แม่ชีสามารถรับการถวายผ้าป่า กฐิน และสังฆทานได้หรือไม่ค่ะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย kha_sur, 1 มกราคม 2008.

  1. kha_sur

    kha_sur เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    409
    ค่าพลัง:
    +778
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ...

    เรียนถามแม่ชีเพือความเข้าใจเรื่องการถวายผ้าป่า กฐิน และสังฆทานค่ะ..อยากจะรบกวนแม่ชีช่วยชี้แนะเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ....

    เกี่ยวกับเรื่องการถวายผ้าป่า กฐิน และการถวายสังฆทานแก่แม่ชีน่ะค่ะ...ว่าสามารถทำได้หรือไม่ หากทำได้แล้ววิธีการเป็นอย่างไรบ้างค่ะ...แตกต่างจากการถวายให้พระสงฆ์หรือไม่ค่ะ

    .......ขอบพระคุณค่ะ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2008
  2. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468

    เจริญธรรม...

    ยังไม่ขออธิบายอยากให้ผู้อื่นเขียนมาก่อนบ้างจ้า...
    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี
     
  3. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    <TABLE class=tborder cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead colSpan=2>วันนี้ 06:55 PM</TD></TR><TR title="โพส 894363" vAlign=top><TD class=alt1 align=middle width=125>แม่ชีณัฐทิพย์</TD><TD class=alt2>อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ kha_sur [​IMG]
    กราบนมัสการแม่ชีค่ะ...

    อยากจะรบกวนแม่ชีช่วยชี้แนะเพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องค่ะ....

    เกี่ยวกับเรื่องการถวายผ้าป่า กฐิน และการถวายสังฆทานแก่แม่ชีน่ะค่ะ...ว่าสามารถทำได้หรือไม่ หากทำได้แล้ววิธีการเป็นอย่างไรบ้างค่ะ...แตกต่างจากการถวายให้พระสงฆ์หรือไม่ค่ะ

    .......ขอบพระคุณค่ะ..
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เจริญธรรม...

    ยังไม่ขออธิบายอยากให้ผู้อื่นเขียนมาก่อนบ้างจ้า...
    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี</TD></TR></TBODY></TABLE>
    สาธุ...แม่ชี รอ...สมาชิกท่านอื่น ๆ มาตอบก่อน งั้นขอคิดด้วยคน

    แม่ชีรักษาศีล ๘ ...ซึ่งถ้าเทียบกับพระสมมุติสงฆ์ ย่อมมีอานิสงส์น้อยกว่าแน่นอน

    แต่ถ้าแม่ชี รักษาศีล ๘ ได้บริสุทธิ์ มิได้ขาดศีลในข้อใดเลย ซึ่งศีล ๘ เป็นหนทางของพระอรหันต์ อานิสงส์ย่อมมากมายมหาศาลเช่นกัน

    แต่ถ้าพระสมมุติสงฆ์ ศีล ๒๒๗ ข้อ ศีลขาด ๆ หลุด ๆ หรือ กลายเป็นพระทุศีล แล้ว ย่อมมีอานิสสงส์สู้แม่ชีที่มีศีล ๘ บริสุทธิ์มิได้

    อันนี้กระผมกล่าวถึงการถวายของทั่วไปนะครับ

    แต่ถ้า...
    ถ้าเป็นการถวาย สังฆทาน หรือ กฐิน หรือ ผ้าป่า ต้องครบเป็นคณะสงฆ์ ๔ รูปขึ้นไป แบบนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก

    ดังนั้น ถ้าถวายของเป็นคณะสงฆ์ ย่อมมีอานิสงส์สูงกว่า การถวายของในหมู่คณะแม่ชี

    รบกวนแม่ชี ชี้แจงไขข้อข้องใจด้วยครับ
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]
     
