นั่งสมาธิแล้วไม่หายใจ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Pei-panwad, 23 ตุลาคม 2014.

  1. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    เหตุที่ผมถามถึงทุกข์ ก่อนเลยก็เพราะจะได้ไม่หลงไปโดยการไปตั้งจุดหมายผิดที่
    แต่คุณ Pei-panwad ไม่ได้หวังจะนิพพาน ก็เป็นอันตกไป
    ถ้าอย่างนั้นก็ หมั่นทำทาน รักษาศีล กันไป เพื่อการเกิดต่อไป จะไม่ต้องพบกับสิ่งลำบากทางกายมากนัก
    แต่วันใดได้เห็นทุกข์ ในชีวิตขึ้นมาจริงๆ จนอยากออก จนอยากจะพ้นๆไป จากทุกข์
    นั่นแหละครับ จะได้เป้าหมายในการภาวนาจริงๆ
    เพราะพระพุทธเจ้า ทรงสอน แค่เรื่อง "ทุกข์" และ "ทางออกจากทุกข์" แค่นั้น
    จะออกจากทุกข์ พระพุทธเจ้าให้จัดการไปที่เหตุ
    เหตุที่มันก่อให้เกิดทุกข์ทั้งปวง
    ซึ่งเป็นการ "เอาออก" ทั้งสิ้น


    ไม่ใช่ต้องเพิ่มสิ่งนี้ เพื่อให้ได้เป็นอย่างนี้
    แต่เพิ่มสิ่งนี้ เพื่อจะได้ละสิ่งนี้


    ละตัวตนให้ได้ แค่นั้น
    จะดูว่าถูกทางไหม ก็ดูว่ามันพอก หรือ เพิ่มความเป็นตัวตนไหม


    พระพุทธเจ้าให้รักษาศีล ก็ไม่ใช่เพื่อให้ได้อนิสงค์อะไร อนิสงค์นั้นคือผลนั่นได้แน่
    แต่พระองค์รักษาศีลก็เพื่อ กายใจนี้จะไม่ลำบาก เมื่อกายใจ ไม่ลำบาก ไม่วุ่นวาย
    จิตก็เป็นสมาธิง่าย


    พระพุทธเจ้าให้ทำสมาธิ ก็ไม่ใช่เพื่อจะเอาความนิ่ง เอาฌานอะไร หรือเห็นอะไร
    แต่เพื่อความตั้งมั่นของจิต เมื่อจิตตั้งมั่น จะเห็นสัจะธรรม ความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง
    จะเห็นความจริง
    ก็จะละความเห็นที่เหนี่ยวแน่น เกี่ยวกับตัวเราได้
    เมื่อละความเห็นนั้นได้จะค่อยๆเห็น ถึงต้นเหตุของทุกข์ทั้งหลาย
    แล้วจัดการที่ต้นเหตุของทุกข์


    เมื่อต้นเหตุถูกละไป ทุกข์ในปัจจุบันก็ดับ
    เหตุพาไปเกิดก็ไม่มี จิตไม่สร้างสถานที่เกิด(ภพ)

    พระพุทธเจ้าสอนแค่นี้

    นิพพาน คือ การพ้นทุกข์


    ถ้ามีน้ำอยู่ครึ่งแก้วนึง จะพ้นทุกข์ได้ ก็หมั่นเอาออก (มรรคมีองค์8)
    ไม่ได้เพิ่มน้ำลงแก้ว เอามันออกให้หมด แค่นั้นครับ
     
  2. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    อยากพ้นทุกข์ค่ะ ไม่ใช่ไม่อยาก และคิดว่าทุกคนอยากมีความสุขหมดค่ะ แต่ตอนนี้ไปคนเดียวไม่ได้ค่ะอยากพาพ่อแม่และคนอื่นๆไปด้วยค่ะ...
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,425
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ขั้นตอนที่เขียนให้อ่านนะครับ.เป็นลำดับขั้นของการพัฒนาไต่ระดับสมาธิ
    จนถึงระดับขั้นที่มีประโยชน์ ต่อให้เราจะไปฝึกกรรมฐานกองใดๆก็ตามนะครับ.
    ก็จะวนเวียนอยู่ในลำดับดังที่นำมาให้อ่านนี้เนาะ..ที่นี้เราลองมาอ่านๆดูว่า
    นิวรณ์ตามตำราเนี่ย มีอะไรบ้างนะครับ.เพื่อว่าเราอาจจะเผลอๆลืมๆไปบ้างเนาะ

