ฝึก กรรม-ฐาน ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย ธรรม-ชาติ, 16 ตุลาคม 2013.

  1. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    ครับ ไม่เข่าข่ายจิตเคลื่อนร่างเพราะ

    เหตุการณ์ที่2 เมื่อเจอแรงมาปะทะสัญชาติญาณรู้สึกเหมือนตัวเองมีแรงอีกแรงหนึ่งสะท้อนกลับไป ร่างที่ถอย2วานั้นอาศัยแรงปะทะทั้งคู่ ไม่มีเจตนาเคลื่อนร่างแต่อย่างใด

    เหตุการณ์ที่1 นั้นจำเจตนาแรกไม่ได้ แต่รู้สึกเหมือนว่ากำลังเล่นภาพย้อนหลังตอนเดินเข้ามาครับ

    ----------------------------------------------------------------

    ขออนุญาติเพิ่มเติมโพสหน่อยนะครับ ไม่กล้าโพสใหม่ พอดีดูแล้วว่าน่าจะเข้ามาผิดจังหวะ เล่าเรื่องที่ไม่รอดไว้เปรียบเดี๋ยวผู้อ่านท่านอื่นจะนึกว่าจะมีแต่เรื่องไม่พลาด
    เรื่องเกิดเมื่อเดือนที่แล้ว เช้าวันนั้นลมพัดแรงมาก เสร็จธุระจากเก็บน้ำยางพารากำลังจะเดินกลับบ้าน เมื่อถึงทางแยกนึกว่าไม่น่าจะเดินในสวนยางเพราะลมพัดแรง เลยหันไปดูด้านขวามือ เห็นภาพมีในสภาวะที่แปลกตาดีแว็บหนึ่งเหมือนเราใช้โปรแกรมจับภาพหน้าจอในวินโดว์ภาพหนึ่งแล้วใส่เอฟเฟ็กซ์แสงเข้าไป ก็ไม่คิดอะไร เดินตามทางนั้นอีกประมาณ 12 ก้าว รู้สึกเหมือนอะไรหล่นข้างตัวหันไปดูเห็นกิ่งไม้ พร้อมกับรู้สึกว่ามีหยดน้ำไหลเป็นสายผ่านจมูก เอามือแตะดูเห็นเป็นเลือด เลยเดินย้อนกลับไปให้น้องดู ปรากฏว่าศรีษะแตกเป็นแผลยาวประมาณ 2 นิ้ว ก็พากันไปโรงพยาบาลเย็บ 5 เข็ม

    ภาพที่เห็นกับต่ำแหน่งที่กิ่งไม่โดนศรีษะนั้นเป็นจุดเดียวกันยังกะนัดกันไว้ล่วงหน้าครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  2. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ เรื่องของ "การใช้ภาษา" ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ "ถาม-ตอบธรรมะ" นั้น ผมจะเน้นย้ำเสมอว่า "ให้ใช้ภาษาให้ตรงกับอาการ จริง ที่เกิดขึ้น" และจะต้อง "เป็นภาษาที่ อ่านทีเดียว แล้วเข้าใจทันที" เพื่อ "ปิดโอกาสของความปรุงแต่ง" ที่จะแทรกเข้ามาได้ รวมทั้ง "การเว้นวรรค และ ย่อหน้า" ให้เข้าใจไว้ดังนี้

    +++ การเว้นวรรค คือ "การสิ้นสุด หรือ จบลง ของ ภาพ+เสียง ใน Concept (สังกัปโป) หนึ่ง ๆ" (ทิฐิ+สังกัปโป เมื่อจบลง มันจะ ย่นย่อ ลงไปแล้วเก็บเป็น ความจำ (สัญญาขันธ์ ในระดับ วาระจิต) จากนั้นมันจะ "วน Loop" ในระดับ วาระจิต เชื่อมต่อ วาระจิต แล้วจึงจะออกมาเป็น วาจา) และหากในกระบวนการของ ทิฐิ - สังกัปโป - วาจา ตรงนี้ เกิดมีการ "ปล่อยโอกาสให้ความปรุงแต่ง เข้ามาเพ่นพ่าน แม้แต่เพียงนิดเดียว" ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนจาก "สัมมาทิฐิ - สัมมาสังกัปโป - สัมมาวาจา" ไปเป็น "มิจฉาทิฐิ - มิจฉาสังกัปโป - มิจฉาวาจา" ได้

    "เล่าเรื่องที่ไม่รอดไว้เปรียบเดี๋ยวผู้อ่านท่านอื่นจะนึกว่าจะมีแต่เรื่องไม่พลาด"

    +++ ตัวอย่างประโยคข้างบน "ในที่สาธารณะ" ควรระบุในวงเล็บด้วยว่า เป็นสำนวนของ "ภาคไหน" เพราะตรงนี้ "คนภาคเหนือ" จะอ่านแล้วเกิดอาการ "สะดุด" ไม่ต่ำกว่า 3 จุด และตรง 3 จุดนี้แหละ คือ การปล่อยโอกาสให้ "ความปรุงแต่ง" เข้ามาแทรกแซงได้

    "เห็นภาพมีในสภาวะที่แปลกตาดีแว็บหนึ่งเหมือนเราใช้โปรแกรมจับภาพหน้าจอในวินโดว์ภาพหนึ่งแล้วใส่เอฟเฟ็กซ์แสงเข้าไป"

    +++ ประโยคตรงนี้ ผู้อ่านต้องทำการ "ตัดต่อ" ทิฐิ+สังกัปโป เอาเอง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมา มันจะได้ ทิฐิ+สังกัปโป ที่ตรงกับผู้เขียน ได้กี่ % กันแน่

