นั่งสมาธิแล้วไม่หายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Pei-panwad, 23 ตุลาคม 2014.

  1. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ไม่ต้องเถียงกันหลอกค่ะ ขอโทษคุณ Saberด้วย น่ะค่ะ จขกท อาจจะพูดแรงไปหน่อย
    เจ้าของกระทู้ตั้งแต่ฝึกสมาธิมาตอบด้วยความสัตย์จริงว่าไม่เคยคิดว่าจะอยากได้ฤทธิ์หรืออะไรก็ตามจากฌาณ เพราะคิดว่าไม่ได้ใช่วยให้พ้นทุกข์นะคะ
    และตั้งแต่ปฏิบัติมานิมิต หรือภาพอะไรก็ตามแต่ จขกท ก็ไม่เคยเห็นเหมือนคนอื่นเค้า มีเพียงแค่ ฟุ้งซ่าน แล้วก็สงบ แล้วก็นิ่งแค่นั้นค่ะ อะไรที่พิสดาร ไม่มีเลย ยกเว้นจะได้ยินเสียงวิ้งๆ ตอนฝึกช่วงแรกๆ แค่นั้นค่ะ ส่วนทีบอกว่าดวงจิตอาจจะออกจากกายก็ไม่เคยเป็นค่ะ ยกเว้นบางครั้งตอนหลับเคยฝันว่ายืนออกมาดูตัวเองนอน แค่นั้นนะคะ
    คือ จขกท เป็นคนธรรมดาค่ะ จุดประสงค์ของการฝึกคือ สงบค่ะ แต่ที่มาตั้งกระทู้เพราะอยากทราบว่าสภาวะแบบนี้คืออะไร ต้องรักษาอารมณ์ประมาณไหน กำหนดอะไร ประมาณนั้นนะคะ
    ขอบคุณค่ะ
     
  2. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385

    (๑) ภิกษุ ท. ! อสัตบุรุษในกรณีนี้ แม้ไม่มีใคร

    ถามถึงความไม่ดีของบุคคลอื่นก็นำมาเปิดเผยให้ปรากฏ

    ไม่ต้องกล่าวถึงเมื่อถูกใครถาม
    ; ก็เมื่อถูกใครถามถึง

    ความไม่ดีของบุคคลอื่นก็นำเอาปัญหาไปทำให้ไม่มีทาง

    หลีกเลี้ยวลดหย่อนแล้วกล่าวความไม่ดีของผู้อื่นอย่างเต็มที่

    โดยพิสดาร
    . ภิกษุท. ! ข้อนี้พึงรู้กันเถิดว่าคนคนนี้เป็น

    อสัตบุรุษ.


    อย่างนี้เค้าเรียกว่า "นำความเลวของบุคคลอื่นมากล่าวเต็มที่โดยพิศดาร" ผมขอนำคำพระพุทธเจ้าออกมาเตือนนะครับ จริงๆผมจะไม่พูด แต่เห็นหลายโพสของคุณ nopphakan เหมือนกัน ซึ่งผมเห็นเพื่อนสมาชิกส่วนใหญ่ก็แนะวิธีไปตามภูมิธรรมที่ตนเองรู้มา ปฏิบัติมา เห็นเค้าคุยกันเรื่องของธรรมะ ถกเถียง ก็ ถกเถียงกันแต่ในธรรม ไม่เห็นสมาชิกเว็บบอร์ด จะกล่าวถึง "บุคคลนั้นเป็นอย่างนั้น บุคคลนี้เป็นอย่างนี้" กันเลย ขออภัยที่ผมกล่าวตรงๆนะครับ ผมเตือนด้วยความหวังดี ก่อนจะวิจารณ์ผู้อื่น สำรวจจิตตัวเองซักนิดว่า "ตนเองดีหรือยัง" ถ้ายังมีความ โลภ โกรธ หลง อยู่ เราก็ไม่ต่างจากเค้า สุดท้ายขอถามในฐานะ สาวกของพระพุทธเจ้านะครับ ว่า ทราบหรือยังครับว่า "พระพุทธเจ้าสอนอะไร" "อริยสัจที่พระพุทธเจ้ากล่าวคืออะไร" คุณ nopphakan ต้องแคร์อะไรกับสิ่งที่เรียกว่า "ภพภูมิ" ผมอ่านเจออยู่โพสนึง ที่บอกประมาณว่า ปลายทางคือนิพพานเหมือนกัน แต่สิ่งที่คุณ nopphakan ทำอยู่ใช่ทางที่จะทำให้นิพพานได้จริงหรือครับ หรือการกระทำทั้งหลายมันพอกพูนตัวตน การเขียนอธิบายได้เก่ง ได้ดี ไม่ได้แปลว่าจะมีปัญญาทางธรรม ไม่ได้แปลว่าจะ ตรงทางที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ บางทีมันออกนอกลู่ไปไกลเลยก็ได้ คุณ nopphakan ไม่ต้องเชื่อผม แต่ถ้าวันนึงที่รู้แจ้งความจริงขึ้นมา กลับมาอ่านสิ่งที่ตนเคยขีดๆ เขียนๆ ไว้ มันจะอุทานว่า "เราหลงไปขนาดนี้เลยหรือ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2014
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เวลาสนทนา ต้องระวังเรื่อง บุคคล อย่าให้กลายเป็นเรื่อง ประสบการณ์เรา ประสบการณ์เขา

    รสของเรา รสของเขา

    อย่าเข้าไป " เมากองสังขาร "