    นิวรณ์(อ่านว่า นิ-วอน) (บาลี: nīvaraṇāna) แปลว่า เครื่องกั้น ใช้หมายถึงธรรมที่เป็นเครื่องปิดกั้นหรือขัดขวางไม่ให้บรรลุความดี
    ไม่เปิดโอกาสให้ทำความดี และเป็นเครื่องกั้นความดีไว้ไม่ให้เข้าถึงจิต
    เป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้ผู้ปฏิบัติบรรลุธรรมไม่ได้หรือทำให้เลิกล้มความตั้งใจปฏิบัติไป..
    นิวรณ์มี 5 อย่าง คือ


    1. กามฉันทะ ความพอใจ ติดใจ หลงใหลใฝ่ฝัน ในกามโลกีย์ทั้งปวง ดุจคนหลับอยู่
    2. พยาบาท ความไม่พอใจ จากความไม่ได้สมดังปรารถนาในโลกียะสมบัติทั้งปวง ดุจคนถูกทัณท์ทรมานอยู่
    3. ถีนมิทธะ ความขี้เกียจ ท้อแท้ อ่อนแอ หมดอาลัย ไร้กำลังทั้งกายใจ ไม่ฮึกเหิม
    4. อุทธัจจะกุกกุจจะ ความคิดซัดส่าย ตลอดเวลา ไม่สงบนิ่งอยู่ในความคิดใดๆ
    5. วิจิกิจฉา ความไม่แน่ใจ ลังเลใจ สงสัย กังวล กล้าๆ กลัวๆ ไม่เต็มที่ ไม่มั่นใจ
    http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C

    ที่นี้ค่อยๆอ่านนะครับ และกรุณาอย่าพึ่งรีบด่วนสรุปความคิดนะครับ....
    ลองสังเกตุดูเนาะ เห็นไหมครับว่า นิวรณ์ทั้ง ๕ นี้มันเริ่มต้นจากความคิดไหมครับ.
    .มันเป็นความคิดชนิดหนึ่ง..และความคิดพวกนี้เราสังเกตุดูต่ออีกนิ๊ดหนึ่ง
    เราจะพบว่ามันเป็นความคิดที่เกิดขึ้นมาจากจิตเราทั้งนั้นครับ.
    จากการรับรู้มาก่อนหรือขณะเวลานั้น ไม่ว่าทางใดทางหนึ่ง
    ไม่ว่า จะเป็น ตา หู จมูก ปาก ลิ้น กาย หรือจิต.
    ที่นี้ถ้าเราอ่านๆเราอาจจะยังมองไม่ออกในบ้างข้อครับ.
    .เพราะว่าเราเผลอไปปรุงแต่งร่วมกับมันโดยที่เราไม่รู้ตัว
    จนมันมีกำลังเปรียบเสมือนว่าเป็นเฉกเช่นตัวเดียวกันกับจิตของเรา
    ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกนะครับ นักปฏิบัติเป็นได้กันทุกคน..
    แต่ไหนๆเราก็มีความตั้งใจหละนะว่า เอานะฉันจะต้องเข้าใจสภาวะต่อไป
    ในอนาคตข้างหน้าให้ได้..ฉันจะต้องผ่านตรงจุดนี้ให้ได้แล้วไซร์
    มันก็จำเป็นที่เราจะต้องมาทำให้นิวรณ์มันหมดไปในขณะ
    ที่เรานั่งสมาธิเพื่อไม่ให้มันมาขวางการไต่
    ระดับยกระดับสมาธิเราได้.เพื่อเป้าหมายในการนำกำลังสมาธิ
    ที่ได้นี้มาลดละกิเลสต่อไปในอนาคตเพื่อพัฒนายกระดับคุณภาพ
    ของจิตเราเป็นเป้าหมายต่อไป..ก็ต้องมาดูว่าเราจะทำอย่างไรกันต่อไป..
    จะมาบอกว่า ก็ไม่ต้องคิดซิคะ ไม่ต้องสนใจซิคะ ปล่อยวางซิคะคุณ
    ไม่ต้องสนใจมันซิคะคุณ พูดแล้วเหมือนกับว่าหล่อเทห์มากมาย
    ปานชายงามจักรวาลมาพูดเอง...
    ฟังดูสุดแสนจะง่ายๆ.เหมือนปอกกล้วยเข้าปาก...
    ถ้าจะบอกประมาณนี้ จะเข้ามาถามในนี้ให้เสียเวลาทำไม่หละเนาะคุณครับ
    แต่ถามว่าทำอย่างไร ถึงจะรู้เท่าทันความคิดได้ ทำอย่างไรที่จะควบคุม
    ความคิดพวกนี้ได้หละ จนกระทั้งไม่ให้มันเกิดความคิดพวกนี้ได้
    เราจะทำอย่างไรประเด็นนี้สำคัญมากกว่าครับ
    จะให้ไปกางอ่านตำราระดับที่ใครๆก็รู้ว่ามาจากพระพุทธเจ้านั้นเลย..
    ที่มาบันทึกเรียบเรียงโดยพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาน..ลำพังตัวจิต
    ที่ปกติมันโคตรจะซื้อบื้อ และมีนิสัยชอบท่องเที่ยวเป็นกลมสันดาน
    และปัญญาทางธรรมในการลดละกิเลสน้อยถึงน้อยมากๆ.แถมความ
    สามารถทางจิตก็ระดับไส้เดือนแบบคุณๆและกระผมนั้น.จะไปอ่าน
    แล้วจะสามารถไปเข้าใจสภาวะที่มันเกิดจากจิต ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมได้
    อย่างไรหละครับ..พูดบอกคุณและบอกตัวเองนี่หละครับกันไว้จะได้
    ไม่หลงตัวเองครับ...
    แต่ก็หาใช่ว่าเราจะเดินทางเข้าไปเพื่อให้รู้
    เพื่อให้เข้าถึงได้ที่ละเล็กละน้อยไม่ได้ครับ..
    แต่เราต้องยอมรับก่อนว่า การที่เรายังขาดความเข้าใจในเรื่องนามธรรมต่างๆ
    เรื่องกิริยาทางจิตต่างๆ เรื่องกิริยาความคิดต่างๆ ไม่ว่าจะเกิดจากจิต ไม่ว่าจะ
    เป็นความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมไม่ได้นั้น..
    มันเป็นเพราะเราไม่รู้จักคำว่า สติทางธรรม เรายังไม่มีสติทางธรรมตัวนี้
    เรามีแต่ตัวสติที่เค้าเรียกว่าสติทางโลก ปัญญาต่างๆที่จะช่วยหนุนให้เรา
    เข้าใจสภาวะทางจิตต่างๆเราตอนนี้มันก็เป็นเพียงปัญญาทางโลก.ที่มันไม่
    เข้าใจทะลุปรุโปร่งในเรื่องนามธรรมทั้งหลายครับ.ถ้ายอมรับสภาพตรงนี้ได้
    เราก็จะมีโอกาสเข้าถึง เข้าใจในวัตถุต่างๆได้ ในส่วนกิริยาต่างๆทางธรรมได้ครับ...