  4. n18_master

    n18_master เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    19
    ค่าพลัง:
    +155
    ขออนุญาต แม่ชี แสดงความเห็นนะครับ
    ตามความเข้าใจของผม ...
    การทำบุญในลักษณะส่วนรวม คือ กองกฐิน ผ้าป่า สังฆทาน
    แม่ชีน่าจะรับได้นะครับ ถ้าการรับนั้นเป็นการรับฝาก
    เพื่อส่งต่อให้กับส่วนรวม คือทางวัด หรือ คณะสงฆ์
    แต่ถ้า นำไปใช้เป็นส่วนตัวก็ ซวยเท่านั้นละครับ
    ผิดถูกยังไง ขออภัยล่วงหน้าครับ
    ขออนุญาต ถามแม่ชี ต่อนะครับ
    ผมมีจริตแบบไหนครับ ควรทำกรรมฐานกองไหนครับ
     
  5. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ยังไม่อธิบายดีกว่า...
    ทำไมไม่มีพระเข้ามาตอบบ้างนะ...
    อยากฟังพระจริงๆตอบจังเจ้าค่ะ...

    ธรรมะสวัสดี
     
  6. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    [​IMG] [​IMG] [​IMG] .... ใจจะขาด แล้วเอ๋ย ใจจะขาดแล้วเอ่ย

    รอขอรับกระผม....อยากรู้:d
     
  7. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ที่สำคัญคือ"แม่ชี" เป็นแค่ "อุปาสิกา" ไม่ใช่"ภิกษุณี" หลือ "สัมเณรี"ใช่ไหมครับเฮียปอ? ถ้าบังเอิญมีแม่ชีเกิดอุตริไปรับเข้าก็คงต้องลง"นรก"กันพอดี แหมมมแต่จะว่าไปสมัยนี้มีแต่ของแปลกๆเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ไม่แน่สักวันนึงคงได้พบได้เจอหลือได้ข่าวแม่ชีรับกฐินรับผ้าป่า???(ตามความเข้าใจของโตคือท่านเจ้าของกระทู้คงจะหมายถึงแม่ชีไป"ชักผ้าแทนพระสงฆ์หลือรับประเคนผ้า"แทนพระสงฆ์) คงต้องมีสักวันหิหิหิหิ (แม่ชีที่ดีๆก็มีอยู่มาก แต่ที่ทำตัวเสมอภึกษุสงฆ์-สามเณรก็มีมากเสมอกัน เคยเห็นอยู่บ่อยๆ ที่แม่ชีทำตัวยิ่งกว่าภิกษุณีก็ต้องคิดให้หนักๆ :d ส่วนตัวตัวโตชอบอยู่ใกล้แม่ชีเพราะแม่ชีส่วนใหญ่ที่โตรู้จักใจดี อยู่ใกล้แล้วไม่อดมีขนมกินตรอด หิวเดี๋ยวแม่ชีทำอาหารให้กิน ก็เลยชอบแม่ชีบางทีก็ไปทำบุญไปไหว้พระด้วยกัน ปีนเขาไปไหว้พระพุทธบาทกันยังมีเลย ...แต่อย่างที่บอกแม่ชีที่เห็นแล้วเราคันปากยิบๆ555555ก็มีพวกที่ชอบเวดๆๆๆใส่พระสงฆ์-สามเณร:d
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มกราคม 2008
  8. doodee1

    doodee1 คนละพวก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    ผมเห็นใน กทม แม่ชีมารับแจกซองด้วยครับ เมื่อไม่ถึงเดือนก็มีแม่ชีแต่แต่งชุดเป็นคนธรรมดารับเงินอยู่บนสะพานลอยไม่รู้เป็นผ้าขี้ริ้วปะ
     
  9. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    เรื่องการรับสังฆทาน หรือผ้าป่าในแม่ชีนั้น ส่วนมากคนไทยพุทธมักไม่เคยเห็น อีกทั้งมีความเชื่อว่าผู้ชายที่ใส่เครื่องแบบผ้าเหลืองเท่านั้นที่รับได้ ซึ่งความเชื่อนี้มันลบล้างยากลำบากอยู่

    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคติเดิมๆที่ผิดอีกทั้งยังศึกษาธรรมะยังไม่ถ่องแท้ ความดันทุรังเถียงแบบหัวชนฝาจึงมีมาก

    ที่แม่ชีอยากฟังพระจริงๆพูดก็เพราะว่า ท่านที่เป็นพระจริง ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงแล้ว ท่านจะไม่พูดอย่างชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้จริง เนื่องจากพระท่านรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ของการรับทาน