    อาการเมาสังขาร มันจะเป็นเรื่อง การฝุ้งไปใน การเห็น การรู้ การทำกรรมฐาน
    ของคนนั้น คนนี้ เห็นนั่น เห็นนี่ แล้วก็ อวดแต่การ จมกองสังขารขันธ์ อยู่
    อย่างนั้น หลวงปู่มั่นจะเรียก พวก " ยึดประสบการณ์รู้ เห็น " ที่เนื่องกับ คนนั้น
    คนนี้เห็นว่าเป็นเรื่อง บ้าสังขาร หรือ พวกติดตำรา

    ตำรา ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึง ตัวหนังสือ แต่ หมายเอา ภูมิรู้ใดๆก็ตามที่อาศัย
    ธรรมภายนอกตั้งขึ้น อาศัยขันธ์5เป็นตัวบัญญัติเรียกขึ้น ยกตัวอย่าง วิญญาณขันธ์

    หรือ ตัวรู้ ตัวผู้รู้ จิตผู้รู้ นี่ก็คือ กองขันธ์อย่างหนึ่ง ต้องอาศัย ขันธ์มันทำงาน
    มันจึงทำให้เรา เข้าไปสัมผัส นามรูป แล้วอาศัยเป็น วิญญาณ ตั้งขึ้น [ ตาม
    สายปฏิจสมปุบาท จะระบุว่าเป็น สังขาร แต่ถ้าพิจารณาดี จะมี ตัวสัมปยุตเยอะกว่า
    นั้น คือ บางทวิญญาณเองก็ตั้งขึ้นด้วยตัววิญญาณเอง บางครั้งก็ใช้
    " นิทาน (คำบาลี) หมายถึง พวกบุพกรรม"

    ดังนั้น ตัวรู้ จิตผู้รู้เอง ก็เป็นเพียง ธาตุ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคล เราเขา

    ยกเว้นว่า ยังมีอุปทานในกองขันธ์ไม่สิ้น ก็จะ ไม่ยอมรับเด็ดขาดว่า จิต เป็น ธาตุ
    แต่จะเห็นแต่ว่า จิตคือกู ผู้ยิ่งใหญ่

    ทีนี้

    เจ้าของกระทู้ เป็น " หมอ " เรียกแพทย์ นี่คือ นิทาน

    เวลาทำกรรมฐาน จิตมันก็ นิ่งได้ไม่ยาก เพราะ กิเลสน้อย หากกิเลสมากก็คง
    เรียนแพทย์ เรียนมาทางหมอ ไม่ได้

    จิตจึงมีกิเลสน้อยมาตั้งแต่ เกิด !!! จัดเป็นพวก ที่เกิดด้วย ปัญญาสัมปยุต

    พวกที่ เกิดด้วย ปัญญาสัมปยุตกับจิตขณะหยั่งลงสู่ภพมนุษย์ คนเหล่านี้เวลา
    ใครมากล่าวเรื่อง ภพภูมิ ฌาณ แฌณ มันจะ จืดๆ

    ทั้งนี้เพราะ ปัญญาสัมปยุตนั้น จะให้ ความรู้สึกว่า ของพวกนั้น ทำมาหมดแล้ว
    และ ชำนาญมากจนมัน จืดชืด หลอกแดกเราไม่ได้ ซึ่งนี้ เป็นเรื่อง ปัจจัยการ
    ตามธาตุ ไม่ใช่เรื่อง อวดตัวว่าเก่ง มันเป็นเพียงแต่ ธาตุที่จุติมาเป็นอย่างนั้นเอง

    ดังนั้น

    ต่อให้ พวก ฤาษี ชีไพร เสกไอ้โน้นไอ้นี่ได้ พาเราไปเห็นนิมิตได้ หรือ พาเรา
    เหาะได้ เราก็จะเอา ปืน ยิง maมันเลย คือ เรารู้ว่า มันจะหลอกเราด้วย
    เรื่อง ไร้สาระ !!!

    พวกฤาษี พวกเล่นฤทธิ์ มาเจอ พวก มีบุุญาธิการ[ผู้นำ ผู้นำวิญญาณ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ฯลฯ]
    พวกนี้ ต้องหนีหวัสุกหัวซุนกอดเข่าเจ่าจุก เพราะ หากยัง ทะลึ่ง อวดความโง่ ก็จะ ถูกจับ เอาไฟเผา
    ให้ตายไปแบบ พวกพ่อมด แม่มด โง่ หลอกได้แต่ คนโง่ เท่านั้น

    เพราะ

    ปัญญาธรรมนั้น มันเหนือกว่า ฤทธิ ภพภูมิ ......

    ท้าวสักกะ จะเก่งมาจากไหน มาเจอคนธรรมดาๆ ผู้มีความเพียร มีบารมี ก็ต้อง
    ก้มหัวให้ ต้องร้อนอาสนะ อยู่ไม่ได้ โดนจับ เอาไฟเผาแบบพ่อมด แม่มด นั่นแหละ

    ทีนี้

    ท้าวสักกะ ที่ว่าเลิส แม้นว่า จะแพ้ปัญญา แพ้ความเพียร แต่เราจะไป คิดความ
    สามารถเขา ความสามารถเรา อยู่ไหม

    หากไปเผลอคิด ก็จะ เท่ากับ โดนสังขารขันธ์ มันหลอกเอา

    ถ้าไม่เทียบเขา เทียบเรา พิจารณาลงเป็นเพียง ธาตุ ปฏิจสมุปบาทธรรม เอาปัญญา
    นำไปเลย ยกด้วยปัญญาเข้ามา มันจะค่อยๆเห็นว่า