    ถ้าสมมุติว่าอ่านโชคดีเกิดสกิดหรือเอ๊ะใจขึ้นมาบ้าง..ก็แสดงว่ายังพอที่จะเดินหน้าต่อไปได้
    ระบบความคิดเราจะสามารถเข้าสู่โหมดนามธรรมที่จะไปเชื่อมกับครูบาร์อาจารย์
    ท่านต่างๆได้..จะไม่วนเวียนอยู่แต่การใช้ความคิดในการวิเคาระห์ส่วนนามธรรม
    ต่างๆอย่างที่เป็นอยู่นี้.แม้ว่าเราจะพอรู้ว่าเราเหมือนๆว่าเราจะมีสัมผัสพิเศษได้
    มีความสามารถทางจิตได้ แต่ทำไมมันถึงยังไม่ก้าวหน้าซักที ไม่เข้าใจกิริยาต่างๆ
    ทางนามธรรมซักทีครับ...

    .จึงกลายมาเป็นที่มาของการที่เราจะต้องมาเจริญสติในชีวิตประจำวัน
    เพื่อสร้างเครื่องมือชนิดหนึ่งให้มันมีบังเกิดขึ้นมา.
    .เพื่อที่จะมาคอยควบคุมความคิดพวกนี้ ควบคุมอารมย์พวกนี้
    ซึ่งเป็นฝ่ายนามธรรมทั้งหลายนั้นเองไงครับ...
    แยกย่อยให้ง่ายให้ลองนึกภาพตามนะครับ..
    จิตตัวหนึ่ง ร่างกายตัวหนึ่งที่มันประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ แล้ว
    หล่อหลอมจนมาเป็นตัวเรานั้น..ถ้าเราสามารถนั่งสมาธิจน
    สามารถแยกมันขาดออกจากกันได้อย่างเด็ดขาดแล้ว
    มันก็จะเป็น จิตตัวหนึ่ง ร่างกายอีกส่วน ซึ่งเราไม่สามารถ
    ที่ควบคุมร่างกายได้อีกต่อไป เพราะมันตัดระบบการควบคุม
    ของประสาทร่างกายไปแล้ว..เราจะเห็นได้ชัดว่า จิตมันก็อยู่
    ของมันโดดๆ แยกตัวออกมาเป็นอิสระ ด้วยกมลสันดานของ
    ตัวจิตที่ชอบส่งออกไปรับรู้เรื่องภายนอกในสภาวะปกตินั้น
    พอถึงอารมย์ระดับนี้ มันก็จะออกไปท่องเที่ยวโดยที่เราไม่สามารถ
    ที่จะไปบังคับมันได้...ถึงได้บอกไปว่า เราต้องมาสร้างสติทางธรรม
    เพื่อคอยเปรียบเสมือน ฝ่ามือที่จะคอบควบคุมตัวจิตกลมๆไม่ให้
    มันออกไปเปรี้ยวที่ไหน..ฝ่ามือที่ว่านี้หละครับ ก็คือสติทางธรรม
    ที่เราจะได้จากการเจริญสติทั้งหลายรูปแบบ ขอให้มีฐานอยู่ที่กายครับ..

    พอเข้าใจถ้านักปฏิบัติยังไม่เคยสภาวะที่จิตกับกายมันแยกกันเด็ดขาด
    ได้แล้ว..ยากที่จะรู้ตัวว่าเราไม่มีสติทางธรรมครับ ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลก..
    และพอเราเข้าใจตรงนี้..ถึงได้แนะนำไปว่าให้มาเจริญสติทางธรรมให้
    มากๆยิ่งขึ้น..มันก็จะมีเข็มแข็งเพียงพอที่จะควบคุมตัวจิตที่มันชอบ
    ท่องเที่ยวตรงนี้ได้ครับประมาณครั้งที่ ๓ หรือ ๔ จะเข้าใจ
    ...และในสภาวะกำลังสมาธิระดับสูงที่กายกับจิต มันแยกกันตรงนี้นี่เอง
    ถ้าเราควบคุมตัวจิตให้อยู่ในร่างกายได้นะครับ เราก็จะมองความคิดอีกตัว
    หนึ่งที่เราเรียกว่า ขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม หรือวิบากกรรมเก่า มันเป็นตัว
    ที่ทำให้เราก่อภพก่อชาติมาเกิดไม่รูัจักจบจักสิ้นนี่หละครับ ถ้าอนาคตเรา
    สามารถตามทำความเข้าใจ ขันธ์ ๕ นามธรรมตรงนี้ได้ เค้าจะเรียกว่า
    การรอบรู้ในกองสังขาร.จะเข้าใจถึงพวกอวิชาต่างๆได้ เราก็จะเกิดมี
    ปัญญาทางธรรมได้เอง ซึ่งมันจะมาทำหน้าที่แทนความคิดที่เกิดจากจิต
    ของเราอย่างที่เป็นๆอยู่ทุกวันนี้..ใสส่วนประเด็นนี้ไว้ว่ากันภายหลังครับ
    และถ้าพอควบคุมจิตให้อยู่ในร่างกายได้แล้วนั้น พอเราลืมตาออกมาในสภาวะ
    ปกตินะครับ กำลังสติทางธรรมตัวนี้นี้หละ ที่จะเป็นตัวคอย ควบคุมความคิด
    ของเรา ควบคุมพฤิติกรรมทางจิตของเรา.เพื่อเป้าหมายให้ จิตคลายออกความ
    คิดต่างๆพวกนี้ คลายออกจากอารมย์พวกนี้ได้..ผลพลอยได้ที่เราจะได้รับก็คือ
    การที่เราสามารถที่จะวางนิวรณ์ต่างๆให้มันไม่มีได้ ในช่วงขณะเวลาที่เรา
    กำลังนั่งสมาธิครับ..เราถึงจะไต่ระดับฌานได้..และพึ่งระลึกใส่ตัวไว้ด้วยนะครับ
    ว่าเราไม่ใช่พระอรหันต์นะครับ ในชีวิตเราถึงจะไม่ได้มีนิวรณ์เหลืออีกนะครับ
    และผลที่เราจะได้ต่อมาก็คือ เราจะเข้าใจความคิดต่างๆที่เป็นนิวรณ์
    เราจะรู้เท่าทันมันได้ และมีกำลังพอที่จะวางมันลงได้ และ
    เราจะเข้าใจกิริยาต่างๆของจิต ไม่ว่ากิริยาของจิต
    ที่มีความคิดจากจิตมาปรุงร่วม หรือ กิริยาของจิตที่มีขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม
    มาปรุงร่วม หรือเข้าใจความคิดที่เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรมได้
    และเข้าใจกิริยาจิตสงบ หมดนิวรณ์เป็นอย่างไรได้ด้วยตัวเราเองต่อไปครับ..
    และความเข้าใจในเรื่องนามธรรมต่างๆของเรามันจะตามมาเองได้ครับ
    ไม่ว่าความคิดที่เกิดจากจิต ความคิดที่
    เกิดจากขันธ์ ๕ ส่วนนามธรรม อาการจิตกระเพื่อม
    อาการจิตเป็นกลางเป็นกลางสำหรับการเดินปัญญาเป็นอย่างไร..
    และพัฒนาต่อมาเดินปัญญาทางธรรมเพื่อลดละกิเลสให้มันค่อยๆคลาย
    กิเลสออกจากจิต จนกระทั่งจิตเข้าสู่สภาวะจิตว่างจากการเกิดว่างจาก
    กิเลสได้ในอนาคตต่อไปได้ของมันเองตามลำดับครับ....
    ปล.ลองอ่านดูก่อนดีๆ หวังว่าจะพอเข้าใจมากขึ้นนะครับ...
     
