เป็นคนที่ได้กลิ่นศพบ่อยมากเป็นเพราะอะไร?

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Dormicum, 14 กันยายน 2014.

  1. Dormicum

    Dormicum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    รบกวนสอบถามผู้รู้คะ ..ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะคะว่าตัวเองแยกแยะกลิ่นเหม็นเน่าของซากสัตว์ตายกับกลิ่นศพเน่าออกจากกันได้แน่นอนเพราะกลิ่นศพคนมีกลิ่นเฉพาะตัวไม่เหมือนกัน
    คือว่าโดยนทั่วไปก้อจะได้กลิ่นศพใกล้ๆตัวชั่วประเด่วเดียวแล้วจางหายไปทั้งที่บริเวณนั่นไม่มีศพ บางทีไปงานศพขณะสวดก้อมีกลิ่นจางๆแป๊บหาย บางที่กับบ้านมาก้อได้กลิ่น ไปโรงพยาบาลก้อเช่นกันคะได้กลิ่นทั้งๆที่ไม่มีศพเข็นผ่าน คนที่เป็นแบบดิฉันมันแปลว่าอะไรทำไมถ้าเป็นเพราะขอส่วนบุญหรือคะ ทำไมต้องเป็นดิฉัน ?
     
  2. lovepyou

    lovepyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2008
    โพสต์:
    540
    ค่าพลัง:
    +974
    เวลาได้กลิ่นนี้มันเหม็นมากไหมครับ?
     
  3. Dormicum

    Dormicum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    ไม่มากคะ...มาแว๊บๆสัก ครึ่งนาทีก้อหายไป
     
  4. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    เขามาขอส่วนบุญ ก็อุทิศส่วนกุศลไปค่ะ
     
  5. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    กลิ่นธูปควันเทียน

    ผู้ถาม หลวงพ่อคะ เวลาคนที่ตายแล้ว เราไปกราบศพแต่ได้กลิ่นธูป หรือควันเทียน อย่างนี้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ?
    หลวงพ่อ นั่นเขาแสดงปรากฏเป็นกลิ่นธูป ควันเทียน ถ้าเป็นกลิ่นธูปก็แสดงว่าอยู่สูง ถ้าเป็นกลิ่นธูปหอมนะ ก็แสดงว่าอยู่สูงมาก ถ้าเป็นกลิ่นกระแจะหรือน้ำหอมธรรมดาก็ไม่ใช่ กลิ่นดอกไม้ก็ไม่เชิง มันผสมผสานกัน อันนี้อยู่ชั้นกามาวจร ถ้าเป็นกลิ่นธูปจัดหน่อยก็ต้องนับเป็น ๒ จุด คือ พรหม กับ นิพพาน พรหมกับนิพพานนี่คล้ายคลึงกันมาก

    ผู้ถาม แต่เคยได้กลิ่นเหล้าฉุน ๆ อยากทราบว่าเป็นชั้นไหนครับ?
    หลวงพ่อ โลหะกุมภี...เทวดาชั้นนี้แข็งแรงมาก ใจดีทีสุด ถ้าไปที่นั่นไม่ต้องซื้อข้าวกิน กรอกใส่ปากเลย ทนไม่ไหว จับนอนกรอกปากอีก แหม...ไอ้กลิ่นเหล้านี่ น่าจะเป็นเทวดาบางยี่ขัน กลิ่นแปลกจริง ๆ นะ
    นี่ต้องพิจารณากันก่อนนะ ถ้าหากคนที่เคยเคารพนับถือก็ดี คนที่ไม่นับถือก็ดี ที่ติดเหล้าตายไปมีไหม...ต้องนึกถึงคนนั้นก่อน บางทีเขาอาจจะเป็นเทวดา เวลาเขามา เขาอาจจะแสดงกลิ่นเหล้าให้ปรากฏ จะได้ทราบว่าท่านมาแล้ว อย่าไปโทษว่าเขาเป็นสัตว์นรกเสมอไปไม่ได้นะ

    ผู้ถาม ถ้าหากว่าเราได้กลิ่นอย่างนี้ เอากลิ่นเป็นอนุสสติ เราตายแล้วจะเป็นอย่างไรครับ?
    หลวงพ่อ ก็สบาย...ไปอยู่โลหะกุมภี ดีจริง ๆ เลย ตั้งเป็นฌานไว้นะ ไม่ไปไหนเลย ดิ่ง...ป๋อง...ลงท่อทองแดง!

    ผู้ถาม ยังงั้นเปลี่ยนใหม่ดีกว่า เอากลิ่นธูปควันเทียนก็แล้วกันครับ
    หลวงพ่อ เอาอย่างนี้ดีกว่า เอากลิ่นเย็น ๆ ดีไหม...จะได้ลงโลกันตนรกเลย

    ผู้ถาม ทีนี้มีผู้หญิงอีกคนหนึ่งแกมาเล่าให้ฟังว่า เวลาสวดมนต์เห็นแม่ที่ตายไปแล้วมานั่งอยู่ข้าง ๆ และได้กลิ่นอยู่เสมอ เขาสงสัยว่า แม่ยังห่วงอะไรอยู่หรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ กลิ่นสูงหรือกลิ่นต่ำ

    ผู้ถาม เอ...ไม่ยักบอก เอ๊ะ! หลวงพ่อกลิ่นสูงกลิ่นต่ำเป็นยังไงครับ?
    หลวงพ่อ ไอ้กลิ่นต่ำน่ะ กลิ่นมากหน่อย กลิ่นสูงน่ะ กลิ่นธรรมดา เราเคยสัมผัสอยู่เสมอ

    ผู้ถาม อย่างกลิ่นธูปควันเทียนน่ะหรือครับ?
    หลวงพ่อ ถ้าอย่างนั้นดี ไม่เหมือนกลิ่นปุ๋ง ๆ

    ผู้ถาม (หัวเราะ)
    หลวงพ่อ ข้อนี้ตอบไม่ยากเลย ที่มาให้เห็นนั่นแสดงว่า ท่านสบายมากแล้ว ถ้าไม่สบายมากท่านจะมาให้เห็นภาพไม่ได้ ถ้าแสดงให้เห็นปรากฏแสดงว่าเขามีความสุขมาก เมื่อเขาเป็นเทวดากรือพรหมเขาก็ห่วงลูกจะตกนรก
    ถ้านึกถึงพ่อแม่เป็นความกตัญญูรู้คุณ เป็นเทวดาได้นะใช่ไหม...แล้วยิ่งสวดมนต์อยู่อย่างนั้น ได้กลิ่นแม่ด้วย มีความรู้สึกว่าแม่มาด้วย อันนี้ดีมาก แต่สงสัยว่าตอนนั้นแกสวดแม่หรือเปล่า ถ้าไม่สวดแม่นะ และแกใจดีนะ เห็นว่าแม่มาด้วย อันนี้เป็นความกตัญญูรู้คุณ แค่ตัวเดียวนี่ไปสวรรค์ได้สบาย ต้องขอชมเชยว่าคนนี้เก่ง เพราะการสวดมนต์จิตเป็นอุปจารสมาธิพอดี ถ้าจิตเป็นอุปจารสมาธิ จิตมันเป็นทิพย์ สามารถจะเห็นได้