    " เจโตวิมุตติก็ดี ปัญญาวิมุตติ " ก็ดี ล้วนแต่ เป็นเพียงเครื่องมือ อำนวยให้ เข้าไปทำ
    การเห็น สัจจความจริง อีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยทำสิกขา


    ดังนั้น

    จะ ฌาณ แฌณ หรือ ญาณ หรือ แญณ เวลามัน จืดชืด จากจิต ก็ให้กำหนดรู้
    ว่ามันจืดชืดจากจิต ยกอาการเห็น ความจืดชืดนั้น เป็น ผัสสะ เนืองๆ

    แล้วจะค่อยๆ ร้อง อ๋อ เวลาที่ มันกำเริบกลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป
    กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป
    กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป กลับมา กลับไป
    กลับมา

    จนกว่า จะ อ๋อ สัจจ มันคนละเรื่องเลย มันยังต้อง ยก อีกนิดหนึ่ง

    ถึงจะรู้เห็น สิ่งที่อยู่พ้น ขันธ์5 ขึ้นไป [ ซึ่ง อะไรตรงนี้ เป็นเพียง ภูมิธรรมของ
    คนที่กำลัง พ้นโคตรปุถุชน อย่าได้คิดว่า อรหันต์หน่าคร้าบ แค่ พึ่งฝึกการเห็น
    สัจจ เป็นครั้งแรกเป็น หรือ ไม่เป็นเท่านั้น ]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  4. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    พวกมีฤทธิ์ เหาะได้ ลอยได้ เห็นโน้นเห็นนี่ ไปคุยกับองค์ประถม องค์มัธยม พวกนี้
    นะ เวลาเจอ พวกไร้ศีล ไร้ปัญญา มันจับเอาไป เผา ตายฮา นะ

    ดังนั้น

    พวกมีฤทธิ์ เหาะได้ ลอยได้ เห็นโน้นเห็นนี่ ไปคุบกับองค์ประถม องค์มัธยม
    พวกนี้ บุญไม่ได้เยอะเลยนะ เพราะ โดนพวก คนไม่มีศีล ปราบเอาได้
    เอาไป จับเผาได้ ต้องหนีหัวซุกหัวซุน กอดเข่าเจ่าจุก

    Once ที่ยังหลงสังขาร ให้สังขารมันหลอกเอา ก็ ทำเป็น เทห์นะ

    แต่พอ โดนพวกคนเขาไล่จับเอาไป เผา ต้องหนีหัวซุกหัวซุน นะ มัน
    ถึงจะรู้ว่า ทุกข์แท้ๆ น้อ !!!


    ปาฏิหารย์ ที่เลิศที่สุด จึงเป็นเพียง " อนุศาสนีย์ปาฏิหารย์ " ไม่ใช่เรื่อง บ้าสังขารอื่นๆที่ทำประโยชน์ไม่ได้

    ธรรมของพระพุทธองค์ ทุก คำ เป็น สุญญตา ไม่ใช่เรื่อง อวดรู้ เห็นภูมิสัตว์ อวดการคุย กับคนนั้น คนนี้ องค์นั้น องค์นี้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  5. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    -.-

    ไม่ต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้ถืออะไร หรือจับผิดอะไรทั้งสิ้นนะครับ ^^

    เพียงแต่ว่า ผมแนะนำตามที่ผมเข้าให้ ให้จขกทพิจารณา เท่านั้นละครับ ไม่ได้จับผิดอะไรทั้งสิ้นหรอกครับ สบายใจได้ครับ

    เพราะปฏิบัติอย่างไร ก็ตามผลตามนั้น สิ่งที่ จขกท เล่ามาก็คือสิ่งที่ประสบมาตามจริงนั้นละครับ

    ส่วนเรื่องที่ไม่เห็นนิมิต เห็นภาพอะไรนั้น จริงๆผมก็ไม่ได้บอกอะไร ก็เพราะว่า บางเรื่องบอกไปแล้ว บางทีตอนปฏิบัติ มันเอาไปเป็นสัญญาหลอกตัวเองได้ครับ บางทีรู้แล้วกลายเป็นนิวรณ์ป่าวๆครับ

    ผมแนะนำว่า พวกนิมิต พวกเห็นอะไรพวกนี้ อย่าไปใส่ใจเลยครับ

    อยากจะบอกว่า เมื่อถึงกาล ถึงเวลาของมัน ก็จะมีให้เห็น หรือ ไม่มีก็ได้ ครับ แล้วแต่ของเก่าในอดีตที่เคยเป็นมาละครับ

    หรือถ้าอยากจะทำให้เห็นจริงๆ นี่ก็ต้องไปเล่น กสิณ อาโลกกสิณ ทำให้ถึงปฐมฌาน นี่ก็ออกจะเห็นได้ละครับ

    ถ้ามีกำลังก็เข้าสมาธิ อุปจารสมาธิ ก็เห็นได้ถ้าของเก่ามีมา ครับ วิธีก็ง่ายๆ
    เข้าสมาธิ จิตสงบเป็นสมาธิ แล้วก็ กำหนด รำพึงในจิต อยากเห็นอะไรก็ว่าไป จะย้อนดูอดีตชาติ หรือ ไปแอบส่องนั้นส่องนี่ ก็แล้วแต่ครับ ^^ แต่จะเห็นได้ไม่ไกล ไม่ชัดเท่า ปฐมฌาน

