ขอเล่าไว้เป็นกรณีศึกษาบ้างค่ะ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย Pruksanusak, 21 พฤษภาคม 2014.

  1. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    สมาชิกใหม่เพิ่งรู้จักเว็บนี้เพราะตามมาอ่านเรื่องของน้องอ้อนขอฝากตัวด้วยค่ะ

    ดิฉันเป็นคนจังหวัดสงขลาเหมือนกัน แต่อยู่อ.สะเดา พอจะมีประสบการณ์จากสัมผัสที่ 6 ระยะยาวพอดู และดูจะเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังถือเป็นการแบ่งปัน + เป็นกรณีศึกษา

    โปรดใช้วิจารณาญาณในการอ่าน บางอย่างซึ่งเป็นคำบอกเล่าจากคนอื่น ดิฉันเองก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากพิสูจน์ได้ก็จะลองพิสูจน์ดู หากพิสูจน์ไม่ได้ก็ช่างมัน ปล่อยไป เพราะโดยเนื้อแท้แล้ว ก็ดังที่เพื่อนของดิฉันซึ่งมีสัมผัสที่ 6 แรงกว่าดิฉันมากเคยบอกไว้ ว่ามันไม่ได้ช่วยให้เป็นทางไปสู่นิพพาน อย่าไปหมกมุ่นกับมันมาก

    สมัยเด็กดิฉันกลัวผีมาก ก็ประสาเด็ก พอขึ้นชั้นมัธยม ความที่เริ่มต้องอยู่ห้องคนเดียว + ไม่เคยเจอผีเลย + เรียนสายวิทย์ ก็เริ่มจะคิดว่าผีคงไม่มีจริง

    แม้แต่ตอนเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว เรียนอยู่ปัตตานี ฟังรุ่นพี่เล่าเรื่องผีหอพักขู่น้องๆ มามากมาย ก็ไม่เคยเจอสักหน ทั้งที่ตอนปี 1 เพื่อนชั้นปีเดียวกันที่อยู่หอพักเดียวกัน (แต่คนละชั้น) รายหนึ่งป่วยเสียชีวิต (ไข้ขึ้นจนช็อค ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล) แล้วตั้งแต่วันที่เธอเสีย หมาหอนตรงลานหอติดกันเจ็ดวัน และมีนศ.หลายคนเห็นเธอในชุดนอนที่สวมตอนเสียยืนอยู่ตรงลานหอ

    รุ่นพี่ปี 3 ที่นอนห้องเดียวกับดิฉันกลัวจนขอลงมานอนด้วยกลางดึก (พี่แกนอนเตียงบน) แต่ดิฉันหลับสบายไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นก็คิดว่าผีจะมีจริงหรือไม่นี่ไม่รู้ ถึงจะมีจริง ตัวเราคงไม่มีเซนส์แน่ๆ

    ตอนปี 2 ย้ายออกมาอยู่หอนอก เพื่อนที่อยู่ห้องตรงข้ามมีสัมผัสที่ 6 เล่าให้ฟังว่าเย็นวันหนึ่งกลับห้องมา ได้ยินเสียงพิมพ์คอมในห้องดิฉัน ก็เข้าใจว่าดิฉันกลับมาแล้ว จึงตะโกนทัก แต่เงียบ ไม่มีเสียงทักตอบ ดูรองเท้าหน้าห้อง ทั้งดิฉันและรูมเมทยังไม่กลับมาทั้งคู่ เธอจึงรีบเอาของและรีบออกไปโดยไว

    ขึ้นปี 3 ดิฉันย้ายออกไปเช่าห้องคนเดียว เป็นตึกใหม่เพิ่งสร้าง อยู่ห้อง 101 มาอยู่ตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอม ไฟฟ้ายังไม่มี วันแรกจุดเทียนนอน ก็ไม่มีอะไร หลังจากอยู่มาได้หนึ่งเดือน คืนหนึ่งเข้านอนเร็ว อยู่ๆ ก็ลืมตื่นขึ้นมาเอง เห็นเงาดำยืนอยู่หน้าห้องน้ำ มือข้างหนึ่งจับลูกบิดประตู หันตัวมาทางดิฉัน มองดิฉันอยู่ ดิฉันในใจนึกว่าขโมยเข้าห้องเรา เข้ามาได้ไง ห้องเราล็อคอยู่นี่หว่า และทั้งที่ดิฉันสายตาสั้น กลับมองเห็นชัดเจนว่ารอบๆ เงาดำมีเส้นแสงเป็นกรอบรูปคน เหมือนแสงลอดจากใต้ประตูมาจับตัวคนที่ยืนหันหลังให้แสง

    แต่ประเด็นคือ แสงจากใต้ประตูมันน้อยมาก ไม่พอจะส่องให้เห็นเป็นเส้นแสงรอบตัวคนทั้งตัวได้เลย (ตอนนั้นเพิ่งตื่น จึงไม่ทันคิด หัวยังเบลออยู่)

    ดิฉันก็นอนมองหน้ากับเงาดำนั่น ระหว่างนี้ยังได้ยินเสียงสาวๆ ที่นั่งดูทีวีตรงห้องโถงหัวเราะดังมาถึงในห้องอยู่เลย

    จ้องหน้ากับเงาดำอยู่หลายวินาที เงาดำก็เปิดประตูห้องน้ำเดินเข้าไป ปิดประตูดัง "ปัง!" ดิฉันรีบเปิดโคมไฟหัวเตียง ลุกตามไปดู ปรากฏว่าประตูห้องน้ำเปิดอ้าอยู่ ดิฉันจึงเปิดไฟ เข้าไปนั่งถ่ายเบา และมองซ้ายขวาว่าจะมีอะไรโผล่มามั้ย ไม่มีอะไรโผล่มา ก็กลับไปนอนต่อ ดูนาฬิกาหัวเตียง 22:30 น.

    แล้วเพิ่งมานึกกลัวเอาตอนเช้าว่าเมื่อคืนนี้ตูเจอผีนี่หว่า...ปฏิกิริยาดีเลย์มาก คืนนั้นเลยเปิดไฟนอน และเปิดไฟนอนต่อไปอีก 2-3 คืน ก็ปิดไฟนอนตามเดิมเพราะเปลืองไฟ

    นั่นเป็นครั้งแรกใน 2 ครั้งที่ "มองเห็น"

    หลังจากเรื่องดิฉันเจอผีในห้องตัวเองแพร่ออกไป ข่าวก็บิดเบือนกลายเป็นเจอผีตอนกำลังอาบน้ำ (เอาเข้าไป) และเกิดข่าวลือว่าก่อนจะสร้างตึกนี้ ตรงตำแหน่งห้องของดิฉันเคยเป็นต้นไม้ที่มีคนผูกคอตาย (เอาเข้าไปหนักกว่าเก่า)


    ครั้งที่ 2 ที่ "มองเห็น" ผ่านมาหลังจากนั้นราวๆ 15 ปี กลับจากไปถวายผ้าไตรจีวรที่วัดวังปริง ต.คลองแงะกับพี่สาวและหลานชายหญิง พี่สาวเป็นคนขับ หลานชายนั่งข้างหน้า ดิฉันนั่งข้างหลังหลานชาย หลานสาวนั่งหลังคนขับ และเอามือเท้าแก้มข้างหนึ่งนั่งหลับหันหน้ามาทางดิฉัน พี่สาวอยู่คลองแงะ จะขับรถไปส่งดิฉันที่สะเดาก่อน แล้วค่อยตีรถกลับคลองแงะ

    เวลานั้นประมาณ 16:30 น. ช่วงถนนตรง ดิฉันมองเห็นแต่ไกลว่าบนกิ่งของต้นไม้บนเกาะกลางถนนกิ่งที่ยื่นมาหาถนนมีอะไรกลมๆ สีดำแขวนอยู่ ก็นั่งจ้องจนเข้าใกล้และรถแแล่นผ่านไป (ตอนนั้นพี่สาวขับเลนขวาเพราะถนนโล่ง) สิ่งนั้นคือหัวหุ่นลองเสื้อ เป็นหุ่นผู้หญิง ผมบ๊อบประมาณไหล่ ผูกกับกิ่งไม้โดยใช้ผมผูก หน้าตาก็แบบหุ่นน่ะแหละ ตอนขับผ่านสบตากันด้วย

    รถเพิ่งขับผ่าน ดิฉันก็เปรยว่า ใครเล่นบ้าๆ เอาหัวหุ่นมาผูกกับต้นไม้ แบบนี้กลางคืนรถส่องไฟเจอนึกว่าหัวคนไม่ตกใจตายเรอะ พี่สาวกับหลานชายที่นั่งหน้าก็ถามว่าอะไร? ไม่ทันสังเกต

    ปรากฏว่าทั้งรถมีดิฉันเห็นคนเดียว ก็อาจเป็นได้ว่าสองคนข้างหน้าไม่ทันสังเกตจริงๆ แต่หลานชายมากระซิบทีหลังว่า ตอนตีรถกลับ ซึ่งเวลาห่างกันแค่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เขาเล็งจ้องดูแล้ว ไม่มีหัวหุ่นอยู่

    ดิฉันไปถวายสังฆทานให้หัวหุ่นนั่นอีกรอบหลังจากนั้น พร้อมกับถามเจ้าอาวาสว่า ทำไมเขาไม่โผล่มาให้เห็นก่อนถวายผ้าไตรคะ (ฉันจะได้ไม่ต้องเสียเวลามาทำบุญให้อีกรอบ)

    หลวงพ่อท่านบอก บางครั้งเขาก็ไม่สามารถเลือกจังหวะเวลาได้หรอก

    ที่เคย "เห็น" มีแค่ 2 ครั้งนี้เท่านั้น ส่วนครั้งอื่นๆ นับไม่ถ้วน จะมาในแบบอื่นสารพัดรูปแบบ ส่วนใหญ่เป็นเสียง วัตถุเคลื่อนไหวเองได้ หายไปได้ชั่วขณะหนึ่งแล้วกลับมา และการกลั่นแกล้งแบบต่างๆ ซึ่งจะทยอยนำมาเล่าไปเรื่อยๆ ค่ะ
     
  2. Highlander

    Highlander เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    69
    ค่าพลัง:
    +325
    รอติดตามอ่านนะคะ
     
  3. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    สวัสดีค่ะคุณ Highlander ^__^


    จากเหตุการณ์เจอผีในห้องเช่าของตัวเอง ทำให้ดิฉันเกิดอาการปอดแหกกลัวผีขึ้นมา พี่ชายคนหนึ่งจึงไปเช่าหลวงพ่อทวดมาให้ ห้อยแล้วก็อุ่นใจขึ้นมาก ไม่เจออะไรอีก (น่าจะนะ มันนานมากแล้ว จำไม่ค่อยได้ รู้สึกว่าเพราะเจอผีในห้องตัวเอง ดิฉันจึงเริ่มใส่บาตร แต่ดันไม่กรวดน้ำ เพราะตอนนั้นยังขาดความรู้) จนเวลาล่วงมาถึงตอนเพิ่งจะสอบปลายภาคของเทอม 2 เสร็จ

    ตอนนั้นดิฉันมีเรื่องต้องติดต่ออาจารย์ จึงยังไม่กลับบ้าน และเพ่อนร่วมห้องตอนปี 2 ซึ่งมาปี 3 ย้ายไปอยู่หอในก็ยังสอบไม่เสร็จ เย็นวันนั้นดิฉันจึงขี่มอเตอร์ไซค์เข้าไปในมหาวิทยาลัย ชวนเพื่อนออกไปกินข้าวด้วยกัน เวลานั้นประมาณ 16:30 น.

    ขี่มอเตอร์ไซค์เลียบคลองตรงไปหอหญิง ผ่านสามแยกชื่อว่า "สามแยกหัวขาด" (ที่มาของชื่อคือเคยมีเด็กบนหอชายที่อยู่ตรงสามแยกนี้มองลงมาเห็นยามที่โดนโจรฟันคอขาดถือหัวเดินโต๋เต๋อยู่แถวนี้) ก่อนถึงสามแยกประมาณ 5 เมตร มีเชือกไนลอนสีเขียวเส้นเล็กทอดจากสายไฟลงมาบนพื้นถนนคอนกรีตสองเลน ดิฉันก็ขี่ลอดใต้เชือกไปไม่สนใจ เพิ่งขี่เลยสามแยกไปได้สัก 5 เมตร อยู่ๆ รู้สึกเหมือนตะกร้ารถไปชนลวดเหล็กที่ขวาอยู่ดัง "แกร้ง" แล้วล้มลงโดยแรงทันที

    ดิฉันใส่หมวกกันน็อคอย่างดีปิดหมดทั้งหัว ตอนล้มรู้สึกเหมือนเป็นภาพสโลโมชัน ได้ยินเสียงหูหมวกกันน็อคเสียดสีพื้นคอนกรีตชัดเจน และคิดในใจว่า "ฉันรู้แล้วว่าเวลามอเตอร์ไซค์ซิ่งโดนลวดขึงดักล้ม เขารู้สึกยังไง"

    รอจนรถหยุดไถล ก็เข็นรถลุกขึ้น หันไปดูเชือกไนลอนนั่นก่อนเลย ว่ามันพันล้อรถหรือเปล่า พบว่ามันก็อยู่ของมันเป็นปกติ แกว่งไกวตามสายลมเล็กน้อย และอยู่ไกลเกินกว่าจะมาพันล้อรถดิฉันได้

    หันมาสำรวจตัวเองและรถ กระจกรถหักกระเด็นหายไปข้างหนึ่ง อีกข้างห้อยร่องแร่ง หมวกกันน็อคพัง ต้องซื้อใหม่ (ใบละ 800 บาท แพงเอาเรื่องนะสำหรับสมัยนั้น T T) ส่วนตัวดิฉันเองแขนขวาแค่ถลอก เลือดไม่ออกเพราะใส่เสื้อแขนยาว ขาไม่มีแผลเพราะใส่ยีนส์ขายาว แต่หัวแม่เท้าข้างหนึ่งเลือดออกนิดหน่อยเพราะใส่แตะ ก็ขี่รถไปหาเพื่อนต่อ เล่าเหตุการณ์ให้ฟัง เพื่อนเลยเปลี่ยนมาขี่รถให้ พาออกไปหน้ามหาวิทยาลัยโดยผ่านอีกเส้นทาง พาแวะร้านหมอซื้อยาล้างแผลตามด้วยกินข้าวเสร็จ กลับเข้ามหาวิทยาลัยประมาณ 18:25 น. ดิฉันพาเพื่อนไปดูจุดเกิดเหตุ ปรากฏว่า เชือกไนลอนเส้นนั้นหายไปแล้ว หายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่มาก่อน

    ดิฉันอึ้งมาก เราสองคนรู้ดีว่าภารโรงไม่ขยันขนาดนี้ และถึงขยัน ก็ไม่ขึ้นไปแก้ปมเชือกบนสายไฟฟ้าแรงสูงแน่นอน เพื่อนมองหน้าดิฉัน แล้วบอกว่า อย่าผ่านเส้นทางนี้ไปสักระยะแล้วกัน

    หลังจากเปิดเทอม ดิฉันก็เลี่ยงเส้นทางนี้อยู่ 2 เดือน ตอนนั้นยังคิดว่า ขนาดห้อยหลวงพ่อทวดแล้ว ยังโดนขนาดนี้อีก (ความจริงถ้าไม่ห้อย อาจจะหนักกว่านี้)

    หลังากนั้นพี่ชายอีกคนก็ไปหาเช่าหลวงพ่อทวดองค์ที่ปลุกแสกแรงกว่า (และองค์ใหญ่กว่ามาก - -" ) มาให้ห้อยแทนองค์เดิม