  4. ิ์Fist of the North Star

    ิ์Fist of the North Star เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    564
    ค่าพลัง:
    +385
    ถ้าอยากพาพ่อ แม่พี่น้อง ไปด้วย ก็ต้องทำตนเองให้พ้นไปก่อนครับ
    จมน้ำอยู่กลางทะเล ช่วยอะไรคนอื่นไม่ได้มาก
    หรือแม้แต่เราจะขึ้นฝั่งได้แล้ว ก็ได้แต่ะโกน ให้คนที่จมน้ำ
    ว่ายมาให้ถูกทิศเท่านั้น
    เค้าจะว่ายหรือไม่ว่าย จะมาหรือไม่มา
    เราก็ช่วยได้แค่นั้นครับ

    ดูอย่างความเมตตาของพระพุทธเจ้ามีมากมายไม่มีประมาณ
    พระองค์ยังทรงบอกว่า "ตถาคตเป็นเพียงผู้บอกทาง"
    เพียงเท่านั้นครับ
     
  5. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ขอบคุณค่ะ

    อ๋อเข้าใจแล้วค่ะ พอดีว่าที่งงคือ เกิดมายังไม่เคยมีใครสอนเรื่องนี้เลยค่ะรู้แค่ว่านิวรณ์คืออะไร มีกี่แบบเท่านั้นค่ะ ส่วนใหญ่แม่ชี หรือพระที่ไปปฎิบัติธรรมจะสอนเรื่องขันธ์ 5 และเรื่องทั่วๆไป แล้วอีกอย่างมันก็เป็นนามธรรมซึ่งยาก เค้าเลยไม่ค่อยสอนน่ะคะ ตอนนี้รู้เยอะขึ้นแล้วค่ะ .....ขอบคุณคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  6. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เอิ่ม คือ ไม่ได้คิดว่าจะช่วยพ่อแม่ได้ในชาตินี้น่ะค่ะ แต่ที่ตั้งใจคือการสะสมบุญ บารมีพอ เมื่อมีโอกาศที่เราไปได้และช่วยคนอื่นได้จะได้พาข้ามวัฏฏะ ได้เยอะๆน่ะคะ
     
  7. Penty

    Penty เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2014
    โพสต์:
    475
    ค่าพลัง:
    +1,580
    ของเราก้อเป็นแต่ก่อนจะเป็นตัวโคลงๆโยกๆเลย บางทีรู้สึกตัวลอยสูงๆมาก ไม่ก็ตัวแข็งๆชา เย็นๆจนหนาว บางทีรุ้สึกอุ่นๆ เอาเป็นว่าไม่ต้องไปสนใจตามที่พี่ๆเค้าบอก มาพยายามไปด้วยกันนะ สู้ๆ
     
  8. noom_redrider

    noom_redrider สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +6
    ก่อนอื่นต้องขออนุโมทนากับท่านเจ้าของกระทู้ด้วยนะครับแม้จะไม่ได้ฌานสมาธิใดแค่คำภาวนาพุทโธก็ได้บุญแล้วครับ. ทีนี้ขอตอบประเด็นเรื่องลมหายใจนะครับ ลมหายใจนั้นไม่ได้หายครับแนะนำให้ฟังคลิปจากลิ้งค์นี้ แล้วคิดวิเคราะห์ไตร่ตรองทุกถ้อยคำของหลวงพ่อจะพบคำตอบครับ[ame="http://m.youtube.com/watch?v=Y4tRL-NKKek"]????????????????::???????????????? - YouTube[/ame]
     
  9. ปทุมมุต

    ปทุมมุต ผมเป๋นใตร?