    "ภาพที่เห็นกับต่ำแหน่งที่กิ่งไม่โดนศรีษะนั้นเป็นจุดเดียวกันยังกะนัดกันไว้ล่วงหน้าครับ"

    +++ ประโยคนี้ "ใช้ มโน" เปลี่ยนจาก "กิ่งไม่ ไปเป็น กิ่งไม้" ก็ยังคงเอาตัวรอดไปได้อยู่บ้าง ก็จะได้ สังกัปโป เป็น "ต่ำแหน่งที่กิ่งไม้โดนศรีษะ" แต่ถ้าหาก ผู้สื่อ ต้องการสื่อแบบ "ต่ำแหน่งที่กิ่งไม่ โดนศรีษะ" สังกัปโป ในสิ่งเดียวกัน ก็จะวิ่งกันไปคนละทาง และนี่แหละคือ "ต้นกำเหนิดของ การพูดกันไม่รู้เรื่อง"

    +++ ผู้ที่จะสื่ออะไรในกระทู้นี้ควรจะใช้ กระบวนการของ "ทิฐิ - สังกัปโป - วาจา" ให้ตรงกับอาการให้ได้มากที่สุด ส่วนการพิมพ์ด้วย "มือถือ" นั้น ไม่น่าจะเหมาะกับกระทู้ ที่สอนตรง ๆ ในเรื่องของ "การเดินจิต" นะครับ
     
  3. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    _/\_
    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ที่ชี้แนะแนวทาง

    เรื่องถ่ายถอดสภาวะใดๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองออกมาเป็นภาษาที่ให้คนฟังเข้าใจได้นั้น เป็นปัญหาอย่างมากสำหรับผมตั้งแต่เริ่มฝึกกับอาจารย์(ก่อนหน้านั้นก็มีปัญหานี้)และก็ไม่รู้วิธีที่จะแก้อย่างไรดี

    สาเหตุที่พอจะคิดได้ตอนนี้
    -สภาวะที่เจอไม่สามารถอธิบายสั้นๆได้(?แล้วทำไมคนอื่นถึงอธิบายได้) และถ้าให้อธิบายยาวๆ คิดว่าผมก็คงอธิบายไม่ได้อยู่ดี
    -ความสามารถไม่พอที่จะถ่ายถอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้(ดูได้จากกระทู้ที่ผมโพสเป็นภาษาพูด(ท้องถิ่น)เกือบทั้งหมด)
    -ไม่ได้คิดถึงคนที่มาอ่านภายหลัง บางทีก็คิดมากไปเลยทำให้ภาษาที่เขียนมานั้นไม่ตรงอาการที่เกิดขึ้น

    จะพยายามและปรับปรุงเท่าที่จะทำได้ครับ _/\_
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 สิงหาคม 2014
  4. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    ขอบพระคุณอาจารย์มากครับ ที่ชี้แนะแนวทาง

    เรื่องถ่ายถอดสภาวะใดๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเองออกมาเป็นภาษาที่ให้คนฟังเข้าใจได้นั้น เป็นปัญหาอย่างมากสำหรับผมตั้งแต่เริ่มฝึกกับอาจารย์(ก่อนหน้านั้นก็มีปัญหานี้)และก็ไม่รู้วิธีที่จะแก้อย่างไรดี

    +++ การถ่ายทอด ให้ออกมาเป็นภาษาที่ให้คนฟังเข้าใจได้นั้น เป็นการ "ฝึกเดินจิต" ชนิดหนึ่ง การวางจิตเบื้องต้น "ห้ามวางจิตแบบ เรื่องเล่า" แต่ให้ "วางจิตแบบ เรื่องรายงาน"

    +++ การทำงานของ "การวางจิต" ตรงนี้ จะให้ผลที่ออกมาแตกต่างกันมาก จะอธิบายแบบคร่าว ๆ ได้ดังนี้

    +++ การวางจิตแบบ "เรื่องเล่า" จะทำให้จิตเกิดการ

    1. สแกน แบบรวบเดียวจบ จาก หัวถึงหาง แล้วได้ "ความเข้าใจหลัก" ออกมาอันเดียว
    2. จากนั้น จิตจึง "เพ่งเฉพาะ" ที่ความเข้าใจอันนั้น (ธรรมชาติของ ตัวดู) จากนั้นจึงเริ่มพิมพ์
    3. พอเริ่มพิมพ์ จิตจะเรียก "สัญญาเก่า" ออกมาก่อน ทำให้ "ตัวดู" หลุดจากความเข้าใจ "ที่เพ่งอยู่"
    4. แล้วไป "อยู่" ในสัญญาเก่า พอพิมพ์ได้หน่อยเดียว "ตัวดู" ก็จะรีบกลับมา "ดูที่ความเข้าใจ ตัวนั้น" อีกที
    5. คนบางคน "ตัวดู" จะทำงานตรงนี้ได้ 1-2 ที แต่ส่วนใหญ่จะได้ประมาณ 5-6 ที แต่ส่วนที่เกิน 10 ทีออกไป หาได้ยาก

    +++ อาการจาก 1- 5 ตรงนี้มักจะทำให้ออกมาเป็นคำพูดง่าย ๆ ว่า "ลืมไปแล้ว ว่า จะพิมพ์อะไร" ผู้ที่เกิดอาการตรงนี้บ่อย ๆ ก็เลย "มักจะรีบพิมพ์" เพราะ "กลัวลืม ว่า จะพิมพ์อะไร" นั่นแหละ และอีกประการหนึ่งคือ "กลัวความอึดอัด" ที่เกิดจากการ "ย้าย ไปมา" ของตัวดู (ตามธรรมชาติของมัน)