    ผู้ถาม ทีนี้มีคนหนึ่ง...เขาบอกว่าแม่ตายเมื่ออายุ ๔๙ อย่างนี้จะเรียกว่าเพราะกรรมตัดรอนหรือเปล่าครับ?
    หลวงพ่อ เขาสัญญามาไว้เท่าไรเราไม่รู้นี่ อย่าไปนึกเลยเรื่องนั้นไม่จำเป็น ตายก็ตายไปเถอะ ถ้าแม่ไม่ตายเมื่ออายุ ๔๙ เราต้องระวังไว้ด้วยว่า คนที่ตายอายุน้อยกว่าแม่ยังมี สักวันหนึ่งข้างหน้าเราอาจจะตายก็ได้

    ผู้ถาม เวลาลูกปฏิบัติธรรมมักจะภาวนา พุทโธ ๑๐๘ จบ จากนั้นก็ภาวนา คาถาเงินล้าน อีก ๕๐ จบ อย่างนี้เป็นประจำ แต่มีเรื่องแปลกอยู่อย่างหนึ่ง เมื่อภาวนาจบปั๊บ...จะมีกลิ่นเหม็นเหมือนศพ ตอนกรวดน้ำทีไรก็หายไป อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า ภาวนาคาถาเงินล้านแล้ว ทำไมจึงมีกลิ่นเหม็นเหมือนศพเจ้าคะ
    หลวงพ่อ นี่ ๆ อย่าลืมนะ กลิ่นเหม็นทำพระรวยไปหลายศพแล้วนะ อาชีพบังสุกุล ความจริงกลิ่นเหม็นนี่ไม่ใช่ คาถาเงินล้าน หรือ พุทโธ เป็นเรื่องของจิตมีกุศลใหญ่...มีบุญ เพราะภาวนะตั้ง ๑๐๘ จบ ๕๐ จบ จิตเป็นฌานแน่ ถ้าจิตไม่ถึงฌานทรงถึงขนาดนั้นไม่ได้ เมื่อจิตเป็นฌานกุศลก็ใหญ๋ คนที่ตายก็ต้องการบุญ ก็แสดงให้ปรากฏ ถ้าแสดงเป็นตัวก็กลัวจะโดดหน้าต่าง ก็ส่งกลิ่นเห็นแทน นี่เป็นความจริงตามนี้นะ เขาขอส่วนบุญ
    ตอนอุทิศส่วนกุศลให้แล้วก็บอกต่อว่า..."ต่อนี้ไปถ้าฉันจะทำอะไรช่วยฉันด้วยนะ ให้มีฐานะมากขึ้น มีฐานะคลองตัวมากขึ้น" เขาจะช่วย แต่พวกนี้มีความกตัญญูมากนะ ได้รับความสุขจากคนไหนแล้วเขาไม่ทิ้ง

    ผู้ถาม ถ้ากลิ่นเก่าหายไปกลิ่นใหม่เข้ามาล่ะครับ?
    หลวงพ่อ กลิ่นใหม่เข้ามา เอ...บ้านนี้เขาใจดี มีใจบุญใจกุศล เพื่อนเขาได้รับความสุขเราก็ต้องการบ้าง

    https://sites.google.com/site/cocon...ro/kha-sxn/hlwng-phx-txb-payha/reuxng-kar-tay
     
  6. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    สงสัยมีใจถึงกัน เค้าเลยมาขอให้อุทิศบุญกุศล แต่ปรากฏให้รู้ได้แค่กลิ่น นะคับ

    ทำไมต้องเป็นดิฉัน ก็คงเพราะมีสายกรรมกันมา ไปหาคนอื่นไม่ได้ สื่อกันไม่ถึงใจ ^^
     
  7. Dormicum

    Dormicum สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +3
    แต่อย่างงานศพกลิ่นรอยตามกลับมาบ้านด้วยซึ่งก้อไม่รู้จักกันนะคะแบบแม่ของพี่ที่ร่วมงานอะไรทำนองนั้นจริงในงานญาติพี่น้องก็อุทิศส่วนกุศลให้อยู่แล้ว ไม่น่าจะขอส่วนบุญจากเราอีกมันจะมีเหตุผลอื่นอีกไหมคะ
     
  8. Showdown195

    Showdown195 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มีนาคม 2014
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +153
    เค้าคงมาขอส่วนบุญน่ะ เหตุเพราะคุณสื่อได้และมีบุญให้เค้าได้(คนที่ไม่มีบุญพอให้เค้าหรือสื่อไม่ได้เค้าไม่ค่อยไปหาหรอก) ถือว่าเป็นโอกาสได้ทำบุญกุศลเพิ่ม ทำบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน

    ในงานศพที่ญาติพี่น้องเค้าอุทิศส่วนกุศลแล้วยังมาขอจากคุณอีก เป็นไปได้ว่า บุญไม่พอหรือไม่ได้(ด้วยเหตุบางอย่าง) นอกจากนี้อาจเป็นเพราะต้องการอาหารเนื่องจากโดยมากสัมภเวสีต้องการอาหารและบุญ สองอย่างนี้เป็นหลัก

    ไม่ต้องทัก ควรอธิษฐานในใจอุทิศส่วนกุศลอะไรก็ได้ที่คุณเคยทำมาแล้วให้เค้าไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  9. tsukino2012

    tsukino2012 หยุดจึงพบ สงบจึงเกิด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    1,311
    ค่าพลัง:
    +3,090
    พิสูจน์ได้ยากครับ มาจากหลายเหตุปัจจัย
    หากมันไม่ได้มีอิทถิพลอะไรต่อชีวิต ก็ช่างมันเถิดครับ
     