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    200
    ค่าพลัง:
    +286
    อาการที่จขก.ประสบ ถ้ายังสดๆผ่านไปไม่นาน ครั้นจิตนึกน้อมไปในอารมย์นั้น จิตก็ยัง
    คอยจะเข้าสู่จุดนั้นอยู่ ขออย่าเสียเวลา ให้เข้าออกเรื่อยๆให้ชำนาญเป็นวสี ยังไม่ต้อง
    ใส่ใจ วิตก วิจาร ปีติ และสุข เพราะขั้นตอนคุณผ่า1,2,3,ไปโดยเร็ว ไปยั้งอยู่ที่4 คือเอกัคตาุอเบกขา มีแต่สติบริบูรณ์เด่นอยู่
     
  10. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    """เมื่อคืนได้ทำสมาธิแล้วค่ะประมาณตี2 กว่า พอพ้นวิตกวิจาร ปีติ กำลังนิ่งได้ไม่นาน ล่มค่ะ เสียงเพลง+คนคุยกัน โม้กัน 555ข้างบ้านเพราะเป็นร้านขายอาหารดังเข้ามาตลอดเลยต้องออกมาก่อน แล้วสักพักคิดว่าถ้าเงียบเดี๋ยวนั่งใหม่ สักพักพอเงียบไปนั่งใหม่ค่ะเหมือนตอนแรกเด๊ะ เสียงมาเลยค่ะสภาวะเหมือนตอนแรกเลยยย เฮ้อ เสียงนี่ทำลายสมาธิได้ดีจริง เลยหลับดีกว่า 555""
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2014
  11. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    ฟังแล้วค่ะ