    แต่ดูเหมือนเหตุการณ์รถล้ม (ทำเอาดิฉันเลื่อนเวลากลับบ้านออกไปอีก 1 อาทิตย์ รอแผลถลอกหายก่อน กลัวแม่เห็นแล้วถามถึง) จะเป็นจุดเริ่มต้นของสัมผัสที่ 6 ที่แรงขึ้นเรื่อยๆ ในปีนั้น
     
  4. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    ผีในสังคมไทยยุคโมเด้น จะเป็ฯอะไรที่มีอำนาจ
    ลี้ลับ กำหนดทิศทางของสังคมได้ ถ้าวางทิศทางของผีดีๆ

    กลไกทางสังคมไทนยุคโมเด้นเลยมักจะลดทอนอำนาจของผีลง
    ด้วยการง่ายๆเช่นกำหนดให้ผีไม่มี
    บางทีผีไม่มีเพราะอำนาจทางจารีต อำนาจทางสังคม อำนาจกฏหมาย อำนาจปกครอง
    ขับผีแรงกว่า น้ำมนต์ ตะกรุด หรือความศักดิ์สิทธิเสียอีก
     
  5. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    บางที่เราอยากให้คนเชื่อตามเราเพราะเราเชื่อแล้วว่าผีมี
    เช่นผมใเชื่อว่าผีมี
    แต่ปรกติเชื่ออยุ่คนเดียวก็พอไหว

    ทำไมเราต้องเอาผีออกมาให้คนอื่นเชื่อตาม


    ผมก็ขอคิดเองเออเอง
    บางทีกลไกทางสังคม จารีต ที่แย่งอำนาจการกำหนดทิศทางของชีวิตเรา
    อำนาจการปกครอง สื่อ โฆษณา
    มันมาแย่งอำนาจเรา

    เราเลยสื่อออกมาผ่านผี
    เป้ฯการประท้วงชนิดหนึ่ง
     
  6. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    อย่าโกดผมนะ
    ผมเชื่อว่าผีมีจริงๆ

    แต่การพูดถึงผีในยุคปัจจุบันมักมีแรงเสียดทานอย่างนี้
     
  7. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    อย่าโกรธผมนะ เหมือนผมมาขัดคอ
    หรือโกรธก็ได้อย่าโกรธนาน

    เวลาเล่าเรื่องผีแล้วมีคนเชื่อ

    มันสะใจ
     
  8. ดาวพุธ

    ดาวพุธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2007
    โพสต์:
    160
    ค่าพลัง:
    +483
    รอฟังต่อนะครับ เล่าต่อๆๆ :cool:
     
  9. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ขออภัย เมื่อคืนเร่งปั่นงานถึงเที่ยงคืน + วันนี้ติดธุระทั้งวัน ^^"


    หลังจากมอเตอร์ไซค์ล้มปริศนา แต่โชคดีที่สไลด์ไปทางถนนเลนขวา ไม่ได้สไลด์ลงคลองที่รู้สึกว่าน้ำจะสูงท่วมหัว ปิดเทอมครั้งนั้น ดิฉันขึ้นไปฝึกงานที่กรุงเทพฯ โดยอาศัยพักที่ห้องเช่าของพี่สาวคนที่ 4 อยู่ในอพาร์ตเมนต์

    พี่สาว 4 พักกับเพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเด็กที่ก็เป็นเพื่อนบ้านกับพวกเรา ในห้องมีเตียงใหญ่เดียว พี่สาวนอนกับเพื่อน ดิฉันนอนเตียงสำรองบนพื้น หัวนอนของดิฉันมีกระเป๋าเดินทางใบยักษ์ของพี่สาววางอยู่ชิดผนัง

    ชั้นล่างของอพาร์ตเมนต์มีตี่จู้อยู่ ดิฉันเป็นพวกไม่สวดมนต์ก่อนนอนด้วยความขี้เกียจ มานอนคืนแรกก็ไม่ได้สวดและไม่ขอเจ้าที่ พอคืนที่สอง พี่สาวถามว่าสวดมนต์ขออนุญาตเจ้าที่หรือยัง ดิฉันจึงสวด

    ผลคือ ในคืนนี้ ดิฉันได้ยินเสียงเหมือนคนทิ้งลูกสนุกเกอร์ดัง (ลูกบอลไม้) ตกกระทบพื้นแล้วกลิ้งกระดอนดัง "ต๊อก......ต๊อก...ต๊อกๆๆ" ดังมาจาก "ในผนัง" ตรงหัวนอนที่กระเป๋าเดินทางพี่สาววางชิดอยู่ ห่างจากศีรษธของดิฉัน 1 เมตร

    ถึงตรงนี้ต้องเล่าย้อนว่า บ้านของดิฉันที่สะเดาเป็นตึกแถวสามชั้นครึ่ง ชั้นสามมี 2 ห้องนอน คือห้องพี่ชายคนโต + พี่สะใภ้ห้องหนึ่ง หลานชาย 3 คนห้องหนึ่ง ดิฉันนอนอยู่ชั้น 2 ห้องอยู่ใต้ห้องของหลานชายพอดี ปกติดิฉันจะนอนกับพี่สาว 4 แต่ตอนนั้นพี่ไปเรียนต่างเมือง นานๆ จะกลับบ้านที ดิฉันจึงยึดครองห้องเพียงลำพัง

    น่าจะตั้งแต่ม.ปลายมั้ง ดิฉันเริ่มได้ยินเสียงเหมือนมีคนทิ้งลูกสนุกเกอร์ให้ตกกระทบพื้นแล้วกลิ้งกระดอนดังมาจากเพดาน เหมือนเสียงดังมาจากห้องของหลานชาย จะดังเฉพาะกลางคืน และดังอยู่ทุกวัน

    ทั้งที่ดิฉันทราบดีว่าในห้องของหลานชายไม่มีของเล่นชนิดนี้อยู่ แต่ก็ไม่เคยคิดจะหาคำตอบว่าเสียงนี้มันมาจากไหน มาได้อย่างไร อาจจะเป็นการป้องกันตัวเองโดยสัญชาตญาณก็ได้ที่ไม่พยายามจะหาคำตอบ

    แต่เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ปี 1 อยู่หอพักใน มี 4 ชั้น ดิฉันอยู่ชั้น 4 ชั้นบนสุด ก็ยังคงได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์นี้ดังมาจากเพดาน และเหมือนจะพอจำได้ว่า มักจะดังเวลาที่ดิฉันอยู่คนเดียว พี่เมทไม่อยู่ (ซึ่งพี่เมทก็เด็กกิจกรรมทั้งคู่ อยู่ห้องน้อยมาก) แต่เนื่องจากนอนฟังเสียงนี้มาหลายปีจนชินชา แม้จะรู้สึกว่ามันทะแม่งๆ ก็ไม่ได้ไปสนใจ

    อยู่ปี 2 หอพักนอก เป็นหอพักไม้ มี 2 ชั้น ดิฉันอยู่ชั้น 2 จำไม่ได้ว่าได้ยินเสียงนี้หรือเปล่า แต่ตอนปี 3 ย้ายมาอยู่หอสร้างใหม่ที่เจอผีในห้อง ได้ยินเสียงนี้ด้วยเช่นกัน แต่ดิฉันอยู่ชั้น 1 ดังนั้นก็พอจะหลอกตัวเองได้ว่า มันคือเสียงจากห้องข้างบน แต่ความจริงๆ ลึกๆ ในใจก็รู้อยู่แหละว่า เจ้าเสียงนี้ไม่ปกติ

    เมื่อมานอนห้องพี่สาวในกรุงเทพฯ แล้วได้ยินเสียงนี้หลังจากสวดมนต์ ก็ยิ่งพิสูจน์ให้ดิฉันรู้แน่แก่ใจว่า เสียงนี้มันโคตรจะไม่ปกติจริงๆ ด้วย เพราะปกติมันจะดังมาจากเพดานห้อง แต่หนนี้ ดังมาจากผนังห้องเลย...ไม่ใช่แม้แต่เหมือนดังมาจากห้องติดกัน

    แต่ดิฉันก็ไม่ได้บอกอะไรให้พี่สาวทราบ แค่เล่าเรื่องที่รถล้มแบบแปลกๆ ให้ฟัง

    (เรื่องไม่สวดมนต์ไม่ได้ยินเสียงกวน พอสวดมนต์ปุ๊บ เสียงกวนมาเยือน ดิฉันเล่าให้น้องที่เซ้นส์แรง มองเห็นผีเป็นปกติฟัง และถามความเห็น น้องเขาตอบว่า

    "ผีก็เหมือนคน บางทีก็ทำอะไรแบบที่เราไม่เข้าใจ กวนโอ๊ยก็มี 555"

    ไม่กี่วันต่อมา หลังจากพี่สาวเลิกงาน จึงพาดิฉันไปที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งเพื่อนร่วมงานของพี่ (ที่เป็นคนขับรถพาไป เป็นสาวใหญ่อายุประมาณ 40 กว่าปี ปัจจุบันเสียชีวิตแล้วด้วยโรคมะเร็ง) บอกว่ามีพระธุดงค์รูปหนึ่งมาจำวัด ท่านเก่งมากทั้งที่ยังหนุ่ม

    เมื่อเราสามคนเข้าไปใน...น่าจะเรียกว่าห้อง เพราะไม่ใช่โบสถ์ ที่พระธุดงค์ท่านนั่งอยู่ พระท่านทักดิฉันก่อนใครว่า

    "วิญญาณยังเป็นผู้ชายอยู่เลยนะ ชาติก่อนเป็นผู้ชาย"

    ดิฉันอึ้งไป 1 ดอก ประโยคถัดมาของท่านคือ

    "ข้างหลังมีวิญญาณมุสลิมตามมาเต็มเลย กลัวหรือเปล่า?"

    ดิฉันอึ้งไปอีกดอก นิ่งคิดนิดหนึ่ง แล้วตอบว่า "ไม่กลัวค่ะ ขอแค่อย่ามองเห็น"

    ท่านจึงบอกว่า "เป็นคนจิตแข็ง ไม่ต้องสวดมนต์ก่อนนอนก็ไม่เป็นไร ปกติอาจจะกลัวผี แต่เวลาเจอผีจริงจะไม่กลัว"

    จำได้ไม่ค่อยแม่นนัก ดูเหมือนดิฉันจะถามเรื่องที่รถล้ม และดูเหมือนท่านจะตอบทำนอง ผีมุสลิมพวกนี้ต้องการจะเอาตัวไปอยู่ด้วย แต่ท่านก็ไม่เห็นบอกให้ทำอะไรแก้เคล็ดสะเดาะเคราะห์เป็นพิเศษ ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน

    หลังจากนั้นดิฉันก็ไม่ได้ตั้งใจฟังอีก เพื่อนพี่สาวมากระซิบบอกทีหลังว่า แปลกดี ปกติท่านมีแต่แนะนำให้คนที่มาพบหมั่นไหว้พระสวดมนต์ ดิฉันเป็นรายแรกที่ท่านบอกว่าไม่ต้อง

    พี่สาวดิฉันมาบอกทีหลังว่า ท่านบอกให้ดิฉันหมั่นทำบุญไปให้บุเรงนอง ดิฉันไม่ได้ยิน เพราะไม่ตั้งใจฟัง แต่ก็งงมาก ว่าไปเกี่ยวอะไรกับบุเรงนอง?

    มหาวิทยาลัยของดิฉันอยู่ปัตตานี คนมุสลิมเยอะ ท่านไม่ได้ทราบเรื่องนี้ แต่บอกว่าผีมุสลิมตามอยู่เยอะ ยังเชื่อถือได้ แต่บุเรงนองเขาอยู่พม่า คนละภาคกันเลย มาเกี่ยวอะไรด้วย? -_-"

    แต่หลังจากนั้นเวลาใส่บาตร ก็จะเอ่ยชื่ออุทิศให้บุเรงนองด้วย

    พักอยู่ห้องพี่สาวได้ราวๆ สองสัปดาห์ก็ถึงเทศกาลสงกรานต์ที่ถนนในกทม.โล่งขนาดไปนอนแผ่กลางถนนได้

    แต่ว่าตั้งแต่คืนวันที่ 12 เมษายน เสียงที่ได้ยิน เปลี่ยนจากเสียงลูกสนุกเกอร์ เป็นเสียงสัตว์เลือยคลานชนิดหนึ่ง ร้องในจังหวะเดียวกับจิ้งจก คือร้องในจังหวะ

    "จ๊ก......จ๊ก...จ๊กๆๆๆ"

    (จะว่าไปจังหวะก็คล้ายเสียงลูกสนุกเกอร์กลิ้งกระดอนอยู่หรอก)

    แต่เสียงมัน...เหมือนสัตว์เลื้อยคลานคำราม เสียงลากๆ ฟังน่ากลัวชวนขนลุกมาก ตอนนั้นนึกถึงเสียงไดโนเสาร์ แต่ก็ไม่ใช่แบบในหนัง เสียงนี้ดังในตำแหน่งเดียวกับที่ลูกสนุกเกอร์ดัง คือตรงผนังห้อง เหมือนมันเกาะอยู่ตรงหนังห้องที่กระเป๋าเดินทางปิดอยู่ ห่างจากศีรษะของดิฉันแค่เมตรเดียว แต่ดิฉันกลัวมากจนไม่กล้าลุกขึ้นมาพิสูจน์ (เพราะรู้ว่าตรงนั้นมันจะไปมีอะไรเกาะอยู่ได้ไงเล่า) และกลัวจนไม่กล้าลุกมาเข้าห้องน้ำกลางดึก ทั้งที่ไฟห้องน้ำก็เปิดอยู่ และในห้องนอนกันตั้ง 3 คน

    ช่วงค่ำวันที่ 14 เมษายน โอเปอเรเตอร์ของอพาร์ตเมนต์กลับมาทำงานหลังจากหยุดสงกรานต์ ทำให้ดิฉันและพี่สาวได้ทราบว่า พี่เขย (สามีพี่สาวคนรอง) รถคว่ำเสียชีวิตเมื่อเวลา 22:30 น.ของคืนวันที่ 12 เมษายน

    ตอนนั้น ยังเป็นยุคของแพคลิงค์ โทรศัพท์ของแต่ละห้องในอพาร์ตเมนต์ โทรออกได้ โทรเข้าไม่ได้ ถ้าญาติใครโทรมา ต้องผ่านโอเปอร์เรเตอร์ที่ชั้นล่าง ดังนั้นเมื่อโอเปอเรเตอร์ลาหยุดสงกรานต์ ที่บ้านจึงแจ้งข่าวมาไม่ได้จนค่ำวันที่ 14 เมษา

    คืนนั้น ทั้งดิฉันและพี่สาว 4 นอนไม่หลับกันทั้งคู่ ด้วยความสงสารพี่สาวคนรองที่ลูกชายหญิงยังเล็ก (ลูกชาย 6 ขวบ ลูกสาว 2 ขวบกว่า) ดิฉันได้ยินเสียงพี่สาว 4 พลิกตัวไปมาทั้งคืน และเสียงสัตว์ประหลาดนี่มันก็ดังอยู่ทั้งคืน ตำแหน่งเดิมไม่ย้ายไปไหนเลย

    ตอนเช้า ตี 5 เพื่อนพี่สาวตื่นมาเพื่อขับรถไปส่งดิฉันที่สนามบิน กลับบ้านไปงานศพพี่เขย ดิฉันจึงเปรยกับพี่สาวว่า