    หรือเข้า ปฐมฌาน ก็กำหนดนิมิต ที่ต้องการที่จะเห็น ได้ตามสะดวก ครับ

    แต่ถ้าของเก่า เป็นพื้นฐานที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทำอย่างไรก็ไม่เห็นหรอกนะครับ ต้องฝึกเอาชาติปัจจุบัน

    แต่ผมบอกตรงๆ พื้นฐานของเก่า จขกท สามารถที่จะปฏิบัติ อานาปานสติ ได้ก็แสดงว่าของเก่า มีมาเยอะแล้วละครับ

    ทีนี้ก็อยู่ที่ชาติปัจจุบันนี่ละ ถ้าปฏิบัติ จิตสงบลงถึงฐานของจิต ลงถึงฌานสี่เต็มกำลัง
    จตุตถฌาน ของเก่าในชาติก่อนๆ นี่จะกลับมาให้ครับ

    ผมแนะนำว่า ปัจจุบันปฏิบัติอะไรอยู่ ก็ปฏิบัติตามเดิม ไม่ต้องไปเปลี่ยนสายครับ ผมก็ไม่ได้บอกอะไรเลยว่าให้เปลี่ยน หรือฝึกผิดๆอะไรนะ

    ขุดดินยังไม่สุดไม่ไม่ถึงตาน้ำ ขุดหลุมเดิมลงไปเรื่อยๆถึงฐาน เมื่อไหร่ก็ถึงน้ำเองละครับ

    ^^
    ละอยากจะบอกว่า ไม่เห็นอะไรเลยนะดีละคับ บางคนที่มาโพสต์นี่ ถ้าเคยอ่านกระทู้เก่าๆ เค้าเห็นนั้นเห็นนี้ รู้นั้นรู้นี่ จนไม่ไหวต้องมาหาวิธีไม่ให้เห็นไม่ให้รู้แทน ^^

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  6. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ หากเจ้าของกระทู้พอเข้าใจ

    แล้ว เพิกเอาบัญญัติใดๆที่เนื่องกับ บุคคล เราเขา ออก

    เวลาเจอ คำสอนที่ว่า

    จิตปราศจากราคะ จิตนั้นจึงมี ปิติ
    เพราะ จิตมีปิติ จิตจึงมีความตั้งมั่น
    เพราะจิตตั้งมั่น จึงน้อมไปในญาณทัศนะ

    หรือ อีกปริเฉทหนึ่ง แทนที่จะอธิบายเป็นขั้นเป็นตอน เอาความเป็
    ขั้นตอนอย่างคนฝึกหัดออกหมด เหลือเพียงคำว่า

    " วิตก วิจาร ปิติ สุข เอกัคคตา " ก็จะ อ๋อ นี่ก็อธิบายการฝึกหัด
    เหมือนกัน

    เพียงแต่ สำนวนธรรมนั้น จะเพิกบัญญัติ ที่เกียวกับ สัตว์ ออกมากน้อยแค่ไหน

    ก็จะเห็นว่า

    คำสอนทุกชนิด มันเป็นเพียง มุขนัย

    ผู้อบรม ผู้ปฏิบัติ ผู้เอาธรรมเป็นใหญ่ ย่อม ฟังธรรม เหล่านั้น แล้ว รู้ว่า
    มันคือ คำสอนให้ปฏิบัติทั้งนั้น

    ไม่ใช่เรื่อง คนติดตำรา หรือ ไม่ติดตำรา ปฏิบัติมา หรือไม่ปฏิบัติมา

    พอเห็นได้แบบนี้ ก็จะ อ๋อ คนแสดงธรรมคนอื่นเนี่ยะไม่มี

    ผู้หมุนธรรมจักร แสดงธรรม อยู่ตลอดเวลา มีพระองค์เดียว นอกนั้น
    เป็นเพียง พาหนะ ที่ทรงกำหนดรู้ แล้วเลือกใช้( จริงๆ จะต้องเป็น พระสงฆ์
    แต่ อนุโลมให้พวก ฆารวาสนักก๊อปปี้ ได้ ไม่ว่ากัน )
     
  7. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ถ้าเราไม่คิดอะไร ไม่หวังอะไร ไม่สนใจใคร ไม่ขึ้นอยู่กับใคร ไม่เปรียบเทียบกับใคร ก็ดีนะคะ พอนั่งสมาธิแล้ว กลับไปคิดถึงความรู้สึกตอนฝึกใหม่ๆแล้วทำอารมณ์แบบนั้น รู้สึกว่าสบายดี ไม่ต้องถูกใครคาดหวัง ทำไปเรื่อยๆ เมื่อยก็พัก 5555555 แล้วกลับมาทำใหม่ ได้แค่ไหนก็แค่นั้น ​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  8. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เนี่ยะ สังเกตุนะ

    เขาเรียกว่า รู้ทั่วถึง " วิมังสา "

    วิมังสา จัดอยู่ใน อิทธิบาท4 มี " ฉันทะ จิตตะ วิริยะ วิมังสา "

    อิทธิบาท มันเต็มรอบการเจริญ ให้กำหนดรู้ไว้ด้วย แล้ว อภิญญาใหญ่ จะบังเกิด ฮานาก้า !!!!