    ได้อธิบายมาในหลายกระทู้แล้วแต่คนส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจอ่านจึงไม่รู้และไม่เข้าใจ คำพูดแบบผิดๆตามใจตนจึงเกิดขึ้นทับถมอยู่อย่างนี้

    จึงขออธิบายอีกครั้งแล้วกัน ไม่ได้อธิบายตามใจตนนะ

    ถ้าไม่รู้ก็ลองเข้าวัดไปสวดมนต์บ้างจะได้รู้เสียที ในวัดมหานิกายส่วนมากจะใช้มนต์พิธีเล่มเหลืองสวดกัน

    หรือบางวัดก็ใช้เล่มสีขาวเพราะมีคำแปลเมื่อสวดภาษาบาลีแล้ว ด้านหลังของหนังสือจะมีคำกล่าวถวายทานต่างๆ

    เช่น สังฆทานกับพระภิกษุ สามเณร และแม่ชี ซึ่งรวบรวมเขียนโดยพระครูอรุณธรรมรังษี วัดอรุณราชวราราม คณะ ๓

    ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราษฏร์บำรุง จังหวัดชลบุรี
    ส่วนวัดที่เป็นธรรมยุตมักไม่ใช้หนังสือเล่มนี้สวด

    สังฆะ หมายความว่า หมู่คณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับหรือผู้ให้ต้องเป็นหมู่คณะ ทานนั้นจึงจัดเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะผู้ให้รวมพลังสามัคคีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้รับส่วนมากเช่นกัน

    ในส่วนของแม่ชีนั้นตามพจนานุกรมซึ่งคนเราสมมติเรียกกันเหมือนสมมติสงฆ์นั่นแหละ
    พจนานุกรมได้ให้ความหมายของแม่ชีว่า นักบวช เพราะละเว้นจากการครองคู่เหมือนนักบวชทั่วไป โกนหัวและใส่เครื่องแบบสีขาวแทน

    แม่ชีสมาทานศีล ๘ เท่ากับฤาษีดาบสในครั้งก่อน บำเพ็ญภาวนาเพื่อการหลุดพ้นเช่นกัน

    นี่กล่าวโดยรวมไม่ได้จำเพาะเจาะจงในบางท่านที่ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือเป้าหมายอย่างที่กล่าวมา
    ซึ่งก็ไม่ได้มีเฉพาะแต่แม่ชี ในหมู่สมมติสงฆ์นั้นบางท่านก็ไม่ได้มีเป้าหมายหรืออุดมการณ์บวชให้เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นโดยแท้

    กลับมาดูในหนังสือสวดมนต์พิธีที่ใช้กันส่วนใหญ่ ท้ายเล่มมีคำกล่าวถวายทานต่างๆไว้มากมาย
    โดยคำกล่าวถวายทานนั้นใช้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณรหรือแม่ชี แต่ต่างกันตรงสรรพนามที่ใช้แทนเท่านั้น

    ดังจะขอยกตัวอย่างให้ดูในเรื่องของการถวายสังฆทานซึ่งมีคำกล่าวถวายว่า

    อิมานิ มะยังภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ (ใช้สำหรับภิกษุ หากเป็นสามเณรก็ใช้คำเรียกสามเณร
    เพราะสามเณรไม่ใช่พระภิกษุ เมื่อเป็นแม่ชีก็มีคำสรรพนามเรียกแม่ชี คือ สีละวันเตสัง)
    โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ (สามเณโร และสีละวาในแม่ชี)

    อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ.