    "จิ้งจกห้องมึงนี่ร้องเสียงแปลกดีเนอะ"

    พี่สาวกับเพื่อนมองหน้ากัน แล้วถามดิฉันว่า "จิ้งจกอะไร"

    ดิฉันจึงเลียนเสียงให้ฟัง แล้วบอกว่า "นอนฟังมาตั้ง 3 คืนแล้วเนี่ย ยิ่งเมื่อคืนนี้ร้องทั้งคืนเลย"

    พี่สาวกับเพื่อนก็เงียบไปพักใหญ่ แล้วบอกว่า

    "หลี หลีจะกลับบ้านคืนนี้แล้ว แต่ 4 แจ้กับพี่หญิงยังต้องนอนห้องนี้ไปอีกนาน"

    ดิฉันอึ้งมาก เพิ่งรู้ว่าเสียงนี้ ดิฉันได้ยินอยู่คนเดียว ทั้งที่เสียงมันดังมาก ยิ่งในความมืดและความเงียบหลังปิดไฟ ยิ่งดังเป็นพิเศษ

    จากเหตุการณ์นี้ ดิฉันจึงเริ่มรู้ตัวว่า บางทีเสียงลูกสนุกเกอร์นี้ อาจจะมีดิฉันได้ยินเพียงคนเดียวด้วยเช่นกัน



    กลับมาถึงบ้านที่สะเดา ช่วงงานศพพี่เขย (จัดที่คลองแงะ เพราะบ้านพ่อของพี่เขยอยู่คลองแงะ แต่บ้านที่อยู่กับพี่สาวรองอยู่หาดใหญ่ใน) พี่สาวจะเอาลูกสาวที่ยังเล็ก ไม่ควรให้อยู่ในงานศพ มาฝากให้ที่บ้านช่วยเลี้ยงชั่วคราว ค่อยมารับกลับช่วงแขกในงานศพกลับไปแล้วในแต่ละคืน

    ที่บ้านดิฉัน ตอนนั้นพ่อแก่มากแล้ว ขึ้นบันไดไม่ไหว พวกเราจึงทำห้องให้ท่านที่ชั้นล่าง และเป็นห้องนั่งเล่นของพวกหลานๆ ไปด้วยในตัว มีทีวีพร้อม

    ช่วงงานศพ มีอยู่คืนหนึ่ง ลูกสาววัย 3 ขวบของพี่ชาย 6 (ซึ่งพี่พาไปในงานศพมาแล้ว) ซึ่งนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นนี้กับพวกพี่ๆ คนอื่นๆ (หลานๆ ลูกของพี่ชายพี่สาวคนอื่นๆ ที่พ่อแม่ไปงานศพพี่เขยคนนี้) ได้นำเก้าอี้พลาสติกสำหรับเด็กนั่งขึ้นไปวางบนเตียงแบบเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลของคุณพ่อดิฉัน (ตอนนั้นพ่อดิฉันไม่ได้อยู่ในห้อง) แล้วพูดว่า "อาเตี๋ยอยู่บนเตียงอากง" จากนั้นออกไปนำน้ำแก้วหนึ่งมาวางหน้าเก้าอี้

    พวกหลานๆ ในห้องนั่งเล่นวงแตกในบัดดลค่ะ...เผ่นหนีออกจากห้องกันหมด

    วันต่อมา ดิฉันกลับมาบ้านแล้ว นั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นนี้กับหลานคนอื่นๆ ด้วย พี่สาวคนรองพาลูกสาวมาฝากให้ช่วยดูระหว่างพี่เขายุ่งกับงานศพ

    อยู่ๆ หลานสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ ดิฉันก็หันไปมองที่เตียงของพ่อดิฉันบ่อยๆ (เตียงว่าง พ่อดิฉันไม่อยู่ในห้อง) แล้วพูดขึ้นมาว่า

    "ผีป่าป๊านั่งอยู่บนเตียงอากง"

    ดิฉันก็...เอ่อ... "ผีป่าป๊า" เลยเหรอ...ปะป๊าได้ยินจะร้องไห้ไหมเนี่ย

    หลานคนอื่นเริ่มหน้าเสีย ดิฉันเฉยๆ หันไปไหว้ทางเตียงพ่อ เรียกทักทาย "เฮียหลิง" แล้วนั่งดูทีวีต่อ

    หลานคนอื่นเห็นดิฉันเฉยสนิท ก็ไหว้ทักทายตาม แล้วนั่งดูทีวีต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สักพักหลานสาวก็เอาเก้าอี้ขึ้นไปวางขนเตียงพ่อดิฉัน พวกเราก็ปล่อยไป แต่ดูเหมือนพี่เขยไม่ได้อยู่นาน ก่อนพี่สาวจะมา เมื่อดิฉันถามหลานสาวว่าป่าป๊ายังอยู่หรือเปล่า หลานสาวตอบว่าไม่อยู่แล้ว

    ตอนพี่สาวรองมารับลูกสาวคืนนั้น ดิฉันเล่าเหตุการณ์ให้ฟัง พี่สาวรองบอกว่าฝันเห็นสามีอุ้มลูกสาวมาพบ บอกว่าเป็นห่วงลูกสาว



    หลังงานศพ พี่สาวรองพาดิฉันไปหาหมอดูชื่อดังในหาดใหญ่คนหนึ่ง (ขอสงวนนาม) เพื่อถามเรื่องผีมุสลิมตามของดิฉัน หมอดูถามวันเดือนปีเกิดของดิฉันแล้วดูให้ ทั้งดูแบบญาณและดูไพ่ จากนั้นบอกว่า ตั้งแต่ดูดวงมา เพิ่งเคยเจอแบบดิฉันเป็นคนที่ 3 และ 1 ใน 3 คนคือตัวเธอเอง เธอบอกว่าดิฉันมีคุณสมบัติที่จะเป็นหมอดูแบบเธอได้ เป็นคนมีองค์

    ดิฉันตอบว่า ไม่อยากเป็นหมอดูหรือคนทรง เพราะตั้งใจจะไปเรียนต่อที่จีน จะจบมาเป็นนักแปลนิยายกำลังภายใน มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจนอยู่แล้ว

    หมอดูทำพิธีสะเดาะเคราะห์ให้ (แบบไหนก็ลืมไปแล้ว แต่ไม่ได้อลังการอะไร ดูเรียบๆ ธรรมดาๆ) จากนั้นแนะนำให้ใส่บาตรด้วยอะไร อธิษฐานยังไง ดิฉันกลับบ้านไปก็ทำตาม ถือว่าเหตุการณ์รำทึกช่วงปี 3 ได้จบลง

    ส่วนเสียงสัตว์ประหลาดนั้น ดิฉันสันนิษฐานว่า เป็นเสียงแจ้งเหตุความตาย แต่สัตว์นั้นคือตัวอะไร และทำไมดิฉันที่ไม่ได้สนิทกับพี่เขยเลยถึงได้ยิน ทั้งที่หลังจากนั้นมาหลายปี ตอนที่พ่อดิฉันเสีย ดิฉันกลับไม่ได้ยินเสียงบอกเหตุแบบนี้เลย แค่ฝันว่าพ่อเสียก่อนที่พ่อจะเสียจริง 1 ประมาณเดือน


    ต่อมา เมื่อขึ้นปี 4 ชีวิตที่ชินกับการเจอเหตุการณ์ประหลาดจึงได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการ
     
  10. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    เรื่องพี่เขยรถคว่ำเสียชีวิตนี้ ได้ยินว่า เคยมีคนทักพี่เขยมาก่อนหน้านี้แล้วว่า ดวงตกมณะ ให้ไปสะเดาะห์เคราะห์เสีย แต่พี่เขยไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ จึงไม่ได้สนใจ บวกกับก่อนหน้าอุบัติเหตุครั้งนี้ไม่กี่วัน พี่เขยดื่นเบียร์จนมึนแล้วหลับในตอนขับรถ สะดุ้งตื่นรถเสียหลักหมุนคว้างกลางถนน แต่ปลอดภัยไม่เป็นอะไร เขาจึงประมาททะนงตน

    มาเกิดอุบัติเหตุเพราะดื่มเบียร์จนมึนแล้วหลับในอีกครั้ง จึงไปจริงๆ ไม่โชคดีอย่างครั้งก่อนอีก
     
  11. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ขึ้นปี 4 จำได้แค่ว่าเจอเรื่องแปลกๆ ในห้องเฉลี่ย 1-2 เดือน/ครั้ง แต่ที่จำได้แม่นยำมีแค่ 2 ครั้ง เป็นเหตุการณ์ของหายไปชั่วคราว แล้วกลับมาที่เดิมทั้ง 2 ครั้ง

    ครั้งแรก ตอนนั้นในมหาวิทยาลัยจัดงานวัฒนธรรม ซึ่งตรงกับช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ดิฉันจึงชวนหลานชายคนโตและคนรองมาเที่ยวที่มหาวิทยาลัยและนอนค้างที่ห้องดิฉัน 1 คืน (ตอนนั้นหลายชายคนโตอยู่ ป.6 หรือ ม.1 นี่แหละ) กลางคืนพาหลานเที่ยวงาน ซือแมงมุมเรืองแสงสีขาวขุ่นให้หลานคนโต 1 ตัว ขนาดประมาณฝ่ามือ

    เที่ยงวันรุ่งขึ้น ระหว่างนั่งรอรถตู้มารับหลานชายกลับหาดใหญ่ ดิฉันนั่งอยู่ตรงโต๊ะญี่ปุ่นซึ่งวางชิดเตียงนอน ห่อปกพลาสติกให้หนังสือการ์ตูน หลานชายคนโตนั่งอ่านการ์ตูนตรงขอบเตียงชิดด้านข้างโต๊ะญี่ปุ่น หันหน้าหาดิฉัน แมงมุมวางอยู่มุมโต๊ะข้างๆ ขาหลานชายคนโต หลานชายคนรองนอนคว่ำอ่านการ์ตูนอีกฟากของเตียง

    ตำแหน่งของแมงมุมยาง จะอยู่ในรัศมีสายตาของดิฉันตลอด แต่ดิฉันก้มหน้าก้มตาทำงาน จึงไม่ได้สนใจ

    สักพัก หลานคนโตถามขึ้นว่า

    "แมงมุมหายไปไหนแล้ว?"

    ดิฉัน "ฏก็อยู่ตรงมุมโต๊ะนี่ไง"

    หลานคนโต "ไม่เห็นมี"

    ดิฉันเงยหน้าขึ้นดู เออแฮะ หายไปแล้วจริงๆ ด้วย

    "คงเผลอปัดตกมั้ง ลองหาดูสิ"

    ดิฉันลองเอามือปาดผ่านโต๊ะ (ก่อนหน้านี้น่าจะเคยเกิดเหตุของหายแบบนี้มาแล้ว แต่เวลานี้จำไม่ได้) แล้วพับโต๊ะเก็บ ช่วยกันหาสองคน พื้นที่มีอยู่แค่นั้น และไม่มีทางกลิ้งไปใต้เตียงได้เพราะไม่มีร่องใต้เตียง หากันพักหนึ่ง ดิฉันก็บอกว่า

    "ช่างเถอะ ไว้หาเจอแล้ว ค่อยส่งไปรษณีย์กลับไปให้"

    จากนั้นก็เลิกหา วางโต๊ะเหมือนเดิม ดิฉันทำงานต่อ หลานอ่านการ์ตูนต่อ ผ่านไปประมาณ 30 นาที ดิฉันเห็นอะไรแวบๆ ตรงหางตา เงยหน้าขึ้นดู เห็นแมงมุมยางวางอยู่ที่เดิม จึงบอกหลานชายว่า

    "นั่นไงบอย แมงมุมกลับมาแล้ว"

    หลานชายหันขวับมาดูอย่างเร็วทันที แล้วเงยหน้ามองดิฉันตาโต เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ดิฉันเห็นคนหน้าซีดลงต่อหน้าต่อตา ดิฉันจึงบอกหลานชายว่า

    "เรื่องปกติของห้องนี้ ก็แบบนี้แบบนี้แหละ"

    ตอนนี้หลานชายคนรองคงรู้สึกถึงความผิดปกติ ทิ้งหนังสือเข้ามาถามว่า "อะไรๆ?"

    เราสองคนไม่บอก ไล่ให้ไปนอนอ่านการ์ตูนต่อ

    เมื่อดิฉันกับหลานชายคนโตเอ่ยถึงเรื่องนี้กันอีกครั้งในตอนนี้ หลานชายคนโตบอกว่า

    "ประเด็นมันอยู่ที่เราพับโต๊ะตั้งขึ้นแล้วนี่สิโซ้ยโกว แล้วมันยังโผล่มาวางที่เดิมได้"

    นี่เป็นครั้งแรกที่มีพยานรู้เห็นเหตุการณ์แบบจะๆ



    ต่อมา เทอมสุดท้ายของปี 4 กับเหตุการณ์ของหายไปชั่วคราวครั้งที่ 2

    หนนี้ ของที่หาย คือชี้ทที่ต้องอ่านเพื่อสอบย่อยในวันมะรืน หาเท่าไหร่ก็หาไม่พบ

    ปกติดิฉันจะแยกชี้ทเป็นวิชาๆ ใส่แฟ้มอย่างชัดเจน เว้นแต่ชี้ใหม่ที่เพิ่งได้มา จะยังคงกองไว้บนเตียง (เตียงคิงไซส์ ใช้นอนครึ่งเดียว อีกครึ่งวางชี้ท วางการ์ตูน วางนิยายไปตามเรื่อง)

    ดิฉันจำได้ว่าชี้ทอยู่ในกองชี้ทใหม่ ก็หยิบมาหาดูทีละแผ่นๆ ตามด้วยหาในแฟ้มทีละแผ่นๆ ทีละแฟ้มๆ ทำแบนี้รวมแล้ว 6 รอบ หาไม่พบ ก็นึกขึ้นได้ว่าเพื่อนเคยขอยืมไปซีร็อกซ์ ไปโทษเพื่อนอีกว่าอาจจะไม่คืน และโกรธมาก สรุปคือไปขอยืมของเพื่อนอีกคนซีร็อกซ์แล้วเอามาอ่าน ที่โกรธเพราะเนื้อหามันยาก ตอนเรียนอุตส่าห์ตั้งใจฟังอาจารย์และจดเต็มที่ สุดท้ายต้องมายืมของคนอื่นที่จดไม่ละเอียดเท่าเรา

    หลังจากสอบย่อยเสร็จ สังหรณ์ใจ ลองหาดูใหม่ในกองชี้ทใหม่ รอบเดียวเจอทันที และวางอยู่ในตำแหน่งที่ไม่มีทางหาไม่เจอเด็ดขาด คืออยู่ถัดจากแผ่นโฆษณา

    อารมณ์ดิฉันตอนนั้นคือโกรธมาก เพราะเอาชี้ทที่ต้องใช้อ่านสอบไปซ่อนแบบนี้ กระทบผลการเรียนของเราโดยตรง ดีนะที่นี่แค่สอบย่อย ถ้าเป็นการสอบปลายภาคละก็ ไม่อยากจะคิด ด้วยความโกรธ เลยพูดออกไปเสียงดังในห้องว่า ต่อไปถ้ามาทำกันแบบนี้อีก ได้เห็นดีกันแน่

    แล้วหลังจากนั้น ในห้องนั้นก็ไม่เกิดเหตุการณ์ของหายอีกเลยจนเรียนจบ...ถ้าจำไม่ผิดนะคะ