    อย่าไปเห็นว่า อะไรเที่ยงหน่าคร้าบ

    แม้นตอนนี้ จะปรารภความเพียร อิทธิบาทสี่ เอา วิมังสาเป็นประทานสังขาร
    (ตบแต่งมรรค อันเป็น กุศลธรรมฝ่ายดี เป็น สสังขาร )

    เราก็กำหนดรู้ ความดับไปของ สิ่งนี้ด้วย

    มรรคเอง ก็เกิดดับ ยกขึ้นรู้ ยกขึ้นดู ก็จะ อ๋อ

    โพธิปักขยิธรรม มันค่อยๆ บังเกิด แล่นไปเอง ไม่ได้อยู่ในอำนาจของใคร

    เป็นเพียง ธรรมที่เกิดไปตามเหตุ ปัจจัย อีกอย่างหนึ่ง ก็เท่านั้น

    ซึ่ง มันจะมี ยิ่งๆ ขึ้นไป หากยัง ประพฤติสมควรแก่ธรรม

    *****

    ถ้า เห็น มรรค ก็เป็นสิ่งเกิด ดับได้ คราวนี้จะรู้เลาๆ เข้ามาได้อีกนิดหละว่า คนขยันภาวนา เนี่ยะ เขา
    ไม่ละแม้นลมหายใจเดียว หาก ละการรู้ลมหายใจหายไปครั้งเดียว ประมาท ครับท่าน ขี้เกียจ แล้ว !!!

    การรู้ลมหายใจแล้วเข้าไปจับแน่น ไม่เห็นลงไตรลักษณ์ แฉลบไป ฌาณ แณณ โง่ นะ !!!

    รู้ลมหายใจเกิด ดับ ลูกเดียว พักไม่เป็น ฉลาดไม่จริงนะ ฉลาดแต่ไม่เฉลียว ไม่รอดหรอก ฮะเอ่อ

    *******


    พอเข้าใจ การภาวนา สละคืนไม่เหลือ อ๋ออย่างนี้เอง มันส์นะ จิตมันจะ ภาวนาของมันเอง ไม่สน
    เสียงขันธ์ที่กระปิดกระปรอย กระปิดกระปรอย ...............
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  9. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จขกท ลองฟังนี่ดูครับ ^^ http://www.sa-ngob.com/media/audio/y52/07/a11-07-52am.mp3

    พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

    ถาม-ตอบ ปัญหาธรรมวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๕๒
    ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ขออีกนิด

    สำหรับ ผู้ภาวนาด้วย อานาปานสติบรรพะ อันเป็น สุญญตาวิหาร

    คนที่เกิดมา ภาวนาด้วย อานาปานสติ มาหลายชาติ ไอ้ตอนแรกเกิด แรกตั้งไข่เนี่ยะ
    มันจะ ไม่รู้ว่า ตัวเองภาวนาเป็นมาตั้งแต่เกิด

    พออยู่ๆไป ความที่ อานาปานสติที่เขาพูดๆกัน สอนๆกัน มันเป็น อานาปานสติแบบ
    ถูกลิ่มไม้แทงเข้าไปแทรกเนื้อกลอง ทำให้ กลองของคนปฏิบัติอานาปานสติ พอตี หรือ
    ลงมือปฏิบัติธรรม มันก็ เสียงเพี้ยน

    พอปฏิบัติไปได้อีกหน่อย ไอ้โน้นก็จืด ไอ้นี่ก็จืด หาทางไม่เจอ สำคัญไปว่า ตนไม่มีกรรมฐาน

    นะ

    พอ ปฏิบัติได้อีกหน่อย หากไม่ สิ้นไร้ไม่ตอก เกินไป มันจะ ฉิหายและ กูภาวนาเป็น
    มาตั้งแต่เกิดนี่หว่า จิตมันภาวนาของมันเอง มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไม่เคยละทิ้งเลย

    เพียงแต่ ไอ้อุปทานขันธ์ ที่ทำให้สำคัญว่า มีกูคนหนึ่งเกิดมา อันนี้มันลากเราไปโน้น
    นั่นนี่ อยู่ตลอดเวลา เลยไม่เห็นว่า


    ที่แท้ เราก็เป็น ผู้หนึ่ง ที่ระลึกได้ว่า สมาธิธรรมแบบนั่งใต้ต้นหว้า ครั้งงานแรกนาขวัญ
    นี้ก็มีอยู่ เป็น สุญญตา จึงไม่ให้รสว่า กูทำ กูทำ แต่ จิตมันปั๊ดตะนาของมันไม่เคย
    หายไปไหน .....น้อมจิตไปซะ ศรัทธาอย่าให้เสีย เป็นใช้ได้
     
  11. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ระวัง อคติจะปิดกั้นทางนิพพานนะคะ

    ผู้ที่มีครูบาอาจารย์อยู่แล้ว หากมีข้อสงสัยควรไปถามจากครูบาอาจารย์ของตนจะดีกว่า
    เพราะถ้ามาถามจากบอร์ดสาธารณะก็จะได้ความคิดเห็นที่หลากหลาย ไม่รู้ว่าอันไหนจริงอันไหนเท็จ ทำให้สับสนได้ค่ะ

    สำหรับดิฉันเองเริ่มต้นมาจากการปฏิบัติ ไม่เคยเรียนรู้ปริยัติ มีครูบาอาจารย์สอนสมถสมาธิจนได้ปฐมฌาน
    จากนั้นก็ปฏิบัติเองเรื่อยมา เห็นเอง รู้เอง สภาวะธรรมต่างๆ ฤทธิ์ต่างๆ ล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    แต่ก็เป็นสภาวะที่นักปฏิบัติทุกคนล้วนต้องได้พบเจอ เมื่อฝึกตนไปสักระยะหนึ่ง