    เข้าใจช่วงแรกๆค่ะ แต่ช่วงท้ายๆหมือนกับมันไกลตัวไปหน่อยนะคะ ขยายความให้หน่อยนะคะ
     
  12. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ***ผมขออธิบายไปตามแนวของการปฏิบัติจะอ้างอิงหลักวิชาการบ้างเพียงให้เข้าใจเท่านั้น
    ***การปฏิบัติของท่านนี้เป็นอาปาณานัสสติ คือการกำหนดรู้ทางลมหายใจ สภาวะนี้อยู่ในฌานที่4 กำลังจะบริบูรณ์เต็มองค์ฌาน หากว่าเต็มสภาวะร่างกายจะหายไปเลย ไม่สามารถรับรู้ได้
    ***สภาวะการ "ควานหาลมหายใจแล้วลมหายใจก็ค่อยๆกลับมา" ตรงนี้เป็นวิตก วิจารณ์ ในฌานที่1 เมื่ออารมณ์ฌานที่1 เกิดขึ้นสภาวะฌานก็ถอยมาที่ฌาน1 จึงได้เห็นว่าลมหายใจค่อยๆกลับคืนมา
    ***ผมก็เคยทำมาถึงตรงนี้ ทางแก้มีครับแต่ต้องเปลี่ยนแนวหรือวิธีเพราะอาปาณานัสสติ สูงเต็มก็ได้แค่ฌานที่ 4 นี้ละ หากทำต่อก็จะเข้าอรูปฌาน ซึ่งสภาพร่างกายก็ไม่เห็น ลมก็เป็นรูปอันเนื่องกับร่างกายก็ไม่เห็น ทีนี้จะทำอย่างไรต่อ
    ***ทางแก้ทำอย่างนี้ครับ ให้คุณฝึกรู้ตัวรู้ให้เป็น ในชั้นอรูปฌานจะมีตัวรู้ให้เราตามรู้ต่อไปอีก ลมหายใจต้องทิ้งไปเลยเมื่อถึงขั้นนี้ การฝึกรู้ตัวรู้เมื่อนั่งปฏิบัติให้รู้ว่ารู้อะไรบ้าง เช่นว่าร่างกายเป็นอย่างไร มีเวทนาต่อร่างกายอย่างไร ได้ยินเสียงมากน้อยเพียงใด ให้ทำและจำลักษณะการรู้ก่อนการปฏิบัติว่าเป็นอย่างไร ในขั้นตอนนี้มากน้อยเพียงใดก็ตอบยาก ให้ดูว่าตัวรู้มันค่อยลดลง รู้น้อยลง จนมารู้ที่ลมหายใจเป็นหลัก เราก็วางการรู้ของตัวรู้และเข้าปฏิบัติ
    ***เมื่อมาถึงที่เดิม ให้ปฏิบัติต่อโดยดูที่ลมหายใจนั้นละต่อไปแต่ให้ดูที่จุดเดียวจุดใดจุดหนึ่งที่ชัดที่สุด สังเกตุตัวเวทนาที่จุดนั้นด้วยตรงนี้เป็นตัวต่อไปข้างหน้า หากว่าตามสติปัฏฐานตัวแรกเรื่องกายได้ทำไปแล้ว ต่อมาคือเวทนาที่จุด เมื่อลมหายกายหายที่เหลือคือเวทนา เขาจะมีอยู่ ให้เอาสติจับที่จุดเวทนานั้นๆ จะเป็นอาการตรึง เบา เย็นหรืออะไรก็ตาม การจับให้จับให้อยู่ หากหายก็คอยดูเดี๋ยวมันก็กลับมา อย่ากดอารณ์จนเครียด หรือปล่อยไปเลยก็ไม่ได้ ประคองให้อยู่ในระดับที่เราประคองอารมณ์ได้