    ตอนเรียนจบและย้ายของกลับบ้าน ดิฉันยังนึกอยู่เลยว่า คนที่มาอยู่ห้องนี้ต่อจากดิฉัน จะเจออะไรแปลกๆ ในห้องเหมือนที่ดิฉันเจอไหม? แต่ดิฉันเป็นเจ้าของห้องนี้คนแรก และเป็นคนทำให้ห้องนี้มีข่าวลือว่าเป็นห้องผีสิง (ช่วงเวลา 2 ปีที่อยู่ห้องนี้ ถึงเพื่อนจะมาที่ห้องกันค่อนข้างบ่อย ทั้งมาทำรายงาน มายืมชี้ท มาให้ดูไพ่ยิปซีให้ (ดิฉันซื้อมาดูเล่น เปิดตำราไปดูไป แต่เพื่อนบอกว่าแม่น 80% หลังจากเรียนจบก็เลิกเล่น) แต่จะต้องชวนกันมาทีละหลายคน ไม่กล้ามาคนเดียว) บางทีพอดิฉันย้ายออก ผีก็อาจจะย้ายออกตามไปด้วยก็ได้



    ตอนเรียนปี 4 ดิฉันได้สนิทกับรูมเมทของเพื่อนเอกเดียวกัน รูมเมทเพื่อนเรียนคนละคณะกับดิฉัน มีสัมผัสที่ 6 ด้านมองเห็นเวลาดวงตก เธอบอกว่า ปกติเธอจะเห็น 2 แบบ ถ้ามาแบบเห็นรูปร่างหน้าตา จะเห็นไม่เต็มตัว เช่นมาแค่หัวถึงเอว ไม่มีขา ถ้าเห็นเต็มตัว จะเป็นเงาดำ

    ดิฉันจะออกไปทานข้าวกับรูมเมทเพื่อนบ่อยมาก โดยขี่มอเตอร์ไซค์คนละคนไปโต้รุ่งกัน มีหนหนึ่ง ตอนขี่ผ่านหน้าโรงพยาบาล รูมเมทเพื่อนหันมาจะคุยกับดิฉัน แล้วกลับเงียบ ดิฉันก็นึกอยู่แล้วว่าเธอคงเห็นอะไร เมื่อไปถึงร้านข้าว ระหว่างกิน ดิฉันจึงถาม เธอบอกว่าเธอเห็นคนนั่งซ็อนท้ายดิฉันตอนขี่ผ่านโรงพยาบาล

    ดิฉันตอบว่า ก็พระท่านบอกว่ามีผีตามเราเป็นฝูง เขาจะขี้เกียจวิ่งตามลอยตาม จะขึ้นมานั่งซ้อนท้ายบ้างก็ไม่แปลกนะ



    ช่วงเรียนจบและรอเวลาไปเรียนต่อที่จีน ดิฉันอาศัยนอนที่บ้านพี่ชาย 7 เพราะห้องนอนดิฉัน คุณแม่ยกให้พี่สะใภ้ 6 ที่กำลังอยู่เดือนหลังคลอดลูกสาวคนที่สองพักอยู่แทน

    ช่วงเวลาที่พักอยู่บ้านพี่ชาย 7 ก็ปกติดี ไม่มีเรื่องแปลกประหลาดอะไร แต่มาเจอเรื่องแปลกอีกครั้งเมื่อไปเรียนที่ปักกิ่ง
     
  12. kungzaza88

    kungzaza88 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    413
    ค่าพลัง:
    +536
    มารอฟังด้วยคนครับ
     
  13. อำนวยกรณ์

    อำนวยกรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    515
    ค่าพลัง:
    +1,931
    ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าที่เสียสละเวลาแบ่งปัน
     
  14. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    คุณ kungzaza88 @ ยินดีต้อนรับค่ะ ^__^

    คุณ อำนวยกรณ์ @ ยินดีค่ะ ^__^


    <>::<>::<>


    ตั้งแต่เกิดเรื่องรถมอเตอร์ไซค์ล้มปริศนา พี่ชาย 5 ได้ไปเช่าหลวงพ่อทวดอีกองค์มาให้ เมื่อดิฉันบอกว่ามีอยู่แล้ว พี่ชาย 7 เช่ามาให้ พี่ชาย 5 บอกว่า ที่พี่ชาย 7 เช่ามาให้นั่นรุ่นเมตตา ขอให้ผีเมตตาอย่ามาทำร้าย แต่ที่พี่เช่ามาให้คือรุ่นไล่ผี แรงกว่า ดิฉันจึงคืนรุ่นเมตตาพี่ชาย 7 ไป และเปลี่ยนมาสวมรุ่นไล่ผีของพี่ชาย 5 แทน จะได้ผลหรือไม่ก็ตาม สวมไว้ก็อุ่นใจดี และสวมไปเรียนที่ปักกิ่งด้วย

    ปีแรกที่ไปเรียนที่ปักกิ่ง พักอยู่หอพักสำหรับนักศึกษาต่างชาติของมหาวิทยาลัย ห้องหนึ่งพักกัน 2 คน รูมเมทของเทอมแรกเป็นนศ.ชาวญี่ปุ่นอายุพอๆ กัน ชื่ออายาโนะ คาเนโกะ

    ช่วงท้ายๆ เทอม อยู่มาวันหนึ่ง เราสองคนออกไปข้างนอกกันทั้งคู่ ดิฉันกลับเข้าห้องก่อน ช่วงประมาณ 5 โมงเย็นที่ฟ้ามืดสนิทแล้ว (หน้าหนาวฟ้าจะมืดเร็วมาก) พบว่าตะขอพลาสติกวางอยู่บนปลายเตียงของดิฉันหนึ่งตัว ทีแรกนึกว่าอายาโนะซื้อมาให้ พอหยิบขึ้นมา อ้าว...ใช้แล้วนี่นา งั้นคงจะเป็นตะขอบนประตูตู้เสื้อผ้าของอายาโนะตกลงมา ดิฉันหันไปดูตู้ของอายาโนะ ก็ใช่อย่างที่คิด จึงนำไปวางที่เตียงของอายาโนะให้

    หนึ่งชั่วโมงต่อมา อายาโนะกลับมา จะออกไปล้างหน้า พอจะหยิบผ้าขนหนู พบว่าตกอยู่กับพื้น ก็ทำท่าหาใหญ่ ดิฉันจึงบอกว่า ถ้าหาตะขอ มันวางอยู่บนเตียงเธอนะ อายาโนะทำหน้าตื่น ถามว่า

    "มันไปอยู่บนเตียงฉันได้ยังไง?"

    ดิฉัน "ฉันเอาไปวางเองแหละ ทีแรกมันอยู่ปลายเตียงฉัน"

    อายาโนะ "แล้วมันกระเด็นขึ้นไปถึงบนเตียงเธอได้ยังไง?"

    ดิฉันหยุดอ่านหนังสือ หันมาดูอย่างจริงจัง เออจริงแฮะ ระยะจากประตูตู้ถึงปลายเตียงประมาณ 3 เมตร เตียงสูง 50 cm. มันไม่มีทางกระเด็นขึ้นมาบนเตียงได้แน่ ฐานตู้มีรองเท้าวางอยู่ ลดแรงกระแทกด้วย

    จากนั้นดิฉันกับอายาโนะก็ทดลงทิ้งตะขอลงพื้นจากตำแหน่งความสูงที่ตะขอเคยอยู่กัน พบว่าต่อให้ทิ้งลงพื้นตรงๆ ไม่มีรองเท้ารองข้างล่าง ตะขอก็กระเด็นไกลแค่ 1 ฟุตเท่านั้น

    เช้าวันรุ่งขึ้น อยู่ๆ อายาโนะก็ถามดิฉันว่า ได้มาหยิบจับแปรงสีฟันของเธอหรือเปล่า? (เธอติดแผงสำหรับใส่ยาสีฟันกับแปรงสีฟันไว้ตรงพนักเตียง เป็นช่องใหญ่ตรงกลางสำหรับใส่หลอดยาสีฟัน สองข้างเป็นช่องเล็กสำหรับเสียบแปรงสีฟัน)

    ดิฉันบอก แล้วมันเรื่องอะไรฉันถึงจะไปแตะต้องแปรงสีฟันเธอกันล่ะ? -_-"

    อายาโนะ "ฉันก้ว่างั้นแหละ ก็แค่ลองถามดู เพราะฉันจำได้แม่นว่าก่อนนอน ฉันเสียบมันไว้ทางซ้าย แต่พอตื่นมา มันย้ายมาอยู่ทางขวา"

    โอละพ่อ ผีมันฟิตอะไรเนี่ย ย้ายของติดกันสองวันซ้อนเลย

    ด้วยเหตุการณ์นี้ ดิฉันจึงเล่าประสบการณ์ที่ตัวเองเคยเจอมาให้อายาโนะฟัง และบอกว่าอยู่ที่ห้องนี้ ดิฉันก็ได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์ดังมาจากเพดานเหมือนกัน

    อายาโนะบอกว่า เธอไม่เคยได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์แบบที่ดิฉันบอกเลย

    แต่มีอยู่วันหนึ่ง น่าจะช่วงค่ำๆ เรากลับได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์นี้พร้อมกัน อายาโนะมองดิฉันหน้าตาตื่น บอกว่าเธอไม่เคยได้ยินเสียงแบบนี้มาก่อนเลยนะ เราขึ้นไปถามห้องข้างบนกันไหมว่าเขาทำอะไร?

    แต่สุดท้ายจนอายาโนะเรียนจบเทอมกลับญี่ปุ่นไป เราสองคนก็ไม่ได้ขึ้นไปถามห้องข้างบน



    ช่วงที่เป็นรูมเมทกับอายาโนะ จะมีเพื่อนร่วมห้องและเพื่อนชาวญี่ปุ่นของอายาโนะมาเที่ยวที่ห้องบ่อยๆ ก็สุมหัวคุยกัน บางทีคุยเรื่องผี พยายามเล่าด้วยปากและมือกันไปตามระดับภาษาจีนของแต่ละคน ได้ประเด็นน่าสนใจมาไม่น้อย

    เช่น อายาโนะเล่าเรื่องของยายว่า น่าจะพี่หรือน้องหรือญาติของยายเธอ สมัยยังหนุ่ม/สาว บ้านอยู่บ้านนอกมาก เป็นป่าเขา และเคยโดนสุนัขจิ้งจอกหลอกให้เดินหลงทางในป่า ตื่นมามีรอยเท้าสุนัขจิ้งจอกประทับอยู่บนตัวเสื้อด้านหลังเต็มไปหมด

    เช่น ดิฉันเล่าเรื่องเปรตในเมืองไทย ปรากฏว่า เพื่อนชายอินโดนีเซีย มาเลย์เซีย และฟิลิปปินส์บอกว่า ในประเทศของพวกเขาก็มีเรื่องเล่าเกี่ยวกับเปรตเหมือนกัน แต่เพื่อนชาวญี่ปุ่นกับฝรั่งบอกว่าไม่เคยได้ยิน สรุปเหมือนจะมีแต่ในเอเชียอาคเนย์



    เทอม 2 รูมเมทเปลี่ยนเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายไต้หวัน อายุมากกว่าดิฉัน 5-6 ปี เป็นสาวสวยคุยเก่ง ฉลาด และเพื่อนเยอะ (ส่วนใหญ่เพื่อนอเมริกันด้วยกัน)

    เนื่องจากพ่อแม่ของธอทำงานในปักกิ่ง แต่อยู่ชานเมือง ปกติรูมเมทจึงจะแวะไปค้างบ้านพ่อแม่ช่วงเย็นวันศุกร์ และกลับมาเช้าวันจันทร์เพื่อไปเรียนตามปกติ

    ช่วงท้ายเทอม (อีกแล้ว) เช้าวันจันทร์วันหนึ่ง อยู่ๆ รูมเมทก็เอารูปถ่ายที่เธอถ่ายกับเพื่อนชาวอเมริกันอีกคนที่ดิฉันก็รู้จักมาให้ดู ดิฉันก็อืมๆ เธอถ่ายกับอเล็กซ์ ทำไมเหรอ? รูมเมทชี้ที่สร้อยซึ่งตัวเองสวมอยู่ในรูป และบอกว่า ตอนออกไปเธอถอดวางไว้บนโต๊ะ ตอนนี้มันหายไปแล้ว

    ดิฉัน "เฮ้ย!! เราไม่ได้หยิบไปนะ!"

    รูมเมท "เรารู้ แต่คิดว่าแม่บ้านอาจจะเข้ามาทำความสะอาดแล้วหยิบไป"

    ดิฉัน "ไม่มีทางแน่นอน ห้องเราอยู่สุดทางเดินตันนะ เราอยู่ห้องตลอด เว้นแต่ตอนอาบน้ำซึ่งเป็นตอนค่ำที่แม่บ้านเลิกงานไปแล้ว"

    รูมเมทจึงลองหาสร้อยต่อไป ปรากฏว่าเจอมันกระโดดข้ามกองนิตยสารที่วางขวางเป็นตั้งสูงอยู่ขอบโตะไปตกอยู่ด้านหลังพนักเตียง รูมเมทบอกว่า ถ้าแม่บ้านขโมย คงเอาออกไปเลย ไม่โง่ทิ้งมันไว้ตรงนี้หรอก

    จากนั้นเราสองคนจึงมาจับเข่าเล่าเรื่งผีกัน รูมเมทเล่าว่า เธอเคยมีแฟนที่คบหากันมา 7 ปี เป็นคนอเมริกันเชื้อสายฟิลิปปินส์ (โดนเธอบอกเลิกตอนไอ้หนุ่มขอแต่งงาน แต่เธอยังไม่พร้อมจะสละโสด - -" ) ครั้งหนึ่ง แฟนเธอไปต่างเมืองด้วยธุระเรื่องงาน เช่าห้องโรงแรมนอนด้วยงบบริษัท เป็นห้องสูทที่เป็นห้องชุด

    คืนนั้น อยู่ดีๆ ทีวีในห้องนั่งเล่นก็เปิดเอง แฟนเธอคิดว่าน่าจะมีใครแอบเข้ามาในห้อง เลยค้นทั่วห้อง แต่ไม่พบ จึงปิดทีวีแล้วนอน ปรากฏว่ามันเปิดเองอีกแล้ว หนนี้แฟนเธอพบว่า ถังขยะในห้องน้ำที่วางอยู่ใต้อ่างล้างหน้าถูกเอาขึ้นมาวางบนอ่าง ในถังวางแก้วน้ำที่เดิมทีเป็นแกวใหม่ยังไม่แกะถุงอยู่ ถึงโดนแกะแล้ว และในแก้ว มีมะนาวฝานที่มีรอยโดนฟันกัดวางอยู่ชิ้นหนึ่ง

    แฟนเธอแล่นลงไปที่ฟรอนท์ทันที เรียกผู้จัดการโรงแรมมา บอกว่าโอเค ผมจะไม่ปากโป้งเด็ดขาด คุณบอกผมมาตามตรงเถอะว่า ห้องที่ผมพักมีปัญหาอะไร มีประวัติอะไรหรือเปล่า? ผู้จัดการโรงแรมยืนกรานปฏิเสธ แต่แฟนรูมเมทก็ขอย้ายห้องหรือย้ายโรงแรมไปเลย แบบ ไม่ขอนอนห้องนั้นต่อแล้ว

    รูมเมทบอกว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่เชื่อว่าผีมีจริง เพระมีประวัติศาสตร์การเจอผีในทุกประเทศในโลก แต่ไม่ค่อยเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง เพราะคิดว่าเป็นการสร้างเรื่องขึ้นเองขององค์การนาซ่ามากกว่า