    ที่บอกกล่าวไปมิได้มีเจตนาให้เข้าไปหลงยึดติด แต่บอกไว้เพื่อจะได้ทราบล่วงหน้าว่ามันจะเป็นอย่างไร จะได้ไม่ตกใจกลายเป็นปัญหามาถามอีก

    คิดดี ทำดี พูดดี ก็จะมีแต่สิ่งดีๆ นะคะ

    ขอให้เจริญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  12. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ขอบคุณคุณ nouk มากนะคะ ที่เตือน
    จขกท คิดว่า ทุกคนที่แสดงความคิดเห็นก็อาจจะ อ่านมา ฟังมา ปฏิบัติมารวมถึง ประสบการณ์ที่เคยเจอซึ่งเป็นสิ่งที่ดีค่ะ จขกท พยายามอ่านเกือบทุกความคิดเห็นนะคะและก็ได้ประโยชน์ในหลายๆเรื่องค่ะ แต่เรื่องปฏิบัติ จขกทคิดว่าคงต้องค่อยๆประคับประคอง ดูอารมณ์ และพิจารณาไปเรื่อยๆนะคะ เพราะคิดว่าธรรมะ อยู่ในทุกคน ธรรมะเป็นสิ่งที่เป็นจริง ไม่หลอกลวง เพียงแต่ใครจะนำมาพิจารณาแค่นั้นค่ะ
    และอีกอย่าง จขกท ไม่ได้หวัง นิพพานในชาตินี้ค่ะ ใครที่หวังก็ขอให้หมั่นปฏิบัติ และใช้ปัญญาพิจารณาแล้วกันนะคะ โดยส่วนตัวคิดว่าถ้ามีความเพียรน่าจะสำเร็จค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  13. nouk

    nouk เพราะยึดจึงทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    11,401
    ค่าพลัง:
    +23,708
    ขอโทษนะคะ หากสิ่งที่กล่าวออกไปทำให้เกิดความเข้าใจผิด เพราะดิฉันไม่ได้เฉพาะเจาะจงใคร ดิฉันกล่าวถึงทั่วๆ ไปค่ะ คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง เพราะฉะนั้น แม้จะแสดงความคิดเห็นอะไรออกไปก็คงไม่เกิดประโยชน์อันใด ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าธรรมะมีอยู่ทุกที่ คุณคงต้องการเข้ามาสอบอารมณ์ตนและอารมณ์ของนักปฏิบ้ติอื่นๆ ที่นี่ หากความเข้าใจนี้ผิดก็ขออภัยนะคะ

    ขอให้เจริญในธรรมค่ะ
     
  14. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78

    คุณเข้าใจผิดจริงคะ จขกท มีความมั่นใจสูงในชีวิตจริง แต่ในทางธรรมยังเหมือนกับเด็กๆอยู่นะคะ ยังรอรับความรู้และประสบการณ์ได้อีกเยอะ เพราะฉะนั้้น คุณยังส่งมาได้อีกค่ะ จขกท อ่าน ความคิดเห็นแล้วพิจารณาตามนะคะ ไม่ได้สักแต่ว่าอ่าน และข้อมูลมันเยอะมาก ยังไม่รู้ว่าอันไหนกรองแล้วหรือยัง และเชื่อว่าเมื่อปฏิบัติจริงการอ่านและฟังมาเยอะมันไม่ได้ช่วยอะไรมากนักเพราะ ณ อารมณ์ขณะนั้น มันต้องใช้ประสบการณ์ ความชำนาญในการรักษาอารมณ์นะคะ อันนี้คือ จขกท คิดเองนะคะ

    ถ้า จขกท ทำอะไรให้คุณรู้สึกว่าถูกท้าทาย โปรดอภัยให้ ด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  15. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เห็นพูดซ้ำ อยู่สองตัว

    คือ รักษาอารมณ์ กับ พ่อจ๋าแม่จ๋า(ไม่ปราถนานิพพาน)

    ดูจากตรงนี้ สงสัยจะ เข้าใจธรรมผิดไปมาก อาจจะเป็นเพราะ เอาโลกเป็นใหญ่กว่าธรรม
    ไปแคร์ ปากหอยปากปู มากกว่า รู้ธรรมตามความเป็นจริง ( จขกท ใช้คำว่า เพราะคิดว่าธรรมะ อยู่ในทุกคน )

    คนในโลก จะกระทืบนิพพาน ด้วยเท้า คือ ปาก กล่าวหาว่า ธรรมะมีอันตราย ไม่ก่อ
    ประโยชน์ ไม่ช่วยให้เกิดอานิสงค์แก่ ปายุรญาติโก โหติกา เป็นการ ตัดประโยชน์เฉพาะ
    ตน ไปนิพพานเพียงคนเดียว

    เมื่อเราไปเอา ปากหอยปากปู มาเป็นใหญ่กว่าธรรม ก็จะ กลัวว่า ทำกรรมฐานไปแล้ว
    ก็จะ ทะลึ่งพรวดหลุดเข้านิพพาน เกิดเป็นความเรือหาย บรรลัยแก่ ปยุรญาติ พ่อแม่
    ต้องอดอานิสงค์ การได้ลูกรักไว้ปรนิบัติ เป็นอาธิ [ เลยไป นั่งทำกรรมฐาน คอยประครอง ไม่ให้ สำเร็จ ]