  10. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ขอโทษนะคะ คือไม่ได้ขวางแต่อยากจะบอกว่ากลิ่นศพคนตาย กับกลิ่นหมาเน่า หนูเน่า จิ่งจกเน่า แมวเน่าเหมือนกันไม่มีผิดเลยคะ ศพคนจะเหม็นเน่ากว่าเพราะตัวใหญ่กว่า แต่ถ้าเทียบกับหมาเน่าแล้วพอๆกันค่ะ ดิฉันทราบดีเพราะดิฉันเป็นคนโรคจิตชอบดูของพวกนี้ค่ะ ได้เคยให้สัปเปร่อเปิดฝาโลงของศพคนโดนรถชนตาย แล้วยาฉีดศพฉีดไม่ดีแล้วอืดพองในโลง เหม็นทั้งศาลาก็ดูมาแล้ว ศพหญิงชราเก็บ100วันเป็นมะขามเปียกก็เห็นมาแล้ว ศพเด็กทารกที่ที่กำลังพองก็ได้เห็นมาหมดแล้ว ทุกๆศพกลิ่นเหมือนหมาเน่าควายเน่าทั้งนั้น ดิฉันคิดว่าคุณกำลังถูก(อุปทาน)เล่นงานค่ะ ตั้งสติให้ดี (อย่างมงาย) สิ่งที่คุณเป็นมันไม่จริง จิตคุณกำลังหลอกตัวเอง ตั้งสติให้ดีลบสิ่งเหล่านี้ออกจากสมองคุณ คุณก็จะไม่รู้สึกว่าได้กลิ่นอะไรอีก อย่าตามนึกมัน ดิฉันขอยืนยันนั่งยันว่า กลิ่นศพก็คือกลิ่นหมาเน่าควายเน่าจิ่งจกเน่ากลิ่นเดียวกันแต่แรงกว่า เหตุผลตรงนี้ดิฉันจึงเชื่อแน่ว่าคุณกำลังถูก(อุปทาน)เล่นงานเข้าอย่างจัง การที่สิ่งเหล่านี้จะหายไปก็คือคุณต้องยอบรับว่าคุณกำลังคิดไปเอง และสิ่งที่คุณคิดว่าใช่ มันก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงนะคะ โชคดีนะคะ อย่างมงายแล้วจะมีความสุขค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  11. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ถ้าคุณไม่เชื่อดิฉันถ้าเค้ามีพิธีล้างป่าช้า หรือ ถ้าคุณรู้จักเจ้าหน้าที่ร.พรัฐใหญ่ๆ หรือ ร.พ ตำรวจ ห้องเก็บศพขอเค้าเข้าไปดู หรือ ยืนดูอยู่หน้าประตูก็ได้ คุณก็อาจจะโชคดีได้เห็นของดี จะได้ไม่มีข้อสงใสอะไรอีก อยากรู้อะไรต้องพิสูตร 10ปากว่า ไม่เท่าตาเห็น10ตาเห็นไม่เท่ามือคลำ ลุยเลยค่ะ จะได้หายสงใสซะที
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  12. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    คือต้องเข้าใจว่า คนที่เค้ามาขอ มาปรากฏเป็น กลื่นนั้น คนละคน กันนะครับ

    จัดงานจริง แต่งานนั้นเค้ามาร่วมด้วย อาจไม่ได้รับก็ได้ครับ

    พอเจอคน ใจถึงกัน ก็เลยมาปรากฏได้แค่นั้น ครับ


    ผมว่าไม่ต้องกลัวไปหรอก อย่างมาก ก็แค่เหม็นไม่กี่นาที เดี่ยวก็หายไปครับ

    พอเจอแบบนี้ ก็ ตั้งใจอุทิศแบบเจาะจงให้เจ้าของกลิ่นนั้นไป เดี่ยวกลิ่นก็หายครับ

    .

    เรื่องบางเรื่อง เราภูมิธรรมต่ำ ไม่รู้ ไม่เห็น ก็ไม่ได้หมายความว่า ไมมี ไม่จริง เป็นเรื่องงมงาย

    เพราะคนที่รู้จริง ยังมีอยู่ ^^

    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  13. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    อดีตที่ผ่านพ้นตอนที่ ๗๙ : หมาเกิดเป็นเทวดา <hr style="color:#998049; background-color:#998049" size="1">
    ๗๙. หมาเกิดเป็นเทวดา

    มีด้วยหรือ หมาเกิดเป็นเทวดา...?” มีซิจ๊ะ...บรรดาสัตว์ต่าง ๆ ก็สร้างบุญทำบาปได้เหมือนคนเรานี่แหละ มีทั้งไปสุคติและตกอบายภูมิ อย่างเอราวัณเทพบุตรก็ช้างไปเกิดเป็นเทวดา กากะเปรตก็กาไปเกิดเป็นเปรตอย่างไรล่ะ...

    หมาเกิดเป็นเทวดา ต้องดูตัวอย่างนายโกตุหลิกะ นายนี่ประสบทุพภิกขภัย พาเมียอพยพไปหาที่อุดมสมบูรณ์ใหม่ อดแทบตายกลางป่า ขนาดลูกยังต้องทิ้งให้ตาย ข้ามป่าข้ามเขาไปเจอบ้านของเศรษฐีต่างเมืองก็เข้าไปของานทำ เศรษฐีกำลังกินข้าวอยู่พอดี เห็นสองผัวเมียหิวซ่กมาก็สงสาร ให้คนใช้จัดอาหารมาให้ ส่วนท่านเศรษฐีเองกินข้าวมธุปายาส มีหมาตัวหนึ่งที่ท่านรักมากอยู่ใกล้ ๆ กินไปก็ป้อนหมาไปด้วย น่าอร่อยนิ...

    นายโกตุหลิกะหิวตาลายมาหลายวัน ได้อาหารมาก็ฟาดเรียบในพริบตา ฝ่ายภรรยาก็แสนดี เห็นสามีหิวจัดตัวเองก็สู้ยอมอด ยกอาหารส่วนของตนให้สามีกินต่อไป นายโกตุหลิกะก็ยอดสุภาพบุรุษ เห็นผู้หญิงยอมอดก็รีบฉลองศรัทธา (ให้ตายเถอะโรบิ้น...) กินไปมองหมาไป “หมา ตัวเมียซะด้วย นางนี่วาสนาดีกว่าตูเป็นร้อยเท่า ตูอดแทบตายห่...มันมีข้าวมธุปายาสกินทุกวัน อ้วนท้วนขนเป็นมันเชียว อิจฉาเว้ย ตูไม่ไปเกิดเป็นหมาท่านเศรษฐีบ้างก็แล้วไป...” แดก...ขออภัย...กินแบบไม่ยอมหายใจ แทนที่จะดีกลับกลายเป็นโทษ อดกระเพาะกลวงมาหลายวัน ยัดทะนานลงไปแบบนั้น ลมเลยตีขึ้นจุกชักตาตั้ง ยังไม่ทันจะช่วยปฐมพยาบาล จิตวิญญาณก็ปิ๋วออกจากร่าง เท่งทึงไปทันที (ตายจริง ๆ ว่ะโรบิ้น...)