    หลังเรียนจบเทอมนี้ ดิฉันก็ย้ายออกไปเช่าคอนโดคนจีนอยู่นอกมหาวิทยาลัย เหตุผลหนึ่งเพราะห้องมันเล็กไป หนังสือที่ดิฉันขนซื้อมา ทั้งหนังสือเรียนและหนังสือนิยายไม่พอให้วาง บวกกับไม่อยากให้รูมเมทต้องมาเดือดร้อนเพราะพวกผีที่ตามดิฉันอยู่อีก (อุตส่าห์ตามมาเที่ยวถึงปักกิ่งทั้งโขยง น่าจะทั้งโขยง เพราะตั้งแต่ครั้งแรกที่โดนพระท่านทักจนถึงปัจจุบัน มีแต่หมอดู/คนทรงบอกว่า มีผีตามดิฉันฝูงใหญ่ทั้งนั้น)
     
  15. คำเอี้ยง

    คำเอี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +115
    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวที่นำมาเล่ามาแชร์กันนะคะ

    ว่าแต่...คุณรู้เหตุผลรึยังว่าทำไมถึงมีผีเป็นฝูงตามอยู่ แล้วผีเหล่านั้นต้องการอะไรคะ

    ถ้าเป็นเรา เราคงหาทางรู้ให้ได้ว่าที่เค้าตามอยู่(ถ้ามีจริงอ่ะนะ) เค้าต้องการอะไร และจะทำยังไงที่จะช่วยปลดปล่อยเค้าให้ไปในที่ๆดีกว่านี้ได้
    น่าจะดีกว่าปล่อยให้เค้าตามอยู่แบบนี้แหละนะ
     
  16. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ตอบคุณคำเอี้ยงค่ะ

    ณ ตอนนั้น ดิฉันไม่รู้คำตอบค่ะ ด้วยเหตุผลหลายๆ ประการ และตอนนี้ แม้จะรู้คำตอบแล้ว ก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะคำตอบเป็นเรื่องที่เชื่อได้ยาก

    ความจริงแล้วหลายๆ เรื่องในโลกนี้ ใช่ว่าเราอยากจะหาคำตอบ พยายามขวนขวายหาคำตอบ แล้วจะได้รับคำตอบดังที่เราต้องการเสมอไป โดยเฉพาะคำตอบของเรื่องเหล่านี้

    แม้แต่หมอดู คนทรง ก็ยังมีระดับความแตกต่างของความแม่นยำ ขึ้นอยู่กับระดับความแก่กล้าของวิชา ความสูงส่งของบารมีแต่ละคน และการจะได้พบ ได้รู้จัก มีใครแนะนำหมอดู/คนทรง หรือแม้แต่พระเกจิเก่งๆ ให้ ต้องอาศัยวาสนาของเรากับของท่านว่ามีความผูกพันจะได้พบกันในเวลานั้นหรือไม่ เหมือนเช่นที่ดิฉันบังเอิญได้พบพระธุดงค์รูปนั้น แต่ท่านก็ไม่ได้บอกอะไรมากเกินกว่าที่ท่านจะบอกได้ เพราะกรรมใครกรรมมัน รับผิดชอบกันเอาเอง

    และบังเอิญว่า คนรอบตัวที่ทราบเรื่องของดิฉัน ไม่มีใครที่รู้จักหมอดู คนทรง หรือพระเกจิที่จะสามารถให้คำตอบแก่ดิฉันได้ เก่งสุดที่ได้พบก็แค่คนที่ช่วยปิดสัมผัสที่ 6 ให้ ซึ่งน่าแปลกที่เธอดูดวงให้ดิฉันแม่นยำแค่ประมาณ 50% และแม่นยำน้อยลงเรื่อยๆ ในภายหลังดิฉันจึงไม่ได้ไปหาเธออีก

    ขณะที่ ตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นมา หมอดูที่ดิฉันเจอ มีแต่ที่เก่งพอตัวทั้งนั้น ให้คำตอบได้ในระดับที่ดิฉันโอเค และช่วยแก้ปัญหาให้ดิฉันได้


    <>::<>::<>


    เล่าต่อนะคะ


    หลังจากย้ายไปอยู่หอนอก อยู่ชั้น 1 ของคอนโด ต้องขี่จักรยานไป-กลับมหาวิทยาลัยประมาณ 3 กิโลเมตร ชีวิตก็ปกติสุขดี เสียงสนุกเกอร์ก็ดังเป็นปกติ ชื่อดิฉันในหอพักมหาวิทยาลัยก็ให้รูมเมทคนใหม่ เป็นคนมาเก๊ายืมใช้โดยจ่ายค่าเช่าห้องแทนดิฉัน เพื่อที่เธอจะได้ยึดครองห้องนั้นคนเดียว

    ช่วงที่อยู่คอนโดแห่งนี้ 2 ปี เหตุการณ์แปลกๆ มีไม่มาก แต่รุนแรง และใน 2 ปีนี้ มีอยู่ปีหนึ่งที่น้ำท่วมหาดใหญ่ มีคนตายหลายร้อยคน ตอนนั้นดิฉันติดตามข่าวทางเว็บบอร์ดชั่วคราวของ จส.100 ตลอด

    ขอเล่าจากเหตุการณ์ที่ไม่รุนแรงก่อน ที่จำได้มีแค่ วันหนึ่ง ดิฉันอ่านนิยายผีของแก้วเก้าติดลมถึงตี 5 จึงเลิกอ่าน ออกไปเข้าห้องน้ำ (อยู่นอกห้องนอน) แล้วกลับเข้าห้องนอนมาจะเข้านอน

    จากประตู ต้องเดินผ่านตู้หนังสือกระจก ตู้เสื้อผ้า ถึงจะเลี้ยวขึ้นเตียงได้ ตอนเดินเข้าประตูมา ปิดประตูแล้ว จะเดินผ่านตู้เสื้อผ้า อยู่ๆ ตู้เสื้อผ้าก็สั่น ดิฉันก็หยุด หันไปดู ตู้ก็หยุดสั่น (ตอนนี้คือสามารถเอื้อมมือไปเปิดตู้ได้) ดิฉันจึงเดินต่อไม่สนใจ ระหว่างเดินผ่านตู้ ตู้ก็สั่นอีก แต่ดิฉันไม่หยุดเดิน ตู้สั่นแค่ 1-2 วินาทีก็หยุด เมื่อดิฉันเลี้ยวจะขึ้นเตียง ตู้ก็สั่นอีกรอบ ดิฉันขึ้นมานั่งบนเตียง หันหน้าหาตู้ และจ้องดู ว่ามันยังจะสั่นอีกกี่รอบ และประตูตู้จะเปิดผัวะ มีอะไรโผล่ออกมาไหม?

    ปรากฏว่าเงียบ ตู้หยุดสั่นโดยสิ้นเชิง ดิฉันจึงปิดไฟ เข้านอน เลิกสนใจ

    วันรุ่งขึ้น เล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนในคณะฟัง (คนจีน) เพื่อนบอกว่า อาจจะเป็นเพราะรถไฟแล่นผ่าน พื้นเลยสะเทือนก็ได้ 2-3 วันต่อมาดิฉันจึงลองตื่นช่วงตี 4-5 เพื่อมารอฟังดู แต่ตู้ก็ไม่สั่นอีกเลย ที่สำคัญคือ ตู้หนังสือมีกระจกวางขนาบชิดตู้เสื้อผ้าทั้งซ้ายขวา แต่ตอนตู้เสื้อผ้าสั่น กระจกของตู้หนังสือไม่ยักสั่นไปด้วย

    ก็เป็นปริศนาต่อไปว่าตกลงมันสั่นเพราะอะไรกันแน่



    ต่อมา มีอยู่หนหนึ่ง จักรยานของดิฉันเบรกเสีย จึงไปซ่อมที่ร้านในมหาวิทยาลับ ช่างเปลี่ยนเบรกใหม่ให้ แต่แล้ว ภายในเวลย 2-3 วัน ต้องเปลี่ยนเบรกใหม่ถึง 3 ครั้ง โดยทั้ง 3 ครั้งเบรกหักครึ่งป๊อกคาที่ และ 2 ใน 3 ครั้ง หักตอนเช้าหนหนึ่ง ตอนบ่ายหนหนึ่ง และหนหนึ่งหักตอนกดเบรกเพื่อจะหยุดรถตรงสี่แยก ดีที่ขี่ไม่เร็ว จึงใช้พื้นรองเท้าเบรกแทนได้



    อีกเหตุการณ์ที่ไม่ได้เกี่ยวกับผี แต่กระทบชีวิตดิฉันคือ คุณพ่อดิฉันเสียในปีที่ 2 ที่ดิฉันพักอยู่คอนโดนี้ และก่อนท่านเสีย 1 เดือน ดิฉันฝันว่าท่านเสีย แต่ก็ไม่ได้คิดว่าเป็นลางสังหรณ์อะไร เพราะก็เคยฝันว่าญาติพี่น้องคนอื่นเสีย แต่เขาก็อยู่ดีมาสุขมาถึงปัจจุบันกันทุกคน



    เหตุการณ์สุดท้าย หนเดียวแต่รุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเจอมา

    คืนนั้น เสียงสนุกเกอร์ไม่ได้มาทีละลูก มาทีละหลายลูก และมีเสียงลูกแก้วแถมมาด้วย มีทั้ง 1 ลูก และเหมือนเทลูกแก้วเต็มจานลงพื้น ระดับเสียงดังมากเหมือนมีใครเปิดวิทยุจนสุดอยู่ในห้อง ดิฉันกลัวมากจนร้องตะโกนด่าออกไป เสียงนี้ก็ไม่หยุด กลัวมากจนร้องไห้ เปิดไฟแล้วเสียงก็ไม่หยุด ไม่หายไป สุดท้ายเสียงพวกนี้ดังอยู่นาน 2 ชั่วโมงก็เงียบไป

    หลังจากนั้นดิฉันนอนเปิดไฟขวัญผวาอยู่หลายคืน แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่เกิดขึ้นอีกเลย

    ปิดเทอมครั้งนี้ ตอนกลับบ้าน ดิฉันขอให้พี่สาวช่วยพาไปทำพิธีปิดสัมผัสที่ 6 ให้แบบปิดตายมันไปเลย เพราะสิ่งนี้ไม่ได้ช่วยให้ชีวิตดิฉันดีขึ้น มีแต่เป็นภาระ และมหาวิทยาลัยที่ดิฉันเรียน เรียนยากมาก ลำพังแค่ตามเพื่อนคนจีนให้ทันก็จะกระอักเลือดแล้ว จึงไม่ต้องการเพิ่มสัมผัสที่ 6 มาเป็นภาระรบกวนการอ่านหนังสือ

    ตอนหมอดู (คนเดิม) จะทำพิธีให้ ดิฉันเกิดอยากรู้ขึ้นมา จึงถามหมอดูว่า เทพประจำตัวของดิฉันคือใคร?

    (ตอนนั้นเข้าใจเอาเองว่าน่าจะเป็นบรรพบุรุษคนไหนสักคนของตัวเอง เพราะได้ยินมาว่า หมอดูคนนี้มีเทพคอยกระซิบบอก และเทพที่ว่าเป็นบรรพบุรุษคนหนึ่งของหมอดูเอง)

    แต่โดนหมอดูตอบกลับมาว่า "ในเมื่อไม่คิดจะรับเขาแล้ว จะอยากรู้จักเขาไปทำไม?"

    เลยจ๋อยไปเลย

    หลังจากปิดสัมผัสที่ 6 แล้ว ชีวิตก็สบายขึ้นมาก ไม่เจอเสียงรบกวน ไม่มีเสียงสนุกเกอร์อีก
    เปิดเทอมใหม่ ดิฉันย้ายไปอยู่คอนโดแห่งใหม่ ใกล้มหาวิทยาลัยมากขึ้น มี 2 ห้องนอน เพราะเตรียมไว้ให้หลานชายคนโตที่จบม.6 แล้ว จะตามมาเรียนที่ปักกิ่งด้วยกันในปีหน้า (คือคนที่ร่วมเจอเหตุการณ์แมงมุมหายด้วยกัน)

    ได้ยินหลานชายบอกว่า เขาก็ได้ยินเสียงลูกสนุกเกอร์ เพียงแต่ไม่ได้ยินถี่เท่าที่ดิฉันได้ยิน และเคยโดนผียืนล้อมเตียงเขาคุยเสียงดังจ้อกแจ้กในห้องคอนโดที่อยู่กับดิฉันหนหนึ่ง เขารำคาญเลยตวาดด่าไป ผีก็เงียบหาย ที่ห้องคอนโดที่อยู่กันสองอาหลานแห่งนั้น หลานชายเจอผีก็หนนั้นหนเดียวในเวลา 2 ปีที่เขาพักอยู่ที่นั่น ส่วนดิฉันไม่เจออะไรแปลกๆ อีกเลย

    เรื่องผีที่ตาม ดิฉันเข้าใจเอาเองว่า คงจะตามมาขอส่วนบุญ ช่วงนั้นเวลาใส่บาตร หรือถวายสังฆทาน จึงเน้นอุทิศให้เหล่าวิญญาณที่เขาตามดิฉันอยู่ หวังว่าได้รับแล้วก็สลายตัวไปเถอะ อย่าเที่ยวมาตามอยู่เลย แต่ก็ไม่ได้ติดตามผลว่าพวกเขายังอยู่หรือแห่กันไปหมดแล้ว เนื่องจากความจริงดิฉันไม่มีนิสัยชอบดูหมอ ถ้าไม่ได้เกิดเรื่องเดือดร้อนที่รู้ว่าเกิดจากวิญญาณกระทำ ดิฉันจะไม่สนใจไปถามไถ่หมอดู

    วันเวลาแสนสงบสุขผ่านมาได้ราวๆ 9 หรือ 10 ปี แล้วจึงกลับมาอีกครั้งอย่างโคตรโหดในปีที่น้ำท่วมกรุงเทพฯ ปี 2555 จนเหมือนกับว่า ที่เคยเจอมาก่อนหน้านี้ทั้งหมด เป็นแค่การโหมโรง ของจริงจะเริ่มนับจากนี้ไป
     
  17. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    จุดเริ่มต้นของการกลับมาของสัมผัสที่ 6 หลังจากถูกปิดไปนานเกือบ 10 ปี

    มูลเหตุคือ ดิฉันพิมพ์หนังสือแปลของตัวเองเรื่องหนึ่งเสร็จ และนัดน้องที่รู้จักหลายคนมาช่วยแพคหนังสือที่ห้องเช่าของตัวเองในกรุงเทพฯ


    เมื่อวันพฤหัส ที่ 27 ม.ค. ซึ่งดิฉันนัดผู้ที่สะดวกมารับหนังสือด้วยตัวเอง เนื่องจากมีผู้มารับรวม 50 ชุด ซึ่งถือว่าเยอะมาก จึงมีน้อง 2 คนมาช่วยเตรียมและขนหนังสือด้วย คือน้องป.กับน้องภ. เนื่องจากน้องภ.ว่างพอจะสามารถอยู่ช่วยดิฉันเป็นเวลาหลายวันติดกันได้ จึงเตรียมเสื้อผ้ามาอยู่ค้างที่อพาร์ตเมนต์ดิฉัน