    +++ การวางจิตแบบ "การรายงาน" จะทำให้จิตใช้การ map ด้วยกลไกทางธรรมชาติของตัวมันเอง

    1. จิตจะ สแกน เป็นจุด ๆ โดยเฉพาะตรงจุดที่เป็น ข้อต่อ จิตจะมีการ "หยุด" เพื่อทำ remark หมายเหตุ ในการหยุดของมัน ในช่วงสั้น ๆ ต่อ ช่วงสั้น ๆ ด้วยความเร็วของ วาระจิต
    2. จิตจะมีการ "ทบทวน" ไปยัง หมายเหตุ ที่มันกำหนดไว้นั้น ๆ "โดยวางเนื้องเรื่องในบริเวณนั้น" ลงโดยสิ้นเชิง เรียกว่า "ทิ้งการเชื่อมต่อ ระหว่าง จุดต่อจุด" ทิ้งไป
    3. จิตจะใช้ "จุดต่อจุด" ตรงนี้เป็น "สัญญา หมายเหตุ" ในการพิมพ์ข้อความ
    4. เมื่อเริ่ม "พิมพ์ข้อความ" ตัวดูจะ "หยุดและเพ่ง" ในจุดหมายเหตุนั้น ในที่เดียว และ ก็จะ "เห็น" (สัญญาภาพ)(อภิญญาที่มีอยู่แล้ว ตามธรรมชาติของ จิตทุกดวง) ของการเชื่อมต่อของ "จุดต่อจุด" จนกว่าจะพิมพ์ตรงนั้นเสร็จ
    5. เมื่อพิมพ์เสร็จก็จะ "วางภาระในจุดนั้น ๆ ลง" แล้วจึง "เพ่งและดู" ในจุดถัดไป ซึ่งก็จะเป็นการ "เพ่งในที่เดียว" อีกเช่นเดิม จนจบการรายงาน

    +++ การวางจิตแบบ "การรายงาน" นี้ จะก่อประโยชน์แก่ผู้ฝึกมากมาย เพราะมันเป็นเรื่องของ "การใช้จิต" ซึ่งผิดกันกับ "การเล่าเรื่อง" ซึ่ง "ถูกจิตมันใช้" ซะมากกว่า
    +++ การ map จิต จะเกิด "ขันธ์ประธาน" แล้วจึงเกิด "ขันธ์บริวาร" ตามมา ซึ่งตรงนี้ "ตรงจุดที่ จิตทำหมายเหตุ ก็คือ ขันธ์ประธาน" ส่วนการเห็น "การเชื่อมระหว่างจุด" ก็คือ ขันธ์บริวาร นั่นเอง
    +++ ดังนั้น "ให้ค่อย ๆ ฝึกตรงนี้" ไปก่อนก็แล้วกัน

    สาเหตุที่พอจะคิดได้ตอนนี้
    -สภาวะที่เจอไม่สามารถอธิบายสั้นๆได้(?แล้วทำไมคนอื่นถึงอธิบายได้) และถ้าให้อธิบายยาวๆ คิดว่าผมก็คงอธิบายไม่ได้อยู่ดี

    +++ ให้วางจิตแบบ "การรายงาน"

    -ความสามารถไม่พอที่จะถ่ายถอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้(ดูได้จากกระทู้ที่ผมโพสเป็นภาษาพูด(ท้องถิ่น)เกือบทั้งหมด)

    +++ พิมพ์ให้ช้าลง "มันก็จะละเอียดขึ้นมาเอง"

    -ไม่ได้คิดถึงคนที่มาอ่านภายหลัง บางทีก็คิดมากไปเลยทำให้ภาษาที่เขียนมานั้นไม่ตรงอาการที่เกิดขึ้น

    +++ ให้วางจิตแบบ "การรายงาน" เท่านั้น เมื่อเริ่มเข้าใจการ map จิต แล้ว ทุกอย่างจะพัฒนาขึ้นมาเอง ตามธรรมชาติของมัน

    จะพยายามและปรับปรุงเท่าที่จะทำได้ครับ _/\_

    +++ ทดสอบ และ ทดลอง การวางจิตระหว่าง 2 แบบนี้บ่อย ๆ (ต้องทำทั้ง 2 แบบกลับไปกลับมา) จึงจะทำให้เข้าใจชัดเจนมากขึ้น และมันจะดีขึ้นมาเอง
     
  5. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    มารายงานการฝึกเป็นสภาวะรู้คะ
    ในเวลาที่เป็นสภาวะรู้ ปรกติเมิลจะรู้สึกถึงสภาวะรู้ในแบบที่ "กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ" แต่วันนี้ในขณะที่เป็นสภาวะรู้และดูหนังอยู่
    สภาวะรู้ที่กระจัดกระจายอยู่ในอากาศเริ่มรวมตัวกันเข้ามา ความเป็นตนเริ่มปรากฎ
    เมิลยังรู้อยู่ แต่ก็รู้ด้วยว่าสภาวะรู้เริ่มถูกบดบังแล้ว ณ ตอนนั้นสามารถเลือกได้ว่าจะปล่อยให้รู้ถูกบดบังต่อ หรือ ย้ายกลับมาอยู่กับรู้เหมือนเดิม
     
  6. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ในระดับการฝึกของ เมิล นั้น สภาวะรู้ เป็นสภาวะที่ มีอยู่แล้ว และเมิลเองก็ "เป็น" อยู่แล้ว
    +++ การฝึกจริง ๆ ในช่วงนี้ คือการฝึก "รู้และสังเกตุ การเข้าบดบัง ของ อวิชชา" มากกว่า

