ถ้าไม่ขาว ไม่ใส แม้แต่เห็นว่าขาวขุ่นๆ

    ให้วางใจ เข้ากลางของกลาง จุดเล็กใสกลางกายเรา

    ดับหยาบไปหาละเอียด ไปเรื่อยๆ

    ของไม่จริง จะหยาบขึ้นและหายไป

    หรือ สำหรับผู้เข้าถึงกายธรรมแล้ว

    ให้อธิษฐานที่ศูนย์กลางกายกายธรรมที่ละเอียดที่สุดที่จะเข้าได้ของเรา

    แล้วอธิษฐานให้กายธรรมหรือดวงธรรมเป็นอัศนีย์ธาตุ ละลาย
    ซ้ายขวาหน้าหลังล่างบน กายที่เห็นนั้น
    ถ้าเป็นธาตุธรรมอกุศลสร้างขึ้นมา หลอกให้เราออกจากทางสายกลาง
    ก็จะถูกละลาย แยกออกไปหมด

    หรืออีกวิธี

    -ปักใจเข้ากลางของกลาง ดับหยาบไปหาละเอียด เรื่อยๆ
    พิสดารกาย ซ้อน สับ ทับทวี นับไม่ถ้วน คือกระดิกจิตนิดเดียว
    แล้วนิ่งในนิ่งที่ศูนย์กลางกายไปเรื่อยๆ ของปลอมจะแยกออกไปเอง

    แล้วตรงจุดศูนย์กลางกาย อาราธนาพระพุทธเจ้าในนิพพาน(พระธรรมกาย)
    ทุกพระองค์ ทับทวี ซ้อนกายสับกายขึ้นมาเก็บเหตุปลอมๆ เหตุอกุศล
    ผ่านศูนย์กลางกายเราขึ้นมา


    หรือ อีกวิธี

    กระดิกจิตดับอธิษฐาน ถอนปาฏิหาริย์ ไปสุดหยาบสุดละเอียด
    แล้วปักใจเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ




    หมายเหตุ ทำไม ต้องเข้ากลางไปเรื่อยๆ ไม่แช่ไว้ และอย่าไว้ใจในสิ่งที่เห็น

    เพราะ ถ้าเราแช่ไว้ที่กาย หรือ สภาวะปลอมๆ

    อกุศลเดิมในใจเราที่ยังเอาออกไม่หมดจะฟูขึ้นมา

    และอาจถูกหลอกให้คิดผิด เห็นผิด ทำอะไรผิดๆได้

    โดยนึกว่า เป็นพระ เป็นครูบาอาจารย์สัมมาทิฐิท่านมาบอก
     
  18. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    ประกาศข่าวโครงการอบรมพระกัมมัฏฐานประจำปี พ.ศ.2557 รุ่นที่ 68 (รุ่นปลายปี)

    ณ วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ต.แพงพวย อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ตั้งแต่วันที่ 1-14 ธันวาคม พ.ศ. 2557









    ขออาราธนาพระภิกษุ-สามเณร และขอเชิญอุบาสก อุบาสิกา ผู้สนใจศึกษาสัมมาปฏิบัติ ทุกท่าน สมัครเข้ารับการอบรมพระกัมมัฏฐานตามแนวสติปัฏฐาน 4 ถึงธรรมกาย ซึ่งพระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้ปฏิบัติและสั่งสอนถ่ายทอดไว้



    วัตถุประสงค์การอบรม 3 ประการ คือ



    1. เพื่อสร้างพระในใจตนเองและผู้อื่น เพื่อความร่มเย็นเป็นสุขของสาธุชนให้กว้างขวางออกไป

    2. เพื่อสร้างพระวิปัสสนาจารย์หรือวิทยากรให้เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ และให้งดงามพร้อมด้วยศีลาจารวัตร เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น เป็นที่พึ่งทางใจแก่สาธุชนได้อย่างแท้จริง ได้ช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวยิ่งๆ ขึ้นไป

    3. เพื่อรักษาและสืบต่อธรรมปฏิบัติตามแนววิชชาธรรมกายของพระพุทธเจ้า ให้ถูกต้องสมบูรณ์ ตามที่พระเดชพระคุณ หลวงพ่อวัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ได้สั่งสอนและถ่ายทอดเอาไว้

    กฏระเบียบง่ายๆสำหรับผู้ที่จะมาขอร่วมฝึกอบรมกัมมัฏบานเป็นครั้งแรก!!!!!