    ก่อนตายจิตจับอยู่กับหมา เลยวิ่งจู๊ดเข้าท้องหมาไปเลย (ชิงหมาเกิด) สามเดือนต่อมาก็โผล่หน้ามาเป็นหมาท่านเศรษฐีสมใจนึก พอเติบโตเจริญวัย ก็ติดตามท่านเศรษฐีไปไหนมาไหนตลอด อาศัยตายจากคนไปเป็นหมา เลยมีความฉลาดมาก...

    ท่านเศรษฐีมีกิจวัตรที่น่าโมทนาอย่างยิ่งประการหนึ่ง คือทุกวันต้องไปนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามา รับบาตรที่บ้าน เจ้าหมาน้อยก็ตามไปทุกวัน มาภายหลังอาศัยความฉลาดของมัน จำงานประจำของท่านเศรษฐีได้ เลยไปนิมนต์ซะเอง... ไปถึงก็เห่านิมนต์ พระปัจเจกพุทธเจ้าท่านก็มารับบาตร โดยมีเจ้าหมาน้อยนำทางให้ เป็นแบบนี้ทุกวัน จนเจ้าหมาน้อยผูกพันรักใคร่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นหนักหนา จนกระทั่งวันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้าจะเสด็จกลับภูเขาคันธมาศ ก็บอกลาท่านเศรษฐี...

    เจ้าหมาน้อยทราบเข้าก็สุดแสนจะเสียใจ ทั้งเห่าทั้งหอนอย่างไรพระผู้เป็นเจ้าท่านก็ไม่กลับมา เลยเกิดอาการหัวใจสลาย (สมัยหนุ่ม ๆ เคยเป็น แฮ่...) ตายไปอีกที คราวนี้อาศัยจิตผูกพันกับพระปัจเจกพุทธเจ้า เลยไปเกิดเป็นเทวดา... อาศัยทำบุญมาด้วยเสียง แค่เจ้าประคุณกระซิบก็ดังไปเป็นโยชน์ ถ้าพูดเต็มเสียงจะได้ยินไปทั่วดาวดึงส์ (หนวกหูตายห่...) เลยได้นามใหม่ว่า “โฆษกเทพบุตร” คอยทำหน้าที่เป็นโทรโข่ง มีเรื่องต้องการประชุมเทวดา พ่อเรียกทีเดียวได้ยินกันทั่วเลย...

    นั่นเป็นหมาในธรรมบท ทีนี้มาดูหมาที่อาตมาพบเองบ้าง หลวงพ่อเล่าว่า เมื่อมาอยู่วัดท่าซุงใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว พักเดียวเท่านั้น มาซะ ๒๐ กว่าตัว ท่านบอกว่าดูลักษณะแล้วเป็นหมาดีทั้งนั้น... วิธีดูลักษณะหมาดูอย่างนี้...

    ให้ดูตรงตุ่มใต้คาง จะมีขนแข็ง ๆ ขึ้นอยู่ที่ตุ่มนั้น ถ้าขน ๒ – ๓ เส้น ส่วนใหญ่เป็นหมาที่เกิดจากเทวดาหรือพรหม ถ้าขนเส้นเดียวเป็นราชาหมา ไปไหนหมาอื่นจะกลัวเกรง ส่วนใหญ่มาสูง ถ้าเจ้าของมาต่ำกว่าเขาจะไม่อยู่ด้วย จะหนีไปหาผู้ที่มาเสมอกัน หรือผู้ที่มาสูงกว่า ถ้าขน ๔ เส้นขึ้นไปจะเป็นหมาดื้อ เลี้ยงยาก พูดกันไม่รู้เรื่อง...

    อาตมาเองเข้ากรุงเทพฯ ใหม่ ๆ ไม่มีหมาสักตัว อยู่ไปจนก่อนบวชมีซะ ๑๑ ตัว หมาคนอื่นหนีมาอยู่ด้วยทั้งนั้น เจ้าของมาลากตัวกลับไปก็ไปพักเดียว เดี๋ยวหนีมาอีกแล้ว มาบวชอยู่วัดท่าซุงก็เหมือนกัน หมาคนอื่นเขาเลี้ยงแท้ ๆ อาตมาไม่ได้เลี้ยงมันสักนิด มาอยู่ด้วยซะ ๘ ตัว ถึงเวลากลับไปกินที่เจ้าของเดิม อิ่มแล้วมาออกันเต็มหน้ากุฏิเลย...

    หมาของวัดท่าซุงส่วนใหญ่ประเภทขน ๒ – ๓ เส้นทั้งนั้น เคยเจอขนเส้นเดียวแค่ ๒ ตัว คือ “เจ้ามะดัน” เจ้านี่อายุไม่เต็มสองเดือนก็ป่วยตาย มันแน่ขนาดกัดตัวโตกว่าเพื่อแย่งอาหาร...อีกรายก็ “เจ้าตี๋น้อย” รายนี้ตามออกบิณฑบาตทีไร ทำเอาหมาเจ้าถิ่นเสียฟอร์มทุกที วิ่งมาจะรุมฟัด กลายเป็นโดนเจ้าตี๋น้อยไล่กระเจิงทุกทีไป...

    หมาที่วัดท่าซุงมีอยู่มาก แต่ประเภทเด่น ๆ ควรแก่การจดจำมีไม่กี่ราย รายแรกก็ “เจ้าใหม่” เจ้านี่แสบมาก ทำสถิติกัดคนมานับไม่ถ้วน กระทั่งพระก็ไม่ละเว้น กัดจนหลวงพี่วิรัช (พระครูปลัดวิรัช โอภาโส) กลัวมันยิ่งกว่าเสือ ขนาดถือไม้มาเตรียมป้องกันตัวเต็มที่ เจ้าใหม่คำรามแฮ่เดียว มืออ่อนตีนอ่อนร่วงไปให้มันกัดแต่โดยดี...! อาตมาเองเป็นคนเดียวที่กล้าจับมันทายาแก้ขี้เรื้อน ขนาดนั้นก็ตาม พอมันไม่พอใจขึ้นมา มันฟัดจนอาตมามือแปไปเกือบสี่เดือน ซึ่งก็พอกันกับเวลามันไล่กัดคนอื่น ก็จะถูกอาตมายิงกบาลด้วยหนังสติ๊กเป็นประจำ กลายเป็นคู่กัดไปโดยปริยาย

    วันหนึ่ง...เจ้าตัวแสบหายสาบสูญไป ปกติมันต้องวิ่งนำหน้ารถหลวงพ่อทุกวัน ถ้าใครขวางหรือเข้าใกล้หลวงพ่อตอนนั้นกระจุยแน่ มันหายไปสองวัน พวกเราตามหากันให้ควั่ก หาเท่าไรก็ไม่เจอ คืนนั้นเอง...มันก็ไปหาอาตมาถึงบนกุฏิ...

    มันตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา กลัวอาตมาจะจำมันไม่ได้ มาหาทั้งทีแบกเอาหน้าหมามาอย่างเดิม บอกว่า “ผมตายแล้วครับ...” พลางทำภาพให้ดู เสือกทะลึ่งไปดึงผักตบชวาเล่น พลัดตกน้ำจมตายขึ้นอืด กลิ่นเหม็นหึ่งไปทั่วห้องเลย... เล่นสีกลิ่นรสพร้อมแบบนี้ไม่ค่อยโสภาว่ะ มีอะไรก็ว่ามา...ไอ้ท่านใหม่ขอส่วนกุศลนะซิ...เจริญนะเอ็งนะ...ขอใครไม่ขอ มาขอคู่กัดเลย อุทิศให้ไปแล้วพร้อมสัญญาว่า จะถวายสังฆทานให้ด้วย รุ่งขึ้นก็แจ้งเรื่องกับเพื่อนพระและตำรวจ...

    ตำรวจวัดไม่มีปัญหา เขาเชื่อง่าย ๆ แต่พระซิ จ้องจับผิดกันจัง ไปรายงานหลวงพ่อเพื่อขอคำยืนยัน หลวงพ่อบอกว่า “ท่าน ใหม่เขาไปเป็นเทวดาจริง ๆ ตอนนี้อยู่ชั้นดาวดึงส์ ปกติเขาต้องอยู่ดุสิต เพราะเป็นพระโพธิสัตว์ ถามเขาดูแล้วว่าทำไมไม่ไปอยู่ดุสิต เขาตอบว่า ไม่อยากถูกนิมนต์มาเทศน์ที่เทวสภาตอนวันพระ เลยหลบมาแค่ดาวดึงส์...

    อีกรายก็ “เจ้าทหาร” รายนี้ตามไปทำวัตรนั่งกรรมฐานทุกวัน พอรถออกจากหน้าโบสถ์ไปวิหาร ๑๐๐ เมตร เจ้าทหารต้องปร๋ออยู่บนรถก่อนแล้ว เวลาพระนั่งลงตามลำดับเพื่อทำวัตร ตรงไหนว่างเจ้าทหารจะไปเกาขี้เรื้อนประจานพระรูปนั้น ว่าเอาเข้าจริงแล้ว ขี้เกียจกว่าหมาอย่างมันซะอีก...!

    พระขึ้นโยโส ภควา...เจ้าทหารหมอบลงปั๊บ จิตทรงฌานนิ่งเลยนะ...พอจบทำวัตรกราบพระ เจ้าทหารจะคลายจิตออกมา สะบัดเนื้อสะบัดตัว วิ่งไปหาที่เตรียมทำกรรมฐานต่อ พอเริ่มสมาทานมันก็เข้าฌานปั๊บเลย อุทิศส่วนกุศลเสร็จก็สะบัดตัวพรืด วิ่งไปขึ้นรถเตรียมกลับ มันแน่ขนาดทรงฌานตั้งเวลาได้เป๊ะเชียวล่ะ...! พอเจ้าทหารตาย หลวงพ่อบอกว่า “ไปเป็นพรหม เนื่องจากอานิสงส์ทรงฌาน...!” เป็นอย่างไร...? อาตมานี้อายหมาแทบแย่...!

    ๕ ตุลาคม ๒๕๓๕
    พระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ

    ʹյ
     
  14. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ถ้ามาแต่กลิ่นอุทิศให้เจ้าของกลิ่นนั้น ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขาได้รับด้วย



    ถาม : คนที่เจอผีหรือโดนผีอำ แสดงว่าศีลไม่บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ เพราะมีคนเคยบอกว่าถ้ามีศีลบริสุทธิ์แล้ว อมนุษย์จะเข้าใกล้ไม่ได้ในระยะ ๑ วา ?

    ตอบ : ฮะฮ่า ใครบอกวะ อาตมาโดนมันนั่งทับอกบีบคอแทบตาย ถ้าหากว่าเราเจริญภาวนาสมาธิทรงตัวเขาจะเข้าไม่ได้ในรัศมีวาหนึ่ง ไม่ใช่ศีลบริสุทธิ์ อาตมาเป็นพระสงฆ์ศีลมากกว่าโยมตั้งเยอะ มันนั่งทับอกบีบคอแทบขาดใจเลย เอาปัญหานี้ทวนอีกทีหนึ่ง ซ้ำอีกทีปัญหานี้

    ถาม : คนที่เจอผีหรือโดนผีอำแสดงว่าศีลไม่บริสุทธิ์ ?

    ตอบ : เออ เอาแค่นี้ คนที่เจอผีส่วนใหญ่แล้วเพราะผีเขาลำบากเขาต้องการความช่วยเหลือ บุคคลที่เจอมี ๒ ประเภท



    ประเภท แรก คือ บุคคลที่เคยมีกรรมอันเนื่องกันมา เขาสามารถไปขอความสงเคราะห์ได้ อย่างเช่นว่าเปรตพระญาติของพระเจ้าพิมพิสารอย่างนี้ ให้คนอื่นสงเคราะห์ กระทั่งพระพุทธเจ้าก็สงเคราะห์ไม่ได้ ต้องเป็นญาติของเขาเองโดยตรง เพราะสร้างบุญสร้างบาปร่วมกันมา

    อีกประเภทหนึ่ง ก็คือว่า เป็นบุคคลที่สร้างบุญใหญ่เอาไว้ แล้วบรรดาผีนั้นท่านฉลาด ท่านรู้ว่าใครบุญมากบุญน้อยยังไง ท่านก็ไปปรากฏตัวเพื่ออยากให้ช่วยเหลือ