    +++ ให้สังเกตุให้ดีว่าสภาวะที่ "กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ" นั้นเป็น "สภาวะรู้ หรือ สภาวะถูกรู้" กันแน่
    +++ ให้ตรวจสอบอีกทีว่า "ข้างหลังของสภาวะที่ถูกรู้" นั้น "ยังมีสภาวะรู้ ล้อมรอบ" อยู่ด้วยหรือไม่

    +++ ตรงนี้ คือ บทพิสูจน์ว่า "ทั้ง สังคตธรรม และ อสังคตะธรรม" ล้วนมีอยู่ด้วยกัน อยู่แล้ว ทั้งคู่
    +++ แต่ที่สำคัญที่สุดในตรงนี้คือ "ความเป็นตน ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร" (การเกิดของ ปฏิจจะสมุปบาท) เพราะเมื่อ "เข้าใจ" ตรงนี้แล้ว
    +++ ถึงเวลาที่จะต้อง "สร้างขันธ์ขึ้นมาเอง" จะได้ "สร้างเอง และ ใช้เอง" ได้เป็น

    +++ ตรงนี้เป็น "รอยต่อรวมใหญ่" ที่แยกไปได้หลัก ๆ หลายทางเช่น

    1. ปล่อยให้สภาวะที่เข้าบดบัง วิวัฒนาการจนกลายมาเป็น ตน ก็จะเรียกว่า ปฏิจจะสมุปบาท
    2. ปล่อยให้สภาวะที่เข้าบดบัง วิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ แต่ไม่ให้ความเป็น ตน ปรากฏก็จะเรียกว่า มหาปัฏฐาน
    3. สิ่งที่เกี่ยวข้องกับ อจินไตย ในสภาวะรู้แบบเปิด (คุณจิตวิญญาณ ฟังเสียงฝน) และอื่น ๆ เป็นต้น

    +++ ของ เมิล ให้ฝึกเพิ่มไปอีกสัก 2 แบบ คือ

    1. ให้ "สภาวะถูกรู้" (วัตถุ) เคลื่อนตัว ผ่านไปมาใน "สภาวะรู้" ที่เป็นอยู่ โดยไม่ให้ "ตน" ปรากฏ
    2. ในยามที่ "สภาวะถูกรู้" (วัตถุ) เคลื่อนตัว เข้ามาใน "สภาวะรู้" ให้ "สภาวะรู้ ชำแรก แทรกซึม" (วัตถุ)(ผ่านโดยไร้ปฏิกิริยา) โดยตรงเฉย ๆ "โดยไม่ต้อง ปัฏฐาน"

    +++ ตรงนี้เป็นขั้นตอนของการ "ไร้การฝึก" แต่การเรียนรู้ก็ยัง มีอยู่ต่อไปตามสภาวะของ "สังคตธรรม และ อสังคตะธรรม" ที่มีอยู่แล้ว ทั้งคู่ นะครับ
     
  7. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    อ่านแล้วเข้าใจเลยครับ ส่วนข้อความหลังจากนี้อ่านแล้วไม่ค่อยเข้าใจ ต้องอาศัยเวลาสักหน่อยครับ

    อาจารย์จำเรื่องที่ผมเคยเล่าให้ฟังได้ไหมครับ
    เรื่องย่อมีอยู่ว่า ผมกำลังนั่งปูกระเบื้องพื้นอยู่ เหลือบไปเห็นมด แล้วเกิดความเข้าใจว่ามันสื่อสารอะไรกัน เหมือนเราคือมด

    ตอนนั้นผมอธิบายอาการไม่ถูก ไม่รู้อธิบายอย่างไรดี อาจารย์บอกว่า เข้าไปตรึงวาระจิตมด(<-ใช่เลย :cool: แบบนี้ )
    ซึ่งถ้าผมจะอธิบายอาการนี้เฉพาะแค่ตอนเริ่มจับ
    -คล้ายเรากำลังซูมภาพช้า(จะว่าช้าก็ไม่ช้า)
    -เหมือนเรานั่งรถไฟเหาะในสวนสนุกตอนลงจากที่สูง(ไม่ถึงขนาดนั้น)
    -เหมือนถูกดูดเข้าไปอีกสภาวะหนึ่ง(ก็คล้ายๆ)

    ปัญหาคิดว่าผมน่าจะไม่เข้าใจว่าอะไรสำคัญไม่สำคัญ มองไม่เห็นภาพรวม คงประมาณนั้นครับทำให้ภาษาที่ผมสื่อไปไม่สามารถอมความได้เลย ไม่เหมือนกับอาจารย์ที่พูดประโยคเดียวจบ
    (เพื่อไม่ให้รบกวนกระทู้ ผมค่อยสอบถามทาง pm ละกันครับ)
     
  8. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ให้สังเกตุ การเว้นวรรค ในประโยคนี้ เพื่อทำการเปรียบเทียบว่า จะมีผล "ต่อจิต" ในการอ่านอย่างไร
    +++ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "ตรงไหนที่ จิตหยุด" และ ตรงที่จิตหยุดนั้น "จิตเกิดความเข้าใจ อย่างไร" ทุกขณะที่ "จิตหยุด" รวมทั้ง "จิตจับประเด็น" ได้กี่จุด
    +++ ให้เทียบประโยค "ข้างล่าง" กับประโยค "ที่อ้างอิง ข้างบน" โดยการใช้ "สายตา กวาดผ่าน ไปเฉย ๆ" ลองดูนะ

    +++ "ซึ่งถ้าผมจะอธิบายอาการนี้ เฉพาะแค่ ตอนเริ่มจับ"

    +++ ดู และ สังเกตุ ประโยคต่อไปนี้ "ให้ละเอียด รอบคอบ"