    จริงๆ นิพพาน ไม่มีทางทำร้ายใคร ไม่พาใครไป เรือหาย หรือเสียประโยชน์

    คนที่มี ความกตัญญู อย่างถูกต้อง หากไม่ กตัญญูแบบปากเปล่า ตั้งจิตตั้งใจ
    จะกตัญญูให้ตรง ถูกต้องตามธรรม ไม่เอาความ มารยาสาไถย(ชื่อของกิเลส ไม่ใช่คำไว้ใช้ ด่าใคร) มาบังหน้า

    ความกตัญญูต่อพ่อแม่นั้น คือ ปัจจัยการอย่างหนึ่ง ที่ทำให้ เข้าถึงนิพพาน ได้ไว และ รวดเร็ว

    ดัง ฏีกา ที่พระพุทธองค์ บอกแก่ ภิกษุทั้งหลายว่า ความสำเร็จอันยาก คือ การได้
    เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ของเรานี้ เราปฏิบัตได้เร็วกว่า พระสัพพัญญูอื่น เพราะเรา
    มากด้วย ความกตัญญู โดยเริ่มมาจาก ครั้งเมื่อเรือแตก แล้วเราแบกมารดาไว้บ่นบ่า ว่าย
    น้ำอยู่ในมหาสมุทร

    ดังนั้น

    ระวัง ธรรมะที่เอาจากปากปุถุชน มาเป็นใหญ่กว่า ธรรม

    แทนที่จะ กตัญญูได้อย่างถูกต้อง กลับโดนหลอก ให้ เสียความกตัญญู เป็นเพียง
    คนมารยาสาไถย เท่านั้น

    กิเลส มันร้าย รอยสันพันคม ไม่ใช่เพราะ กุลบุตร กุลธิดา ใด ปรารภความเพียรผิด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  16. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    คือ จขกท ไม่ได้เอาใครมาเป็นบรรทัดฐานนะคะ และไม่ได้คิดว่าใครมีอิทธิพลต่อความคิด หรือทำให้คิดแบบนี้ แต่ที่จขกท คิดแบบนี้คือมันเป็นความคิดมานานมากแล้วค่ะตั้งแต่เด็กๆด้วยซ้ำ ถึงขั้นอธิษฐานด้วย เพราะ
    จขกท ยังผูกพันธ์กับครอบครัวและญาติมาก ทุกวันนี้พยายามชวนให้แม่รักษาศีล ทำทาน บอกธรรมะแบบง่ายๆบ้างเท่าที่จะทำได้ ซึ่งก็ได้ผล แต่ภาวนาแม่ และน้องไม่เอาเลยค่ะ เลยสงสาร
    คิดว่าการที่เราจะมาเกิดอีก เพื่อสะสมบุญ บารมีมากพอสามารถบอกทางให้เค้าได้ จขกท คิดว่ามันก็ดีนะคะแต่ถ้าใครไปเองได้ ก็ขอนุโมธนาด้วยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    หนทาง ที่จะเอามาบอก มาช่วย ชี้ทาง นั้น มันต้อง สัมผัสเข้าไปที่ นิพพาน

    จะชะเง้อ ชะแง้ อย่างไร ก็ต้อง ชนพระนิพพาน ลูกเดียว

    เรียกว่า ต้องเข้าไปสัมผัสให้ถึง นิพพาน มันถึงจะมี ภูมิธรรม ปฏิภาณ ในการ ชี้

    ถ้า มัวมานั่งกลัว นิพพาน แล้ว เที่ยวไปเชื่อ ขันธ์5 ให้มันปลิ้นปล้อน หลอกเรา
    ต่างๆ นานา

    มันจะเข้าทำนอง โคนำฝูง ที่พากันไปลงเหว

    ดังนั้น

    ต้องการได้ ภูมิธรรมในการ ชี้ ผู้อื่นให้ สนใจนิพพาน จะต้อง " ชนนิพพานไม่ลดละ "

    ชนกันทุกลมหายใจ ที่เข้า และ ออก

    ชนกันขนาดนี้ ก็ใช่ว่า จะได้ ภูมิธรรมที่ถูกต้องมาสอน มาชี้

    แต่ถ้า ได้ชนนิพพาน จนมั่นใจว่า ได้กระทำแล้ว กำหนดรู้ได้มากแล้ว มันจะพอมี
    อุบาย มหาอุบาย ที่จะ " หยอดเอาไว้ "

    เขาทำแค่ " หยอดเอาไว้ "

    เพราะ นิพพานนั้น หากเราชนนิพพานได้บ่อยๆ จะทราบชัดว่า มันเป็น อนัตตา
    ไม่สามารถ บังคับ หรือ ชี้ให้เห็น ตรงๆได้

    ดังนั้น ภูมิธรรมจึงเป็นเพียง มหาอุบาย ที่หยอดเอาไว้ ทำได้แค่นั้น

    เพราะ นิพพานนั้น คุณลักษณหนึ่ง คือ แต่ละคนจะต้อง แจ้งอริยสัจจนั้นด้วยตัวเอง
    ไม่ใช่เพราะ ใครไปเที่ยวสำคัญตนว่า เป็นใหญ่กว่าธรรม

    นั่นมัน โดนขันธ์5 แหกตาเอา ( ขออภัย ในภาษา )