    อาตมา เคยเจอ มันมีบ้านอยู่หลังหนึ่งที่ เกริงกระเวีย ผีมันหลอกจนเจ้าของบ้านอยู่ไม่ได้ พอรู้ว่าพระไปอยู่นี่ มันพาลูกน้องมาเป็นสิบเกาะเอวกันมาตอนเที่ยงๆ ขณะเที่ยงๆ นะ เพราะว่าตอนเขาสร้างบ้านขุดกระดูกได้ ๒ โอ่งใหญ่ๆ แค่เขาฝังเสาขุดกระดูกได้ ๒ โอ่งใหญ่ๆ มันหลอกจนไม่มีใครอยู่ได้

    ปกติบ้านทิ้งร้างนี่ ไม่ต้องห่วงหรอกพวกแงะไม้ขายหมดแหละ แต่ไอ้หลังนั้นไม่มีใครกล้าแตะสักชิ้น พอไปอยู่เขาก็มา ถามเขาว่า ทำไมไปหลอกคนดุเดือดขนาดนั้นเล่า เขาบอกว่า ผมไม่ได้หลอกนะครับ ผมอยากจะมาบอกว่า ผมต้องการความช่วยเหลือยังไง แต่เขาวิ่งหนีผมทุกที

    บรรดาผีน่ะเขาเป็นผู้ที่มีบุญน้อยศักดานุภาพ น้อยมันเหมือนกับคนจน มันแต่งตัวมาสวยสุดขีดแล้ว ไอ้ที่เราเห็นแล้ววิ่งน่ะ สงสารมันบ้างเถอะ คราวหน้าเจออย่าไปกลัว เขามาขอความช่วยเหลือ ท่านที่เจอแสดงว่าบุญมากพอไม่ใช่ดวงตกหรือศีลขาดอะไรทั้งนั้น ถ้าเจอให้ตั้งใจเลยว่าผลบุญที่เราทำมาตั้งแต่ต้นจนบัดนี้ขออุทิศให้กับเธอ ถ้าเขายืนอยู่ตรงหน้าเห็นรูปก็คือเจ้าของรูปนั้น ถ้ามาแต่เสียงบอกว่าอุทิศให้เจ้าของเสียงนั้น ถ้ามาแต่กลิ่นอุทิศให้เจ้าของกลิ่นนั้น ขอให้เขาโมทนา เราจะได้รับประโยชน์ความสุขเท่าใดขอให้เขาได้รับด้วย

    แค่นั้นแหละ เขาจะไม่กวนอีก เขาโมทนาแล้วจะไปเลย แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรามันไม่รู้ พอถึงเวลามาก็คลุมโปง กลัวจัดๆ ขึ้นมาด่ามันส่งไปอีก แทนที่จะได้อานิสงส์ก็เลยกลายเป็นโดนด่าฟรี นั่งร้องไห้ไม่รู้เท่าไหร่แล้วผี

    ถาม : ทำไมต้องมาเละๆ ด้วยครับ ?

    ตอบ : ก็มันสวยสุดของเขาแล้ว อย่าลืมว่าขอทานมันแต่งตัวสวยสุดเรายังรู้ว่าขอทาน แล้วทำไมมันไม่ใส่สูทมา

    ถาม : มีดีสุดแค่นั้นครับ ?

    ตอบ : เออ ก็เหมือนกันนั่นแหละ



    สนทนากับพระเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
    เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ (ต่อ)
    ณ บ้านอนุสาวรีย์
     
  15. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    จะอุทิศบุญให้แก่คนตายที่ไม่มีนามสกุลหรือไม่รู้นามสกุลอย่างไร ?



    ถาม : คนสมัยก่อนที่เขายังไม่มีนามสกุล เราจะอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ตายอย่างไรครับ ?

    ตอบ : นึกถึงเขาก็ใช้ได้แล้ว

    เมื่อสักครู่ หมอเสือ ถามว่า ถ้า ผีที่เป็นคนโบราณไม่มีนามสกุล จะอุทิศส่วนกุศลให้เขาได้อย่างไร ? เรื่องของผีไม่ต้องมีนามสกุลจ้ะ เราแค่นึกถึงว่าเป็นเขาคนนั้นก็ใช้ได้แล้ว ถ้ารู้ชื่อรู้นามสกุล ให้ออกชื่อนามสกุลเจาะจงไป ถ้าไม่รู้ชื่อไม่รู้นามสกุล ให้นึกว่าเป็นผู้ตายคนนั้น ถ้าเห็นรูปให้ตั้งใจว่าเป็นเจ้าของรูป เจ้าของเงานั้น ถ้าได้ยินแต่เสียง ให้ตั้งใจว่าเป็นเจ้าของเสียงนั้น ถ้ามาแต่กลิ่นให้ตั้งใจว่าเป็นเจ้าของกลิ่นนั้น ใช้ได้เหมือนกัน

    ไม่ต้องไปเสียเวลาไปหานามสกุลให้เขาหรอก เพราะว่าชื่อนามสกุลตรงกันมีเยอะแยะไป โดยเฉพาะฝรั่ง ต่อให้จูเนียร์ขนาดไหนก็ตาม พอไปอีก ๓ - ๔ ชั่วคน ก็เป็นซีเนียร์ไล่กันไปเรื่อย

    ฝรั่งเขามีคตินิยมว่า พอรุ่นที่ ๓ ไปเขาจะตั้งชื่อคนรุ่นปู่รุ่นย่าเอาไว้ เพราะอย่างนั้นก็จะมีชื่อซ้ำๆ กันไปเรื่อย แต่ภพภูมิข้างล่างเขาไม่กังวล ข้างล่างเขาเอาชื่อแรก แล้วไม่ใช่ชื่อแรกธรรมดา อาจเป็นชื่อในชาติแรกด้วย ในความเป็นทิพย์ พอเขาเรียก เราจะรู้ทันทีว่านั่นคือตัวเรา เพราะฉะนั้น..ไม่ต้องกังวล ชื่ออะไรก็ช่างเถอะ สมมติด้วยกันทั้งนั้นแหละ


    สนทนากับพระครูวิลาศกาญจนธรรม (พระอาจารย์เล็ก สุธมฺมปญฺโญ)
    ณ บ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖


    ที่มา : http://www.watthakhanun.com/webboard...?t=3952&page=2
     
  16. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ พบเปรตสองพี่น้อง

    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ พบเปรตสองพี่น้อง
    อกุศลกรรม คือกรรมชั่วที่กระทำอย่างซ้ำซากจำเจจนเคยชิน กระทำเป็นอาจิณโดยเจตนาครบถ้วนทั้ง กาย วาจา ใจ และไม่เคยมีสำนึกถึงความผิดชอบชั่วดีใด ๆ ทั้งสิ้นต่อการกระทำของตน ผลแห่งอกุศลกรรมนั้นย่อมรุนแรงเกรี้ยวกราดจนยากจะทิ้งช่วงระยะเวลาของการรับ ผลกรรมได้ ดังเช่นเรื่องราวที่ พระคุณเจ้าพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ผู้ซึ่งละสังขารไปแล้วได้เผชิญมา
    ปีพ.ศ.2506
    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ มีพรรษา 21 ท่านได้เดินทางไปยังเขาภูสิงห์ อยู่ในเขตอำเภอบึงกาฬ ท่านได้พบสถานที่สัปปายะซึ่งเหมาะสมต่อการบำเพ็ญเพียรเป็นอย่างยิ่งแห่ง หนึ่ง เป็นภูเขาลูกย่อม ๆ อยู่ระหว่างภูสิงห์ใหญ่และภูทอกใหญ่ เรียกกันว่าภูสิงห์น้อยหรือภูกิ่ว
    ครั้งแรกพระอาจารย์จวนท่านปักกลดอยู่ใต้ต้นไม้ พิจารณาตรวจดูสถานที่แล้วเป็นที่วิเวกน่าพอใจอย่างยิ่ง มีน้ำซับตามธรรมชาติไหลตลอดปี จึงตกลงใจจะพำนักปฏิบัติธรรมอยู่ที่นี่ ญาติโยมจากบ้านนาสะแบงกับบ้านนาคำภูมาช่วยปลูกกุฏิกระต๊อบยกพื้นเป็นเสนาสนะ เป็นหย่อมๆ พอได้อาศัย พากเพียรบำเพ็ญธรรม
    ในพรรษานั้น พระอาจารย์จวนได้ตกลงจำพรรษาที่กุฏิสิงห์น้อย มีพระจำพรรษาด้วย 1 รูป คือพระอาจารย์สอน อุตตรปญโญ มีเณร 1 รูป และผ้าขาวเฒ่า 1 คน แต่ท่านแยกกันอยู่ในเสนาสนะเล็ก ๆ ต่างปรารภความเพียรกันอย่างยิ่งยวด ค้นคว้าพิจารณากรรมฐานของตนพิจารณากายคตานุสติมิให้พลั้งเผลอตลอดกาลพรรษา
    ณ ที่นี้ พระอาจารย์จวนได้พบกับเหตุการณ์ที่ปรากฎชี้ชัดให้เห็นเรื่อง “กรรม” อย่างไม่มีข้อข้องใจสงสัย
    วันหนึ่งเวลาโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ขณะที่พระอาจารย์จวนกำลังเดินจงกรม โดยกำหนดจิตภาวนาบริกรรมไปโดยตลอด ท่านก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าอย่างหนึ่งชอนเข้าจมูก มันเป็นกลิ่นเหม็นเน่าที่ไม่ใช่จากซากสัตว์น้อยใหญ่ชนิดใดชนิดหนึ่ง ท่านจึงตั้งวิตกถามจิตขึ้นดูว่า เหม็นอะไรนี่
    จิตตอบว่า นี่เป็นกลิ่นเปรต เหม็นเปรต
    พระอาจารย์จวนก็เลยตั้งจิตแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศล ให้กับเปรตนั้นไป กลิ่นเหม็นนั้นก็หายไป
    ตอนเช้าหลังกลับจากบิณฑบาตลงสู่โรงฉัน พระอาจารย์จวนสนทนากับพระอาจารย์สอน พระอาจารย์สอนก็ได้กลิ่นเหม็นเช่นกัน และเมื่อตั้งจิตถามดู จิตก็ตอบว่าเป็นกลิ่นเปรต ครั้นแผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญกุศลให้เขาไป กลิ่นเหม็นประหลาดนั้นก็หายไปอีกเช่นกัน
    คืนนั้น……ขณะที่พระอาจารย์จวนกำหนดจิตเข้าสู่สมาธิ ท่านก็ได้นิมิตเห็นเปรต 2 ตน นั่งคู่อยู่ด้วยกันบนหญ้าผาภูสิงห์น้อย เป็นเปรตผู้หญิงทั้งคู่ มีแต่ผ้านุ่ง ท่อนบนไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ เปลือยตลอด ปล่อยผมยาวรุงรังมีผิวดำคล้ำเศร้าหมองเป็นที่น่าเวทนายิ่ง ท่านจึงถามเปรต 2 ตนนั้นว่า
    “ท่านเป็นอะไร ทำไมมาอยู่ที่นี่”
    เปรตหญิง 2 ตนนั้นตอบว่า “พวกข้าเป็นเปรตอยู่ที่ภูสิงห์นี่”
    “เป็นเปรตมานานแล้ว”
    “ทำกรรมอันใดไว้ จึงต้องมาเป็นเปรตเช่นนี้”
    เปรตหญิง 2 ตน ก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อครั้งที่เกิดในชาติของมนุษย์ ทั้งสองได้เอาฝักรังไหมซึ่งมีตัวอ่อนอยู่ข้างในมาต้มในน้ำเดือดเพื่อสาวเอา ใยไหมมาทอเป็นผ้า ทำกันมานานจนไม่รู้ว่าได้ฆ่าตัวไหมไปมากมายเท่าไหร่ ด้วยบุพกรรมคือบาปอันนี้ เมื่อตายจากชาติมนุษย์จึงมาเกิดเป็นเปรตมีแต่ผ้านุ่ง ผ่าปกกายไม่มี
    พระอาจารย์จวนถามต่อไปอีกว่า พวกท่านเมื่อเป็นมนุษย์มีชื่อว่าอะไร เปรตหญิงตอบว่า ทั้งสองตนเป็นพี่น้องร่วมท้องพ่อแม่เดียวกัน คนพี่ชื่อ “ทา” น้องสาวชื่อ “สี” ได้รายละเอียดเพียงเท่านี้ พระอาจารย์จวนก็ออกมาจากนิมิต และด้วยนิมิตนี้ทำให้ท่านพิจารณาเห็นจริงว่าการฆ่าสัตว์ทำลายสัตว์เป็นบาป จริง ๆ และบาปนี้คือตัว “กรรม” ที่ส่งผลให้มาเป็นเปรตได้รับความทุกข์ทรมานอย่างน่าสลดใจยิ่ง
    “กรรม” ที่ “ทา” กับ “สี” ร่วมกระทำการเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่นเป็นอาจิณกระทั่งเป็น “อกุศลกรรม” กองใหญ่ ย่อมมีพลังหนักหน่วงในอันที่จะน้อมนำให้คนทั้งสองมีที่หมายคือ ภพชาติอันเป็นทุกข์แน่นอนอยู่แล้ว และถ้าพี่น้องสองคนนี้ยังมีจิตใจแข็งกระด้างประกอบเข้าไปด้วยอีก กล่าวคือมิได้เลื่อมใสในการบุญ การกุศล มีความตระหนี่เสียดายต่อการบริจาคทานจิตถูกกิเลสห้อมล้อมให้มัวเมากับความ โลภอยู่ตลอดเวลา จึงเท่ากับพี่น้องสองคนห่างไกลจากกระแสแห่งคุณความดีหนักเข้าไปอีก
    ความเข้มข้นของอกุศลกรรมแห่งตน จึงไม่มีความเจือจางลงไปได้เลย ความเกรี้ยวกราดของอกุศลกรรมนั้นจึงมีพลานุภาพเต็มพิกัด และแสดงผลอย่างเต็มที่
    ดังนั้น เมื่อสิ้นชีวิต สิ้นภพชาติจากโลกมนุษย์ จึงไปผุดเกิดในอัตภาพอันเป็นทุกข์ทันที ต้องไปรับผลแห่งกรรมของตนอย่างน่าสลดสังเวช ดังเช่นท่านพระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ ได้สัมผัสรับรู้ดังกล่าวมาแล้ว