    ห้องที่ดิฉันพักคือห้อง 602 อยู่ชั้น 6 เป็นห้องที่อยู่ติดบันได

    อพาร์ตเมนต์ที่อยู่นี้เพิ่งสร้างเสร็จเมื่อเดือนสิงหาคมปี 53 สภาพใหม่เอี่ยมดูดี ดิฉันอยู่มา 3 เดือนกว่า ไม่เคยมีปัญหาอะไร ทั้งชั้น 6 มีคนพักแค่ 3 ห้อง คือ 601, 602 และ 612 ดิฉันจึงเปิดห้องชั่วคราว 2 ห้องเพื่อเอาไว้ใช้วางของและแพคหนังสือโดยเฉพาะ คือห้อง 603, 604 โดยที่ห้อง 603 อยู่ตรงข้ามห้องของดิฉัน ส่วนห้อง 604 อยู่ติดกัน

    หลังจากส่งหนังสือให้ผู้ที่มารับที่เมเจอร์รัชโยธินเสร็จ น้องป.ก็แยกกลับบ้าน ดิฉันกับน้องภ.กลับไปที่อพาร์ตเมนต์ ดิฉันให้น้องภ.นอนที่ห้อง 604

    เช้าวันที่ 28 น้องภ.ตื่นสายเล็กน้อย หลังจากดิฉันไปปลุกเรียกและมาเริ่มทำงานแพคหนังสือกันแล้ว น้องภ.เล่าให้ดิฉันฟังว่า เมื่อคืนเธอเปิดไฟนอนทั้งคืน และเอากองหนังสือไปวางไว้ที่อีกฟากของเตียง (เตียงใหญ่ขนาด 2 คนนอน) ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำเวลาไปนอนในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย

    ตกดึก หลังจากที่เธอหลับไปได้ครู่หนึ่ง ก็จะพลิกตัวหันไปทางอีกฟากเตียง แต่ปรากฏว่า...ไม่สามารถพลิกตัวได้ เพราะติดใครบางคนนอนอยู่ชิดหลังของเธอ ทีแรกเธอไม่แน่ใจ จึงลองพยายามพลิกตัวอีกครั้ง ปรากฏว่าติดคนที่นอนอยู่ชิดหลังเธอจริงๆ เธอจึงเริ่มสวดมนต์

    เมื่อสวดมนต์จบบท คนที่นอนอยู่ชิดหลังเธอก็หายไป เธอจึงลุกขึ้นเปิดประตูห้องออกไปดูระเบียงหน้าห้อง...ไม่มีใคร เปิดประตูบานเลื่อนกระจกดูระเบียงหลังห้อง...ก็ไม่มีใคร จึงกลับไปนอนต่อแบบหลับๆ ตื่นๆ จนถึงหกโมงเช้า เธอจึงลุกขึ้นไปเปิดม่านของประตูบานเลื่อนกระจกหลังห้อง แล้วต้องตกใจอย่างมากเมื่อพบว่า...ระเบียงหลังห้องของห้อง 604 ตรงกับถนนทางสามแพร่งพอดี ซึ่งหากไม่ได้พักอยู่ห้อง 604 และเปิดดูระเบียงหนังห้อง จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าหลังห้องตรงกับทางสามแพร่งพอดี

    น้องภ.ตกใจมาก ปิดม่านกลับไปนอนต่อแบบหลับๆ ตื่นๆ จนดิฉันมาเคาะประตูเรียก เพราะนอนไม่ค่อยหลับทั้งคืนถึงได้ตื่นสาย ดิฉันฟังจบก็บอกให้น้องภ.เก็บของย้ายมานอนด้วยกันที่ห้องของดิฉันแทน

    วันศุกร์ ที่ 28 ดิฉันกับน้องภ.แพคหนังสือไปเรื่อยๆ โดยไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งวัน ตกกลางคืน เราทำงานกันที่ห้อง 603 โดยน้องภ.ช่วยตรวจเช็คคัดหนังสือเสียออก และใส่ที่คั่น,โปสการ์ดในเล่ม โดยแพคที่คั่น, โปสเตอร์, โปสการ์ดจะอยู่ในห้อง 604 ทั้งหมด โดยดิฉันได้เปิดประตูห้อง 603, 604 ทิ้งไว้และเปิดไฟสว่างตลอด

    เมื่อโปสการ์ด/ที่คั่นที่เตรียมมาที่ห้อง 603 หมด น้องภ.ก็ต้องกลับไปเอาเพิ่มที่ห้อง 604 น้องภ.ก็บ่นๆ ว่าโปสการ์ดกับที่คั่นหมดแล้ว แล้วเดินออกไปเอา และกลับห้องมา ผ่านไปอีกพักใหญ่ น้องภ.ก็พูดขึ้นอีกว่าโปสการ์ดกับที่คั่นหมดแล้ว ต้องไปที่ห้องนั้นอีกแล้ว ไม่ค่อยอยากไปเลย คราวนี้ดิฉันจับน้ำเสียงได้ จึงบอกว่า งั้นดิฉันจะเดินไปเป็นเพื่อน

    เมื่อเดินเข้าไปในห้อง 604 ตอนกลางคืน ขอบอกว่าดิฉันเพิ่งเคยอยู่ในห้อง 604 ตอนกลางคืนเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่มีตอนก้าวเข้าไปคือ บรรยากาศในห้องนี้อึดอัดแปลกๆ จริงๆ และขนลุกเล็กน้อย ไฟในห้องสว่างน้อยกว่าห้องที่ดิฉันอยู่ ทั้งที่ทุกอย่างเหมือนกัน ห้องทาสีขาว ผ้าห่มก็สีขาว ผ้าม่านก็สีเดียวกัน ดิฉันยืนรอจนน้องภ.เอาที่คั่นและโปสการ์ดเสร็จ ก็ช่วยขนไปที่ห้อง 603 ถือว่าคืนนี้จบลงโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    วันเสาร์ที่ 29 จะมีน้องมาช่วยแพคหนังสืออีกหลายคน คือ น้อง B, K, M, D ดิฉันนัดน้องที่มาช่วยเพิ่มทุกคนไว้ที่เวลา 8:00 น. ดิฉันกับน้องภ.ตื่นมาเริ่มงานแต่ 7 โมงเช้า เนื่องจากมีของบางอย่างต้องไปซื้อเพิ่ม ดิฉันจึงกะว่ารอน้องที่มาช่วยมากันแล้วค่อยออกไป จึงไปเปิดประตูห้อง 604 เปิดม่านเปิดประตูกระจกบานเลื่อนและเปิดประตูทิ้งค้างไว้ให้โล่งตลอด

    น้อง M โทรมา บอกว่ามาใกล้ถึงแล้ว ดิฉันจึงออกไปรับที่จุดนัดพบ ตอนเดินออกไป น้อง B โทรเข้ามาหา บอกว่ามาถึงแล้ว จึงรับน้อง B กลางทางก่อนถึงจุดนัดพบ แล้วเดินไปที่จุดนัดพบเพื่อรับน้อง K กับ M ที่มาด้วยกัน ระหว่างทางดิฉันเล่าให้น้อง B ฟังว่าคืนวันที่ 27 เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้องภ. เมื่อเดินไปถึงจุดนัดพบ น้อง K,M ได้เดินข้ามสะพานลอยมาหา ดิฉันกับน้อง B ยืนรอที่ตีนสะพาน แล้วจึงเดินกลับอพาร์ตเมนต์ของดิฉันดัวยกันสี่คน ดิฉันก็เล่าซ้ำอีกครั้งว่าคืนวันที่ 27 เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับน้องภ.

    กลับไปถึงห้อง ดิฉันพาน้องทั้งสามคนไปที่ห้อง 604 ที่เปิดไว้โล่งตลอด พาไปดูระเบียงหลังห้อง ดูทางสามแพร่งที่ว่า จากนั้นจ่ายงานให้น้องๆ ช่วยกันทำ ก่อนจะออกไปซื้อของที่แมคโคร

    ตอนดิฉันยืนรอลิฟต์ น้อง M ได้วิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา กระซิบถามดิฉันว่า ดิฉันพกพระหรือเครื่องรางอะไรติดตัวบ้างหรือเปล่า ดิฉันบอกว่าไม่มี น้อง M ก็บอกว่า เมื่อกี้ตอนดิฉันพาไปที่ห้อง 604 น้องเธอไม่รู้สึกอะไรเลย แต่เธอขนลุกตอนที่ดิฉันเข้าใกล้ รู้สึกรุนแรงมากมาตั้งแต่ตอนเดินลงจากสะพานลอยไปหาดิฉันที่ยืนรออยู่ตรงตีนสะพาน พอดิฉันเดินออกห่างเธอก็หายขนลุก ดังนั้นเธอจึงแน่ใจว่า ตอนนี้ใครที่เดิมทีอยู่ที่ห้อง 604 ได้ย้ายมาตามตัวดิฉันแล้ว เธอจึงอยากให้ระหว่างที่ออกไปซื้อของที่แมคโคร ให้ดิฉันหาทางทำบุญหรืออะไรสักอย่างด้วย

    ดิฉันฟังแล้วอึ้งไปนิด บอกขอบใจไป เมื่อออกมาเรียกแท็กซี่ขึ้นนั่งไปแมคโคร ก็โทรศัพท์ไปหาพี่ N ซึ่งมีประสบการณ์ด้านนี้และมีวิธีรับมือ ให้ช่วยพาดิฉันไปทำสังฆทานด่วนจี๋

    ตอนโทรไปเป็นเวลา 09:10 น. พี่ N งัวเงียบอกว่า ถ้าจะเอาด่วนก็ไปที่วัดสามย่าน แต่ต้องรอพี่เขาตอกบัตรเข้าทำงานก่อน (พี่เขาเข้าทำงาน 10:30 น.) ดิฉันจึงนัดว่าอย่างนั้นดิฉันจะซื้อของที่แมคโครกลับไป สั่งงานให้เรียบร้อยก่อน ค่อยออกไปหาพี่ N ที่ที่ทำงาน เพราะท่าทางได้ยุ่งยาวไปถึงเที่ยงแน่นอน พี่ N ก็ตกลง

    ระหว่างที่นั่งรถไปซื้อของที่แมคโคร น้อง T (คนนี้ ปัจจุบันได้มาเป็นพนักงานถาวรของดิฉัน) ได้โทรมาหาบอกว่ามาถึงแล้ว ดิฉันจึงให้น้องคนอื่นช่วยออกไปรับ ตอนนั่งรถขากลับหลังซื้อของเสร็จ น้อง M โทรมาบอกดิฉันว่า หลังจาก T มาถึงไม่นาน ก็ไปสะดุดธรณีประตูห้อง 604 จนเลือดออกเยอะหยดเป็นทาง ตอนนี้ทำแผลเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากทุกคนที่แพคของรู้เรื่องห้อง 604 กันหมด มีแต่ T ที่ไม่รู้ ทุกคนจึงพร้อมใจกันไม่บอกให้ T รู้

    (น้อง T มาบอกทีหลังว่าแปลกใจเหมือนกันว่าทำไมแค่สะดุดธรณีประตูเลือดออก ทุกคนถึงดูซีเรียสกันจัง)

    ตอนนั่งแท็กซี่ขากลับจากแมคโคร ดิฉันโทรหาพี่ M อีกครั้ง เล่าให้ฟังอย่างละเอียดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ N ฟังจบก็บอกว่า วัดสามย่านคงไม่ได้แล้ว พี่ N จะพาดิฉันไปทำสังฆทานที่วัดนิกายธรรมยุตซึ่งพี่เขานับถือ กับไปไหว้ศาลเจ้าแม่ทับทิมขอยันต์คุ้มครอง + ไล่ผี

    พี่ N เล่าว่า เมื่อวาน (วันศุกร์) น้องชายพี่เขาเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุ ขี่มอเตอร์ไซค์แล้วโดนรถที่ออกจากซอยมาชนแรงมาก (หรือขี่ออกจากซอยแล้วโดนรถที่แล่นผ่านมาชนนี่แหละ) ซึ่งดูจากสภาพการณ์แล้ว น้องชายพี่ N ควรจะตัวกระเด็นไปไกลและบาดเจ็บหนัก แต่กลายเป็นว่าไม่เป็นอะไรเลย ขณะที่ฝ่ายเข้ามาชน คนนั่งซ้อนท้ายเข้าโรงพยาบาล พี่ N คิดว่า นี่เป็นเพราะยันต์เจ้าแม่ทับทิมที่ติดอยู่หน้ามอเตอร์ไซค์ช่วยไว้

    น้องชายพี่ N นิสัยเหมือนพ่อพี่ N คือไม่เคยเข้าวัดไม่เคยจุดธูปเลย แต่เชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าแม่ทับทิม ตอนซื้อรถมอเตอร์ไซค์ น้องชายพี่ N จึงขอให้แม่ช่วยไปขอยันต์มาแปะไว้ที่หน้ารถ พี่ N จึงกะจะไปไหว้ขอบคุณเจ้าแม่ทับทิมด้วย

    กลับถึงอพาร์ตเมนต์ ดิฉันก็รีบอาบน้ำ แล้วลงไปกินข้าวเช้าควบข้าวเที่ยงกับน้องภ. ดิฉันเล่าให้น้องภ.ฟังว่าน้อง M บอกอะไรดิฉัน น้งภ.บอกว่า มิน่า ตอนเธออยู่ใกล้ดิฉันถึงได้รู้สึกขนลุกตลอด พอดิฉันไม่อยู่ก็หายขนลุก รู้สึกชัดมากตอนที่ดิฉันออกไปซื้อของ พอดิฉันกลับมาและเข้าใกล้ เธอก็ขนลุกอีกแล้ว (น้อง M ก็บอกแบบนี้ อันทำให้เธอแน่ใจว่ามีบางอย่างติดตามดิฉันอยู่จริงๆ)

    หลังจากดิฉันสั่งงานเสร็จ ก็ออกเดินทางไปหาพี่ N คราวนี้ย้ายสถานที่นัดพบเป็นสถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพง ไม่ทราบว่าเป็นเพราะโดนทักหรือเปล่า ทำให้ดิฉันเหมือนอุปาทานว่ามีคนตามไปด้วยตลอดทางจริงๆ

    เมื่อได้พบพี่ N ที่สถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพง พี่ N ยื่นกระจกยันต์แปดเหลี่ยมให้ดิฉันเป็นอย่างแรก บอกว่าแม่พี่เขาฝากมาให้ และบอกมาว่าให้พี่ N พาดิฉันไปไหว้ศาลเจ้าปอเต็กตึ๊งขอยันต์เพิ่ม + สะเดาะเคราะห์ด้วยกันเหนียว พี่ N ก็รีบพาดิฉันไปซื้อของถวายสังฆทาน (เนื่องจากช่วงนั้นใกล้ตรุษจีน รถจึงติดมากสุดๆ x_x” )

    ตอนที่ถวายสังฆทานและพระท่านเริ่มสวดมนต์บทถวายสังฆทาน น้องแพรวก็โทรเข้ามาพอดี รบกวนสมาธิช่วงกรวดน้ำอย่างกับมารผจญ ถึงจะรู้ว่าน้องเขาไม่ได้ตั้งใจ แต่ดิฉันก็คิดว่าอาจจะไม่ใช่บังเอิญ เพราะหลังจากนั้นจากที่สังเกต ระหว่างกรวดน้ำ จะมีหลายครั้งที่โทรศัพท์ดังกวน จนในภายหลังจะจำไว้เลยว่าเวลาไปถวายสังฆทาน จะต้องปิดมือถือ