    +++ "คล้ายเรากำลัง ซูมภาพ ช้า ๆ เหมือน ถูกดูด เข้าไปอีกสภาวะหนึ่ง"

    +++ คงเห็น "ได้ชัดเจน" นะว่า ประโยคนี้ "ตัดสมมุติ" ออกไปแบบ ตรง ๆ เหลือแต่ "อาการ" ที่มันเกิด เท่านั้้น อย่างอื่นไม่เกี่ยว และทำให้เกิด "ความเข้าใจที่ ชัดเจน ตรงประเด็น" เพราะ "จิตผู้อ่าน จะไม่มี นิวรณ์ เข้ามาเป็นอุปสรรค" (คำว่า รถไฟเหาะ คือ นิวรณ์ ทำให้จิตหลุด ออกจากเจตนาที่ต้องการสื่อ)

    ============================================================================

    +++ ปัญหา อยู่ที่ "ภาพ บัง ตัวอักษร" (รูปกรรมฐาน) จึงทำให้ "ไม่เห็น เจตนาในการสื่อ" (นามกรรมฐาน)

    +++ วิธีแก้ ง่าย ๆ คือ

    1. ใช้ "สายตา" กวาดผ่าน "ตัวอักษร" แบบ ผ่าน ๆ เท่านั้น
    2. คอยตรวจจับ "ภาพในจิต" ที่ "ไม่ตรงกับ ความหมายที่พิมพ์"
    3. เจอตรงไหน "หยุดจิต" ตรงนั้น แล้วทำ "ขึ้นบันทัดใหม่" ตรงนั้นไปเลย (หรือ ลบทิ้ง ก็ได้)
    4. ตัดต่อ "เอาเฉพาะ ความต้องการ ในการสื่อ เท่านั้น"
    5. ใช้คำเชื่อมประโยค ที่ตรงกับอาการ เช่น "และ แต่ หรือ ด้วย" เป็นคำสั้น ๆ คำ ๆ เดียว ที่ตรงกับอาการ รวมทั้งการ "เว้นวรรค" เพื่อให้เกิด "จิตหยุด" เป็นระยะ ๆ ไป

    6. ใช้ "สายตา" กวาด "ตัวอักษร" ที่แก้ใหม่ แบบ ผ่าน ๆ เท่านั้น แต่คราวนี้ให้สังเกตุ
    7. จุดที่ "จิตตนเองหยุด" แล้วสำรวจว่า "ใช่ และ ตรง" กับเจตนาในการสื่อ หรือไม่
    8. ในจุดที่ จิตหยุด นั้น "เห็น เจตนาย่อย ผุดปรากฏขึ้นมาด้วย หรือไม่" (ขันธ์บริวาร ต้นกำเหนิด อภิญญา)

    9. ให้ทบทวน การทำงาน ตรงนี้ให้เป็น "นิสัย"

    +++ อย่านึกว่า "แค่พิมพ์ ถาม ในกระทู้นี้" ไม่ใช่การฝึกอะไร แค่ 9 ข้อในการฝึกพิมพ์นี้ ก็รวมทั้ง รูป-นาม หยุดจิต อภิญญา สมมุติ-บัญญัติ ตัดกิเลส จำแนกจริง-เท็จ ดูจิต ฯลฯ

    +++ สารพัดอยู่ในนี้ทั้งหมด และที่สำคัญที่สุดคือ "เจอตรงไหนก่อน ก็แก้กันที่ตรงนั้น ไปเลย" ตามอาการของมัน นั่นแหละ
     
  9. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    ^
    ^
    ^
    อ่านแล้วครับ รอบที่ 3 ถึงกับยิ้มออกมาเอง (smile)


    -ขณะนี้หยุดยิ้มแล้ว-

    --เพิ่มเติม---

    ดีใจมากจนลืม ขอบคุณมากครับผม



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 สิงหาคม 2014
  10. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    พี่คะ
    1. สภาวะที่ "กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ" นั้นเป็น "สภาวะถูกรู้" คะ
    "ข้างหลังของสภาวะที่ถูกรู้" มี "สภาวะรู้" อยู่ด้วยกัน อยู่ปนกันคะ
    2. เมิลลองทำ "รู้" ตอนเดินคะ รู้สึกเหมือนร่างกายแหวกไปในอากาศ
     
  11. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ฝึก ๆ ซะ พิมพ์เรื่องสั้น ๆ ใส่ Notepad ไว้ก็ได้ ซักครึ่งหน้ากระดาษ โดยเฉพาะ "อดีตตอนที่ยังเป็นเด็กมาก ๆ" เพราะตอนนั้นมันจะจำอะไรได้แค่ กระท่อนกระแท่น ไม่ต่อเนื่อง
    +++ จากนั้น ให้ใช้วิธีตามแนวที่โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้้ ทำการ "ตรวจสอบ" ข้อความ และให้ใส่ใจให้มาก "ตรงบริเวณที่จิตหยุด" เพราะแถวนั้นจะเป็น "จุดเกิด" ของหลาย ๆ อย่าง
    +++ ฝึกไปเรื่อย ๆ สัก 7-10 วัน ก็น่าจะเจออะไรเข้าบ้าง ในสิ่งที่ "ไม่น่าจะเป็น" ซึ่งมันจะเกิดขึ้นมาเอง ตามธรรมชาติของความเป็นจิต ต่อไปก็จะรู้จัก "อภิปัญญา ของการใช้ขันธ์" ได้เอง
     
  12. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ดังนั้น "สภาวะที่ ถูกรู้ และ กระจัดกระจายอยู่ในอากาศ" นั้น มีสภาพเป็น "สารหรือวัตถุ ที่ แขวนลอย อยู่ ในอากาศ" ใช่หรือไม่