    พระอาจารย์จวน กุลเชฎโฐ
     
  17. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    ลงพอละ มีอีกเยอะแยะ

    หาอ่านดูในในประวัติครูบาอาจารย์ มีตัวอย่างหลายเรื่องครับ

    หรือตามคำเทศน์สอนของครูบาอาจารย์ ก็มีหลายเรื่อง

    ถ้าเป็นคนชอบอ่าน ชอบฟัง ก็คงรู้นะครับ

    .
     
  18. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    ดิฉันยังเคยให้เค้าเปิดโลงดูศพผู้หญิงคนหนึ่งค่ะ เธอเป็นผู้หญิงสวย แต่คลอดลูกตาย หลังจากสวดศพเค้าเก็บศพเธอไว้ พอดีดิฉันเป็นคนโรคจิตชอบดูศพ เพราะตอนกลางคืนตอนนั่งกรรมฐานจะได้จำภาพเหล่านั้นเจริญอสุภะ และ มรณานุสติ บวกกับความเป็นคนโรคจิตอยากรู้อยากเห็นต้องพิสูตร วันนั้นพอดีกลับจากเรียนก็เดินไปเที่ยววัดรอดูว่ามีงานเผาศพไม จะได้ดูของดี วันนั้นไม่มีเผาศพแต่ศาลาเก็บศพผู้หญิงคนนั้นเหม็นทั้งศาลา(เค้าเก็บไว้ด้านหลังมีผ้าม่านกั้นอยู่) ก็เลยชวนพี่สัปเหล่อไปดูกัน(รู้จักกัน พี่สัปเหล่อก็เป็นนักศึกษาแต่คันดิฉันจึงทำตามดิฉันขอทุกครั้ง) วันนั้นพอเปิดฝาโลงออกเหม็นมากแมงหวี่บินออกมาเต็ม ดิฉันผงะ จะเป็นลมกลัวก็กล้วแต่อยากดู พอดูศพคนสวย เธอก็ยังสวยอยู่แต่มีราขึ้นที่หน้าแล้ว พี่สัปเหร่อก็อยากรู้ว่ามันเน่าตางไหนเพราะเท่าที่เห็นดูเธอเหมือนคนนอนหลับมีผ้าห่มคลุมมาถึงคอ พอเค้าเปิดผ้าออกเท่านั้นดิฉันเซเลย หน้ามืด มือศพ2ข้างผองขึ้นมาเหมือนท่าผีจะบีบคอ แล้วก็เป็นกระดูกมีเนื้อเป็นมะขามเปียกดิดกระดูกมีแต่หนอนใช หนอนหยดไปที่ลำตัวศพอยู่ตลอดเพราะยาฉีดศพเข้าไม่ถึงมือ2ข้างมั้งคะ ตั้งแต่นั้นมาก็งดดูศพอีกนานเลยเพราะมันติดตาจนอิ่มเลยคะ พอกลับถึงบ้านก็นั่งกรรมฐานจิตวันนั้นใสมากแล้วก็อุทิศให้ศพคนสวยไป เพราะถือว่าเป็นครู แต่มาถึงทุกวันนี้ ดิฉันก็ยัง(ดีแตก)เอาดีในธรรมอะไรไม่ได้สักอย่าง เพราะรู้มากเกินไป สาธุค่ะ

    ที่เล่ามายืดยาวก็คือจะบอกว่า กลิ่นศพก็คือกลิ่นเน่า ศพตายใหม่ๆไม่มีกลิ่นก็เหมือนเนื้อหมูค่ะ ยกเว้นว่าเป้นมะเร็งรายแรงภายนอกก็จะได้กลิ่นเน่าๆบ้างค่ะ แต่ถ้าคุณได้กลิ่นเน่าๆเหม็นๆตรอดเวลาคุณต้องไปหาหมอ(คอ หู จมูก) ด่วนๆนะคะ มีอะไรผิดปกติแน่นอนค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กันยายน 2014
  19. Saber

    Saber เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    5,941
    กระทู้เรื่องเด่น:
    19
    ค่าพลัง:
    +11,819
    กรรมฐาน ต้องทำให้เกิดภายใน ในสมาธิ ครับ

    จิตเป็นสมาธิ เรียกภาพนิมิต ขึ้นมา แล้ว พิจารณา ภายใน ครับ

    การดูภายนอกนั้น ทำอะไรไม่ได้หรอกครับ มันแค่ภายนอก จะแก้ ก็ต้องแก้ภายใน ในจิต จิต ตัวเองครับ

    ถ้าจะปฏิบัติจริงๆ ให้ดูจากภายใน ภายใน จิต ที่เป็นสมาธิ เรียกภาพนิมิตขึ้นมา แล้วพิจารณา ครับ ^^
     
  20. แมวน้ำ9

    แมวน้ำ9 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    689
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +512
    สาธุๆๆค่ะจริงค่ะ บางทีก็ต้องถ่อมตัวเดี๋ยวจะดูเป็นshow off เกินไป สาธๆๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...