    ***หากผ่านสภาวะจะเปลี่ยนไปเหมือนว่าลืมตา จะได้พบสิ่งแปลกใหม่หลายๆอย่าง ก็อย่าตกใจ ตรงนี้เป็นอรูปฌาน ให้เอาเรื่องรู้ตัวรู้ที่ฝึกมาใช้ สลับการรู้เวทนา การปฏิบัตินั้น ฌานมีขึ้นบ้างลงบ้าง เมื่อลงมารูปฌานก็จะเห็นตัวเราตรงนี้ให้รู้ที่เวทนา หากเข้าไปในรูปฌานให้รู้ตัวรู้ มันมีอะไรให้รู้ก็ตามดูมันไป รู้มากรู้น้อยก็รู้กันไป เดี๋ยวรู้เดี๋ยวหาย สลับมาสลับไป การรู้ตัวรู้นี้หากไม่ฝึกก่อนก็จะทำไม่เป็น
    ***เรื่องของตัวรู้เป็นจิตตา ในสติปัฐานตัวที่3
    ***เจริญในธรรมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2014
  13. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เอ ถ้าสมมติเราลองมาทำกสิณบ้างจะเป็นไรมั้ยค่ะ ดีหรือไม่อย่างไร
     
  14. ฐสิษฐ์929

    ฐสิษฐ์929 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    876
    ค่าพลัง:
    +1,844
    ความแตกต่างระหว่างรูปฌานกับอรูปฌาน

    ***รูปฌานเห็นตัวตนเราที่ปฏิบัติ หากเปรียบกับหนัง ก็เป็นว่าเรากำลังดูหนัง
    ***อรูปฌานจะไม่เห็นตัวตนที่กำลังปฏิบัติ หากเปรียบกับหนัง ก็เป็นว่าเรากำลังแสดงหนังเอง เรื่องนี้รับรองไม่ปรากฏในตำราใดๆ ในชั้นนี้ผู้ปฏิบัติจะต่อสู้กับเวทนาและจิตตา ของสติปัฏฐานสี่ สิ่งที่ได้เห็นเป็นสิ่งที่บันทึกในจิต จะได้เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่ผ่านมา เช่นว่าไปเที่ยวที่ไหน ทำอะไรกับใคร เป็นเบื้องต้น ต่อๆมาก็ได้เห็น เหตุการณ์ที่เราไม่พบมาก่อน จนเหตุการณ์เหนือมนุษย์จะรับรู้ได้ อย่างไรก็อย่าหลงกับมัน ต่อไปก็เจอกับเหตุการณ์ที่น่าพอใจ(โลภะ) เหุการณ์ที่สุดแสนจะน่ากลัว(โทษะ) เหตุการณ์ที่แสนจะน่าหลงไหล(โมหะ) ทุกอย่างที่เกิดล้วนเป็นอารมณ์ของกิเลส การต่อสู้ให้เพ่งสติใส่ภาพต่างๆนั้น อย่ากลัว+อย่าชอบ+อย่าหลง เป็นอันขาด หากกลัวก็ติด ชอบก็ติด หลงก็ติด สภาพการติด ภาพเหตุการณ์นั้นๆก็เกิดซ้ำซากไม่ไปไหน ขณะเพ่งใส่กำหนดว่า "รู้" ใส่ด้วยก็ได้ เพ่งใส่ไปเลยก็ได้ มีเวทนาที่จุดเกิดให้เห็นเพ่งกลับมาที่เวทนาก็ได้
    ***เป็นอย่างเหตุการณ์จริง เจ็บก็เจ็บจริง ตัวอย่างของผมเอง ถูกฟ้าแลบเข้าตา ตาก็เจ็บและแดงไปหลายวัน มีอื่นๆอีกแยะอาจไม่เหมือนกันก็อย่าตกใจ มันเป็นเดี๋ยวก็หาย หากเราไม่ไปสนใจมัน
    เจรฺญในธรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2014
  15. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    วัดอาจารย์ทอง สาธุๆๆ ครับ
     