    +++ เมื่อเป็น ภาษาของกระทู้นี้ ก็จะเป็น "ขันธ์ หรือ สรรพสิ่งที่ ถูกรู้ ทั้งหมด" ย่อมเป็นได้เพียงแค่ "วัตถุแขวนลอย ไปมา ในสภาวะรู้เท่านั้น"

    +++ และเมื่อใช้ ภาษาที่สามารถ สรุปรวบยอดได้ ก็จะออกมาเป็น "สังคตะธรรมทั้งมวล ย่อมเป็นเพียงแค่ วัตถุธาตุแขวนลอยไปมา อยู่ใน อสังคตะธรรม เท่านั้น"

    +++ คราวหน้า เมื่อฝึกได้ถึง อาการในบันทัดสุดท้าย ของวรรคข้างบน ก็ให้หา "ทำเลที่เหมาะสม" แล้วทำ "รู้" ตอนเดินใหม่ อีกที นะครับ
     
  13. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    ตอนที่อ่านโพสนี้เมื่อคืนก่อนนอน นึกวิตกอยู่ว่า 7-10 วันนี้จะมีอะไรแปลกๆ แบบอาจารย์ว่าไหม แล้วถ้าผ่านไป 10 วัน แล้วไม่มีอะไรละ คิดแล้วเครียด

    วันนี้ช่วงบ่าย 2 พอมีเวลาว่าง เลยลองเขียนบันทึกสักเรื่อง ขณะที่กำลังเขียนไปได้ราว 2 บรรทัด พอนึกได้ ตั้งใจว่าจะเขียน

    เกิดภาพมือจดปากกาบนหน้าจอคอม เห็นตัวดู วิ่งพุ่งไปเป็นลำ ขณะที่มันวิ่งผ่านลูกตา รู้สึกได้ว่าลูกตานั้น มีเส้นสักสิบกว่าเส้นยืดออกมา จนเหมือนว่า มันพุ่งออกนอกเบ้าตาด้วย ตัวดูนั้นพุ่งตรงไปยังปลายปากกาที่จด

    ขนาดและแรงที่ตัวดูวิ่งนั้น น่าแปลกใจดีครับ(พึ่งเคยเห็น อิ..อิ)




    --เพิ่มเติม--


    ช่วงที่เส้นทั้งหมดยึดสุดๆ ราวกับว่าตาจะถลนออกนอกเบ้า ขณะนั้นมีสภาวะความเป็นเรา(ของเรา)อยู่ 100 %(น่ากลัวจริงๆ) ครับ

    ปล.ย้อนกลับมาอ่านก็ยังถ่ายทอดไม่ตรงเจตนาเสียทีเดียว และผิดอยู่หลายจุด แต่ไม่แก้ เพราะสาระสำคัญยังอยู่ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2014
  14. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ไม่มีอะไรแปลกถ้า "ทำตรง ๆ อย่างที่บอก" ทางออกของ จิต แต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่ทั้งหมดจะลงเอยตรงที่ "ตัวดู" เหมือนกันทั้งหมด ส่วนเรื่อง "ของเล่น" ของแต่ละคนก็แตกต่างกันไป บางคนถ้า ไม่ผ่านตัวดูก่อน ก็จะไม่ได้ของเล่นเลย แต่บางคนก็ต้อง แกะของเล่นออกมาก่อน แล้วจึงไปถึง "ตัวดู" ได้

    +++ ต่อไป "ให้ใช้ทุกวิถีทาง" ที่สามารถทำให้ "ตัวดู" พุ่งออกไป "ข้างนอก" ให้ได้
    +++ ในขณะที่มัน "กำลังพุ่ง หลุด ออกไป" ให้ทำ "ตัวดูถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" แบบ "ทันควัน ทันที"
    +++ ยามใดที่ ไม่ทัน ก็ให้ "ล่อ" ให้มัน "เกิดใหม่" ให้ได้

    +++ ตั้งหลักอยู่ที่เดียว คือ "ตัวดูถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่"

    +++ หากจำตอนที่ "มรณะศาสตร์" ได้ (ตอนนั้น บัวไข อยู่ด้วย) มีคนเคยมาฝึก แล้วใช้เวลาเพียงแค่ 4 ชั่วโมง "จากเริ่มต้น จน จบสิ้นได้" ก็เพราะเป็นเรื่องของ "ตัวดู หลุด พุ่งออกไป" ตรงนี้แหละ เพียงแต่ว่า ตอนนั้น "คุมจิตอยู่ต่อหน้า" จึงทำ "ตัวดูถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" ได้ตลอดเวลา หลังจากนั้น "เพียงชั่วข้ามคืน" ก็พลิกกลับเปลี่ยนไปได้ "เป็นคนละคน" และเบิกบาน "ตลอดคืน"

    +++ ทั้งหมดเป็นเรื่องของ "การหลุดจาก พ้นจาก" (วิมุติ) ตัวดู โดยสิ้นเชิง นั่นเอง (ส่วน โยมเขียว เป็นเรื่อง "ดับตัวดู" พอมัน "พลิกกลับมาใหม่" ก็พ้นในที่ตรงนั้นเลย)(เรื่องฝึกที่ เกาะพงัน ก็รู้อยู่แล้วนะ ว่าอะไรเป็นอะไร)

    +++ ใช้การ "ฟังเสียง ทั้งใกล้และไกล โยกไปมาสลับกัน" ก็ได้ ตรงนี้ก็ทำให้ "ตัวดู" พุ่งออกไปได้เหมือนกัน (ตรงนี้ใช้ที่ มรณะศาสตร์) แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม "ตอนนี้ทำให้ ตัวดู มันหลุดกระเด็น ออกไปจาก เรา ให้ได้ก่อน" ก็แล้วกัน