    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ (สามเณรผู้เจริญ และผู้ทรงศีลผู้เจริญ ใช้กับแม่ชี)ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ (สามเณร และท่านผู้ทรงศีล)
    ขอพระภิกษุสงฆ์ (สามเณร /ท่านผู้ทรงศีล)จงรับซึ่งภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ในส่วนของการรับผ้าป่า เทียนพรรษา ก็กล่าวเช่นกัน แม่ชีก็ทำตามบัญญัติหรือระเบียบในหนังสือที่พระท่านรจนาเอาไว้ ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตาแต่อย่างใด

    เมื่อสมัยที่อยู่กับหลวงปู่ท่านก็ใช้ให้คณะแม่ชีรับผ้าป่าที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาเจาะจงนำมาถวายแก่คณะแม่ชีเช่นกัน
    ไม่เห็นพระในวัดท่านกล่าวว่าอะไร พระท่านก็รับของท่านแม่ชีก็รับของแม่ชีไป
    ก็โยมเขาไม่ได้ถวายพระ เขาเจาะจงถวายแม่ชี แล้วพระจะรับได้อย่างไร?
    ตรงกันข้ามเขาถวายพระแล้วแม่ชีจะไปรับแทนก็ไม่ได้

    แต่คนส่วนมากมักเห็นแค่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้นที่รับทานพวกนี้ จึงเข้าใจเอาอย่างนั้นซึ่งก็ไม่ผิด เพราะไม่เคยเห็นจึงไม่รู้

    และแม้แต่พระบางท่านที่ยังศึกษาไม่ถ่องแท้ก็ยังกล่าวเช่นเดียวกับญาติโยมก็มีให้เห็นกันมาก

    ส่วนเรื่องการให้ทานกับใครแล้วได้บุญมากกว่ากันนั้น พระพุทธองค์ทรงกล่าวเรื่องผลของการให้ทาน
    คือ มีผู้ให้ มีผู้รับ มีของจะให้บริสุทธิ์ทั้งสาม ของนั้นเป็นประโยชน์ย่อมเกิดเป็นผลบุญแก่ผู้ให้

    ส่วนผู้รับได้ของจำเป็นในการดำรงชีวิต หากผู้รับเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามความดีโดยแท้ ผลบุญย่อมบังเกิดแก่ผู้ให้มากเท่าทวีคูณ

    อันเนื่องมาจากศรัทธา จึงมีปีติ เมื่อมีปีติจึงบังเกิดสุข เมื่อมีสุขความสงบจึงบังเกิด

    ที่ท่านสอนในเรื่องของการให้ทานกับเนื้อนาบุญ เนื้อนาบุญคือ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เรียกง่ายๆคือ
    ผู้มีคุณธรรม ผู้ประเสริฐนั่นเอง ฉะนั้นผู้ประเสริฐจึงไม่แบ่งเพศ แบ่งวัย แบ่งฐานะ

    แต่เราคิดว่าคนใส่ผ้าเหลืองเท่านั้นที่เป็นเนื้อนาบุญ
    คนใส่แค่ผ้าสีเหลืองจะเป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร?

    แต่ ผ้าสีเหลืองนั้นเป็นที่มาของการพัฒนาเป็นเนื้อนาบุญต่อไป ซึ่งมันก็อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละบุคคล
    ว่าจะ มี ค.ว.ย หรือเปล่า? อย่าเพิ่งว่าหยาบคายนะ...

    คือ คิด คือ วิเคราะห์ คือ แยกแยะ ถ้ามีสามตัวนี้ก็ o.k นะคะ

    ที่ต้องอธิบายยาวเพราะกลัวคนไม่รู้จะเพิ่มความบาปใส่ตัวมากขึ้นจนกลายเป็นความหลงผิดที่เรียกว่า โง่นั่นแหละ

    คนไม่รู้จึงไม่ผิดแต่สิ่งที่ไม่รู้นี่แหละจะนำความวิบัติและความหายนะมาสู่ส่วนรวม

    และก็ไม่ได้กล่าวอธิบายเพราะไม่อยากให้คนว่า เพราะเข้าใจสัทธรรมว่า
    " คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก "

    อธิบายแล้วหากยังค้านด้วยประเพณีที่ตนรู้มาอย่างเดิมก็ไม่ว่ากัน

    ถ้าไม่เคยเห็นแม่ชีรับผ้าป่าก็มาเห็นซะ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่
    "ทิพยสถานธรรม" เกาะยอ จ.สงขลา หรือจะมาร่วมถวายด้วยก็ยิ่งไม่ขัดศรัทธาจ้า...