    ถวายสังฆทานเสร็จก็ไปศาลเจ้าแม่ทับทิม ขอยันต์เหลือง (ฮู้) มา 15 ใบ ไว้ปิดทั้งประตูหน้าและประตูกระจกบานเลื่อนของห้อง 602, 603, 604 และแจกน้องที่มาช่วยแพคหนังสือทุกคน ตามด้วยไปศาลเจ้ามูลนิธิปอเต็กตึ๊ง ขอฮู้แดงมา 2 ใบ ไว้แปะประตูกระจกของห้อง 602, 604 (แอบคิดว่าน่าจะขอมา 3 ใบนะเนี่ย - -") กว่าจะเสร็จขั้นตอนเหล่านี้ ก็ปาเข้าไปบ่ายสามกว่า

    ขอบอกว่า ตั้งแต่เจอกันจนไหว้ศาลเจ้าปอเต็กตึ้งเสร็จ พี่ N นั่งเงียบทำหน้าซีเรียสตลอด และบอกว่ามึนหัวเมารถ จนเมื่อไหว้ศาลเจ้าแม่ทับทิมเสร็จ ระหว่างนั่งแท็กซี่ไปศาลเจ้าปอเต็กตึ๊ง พี่ N ค่อยทำท่าโล่งอกมาก ยิ้มออก และบอกว่า ตั้งแต่ตอนที่ดิฉันเดินเข้าไปใกล้ที่สถานีรถไฟใต้ดินหัวลำโพง พี่แกก็มึนศีรษะมาก ซึ่งพี่แกจะมีอาการนี้ก็ต่อเมื่ออยู่บนทางแพร่ง (สามแยก, สี่แยก เช่นสี่แยกวัดหัวลำโพง) คือมีปฏิกิริยากับที่ที่มีสิ่งเหล่านั้นอยู่มาก แสดงว่าดิฉันพาใครตามไปด้วยจริงๆ และ “แรง” น่าดูชม ถึงขนาดทำให้พี่แกมึนหัวได้ (ปกติพี่ N มีภูมิต้านทานสูงมาก ไม่แรงพอนี่อย่าหวังว่าพี่แกจะรู้สึก)

    กลับถึงอพาร์ตเมนต์อีกครั้งตอนบ่ายสี่โมงครึ่ง ดิฉันรีบแปะกระจกที่แม่พี่ N ให้มากับฮู้แดงจากศาลเจ้าปอเต็กตึ๊งใบหนึ่งตรงประตูกระจกห้อง 602 และแปะฮู้แดงอีกใบที่ประตูกระจกหลังห้อง 604 กับแจกยันต์เหลืองให้น้องๆ ที่มาช่วยแพคของทุกคน เปิดเน็ตหาเบอร์สั่งซื้อกล่องพัสดุ แล้วออกไปเอาของด้วยกันกับพี่ N ยังไม่ติดยันต์เหลืองก่อน เพราะต้องเอาไปเคลือบ แล้วค่อยติด

    จำไม่ได้ว่าระหว่างที่นั่งแท็กซี่ หรือตอนไหน น้อง M ได้เล่าให้ดิฉันฟังว่า ตอนที่ดิฉันยังไม่กลับมาจากไปขอยันต์ K กับ B ทำงานกันที่ห้อง 604 ส่วน M, T, ภ. ทำงานกันที่ห้อง 603 ตอนบ่ายใกล้เย็น ภ.เข้าห้องน้ำ ส่วน T นั่งห่อหนังสืออยู่ตรงชั้นวางทีวี M นั่งห่อหนังสืออยู่ที่โต๊ะ อยู่ๆ ประตูห้องก็แง้มเปิดออกเองเล็กน้อย เมื่อ M ที่นั่งห่อหนังสืออยู่ที่โต๊ะเหลือบไปมอง ประตูก็ปิดเข้าหากันเองทันที ซึ่งในจังหวะที่ประตูแง้มเปิดและปิดเองนี้ ภ.ที่เข้าห้องน้ำอยู่พบว่ามีคนเขย่าลูกบิดประตู

    T และ M เห็นประตูเปิดและปิดเอง T นึกว่าใครมาเปิดประตู จึงลุกเดินเปิดประตูออกไปดู ปรากฏว่าไม่มีใคร จังหวะที่ T เดินออกไป ภ.ก็ออกจากห้องน้ำมาถาม M ว่าเมื่อกี้ใครเคาะประตูหรือ เมื่อ M บอกว่าไม่มี ภ.จึงบอกว่าเมื่อกี้มีคนเขย่าลูกบิดประตูห้องน้ำ

    เมื่อดิฉันขนกล่องพัสดุกลับมาเรียบร้อย ก็เป็นอันจบงานในวันนี้ ดิฉันต้อนน้องๆ ออกไปเลี้ยงข้าวที่ห้างใกล้ๆ โดยตอนลงลิฟต์ ผ่านเคานเตอร์ธุรการ มีแม่บ้านกับผู้จัดการอพาร์ตเมนต์อยู่ ดิฉันจึงเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น ทั้งสองคนหน้าเหวอดูตกใจมาก รีบบอกว่าที่นี่ไม่เคยมีประวัติอะไรจริงๆ ดิฉันจึงบอกว่าก็ใช่ เพราะดิฉันอยู่มาสามเดือนกว่าโดยไม่มีปัญหาอะไรเลย แต่ตอนนี้ปัญหามันเกิดขึ้นแล้ว ดังนั้นขอแนะนำด้วยความหวังดีว่า ให้ทางเขาช่วยหาทางแก้ไขเสีย ตอนเล่าดิฉันแทนคำว่าผีด้วยคำว่า “คุณสุกี้น้ำ” ตามที่เคยเจอคนใช้ในกระทู้เล่าเรื่องผีในพันทิป ^^

    หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ น้อง B, M, K แยกย้ายกลับบ้าน น้อง T กลับบ้านไม่สะดวก จึงขออยู่ค้างหนึ่งคืน พี่ N ให้พวกดิฉันไหว้เจ้าพี่แบบเต็มพิธีการ จึงอยู่ช่วยจัดการเป็นธุระให้ก่อน พวกเรา ดิฉัน พี่ N น้องภ. และน้อง T จึงพากันไปเซ็นทรัลลาดพร้าวเพื่อเคลือบยันต์และซื้อของไหว้

    ซื้อของเสร็จขึ้นลิฟต์กลับถึงห้อง ปรากฏว่า...ประตูห้อง 603 ที่ตอนออกไปแน่ใจว่าล็อคเรียบร้อยแล้ว...กลับแง้มเปิดอยู่ประมาณ 10 ซม.

    พวกเราตกใจมาก พี่ N บอกว่าอาจจะเป็นขโมย จึงสั่งให้ดิฉันโทรตามผู้จัดการอพาร์ตเมนต์ทันที และสั่งทุกคนว่าห้ามแตะลูกบิดเด็ดขาด เพื่อจะได้ไม่ไปกลบลายนิ้วมือโจร

    รออยู่พักหนึ่ง เจ้าของอพาร์ตเมนต์และภรรยาซึ่งนอนอยู่ชั้น 8 ก็ลงมา (ผู้จัดการคงโทรบอกเจ้าของ) พวกเราเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ฟังว่าตอนออกไปล็อคห้องเรียบร้อยแล้ว กลับมากลับเจอแบบนี้ เจ้าของฯจึงให้พวกเราทุกคนลงไปดูกล้องวงจรปิดด้วยกันที่ห้องธุรการชั้นหนึ่ง

    เจ้าของฯรีเพลย์กล้องไปจนถึงตอนที่พวกเราออกจากห้องไปกินข้าวกัน มองเห็นว่าปิดประตูล็อคห้องเรียบร้อย แต่เนื่องจากกล้องมีแค่ตัวเดียว คือสุดปลายทางเดิน แถวหน้าห้อง 612 และขยายภาพไม่ได้ จากมุมมองของกล้องจึงดูความเคลื่อนไหวของบานประตูห้องต้นๆ ยากมาก

    พวกเรานั่งดูจนตาเริ่มลาย จากออกไปกินข้าวจนกลับเข้ามา ไม่พบใครขึ้นมาบนชั้น 6 เลย และไม่เห็นว่าประตูขยับจนดิฉันเปิดไฟหน้าห้องเพิ่มระหว่างรอเจ้าของฯมาถึง เพื่อความชัดเจน เจ้าของฯจึงให้ภรรยาขึ้นไปชี้ห้องที่พวกเราจ้องกันอยู่ ภรรยาเจ้าของฯไม่กล้าขึ้นไปคนเดียว น้อง T จึงอาสาขึ้นไปเป็นเพื่อน (ภรรยาเจ้าของเรียก “คุณสุกี้น้ำ” ตามดิฉันด้วย เพราะผจก.เล่าให้เธอฟังโดยใช้คำนี้แทนคำว่าปี๋ ฟังแล้วแอบขำค่ะ)

    เมื่อทั้งสองคนขึ้นไปชั้น 6 และชี้ประตูห้องให้ดู พวกเราถึงค่อยรู้ว่า พวกเราจ้องผิดห้องมาตลอด คือดันไปจ้องประตูห้อง 605 ที่จะมองเห็นลูกบิดโผล่มานิดหนึ่ง และจากมุมของกล้อง จะไม่สามารถมองเห็นลูกบิดประตูของห้อง 603 ตลอดจนความเคลื่อนไหวของประตูได้เลย (ประตูและผนังทาสีขาวกลืนกันหมด แต่ลูกบิดเป็นสีทองแดงเข้ม จึงมองเห็นได้ง่าย

    ที่น่าประหลาดใจคือ...ทั้งที่นั่งจ้องกันมาแต่แรกว่า พวกดิฉันออกมาจากประตูไหนตอนไปกินข้าว แต่หลังจากนั้น ทุกคนที่นั่งต้องความเคลื่อนไหวของประตู กลับพร้อมใจกันจ้องผิดห้องหมดทุกคน คือไปจ้องประตูห้อง 605

    อย่างไรก็ตาม สรุปว่าไม่มีขโมย พวกดิฉันก็กลับขึ้นห้องไป เอายันต์เหลืองที่เคลือบเรียบร้อยแปะประตูหน้าหลังของห้อง 602, 603, 604 และเตรียมของไหว้เจ้าที่เสร็จ พี่ N ก็ขอตัวกลับ พวกดิฉันรอจนธูปไหม้หมด ก็เก็บของกลับขึ้นห้องอาบน้ำ

    อาบน้ำเสร็จ พี่ N โทรมาหาดิฉัน บอกว่า หลังจากที่พี่เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้แม่ฟัง แม่ของพี่เขาก็ออกความเห็นว่า ดิฉันพักอยู่ที่ชั้นนั้นห้อง 602 มาสามเดือนกว่าโดยไม่มีเรื่องผิดปกติอะไร แต่พอพวกน้องๆ มาช่วยแพคของก็เกิดเรื่อง มีความเป็นไปได้สูงว่า ในบรรดาน้องที่มาช่วยแพคของ มีบางคนที่ไปดึงเขามา + หลายคนที่กำลังดวงตก เพราะสามารถดึงเขามาจนสร้างเหตุการณ์ได้ขนาดนี้ ไม่ใช่ฝีมือ 1-2 คนแน่นอน เพราะคนหลายคนที่ดวงตกและมีพลังในการดึงผีเข้าหาตัวมาอยู่รวมกัน บวกกับดันไปเปิดห้อง 604 ที่โดยเลขของมันก็ไม่เป็นมงคลอยู่แล้ว (เลข 6 อัปมงคลของฝรั่ง เลข 4 หมายถึงความตายในธรรมเนียมจีน) หลังห้องยังดันไปตรงกับทางสามแพร่งพอดีอีก หลายๆ ปัจจัยรวมกัน จึงมีอำนาจดึงผีตรงทางสามแพร่งมาเข้าห้องสูงมาก

    พี่ N บอกว่า ตอนดิฉันพาพี่เขาไปที่ห้อง 604 เพื่อแปะยันต์ ตอนเดินไปถึงหน้าห้อง พี่เขารู้สึกได้ชัดเจนว่ามีลมแรงมากพลุ่งจากในห้องออกจากประตูมาปะทะหน้า ทั้งที่ตอนนั้นประตูกระจกหลังห้องปิดอยู่และเปิดแอร์ อยู่ในห้องพี่แกก็มึนหัวมาก หลังจากแปะฮู้แดงแล้ว ถึงค่อยหายมึนหัว พี่แกจึงแน่ใจอย่างยิ่งว่าห้อง 604 มีปัญหาสุดๆ

    หลังจากแปะยันต์เสร็จหมด น้อง M และภ.เองก็บอกว่า หายขนลุกแล้ว พี่ N บอกอีกว่า แม่พี่เขาสงสัยว่าน้อง T นั่นแหละที่เป็นตัวดึง เพราะเจ็บตัวหนักสุด ดิฉันบอกว่า หากจะมีใครเป็นตัวดึง เห็นจะเป็นน้องภ. เพราะน้อง T เพิ่งมาถึงเป็นคนสุดท้าย แต่ในเมื่อตอนนี้ปิดยันต์แก้ปัญหาเรียบร้อยแล้วก็โอเค ถือว่าจัดการได้เร็วดี แต่เจ็บใจที่เสียเวลาไปทั้งวันโดยที่ดิฉันซึ่งทำงานแพคหนังสือได้เร็วที่สุดกลับไม่ได้ทำงานเลย

    วันอาทิตย์ ที่ 30 ดิฉัน น้องภ. และน้อง T ก็แพคหนังสือกันต่อ น้อง T กลับไปตอนเที่ยง น้อง F มาช่วยช่วงบ่ายจนถึงค่ะโดยที่ดิฉันกับน้องภ.ไม่ได้เล่าอะไรให้ฟัง

    เช้าวันจันทร์ ที่ 31 น้อง M กับ K มาช่วยแพคอีกรอบและอยู่ค้างที่ห้อง 603

    เช้าวันอังคารที่ 1 ก.พ. M, K ขอตัวกลับบ้าน ดิฉันโทรตามน้องป.ขอให้มาช่วยปสติ๊กเกอร์พัสดุ และขนกล่องหนังสือขึ้นรถกระบะรับจ้างที่เรียกมา นำไปส่งที่ทำการไปรษณีย์ เสร็จแล้วจึงตาลีตาเหลือกคืนห้อง 604 กับเก็บกระเป๋าไปขึ้นเครื่องบินกลับบ้าน


    ครั้งก่อนลืมบอกว่า อพาร์ตเมนต์ไม่ได้อยู่ติดกับทางสามแพร่งโดยตรง แต่มีบ้านที่มีรั้วและพื้นที่กว้างเอาการหลังหนึ่งคั่นอยู่ แนวรั้วบ้านด้านที่ติดทางสามแพร่งปลูกต้นมะม่วงไว้เป็นแนวในเขตรั้ว รั้วของบ้านหลังนั้นช่วยกั้นทางสามแพร่งให้ชั้น 1 ของอพาร์ตเมนต์ ส่วนต้นมะม่วงก็ช่วยกันให้ชั้น 2-4 ดังนั้นชั้นที่เปิดโล่งเจอทางสามแพร่งเต็มๆ คือชั้น 5-6-7-8

    อีกอย่าง ประตูห้อง 603 ไม่ค่อยดี หากปิดแล้วไม่ลองดึงดู อาจปิดไม่สนิทได้ ดังนั้นการที่กลับมาเจอประตูเปิดแง้มอยู่ ก็มีความเป็นไปได้ว่าตอนออกไปถึงจะล็อคประตูแล้ว แต่ปิดไม่ดี และไม่ได้ลองดึงดู

    ถึงอย่างนั้น การที่ประตูเปิดและปิดเองทันทีตอนที่น้อง M, T และภ. อยู่ในห้อง ก็เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะตอนนั้นปิดกระจกบานเลื่อนหลังห้องและเปิดแอร์กัน

    เหตุการณ์นี้ทำให้ตอนนี้มีอาการวิตกจริตกับประตูห้อง 603 อยู่บ้าง เวลาปิด ต้องลองดึงดูทุกครั้งว่าปิดสนิทแล้วจริงๆ v_v"

    กลับบ้านฉลองตรุษจีนกลับมาที่อพาร์ตเมนต์อีกครั้งวันที่ 5 ก.พ. น้อง ภ. กับ ป. ก็มาช่วยแพคของต่อจนส่งครบหมดทุกคนในวันที่ 9 ก.พ. โดยระหว่างนี้ ดิฉันก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนกลับบ้านฉลองตรุษจีนให้น้องป.ฟัง น้องป.ฟังแล้วชักกลัวขึ้นมา จึงขอฮู้เหลืองที่เหลือไปติดที่ห้องทำงานของตัวเองบ้าง ดิฉันก็ให้ไปทั้งฮู้สำหรับพกติดตัวกับแบบเคลือบ

    หลังจากส่งของเสร็จแล้ว ภ.ก็ขอตัวกลับบ้านไปฉลองวันเกิดแฟน ดิฉันจึงพาน้อง ป. ไปเลี้ยงข้าวเย็นเป็นการตอบแทน เสร็จแล้วนั่งแท็กซี่ไปส่งน้อง ป.ถึงบ้าน ค่อยให้แท็กซี่กลับมาส่งดิฉันที่อพาร์ตเมนต์ วันที่ 10 ดิฉันก็จัดการส่งหนังสือให้ผู้ที่ตกค้างไม่กี่ราย และรีบเก็บกระเป๋าไปขึ้นรถไฟไปเที่ยวเชียงใหม่กับกลุ่มเพื่อน

    คืนวันที่ 14 กลับมาจากเชียงใหม่ ก็สะสางงานต่อถึงตีสองค่อยเข้านอน เช้าวันที่ 15 เข้า MSN เจอน้องป.ทักมา บอกว่า เมื่อวันที่ 9 หลังจากดิฉันไปส่งน้องเขาที่บ้านแล้ว น้องเขาเปิดคอมเล่น MSN คุยกับเพื่อนและเปิดกล้อง เพื่อนทักว่า ใครอยู่ข้างหลังน่ะ?