    +++ นั่นแหละ มันจึงถูกเรียกว่า "อัตตาจิต หรือ ตัวกูของกู" นั่นเอง
    +++ "จัดการให้มัน กระเด็น ออกไปจาก เรา ให้ได้" และให้ใช้ "กลยุทธทุกวิถีทาง เท่าที่จะทำได้" การฝึกอย่างอื่น เรื่องอื่น "ยังไม่ต้องไปสน" ในขณะนี้
    +++ ลุยกับมันดู 7-10 วัน และ "จบให้ได้" ภายในพรรษานี้ ก็แล้วกัน
     
  15. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ อาจติดธุระ 1-2 วัน ใครมีอะไรก็ให้โพสท์ทิ้งไว้ก่อน กลับมาแล้วจึงตอบให้ นะครับ
     
  16. ยุ่งจริงๆ

    ยุ่งจริงๆ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +50
    ครับอาจารย์

    เรื่องตัวดูพอเริ่มเห็นมันและเริ่มรู้จักมันแล้ว รวมทั้งความที่เราเป็นด้วย พอจะคลำทางได้
    แต่ "ตัวดูถูกรู้ ส่วนเรา รู้อยู่" พอจะมีแบบฝึกอื่นๆไหมครับ



    --เพิ่มเติม--
    เจอแล้วครับ ในกระทู้(ฝึก-กรรม-ฐาน-ด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย)นี้
    โพส #484
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2014
  17. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ การ "จัดการกับ ตัวดู" นั้น ถือว่า "ไม่ใช่การฝึกแบบธรรมดา" เพราะเป็นการจัดการกับ "จิตส่งออก" โดยตรง
    +++ ดังนั้น หากทำให้มัน "ออกไปแล้ว ออกไปเลย ไม่ต้องกลับมาอีก" ได้ก็จะเป็นการดีที่สุด
    +++ เพราะจะทำให้ "ขันธ์" ที่เหลืออยู่ เป็น "วิสุทธิขันธ์" เท่านั้น
    +++ ซึ่ง "ทิฐิ" (ตัวดูส่วนรูป) และ "ตัณหา" (ตัวดูส่วนนาม) ไม่อาจอาศัยอยู่ได้ อีกต่อไป (สอุปา)
    +++ ผู้ที่จะทำตรงนี้ได้ก็คือผู้ที่ "เป็น" สภาวะรู้แล้วเท่านั้น

    +++ ส่วนผู้ที่ยังไม่ได้ "เป็น" สภาวะรู้ ก็มีได้ทางเดียว คือต้อง "เห็นตัวดู" จนคุ้นเคย และชำนาญ
    +++ รวมทั้ง "รู้" ในขณะที่ "ความเป็น ตน" มีอยู่ และ "ทำ ความเป็นตน ให้ถูกรู้"
    +++ แล้วจะเห็นได้ชัดเองว่า "ยามใดที่ ความเป็นตน ถูกรู้" มันก็มักจะ "หดตัว กลับไปเป็น ตัวดู" ตามเดิม

    +++ อีกวิธีหนึ่งคือ "ทำความรู้สึก ตน" (มักจะ ผสมปนกันอยู่กับ รู้สึกตัว) แล้ว "ทำความรู้สึก ตน ให้ถูกรู้"
    +++ ทำตรงนี้ให้บ่อย ๆ จนเป็นนิสัย มันก็จะทำให้ "ตน กลายไปเป็น ตัวดู" จากนั้นจึงทำให้มัน "ถูกรู้" อีกที

    +++ สรุปสั้น ๆ คือ "ทำตัวดู ให้ถูกรู้" ไว้ก่อน แล้วจึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาเป็น "เรารู้อยู่" ตามธรรมชาติดั้งเดิมของเราเอง นั่นแหละ

    +++ ให้ใช้ ประกอบกันดูหลาย ๆ ทางตาม โพสที่ #484 หน้า 25 จนกว่าจะถึงขั้นตอนของ สติระดับที่ 6. "ดูตน" และ สติระดับที่ 7. "อยู่กับรู้ หรือ อยู่กับตน" ในโพสที่ #5 ในหน้าแรก
     
  18. จิตวิญญาณ

    จิตวิญญาณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    274
    ค่าพลัง:
    +679

    มันจะมาเวลากลางคืนช่วงดึกๆตอนเราเผลอหลับนี่สิคะ ไม่มาตี 1 ก็มาตี2 ไม่มาตี2 ก็มาตี3 ระหว่างเวลาประมาณนี้น่ะค่ะ พอรู้ว่ามันมาแล้ว ยังไงก็ต้องลุก นอนต่อไม่ได้ ลุกมาก็ไม่ได้ทำอะไร ลุกมานั่งเล่นซือๆ มันไปแล้วถึงเอนหลังงีบได้น่ะค่ะ สังเกตุดูที่เป็นนี่ มันเป็นกิริยาอาการทางกายเฉยๆ ร่างกายไม่เพลีย ใจนิ่ง ไม่มีอาการรู้สึกทุกข์อะไรเลย หรือคงเป็นเพราะเราไม่ได้เข้าไปอยู่ในขันธ์ตรงนี้ แต่พอสังเกตุอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว มันไม่ใช่ตัวดูของเราน่ะค่ะ
     
  19. ธรรม-ชาติ

    ธรรม-ชาติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    2,566
    ค่าพลัง:
    +9,966
    +++ ตรงนี้เป็นเรื่องแปลก ซึ่งตรงนี้ต้อง "รู้" การหลับของเราก่อนว่า ตกอยู่ในลักษณะไหน