    เอาไว้คราวหน้าจะเขียนมากกว่านี้อีกแล้วกัน หากยังไม่เข้าใจค่อยมาต่อเด้อ... ตอนนี้ขอพักก่อน เดี๋ยวมะเร็งกำเริบตายเสียก่อน
    จบเห่กัน!!!
    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี
     
  10. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ
     
  11. doodee1

    doodee1 คนละพวก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,718
    ผมส่งผ้าป่าไปแล้วครับ แม่ชีจำวัดมากๆๆๆครับ(กลัวจำทิพยสถานแห่งบ้านทรายทองไม่ได้ครับ) หายป่วยเร็วๆๆๆๆ
     
  12. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ (สามเณรผู้เจริญ และผู้ทรงศีลผู้เจริญ ใช้กับแม่ชี)ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ (สามเณร และท่านผู้ทรงศีล)
    ขอพระภิกษุสงฆ์ (สามเณร /ท่านผู้ทรงศีล)จงรับซึ่งภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ฉันว่าเข้าพรรษานี้ แม่ชีก็ร่วม"สังฆกรรม" เข้าฟังปติโมก ร่วมกับพระสงฆ์ในวัดเลยนะ ก็ในเมื่อรับสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน ได้ก็ไม่หน้าจะมีปัญหาอะไรจริงไหม? แล้วที่อ้าง"หลวงปู่" หลวงปู่ไหนหลอ? ฉันว่าแม่ชีต้องเป็นผู้มี"บารมีสูงแน่ๆ ฉันสงใสว่าตอนเธอบวชเค้าคงจะให้ไปสวด"ญัต"ท้ามกลางหมู่สงฆ์อย่างแน่นอน หลือไง?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2008
  13. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ แม่ชีณัฐทิพย์ [​IMG]
    เจริญธรรม...

    เรื่องการรับสังฆทาน หรือผ้าป่าในแม่ชีนั้น ส่วนมากคนไทยพุทธมักไม่เคยเห็น อีกทั้งมีความเชื่อว่าผู้ชายที่ใส่เครื่องแบบผ้าเหลืองเท่านั้นที่รับได้ ซึ่งความเชื่อนี้มันลบล้างยากลำบากอยู่

    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคติเดิมๆที่ผิดอีกทั้งยังศึกษาธรรมะยังไม่ถ่องแท้ ความดันทุรังเถียงแบบหัวชนฝาจึงมีมาก

    ที่แม่ชีอยากฟังพระจริงๆพูดก็เพราะว่า ท่านที่เป็นพระจริง ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงแล้ว ท่านจะไม่พูดอย่างชาวบ้านธรรมดาที่ไม่รู้จริง เนื่องจากพระท่านรู้และเข้าใจอย่างถ่องแท้ของการรับทาน

    ได้อธิบายมาในหลายกระทู้แล้วแต่คนส่วนมากมักไม่ค่อยสนใจอ่านจึงไม่รู้และไม่เข้าใจ คำพูดแบบผิดๆตามใจตนจึงเกิดขึ้นทับถมอยู่อย่างนี้

    จึงขออธิบายอีกครั้งแล้วกัน ไม่ได้อธิบายตามใจตนนะ

    ถ้าไม่รู้ก็ลองเข้าวัดไปสวดมนต์บ้างจะได้รู้เสียที ในวัดมหานิกายส่วนมากจะใช้มนต์พิธีเล่มเหลืองสวดกัน

    หรือบางวัดก็ใช้เล่มสีขาวเพราะมีคำแปลเมื่อสวดภาษาบาลีแล้ว ด้านหลังของหนังสือจะมีคำกล่าวถวายทานต่างๆ

    เช่น สังฆทานกับพระภิกษุ สามเณร และแม่ชี ซึ่งรวบรวมเขียนโดยพระครูอรุณธรรมรังษี วัดอรุณราชวราราม คณะ ๓

    ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากพระธรรมโกศาจารย์ เจ้าอาวาสวัดราษฏร์บำรุง จังหวัดชลบุรี
    ส่วนวัดที่เป็นธรรมยุตมักไม่ใช้หนังสือเล่มนี้สวด