    1.เตรียมชุดขาวและของใช้ส่วนตัว(ส่วนเครื่องนอนอุปกรณ์ต่างๆมาเบิกที่วัดได้)

    2.ภายในวันที่ 1-14 ธ.ค.ท่านสามารถมา/กลับได้ทุกวันตามแต่สะดวก(แต่ถ้าให้ดีควรอยู่ติดต่อกัน3วันขึ้นไป)

    3.ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ(สำหรับการลงทะเบียนรับสมัคร)





    ติดต่อสอบถามได้ที่

    ประชาสัมพันธ์วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี 70130 โทร.090-5955162




    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 พฤศจิกายน 2014
  19. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]





    พระเทพญาณมงคล (เสริมชัย ชยมงฺคโล ป.ธ.๖) เจ้าอาวาสวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม จ.ราชบุรี
    ถอดเสียงโดยคุณอภิวัฒน์ มีลาภ

    .

    ............เชิญญาติโยม สาธุชน พุทธบริษัททั้งหลาย พระภิกษุ-สามเณร มาเข้ารับการอบรมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ถ้าจะมีญาติโยมใดมีจิตศรัทธาที่จะมาทำนุบำรุงการให้การศึกษาอบรมเผยแผ่เป็นธรรมทาน และก็ทั้งอามิสทาน โอ..นี่เป็นมหากุศลเลย เพราะไม่ว่าจะเป็นพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ล้วนแต่มาปฏิบัติธรรมทั้งนั้น เป็นผู้ที่พุทธศาสนิกชนผู้มีไตรสรณคมน์ และยิ่งตั้งใจศึกษาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า "ผู้ปฏิบัติเพื่อพระโสดาปัตติมรรค ทั้งหมดเนี้ยนะ ถ้าใครมาทำบุญด้วยเนี้ย อานิสงส์นับประมาณไม่ได้ ให้เจริญด้วย อายุ วรรณะ สุขะ พละ ปฏิภาณ ธนสาร ธรรมสาร สมบัติ" นี่นับประมาณภพชาติไม่ถ้วน เนี้ยที่จะได้อานิสงส์ ถ้าใครมาทำนุบำรุง มาทำนุบำรุงเนี้ย ด้วย

    1. อามิสทาน ด้วยปัจจัย 4 หรือเครื่องอำนวยความสะดวก

    2. ด้วยธรรมทาน คือการให้การศึกษา อบรม เผยแผ่ รวมไปถึงหนังสือธรรมะ เทปต่าง ๆ ที่จะแจกให้แก่ผู้มาปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุสงฆ์ที่มาจากวัดต่าง ๆ และก็ญาติโยมที่ได้รับธรรมะไป นี่เป็นการให้ธรรมเป็นทาน

    แล้วเราปฏิบัติไปจนถึงอภัยทาน ใครจะมาล่วงเกินเรา ใครจะมาขัดใจเรา อะไรกับเราก็แล้วแต่ อภัยให้ตลอด ไม่ถือสาหาความ ปล่อยไป ถ้าว่าเขารู้ตัวดีว่าเขาผิดพลาดเขามาขออภัยเรา เราก็ต้องให้อภัยนะอย่าไปติดใจเอาไว้ หรือแม้เขาไม่มาขออภัยก็ปล่อยไปอย่าไปเก็บไว้ มันเป็นบาปอกุศลอยู่ในใจเรา อย่าไปเอามันไว้ นั่นเป็นอภัยทาน

    .

    ทีนี้มีอีก 1 รายการ อบรมพระวิปัสนาจารย์ โอ้..นี่หลักสูตรสำคัญ เป็นความร่วมมือระหว่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติกับวัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม ปีหนึ่งมี 2 รุ่น ที่จะอบรมแบบนี้ มีพระเถรานุเถระจากจังหวัดต่าง ๆ ในประเทศไทยเราเนี้ย ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาเขาจะคัดเลือกขอให้จังหวัดต่าง ๆ ส่งมาอบรมที่นี่ทุกปี ปีละ 2 รุ่น หลายร้อยรูป นี่ท่านก็จะไปทำประโยชน์ให้กับพระพุทธศาสนา แก่สาธุชน พุทธบริษัท นี่ก็ใครมาทำนุบำรุงก็เป็นบุญเป็นกุศล อันนี้ก็เจริญพรให้ทราบโดยถ้วนหน้ากัน



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 พฤศจิกายน 2014
  20. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,248
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,109
    ค่าพลัง:
    +70,447
    [​IMG]
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...