    1. หลับอยู่ส่วนหลับ และ ตื่นอยู่ส่วนตื่น โดยมีอยู่ด้วยกันทั้ง 2 ส่วน แต่ "แตกแยกชั้นกันอยู่"
    2. ส่วนที่หลับคือ กายเวทนา และ ส่วนที่ตื่น แฝงตัวอยู่ด้วยกัน "เป็นเนื้อเดียวกัน" ตรงนี้เป็น "รู้อยู่ว่าหลับ"
    3. เป็นแบบเดียวกับ แบบที่ 2 แต่ "สภาวะรู้อยู่ข้างใน แบบปัฏฐานใส้เทียน" แต่ไม่ได้แยกกันอยู่ ตรงนี้เป็น "หลับจริง แต่ รู้อยู่"
    4. เป็นแบบเดียวกับ แบบที่ 3 แต่ "กายเวทนาอยู่ข้างใน เป็นใส้เทียน แต่ สภาวะรู้อยู่ข้างนอก" ตรงนี้เป็น "อยู่กับรู้" เหมือนกับ แบบที่ 1 แต่เป็น "สภาวะรู้ล้อมรอบ กายเวทนา"

    +++ ให้สังเกตุ "การใช้ภาษาตรงนี้ให้ดี" ปรากฏการณ์ทุกอย่างคล้ายกัน คือ "มีแค่ หลับ กับ รู้" แต่ถ้าหาก "ใช้ภาษาผิดไปเพียงคำเดียว" ทุกอย่างจะ "มั่ว" ทันที และจะ "ชี้อาการไม่ได้เลย"

    +++ ประโยคที่รายงานมานี้ ชี้ถึง อาการของ "ตัวดู" ที่ปรากฏมาในช่วง ตี 1-3 ซึ่งสามารถใช้ภาษาได้ว่า "ตัวดูแปลกหน้า ปรากฏ"

    +++ อีกส่วนหนึ่งคือ "มันไม่ใช่ตัวดูของเรา" ตรงนี้แหละ ที่ต้อง "รอบคอบให้มาก" โดยให้พิจารณา จาก 4 ข้อ ของการหลับข้างบน

    +++ หาก "การหลับ" โดยไม่มี "ขันธ์เหลืออยู่เลย" ตรงนี้ จะไม่ใช่ "การหลับของทั้ง 4 ข้อที่กล่าวมา" แต่เป็นสภาวะของ "แบบที่ 5" กล่าวคือมีสภาพ "เป็นสภาวะรู้ ที่หมดความหมายมั่นต่อสรรพสิ่ง กลายเป็น เนื้อแท้ของ อวกาศดั้งเดิม" ที่เรียกว่า "สอุปา ฯ" ซึ่งจะใช้ภาษาของคำว่า "หลับ" ก็ไม่ตรงกับอาการ หรือแม้จะใช้ภาษาว่า "ตื่น" ก็ไม่ตรงอีกเช่นกัน เพราะตรงนี้้ "พ้นไปจากทั้งหลับและตื่น" เป็นเพียงแต่ "อสังคตะธรรมล้วน ๆ" เท่านั้น

    +++ หากเป็นการหลับในลักษณะของ "แบบที่ 5" ตรงนี้ "ตัวดู" ไม่ว่าจะเป็นของใครก็ตาม รวมทั้งของ ตัวเราเองด้วย ก็จะกลายเป็น "แขกแปลกหน้า ที่ไม่ได้รับเชิญ โดยเสมอภาคเท่าเทียมกัน ทุกตัวโดยไม่มี ข้อยกเว้น" เพราะมันกลายเป็น "สังคตะธรรม ที่เป็น สาธารณะ" ไปหมดแล้ว เหมือนกันทุกตัว

    +++ ในกรณีนี้ ผู้ที่เกิดปรากฏการณ์ตรงนี้ จะต้องแยกแยะให้ออกก่อนว่า มันเป็นแบบไหน 1-4 หรือเป็น แบบที่ 5 ตรงนี้ "ต้องแยกแยะ ให้ชัดเจน ก่อนเพื่อน" นะครับ
     
  20. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    1. ช่วงนี้ก็มักจะตื่นขึ้นมาเวลาที่มีรูปปรากฎขึ้นมาในความฝัน
    2. แล้วก็ที่พี่เคยเขียนไว้
    "+++ หากจะศึกษา "ปฏิจจะสมุปบาท" ให้อยู่กับ "รู้" จนกว่า จะมีสภาวะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วทำให้ "ไม่รู้" (อวิชชา) จากนั้นให้ "ย้ายกลับมาอยู่กับ รู้" โดยปล่อยให้สภาวะ "ไม่รู้" อยู่อย่างนั้น แล้วปล่อยให้มัน "วิวัฒนาการ" ไปเรื่อย ๆ ด้วยตัวมันเอง โดยที่เรา "เป็นสภาวะรู้" อยู่ตลอดเวลา นั่นแหละคือ "การเห็นปฏิจจะสมุปบาท" ตัวจริง"

    ช่วงนี้ก็เกิดบ่อยเหมือนกัน อาทิตย์นี้ประมาณ 3 ครั้งได้ละ แต่อาการไม่เหมือนกับแต่ก่อน ก่อนหน้านี้ตอนที่เกิดแบบนี้ถึงแม้ว่ามันจะไม่มีอิทธิพลกับใจ หรืออยู่ส่วนใครส่วนมัน แต่ตอนนี้เหมือนกับว่ามันขาดออกจากกันไปเลย เราจะดับหรือย้ายออกเมื่อไหร่ก็ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...