    สังฆะ หมายความว่า หมู่คณะ ไม่ว่าจะเป็นผู้รับหรือผู้ให้ต้องเป็นหมู่คณะ ทานนั้นจึงจัดเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ เพราะผู้ให้รวมพลังสามัคคีเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้รับส่วนมากเช่นกัน

    ในส่วนของแม่ชีนั้นตามพจนานุกรมซึ่งคนเราสมมติเรียกกันเหมือนสมมติสงฆ์นั่นแหละ
    พจนานุกรมได้ให้ความหมายของแม่ชีว่า นักบวช เพราะละเว้นจากการครองคู่เหมือนนักบวชทั่วไป โกนหัวและใส่เครื่องแบบสีขาวแทน

    แม่ชีสมาทานศีล ๘ เท่ากับฤาษีดาบสในครั้งก่อน บำเพ็ญภาวนาเพื่อการหลุดพ้นเช่นกัน

    นี่กล่าวโดยรวมไม่ได้จำเพาะเจาะจงในบางท่านที่ไม่ได้มีอุดมการณ์หรือเป้าหมายอย่างที่กล่าวมา
    ซึ่งก็ไม่ได้มีเฉพาะแต่แม่ชี ในหมู่สมมติสงฆ์นั้นบางท่านก็ไม่ได้มีเป้าหมายหรืออุดมการณ์บวชให้เป็นไปเพื่อการหลุดพ้นโดยแท้

    กลับมาดูในหนังสือสวดมนต์พิธีที่ใช้กันส่วนใหญ่ ท้ายเล่มมีคำกล่าวถวายทานต่างๆไว้มากมาย
    โดยคำกล่าวถวายทานนั้นใช้เหมือนกันไม่ว่าจะเป็นภิกษุ สามเณรหรือแม่ชี แต่ต่างกันตรงสรรพนามที่ใช้แทนเท่านั้น

    ดังจะขอยกตัวอย่างให้ดูในเรื่องของการถวายสังฆทานซึ่งมีคำกล่าวถวายว่า

    อิมานิ มะยังภันเต ภัตตานิ สะปะริวารานิ ภิกขุสังฆัสสะ (ใช้สำหรับภิกษุ หากเป็นสามเณรก็ใช้คำเรียกสามเณร
    เพราะสามเณรไม่ใช่พระภิกษุ เมื่อเป็นแม่ชีก็มีคำสรรพนามเรียกแม่ชี คือ สีละวันเตสัง)
    โอโณชะยามะ สาธุ โน ภันเต ภิกขุสังโฆ (สามเณโร และสีละวาในแม่ชี)

    อิมานิ ภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคคัณหาตุ อัมหากัง ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ.

    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ (สามเณรผู้เจริญ และผู้ทรงศีลผู้เจริญ ใช้กับแม่ชี)ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวาย ภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้แด่พระภิกษุสงฆ์ (สามเณร และท่านผู้ทรงศีล)
    ขอพระภิกษุสงฆ์ (สามเณร /ท่านผู้ทรงศีล)จงรับซึ่งภัตตาหาร กับทั้งของที่เป็นบริวารทั้งหลายเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อความเจริญรุ่งเรืองแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญฯ
    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

    ในส่วนของการรับผ้าป่า เทียนพรรษา ก็กล่าวเช่นกัน แม่ชีก็ทำตามบัญญัติหรือระเบียบในหนังสือที่พระท่านรจนาเอาไว้ ไม่ได้ข้ามหน้าข้ามตาแต่อย่างใด

    เมื่อสมัยที่อยู่กับหลวงปู่ท่านก็ใช้ให้คณะแม่ชีรับผ้าป่าที่ญาติโยมมีจิตศรัทธาเจาะจงนำมาถวายแก่คณะแม่ชีเช่นกัน
    ไม่เห็นพระในวัดท่านกล่าวว่าอะไร พระท่านก็รับของท่านแม่ชีก็รับของแม่ชีไป
    ก็โยมเขาไม่ได้ถวายพระ เขาเจาะจงถวายแม่ชี แล้วพระจะรับได้อย่างไร?
    ตรงกันข้ามเขาถวายพระแล้วแม่ชีจะไปรับแทนก็ไม่ได้