    น้องป.นึกว่าเพื่อนแกล้งอำกันเล่น จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่วันรุ่งขึ้น เพื่อนคนเดิมกลับชวนไปทำบุญ ป.จึงเริ่มเอะใจ เพราะเพื่อนคนนี้ไม่ใช่คนที่ชอบพูดอำใครเล่น ป.จึงถามว่า เมื่อคืนที่พูดน่ะ เห็นจริงๆ หรือ?

    เพื่อนน้องป.บอกว่า ใช่ ไม่ได้เห็นชัดเจน แต่จากกล้อง ดูออกว่ามีใครบางคนอยู่ข้างหลัง น้องป.ฟังแล้วหลอนมาก จึงถามเพื่อนที่มีเซ้นส์ว่า เขาตามเธอทำไม? เพื่อนบอกว่า เขาไม่ได้ตาม แค่ผ่านมาเฉยๆ ตอนนี้เขาไปแล้ว ดิฉันจึงบอกน้องป.ว่าซื้อถุงใส่ฮู้จากเชียงใหม่มาฝาก นัดเจอกันเอาฮู้ให้ไป


    เหตุการณ์นี้ยังลากยาวไปจนถึงช่วงน้ำท่วมปลายปี แต่เพราะยาวมาก + ต้องรีบปั่นงาน จึงขอนำที่เคยพิมพ์เล่าให้แก่ผู้ที่ซื้อหนังสือมาแก้ไขเล็กน้อยลงให้อ่านกันแทนการพิมพ์ขึ้นใหม่ทั้งหมด แล้วค่อยมาทยอยพิมพ์เล่าต่อเมื่อว่างนะคะ

    อย่างไรก็ตาม ดิฉันเพิ่งรู้ก็ตอนเกิดเรื่องว่า น้องหลายคนที่รู้จักสนิทสนม เป็นพวกมีสัมผัสที่ 6 และจิตแข็งพอตัวทั้งนั้น ทำให้นึกถึงที่ในเรื่อง JoJo ล่าข้ามศตวรรษ มักจะเขียนเสมอว่า “ผู้ใช้แสตนด์มักจะถูกดึงดูดให้มาพบผู้ใช้สแตนด์ด้วยกัน”

    บางที ผู้ที่มีสัมผัสที่ 6 เอง อาจจะถูกดึงดูดมาเจอมารู้จักกันโดยไม่รู้ตัวด้วยเหมือนกันก็เป็นได้
     
  18. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    แก้ไขปี พ.ศ. อพาร์ตเมนต์สร้างเสร็จปี 54 ค่ะ ดิฉันก็เข้าพักในปีเดียวกัน หลังสร้างเสร็จ 3 เดือน
     
  19. คำเอี้ยง

    คำเอี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +115
    ขออนุญาตแนะนำนะคะ ตรงชื่อน้องๆที่มาช่วยงาน เปลี่ยนเป็นชื่อเล่นสมมุติไปเลยดีกว่าไหมคะ เป็นน้องกุ้ง น้องไก่ น้องส้ม น้องเก่ง อะไรก็ว่ากันไป
    อ่านชื่อย่อทั้ง ป ภ ม B D N T M F K อะไรต่างๆนี่แล้วมึนงงมาก
    ยิ่งพยายามจำยิ่งงง ไม่รู้ใครเป็นใคร เปลี่ยนเป็นชื่อที่จำง่ายๆดีกว่าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2014
  20. Pruksanusak

    Pruksanusak Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤษภาคม 2014
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +51
    ตอบคุณคำเอี้ยง @ ขออภัยค่ะ ^^"


    <>::<>::<>


    ไป copy ที่เคยโพสต์ไว้ในเฟสส่วนตัวมาแก้ไขเล็กน้อย เพื่อประหยัดเวลาพิมพ์ค่ะ



    หลังจากเกิดเรื่องประหลาดในช่วงแพคหนังสือ และดิฉันกลับบ้าน เพื่อนสนิทสองคน (พี่ N กับน้อง M) ได้ทักมาราวกับนัดเรื่องเจ้ากรรมนายเวรมาตามทวง เพียงแต่สองคน ทักกันคนละแบบ ดิฉันจึงไปถวายสังฆทานตามคำแนะนำของเพื่อน ให้พี่สาวขับรถพาไป

    เมื่อพี่สาวขับรถไปจอดหน้ากุฏิเจ้าอาวาส ดิฉันที่ลงจากรถเดินตามไปทำถุงผ้าใส่ยันต์จากศาลเจ้าแม่ทับทิมตก แถมตัวเองเดินเหยียบไปโดยไม่รู้ตัว (พี่สาวเห็นและรีบบอก แต่ช้าไปแล้ว)

    หลังจากถวายสังฆทาน พี่สาวดิฉันขอให้หลวงพี่เจ้าอาวาสท่านช่วยดูดวงให้ดิฉัน ผลคือ หลวงพี่ท่านบอกว่าช่วงวันเกิดของดิฉันจะมีดาวเคราะห์สามดวงมาขัดกันในดวง ทำให้เป็นปีที่ดวงตกหนักที่สุดตั้งแต่เกิดมา และยิ่งใกล้วันเกิด ดาวเคราะห์ก็จะยิ่งโคจรเข้ามาขัดกันมาก ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ เว้นแต่รอให้ผ่านไปเอง หลังวันเกิดสัก 2-3 เดือน ดาวเคราะห์ก็จะโคจรแยกออกจากกันไปเอง จากนั้นก็แนะนำวิธีสะเดาะเคราะห์ ซึ่งฟังดูแล้ว...มันเหมือนการต่ออายุยังไงชอบกล...

    แถมระหว่างกรวดน้ำหลังถวายสังฆทาน ก็มีโทรศัพท์เข้ามารบกวนพอดิบพอดี...(เหตุการณ์นี้ส่งผลให้ในกาลต่อมา ทุกครั้งที่ไปถวายสังฆทาน ดิฉันจะปิดมือถือ ป้องกันมารผจญรบกวนการทำบุญ)

    กลับจากวัด ดิฉันโทรเล่าเรื่องเหยียบยันต์ให้พี่ N ฟัง พี่ N ก็แนะให้ซื้อกระดาษเงินกระดาษทองมาเผาพร้อมยันต์ อธิษฐานคืนยันต์แก่เทพที่หน้าบ้าน ดิฉันก็ทำตาม

    แต่ตอนเผายันต์ (ตอนเย็น) ไม้ขีดดับ ไฟแช็กจุดไม่ติด จุดติดแล้วก็เผาไม่สำเร็จ สุดท้ายไปเอาเทียนมาช่วย หมดเทียนไป 2 เล่มกว่าจะบังคับเผายันต์ส่งคืนเทพได้สำเร็จ เมื่อโทรไปเล่าให้พี่ N ฟัง พี่แกบอกว่า แม่ของพี่แกอุทานอย่างตกใจมากว่า "เทพก็ช่วยไม่ได้แล้ว"

    ไม่แน่ใจว่าวันถัดมา หรือ 2-3 วันถัดมา พี่ชาย 5 ของดิฉันก็โทรมาบอกว่า เขาเอาวันเดือนปีเกิดของดิฉันไปให้เพื่อนที่นั่งทางในได้ช่วยดูให้ เพื่อนพี่ชายบอกว่า ปีนั้นเป็นปีที่ดิฉันดวงตกมรณะ เจ้ากรรมนายเวรจะเอาถึงตาย ต่อให้ถวายสังฆทานมากเท่าไรก็ช่วยไม่ได้ เว้นแต่ต้องถือศีล 8 อย่างน้อย 5 วัน แล้วอุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวร

    ตอนนั้นดิฉันฟังแล้วเครียดมาก ศีล 8 สำหรับดิฉันในตอนนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นเหลือเกิน และหลายสิ่งหลายอย่างจากคนรอบตัวต่างบอกตรงกันว่าปีนั้นชีวิตดิฉันจะเจอเคราะห์หนัก นอกจากนี้แม้ว่าตัวดิฉันในตอนนั้นจะดูปกติดี แต่น่าแปลกที่เวลาขี่มอเตอร์ไซค์ออกจากบ้าน มันรู้สึกราวกับรถสี่ล้อขึ้นไปทุกคันต่างจะพุ่งเข้ามาชนเรา เช่นตอนขี่ผ่านปากซอยในตลาด อยู่ๆ ก็มีรถเก๋งพุ่งออกมาอย่างเร็ว ดีที่เราขี่ช้า จึงรีบเบรกทัน ให้ทางรถเก๋งไปก่อน และเจอแบบนี้ทุกแยก ช่วงนั้นจึงพยายามเก็บตัวไม่ออกจากบ้าน จะออกก็เฉพาะวันเสาร์ไปซื้อเสบียงและของใช้จำเป็นกลับมาเข้าถ้ำปั่นงานต่อ

    ไม่เพียงแค่นี้ ช่วงนั้นดิฉันพยายามออกกำลังกายลดความอ้วนด้วยการปั่นจักรยานสำหรับออกกำลังกาย เพราะถนัดขี่จักรยานมาก แต่กลายเป็นว่าการปั่นจักรยานทำให้เจ็บเอว และร้าวขึ้นมาตลอดกระดูกสันหลัง จนเวลานอนและตื่นนอนต้องใช้วิธีคว่ำหน้า

    ด้วยปัญหาสุขภาพควบปัญหาปริศนาธรรมที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้รวมกัน ทำให้พี่สาวพาดิฉันไปหานางพยาบาลผู้เรียนวิชาสแกนวิญญาณที่หาดใหญ่ ใช้วิธีเจรจากับเจ้ากรรมนายเวรเพื่อช่วยผ่อนกรรมควบคู่ไปกับการรักษาผู้ป่วย

    เมื่อคุณพยาบาลช่วยตรวจดูให้ดิฉันเสร็จ ก็บอกว่าชาติที่แล้วเคยเป็นนายนิรบาลในนรก เจ้ากรรมนายเวร ณ เวลานี้คือปิศาจ 2 ตน (รู้สึกจะหน้าสีเขียวตัวหนึ่ง สีม่วงแดงตัวหนึ่ง และมีเขา) ตอนอยู่ในนรก เคยโดนดิฉันลงโทษเกินหน้าที่เล่นเสียหนัก เอาเหล็กแหลมแทงทะลุจากก้นเขาขึ้นมาตามสันหลังทะลุถึงต้นคอ เอาห่วงเหล็กล่ามคอ และเอาโซ่ร้อยทะลุไหปลาร้า แต่ตอนนั้นดิฉันมีอิทธิฤทธิ์สูงกว่าพวกเขา พวกเขาทำอะไรไม่ได้ จึงมารอเอาคืนในตอนนี้

    เมื่อพี่พยาบาลเจรจาให้ พวกเขาก็โอเค จะอโหสิกรรมให้ โดยขอผ้าจีวรเก้าขันธ์คนละผืน กับแบงค์กงเต็กที่มีเลข 0 เยอะๆ คนละปึกใหญ่เป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ส่วนบรรดาคุณผีทั้งกองทัพที่ติดตามหลังดิฉันอยู่ เพียงแค่เคยตกนรกส่วนที่ดิฉันคุม จำหน้าดิฉันได้ว่าเคยเป็นพัสดีเก่า (พี่พยาบาลบอกว่าหน้าตาดิฉันเหมือนกับชาติที่แล้ว -_-" ) จึงตามมาขอส่วนบุญ "เท่านั้นเอง" และพวกนี้ก็พลอยขอผ้าจีวรสามขันธ์กับแบงค์กงเต็กหนึ่งปึกด้วย

    เพราะเคยคุมนรกส่วนหนึ่ง จึงเคยพบเจอผีนรกมากหน้าหลายตา และทำงานอยู่ที่นั่นนานมาก (พี่พยาบาลบอก) ผีนรกจึงจำหน้าได้มาก เจอทีไรก็แห่ตามมาขอส่วนบุญ หมุนเวียนเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ

    สรุปว่าดิฉันกระเป๋าเบาไปเลย ผ้าจีวรเก้าขันธ์แพงมาก ราคาผืนละหลายพันบาท และช่วงนั้นดิฉันก็ต้องเผาแบงค์กงเต็กทุกวัน รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนบ้าเลย แต่ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย

    ดิฉันถามพี่พยาบาลเหมือนกันว่าเจ้าแแบงค์กงเต็กนี่ ผีเขาเอาไปใช้ได้จริงๆ หรือ? เธอตอบว่าใช้ได้จริง ฟังแล้วเหงื่อตกสิคะ ของที่มนุษย์ผลิต กลายเป็นสิ่งมีค่าในเมืองผีด้วย...

    อย่างไรก็ตาม ช่วงนั้นดิฉันก็นั่งอ่านตัวเลขและข้อความบนแบงค์กงเต็กสารพัดยี่ห้อ พบว่าข้อความบนแบงค์เขียนว่า "ใช้ได้ทั้งบนสวรรค์และในนรก" ราคาสูงสุดที่ได้เจอคือใบละ 1 หมื่นล้านหน่วยเงินสวรรค์ สีขาว รองลงมาคือ 8 พันล้านหน่วยเงินสวรรค์ สีม่วง นอกนั้นที่เจอมากที่สุดคือใบละหนึ่งพันล้านหน่วยเงินสวรรค์

    ตอนนั้นดิฉันโดนพี่ชาย 5 แซวด้วยว่า "นรกเงินเฟ้อเพราะมึงแล้ว"
     

แชร์หน้านี้

Loading...