  16. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    จขกท. เห็นชอบ (สัมมาิทิฏฐิ) ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) แล้วครับ สาธุๆๆ
     
  17. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ที่จขกท. เล่ามาเป็นธรรมดาทั้งนั้น เป็นสภาวธรรมทั้งสิ้น (ความชั่ว กับ ความคิดดี เขาสู้กัน เล่นชักเย่อกัน) จะพูดให้เห็นภาพนะครับ ความคิดชั่ว (อกุศลจิต) มันก็มีกำลังของมัน ความคิดดี (กุศลจิต) ก็มีกำลังของเขา แต่ขณะที่อกุศลจิตคิดด่า คิดหลบลู่ แสดงว่า อกุศลจิตแรง กุศลจิตยังอ่อนกำลัง ที่ จขกท. ปฏิบัติอยู่ ดังว่า "ทุกวันนี้พอคิดปุ๊บก้กำหนดว่าคิดหนอๆ" ทำถูกแล้วครับ สาธุ คิดไม่ดีปุ๊บ "คิดหนอๆๆๆๆๆ" ปั๊บ คิดทุกครั้ง กำหนดอย่างนั้นทุกขณะ วิธีนี้แหละคือการสร้างการเจริญกุศลจิต สร้างปัญญา เจริญวิชชา แล้วแต่จะพูด

    เมื่อกำหนดตามที่มันเป็นแล้ว เรากำลังทำงานอะไรอยู่ ก็ดึงความคิดให้เกาะติดงานที่กำลังทำนั้นเสีย เช่น กำลังรีดผ้าอยู่ ก็ตั้งใจตั้งจิตอยู่กับงานรีดผ้านั้น สนใจงานเฉพาะนั้นๆ ฯลฯ แล้วแต่ว่าขณะนั้นๆเราทำอะไรในชีวิตประจำวัน
     
  18. Pei-panwad

    Pei-panwad Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +78
    เคยไปหลอค่ะ หรือว่า ได้ยินมา
     
  19. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    ทำอย่างนั้น เรียกว่า เลือกที่รัก มัก (ผลัก) ที่ชัง (พอเข้าใจมั้ยครับ) คือ จขกท. เลือกเอาแต่อารมณ์ (สิ่ง) ที่ถูกใจ ผลักไสอารมณ์ที่ไม่ถูกใจ ผลักใสอารมณ์ไม่ต้องการ ทั้งทางตา ทางหู เป็นต้น

    ที่ผ่านมาแล้วได้แนะนำว่า กำหนดตามที่มันเป็น เป็นยังไง รู้สึกยังไง ก็กำหนดยังงั้น เช่น ทางตา เห็นหนอๆๆ ทางหู เสียงหนอๆๆ ฯลฯ หูไม่หนวกก็ได้ยินเป็นธรรมดา .... เขาจะตะโกนเสียงดัง ร้องเพลงเอ็ดตะโร จะด่าเราหรือใคร จะชมเราหรือชมใคร หน้่าี่ที่ของเราคือฝึกความคิด ฝึกจิต ให้ทรงอยู่ แค่เห็น แค่ได้ยิน แค่รู้

    หูได้ยินเสียง เสียงหนอๆๆๆ กำหนดรู้ตามนั้นแล้ว ก็ดึงความคิดให้เกาะกรรมฐานที่ใช้ ว่าต่อไป แค่นี้เอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ตุลาคม 2014
  20. มาจากดิน

    มาจากดิน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2008
    โพสต์:
    5,913
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +2,493
    เคยไปครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...