    ขันธ์5นั้น มันเป็น อนัตตา ไม่ใช่ของๆใคร ไม่ได้อยู่ในอำนาจใคร จึงไม่สามารถ
    จะไป กะเกณฑ์หนทางการช่วยว่าต้องอย่างนั้นอย่างนี้ได้

    สิ่งทีเราจะพึงทำได้ก็แค่ หยอดเมล็ดพันธ์ลงไป แล้ว รอให้มัน ผลิดอกออกผลของมันเอง

    นิพพานที่เป็นการปรารภแบบ มหายาน หากปยุรญาติยังไม่เข้านิพพาน กูจะไม่ ขอแจ้งนิพพาน
    เด็ดขาด .....นั่นมัน โดน สังขารธรรมแหกตาเอา

    แต่ถ้า เราชนนิพพาน ได้นิพพาน แจ้งนิพพาน สำเร็จนิพพาน นั่นแหละ สุดยอดเมล็ดพันธ์
    ที่จะช่วยให้ ท่านๆ เหล่านั้น มีโอกาส มีความไม่ลำบาก ไปชั่วกาลปวสาน แต่... ท่านๆเหล่า
    นั้น จะปรารภนิพพาน ทำนิพพานให้แจ้งหรือไม่ มันเรื่องอะไรของ ...... หละคร้าบ ท่าน !!!
     
  18. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ขออณุญาติขำนะคะ 55555555555555555555555555
    หนูยังเด็กอยู่ค้า อิอิ จะรีบไปไหนๆ รอเดี๋ยวนึงสิ
    ขอเกาะคุณนิวรณ์ ไปด้วยได้มั้ยค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 ตุลาคม 2014
  19. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    อย่าหัวเราะดังเสทือนบอร์ด อิอิ : )
     
  20. testewer

    testewer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    237
    ค่าพลัง:
    +758
    อาการของฌาน ๔ ตามด้านบนนี้ ท่านที่สอนได้ละเอียดแบบนี้ คือ หลวงพ่อฤาษีลิงดํา วัดท่าซุง หลวงพ่อฤาษีลิงดําท่านเป็นพระอรหันต์ และอาการฌาน ๔ ด้านบนนี้ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดํา ท่านสอนเป็นเพียงกรรมฐานที่เป็น โลกียะธรรม เป็นสมาธิของสัตว์โลก ไม่ใช่สมาธิของพระอริยะเจ้าอย่างที่หลายท่านเข้าใจ แม้ผู้สอนเป็นพระอรหันต์ก็ตาม

    ถ้าปฏิบัติ จนจิตสงบ มีแต่สภาวะจิต ไม่รับรู้ความรู้สึกที่ร่างกาย ไม่ได้ยินเสียงภายนอก สมาธิที่ปฏิบัติอยู่เป็นสมาธิของสัตว์โลก(โลกียะธรรม)เท่านั้น ไม่ใช่ของพระอริยะเจ้า (หากพิจารณาให้ดี ผู้อ่านท่านอื่นที่นำมาแสดงในกระทู้นี้ทั้งหมด 100 % เว้นไว้แต่ผู้กำลังอธิบายนี้ เป็นสมาธิของสัตว์โลกทั้งสิ้น)

    หลายท่านสงสัยว่า ถ้าเป็นพระอรหันต์ทำไมไม่สอนสมาธิของพระอริยะเจ้า
    คำตอบ ภูมิธรรมของพระอรหันต์แต่ละท่านไม่เท่ากัน สภาวะจิตรู้ไม่เหมือนกัน แต่ความสิ้นกิเลสเหมือนกัน


    พระอรหันต์จึงแบ่งออกเป็น 4 ประเภทคือ

    1. สุกขวิปัสโก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
    2. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
    3. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป) อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนาและเจริญสมาธิจนได้ฌานสมาปัตติ
    4. ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ

    ท่านที่จะอธิบายได้ตรงต่อพระธรรม และสอนสมาธิพระอริยะเจ้าได้ถูกต้อง สมบูรณ์ คือ ท่านที่ปฏิบัติตามทางสายกลางได้ถูกต้อง ที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา

    ผู้ที่เข้าถึงทางสายกลาง จะเข้าถึงธรรมพร้อมปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) ผู้เข้าถึงธรรมพร้อมปฏิสัมภิทัปปัตโต จึงเป็นประเภทเดียวที่แตกฉานในพระธรรมขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า

    ปุถุชนจำนวนมาก ไม่ทราบเรื่องที่อธิบายนี้ พอเห็นเป็นพระอรหันต์ก็เข้าใจว่าสอนได้ตรงต่อพระธรรมขององค์สมเด็จพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมด ถ้าตรงต่อพระธรรมทั้งหมดจริง พระอรหันต์ในโลกนี้จะมีเพียงประเภทเดียว คือ ปฏิสัมภิทัปปัตโต เท่านั้น

    แต่ในโลกนี้ผู้ที่ยังเข้าไม่ถึงธรรม ไม่สามารถรู้ได้ว่าท่านใดภูมิธรรมเป็นอย่างไร และก็ไม่สามารถรู้ได้ว่า ท่านใดเข้าถึง
    ปฏิสัมภิทัปปัตโต การยึดเอาพระอรหันต์เป็นที่พึ่ง ไม่ว่าท่านนั้นภูมิธรรมจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยถ้าปฏิบัติตามผู้ปฏิบัติยังสามารถพ้นจากอบายภูมิได้บ้าง (เว้นไว้ผู้ที่ประมาท ปรามาสผู้ที่เข้าถึงโดยไม่รู้)


     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 27 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...