    แต่คนส่วนมากมักเห็นแค่พระภิกษุสงฆ์เท่านั้นที่รับทานพวกนี้ จึงเข้าใจเอาอย่างนั้นซึ่งก็ไม่ผิด เพราะไม่เคยเห็นจึงไม่รู้

    และแม้แต่พระบางท่านที่ยังศึกษาไม่ถ่องแท้ก็ยังกล่าวเช่นเดียวกับญาติโยมก็มีให้เห็นกันมาก

    ส่วนเรื่องการให้ทานกับใครแล้วได้บุญมากกว่ากันนั้น พระพุทธองค์ทรงกล่าวเรื่องผลของการให้ทาน
    คือ มีผู้ให้ มีผู้รับ มีของจะให้บริสุทธิ์ทั้งสาม ของนั้นเป็นประโยชน์ย่อมเกิดเป็นผลบุญแก่ผู้ให้

    ส่วนผู้รับได้ของจำเป็นในการดำรงชีวิต หากผู้รับเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรงตามความดีโดยแท้ ผลบุญย่อมบังเกิดแก่ผู้ให้มากเท่าทวีคูณ

    อันเนื่องมาจากศรัทธา จึงมีปีติ เมื่อมีปีติจึงบังเกิดสุข เมื่อมีสุขความสงบจึงบังเกิด

    ที่ท่านสอนในเรื่องของการให้ทานกับเนื้อนาบุญ เนื้อนาบุญคือ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติตรง เรียกง่ายๆคือ
    ผู้มีคุณธรรม ผู้ประเสริฐนั่นเอง ฉะนั้นผู้ประเสริฐจึงไม่แบ่งเพศ แบ่งวัย แบ่งฐานะ

    แต่เราคิดว่าคนใส่ผ้าเหลืองเท่านั้นที่เป็นเนื้อนาบุญ
    คนใส่แค่ผ้าสีเหลืองจะเป็นเนื้อนาบุญได้อย่างไร?

    แต่ ผ้าสีเหลืองนั้นเป็นที่มาของการพัฒนาเป็นเนื้อนาบุญต่อไป ซึ่งมันก็อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละบุคคล
    ว่าจะ มี ค.ว.ย หรือเปล่า? อย่าเพิ่งว่าหยาบคายนะ...

    คือ คิด คือ วิเคราะห์ คือ แยกแยะ ถ้ามีสามตัวนี้ก็ o.k นะคะ

    ที่ต้องอธิบายยาวเพราะกลัวคนไม่รู้จะเพิ่มความบาปใส่ตัวมากขึ้นจนกลายเป็นความหลงผิดที่เรียกว่า โง่นั่นแหละ

    คนไม่รู้จึงไม่ผิดแต่สิ่งที่ไม่รู้นี่แหละจะนำความวิบัติและความหายนะมาสู่ส่วนรวม

    และก็ไม่ได้กล่าวอธิบายเพราะไม่อยากให้คนว่า เพราะเข้าใจสัทธรรมว่า
    " คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก "

    อธิบายแล้วหากยังค้านด้วยประเพณีที่ตนรู้มาอย่างเดิมก็ไม่ว่ากัน

    ถ้าไม่เคยเห็นแม่ชีรับผ้าป่าก็มาเห็นซะ วันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ที่
    "ทิพยสถานธรรม" เกาะยอ จ.สงขลา หรือจะมาร่วมถวายด้วยก็ยิ่งไม่ขัดศรัทธาจ้า...

    เอาไว้คราวหน้าจะเขียนมากกว่านี้อีกแล้วกัน หากยังไม่เข้าใจค่อยมาต่อเด้อ... ตอนนี้ขอพักก่อน เดี๋ยวมะเร็งกำเริบตายเสียก่อน
    จบเห่กัน!!!
    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    แต่ ผ้าสีเหลืองนั้นเป็นที่มาของการพัฒนาเป็นเนื้อนาบุญต่อไป ซึ่งมันก็อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละบุคคล
    ว่าจะ มี ค.ว.ย หรือเปล่า? อย่าเพิ่งว่าหยาบคายนะ...

    คือ คิด คือ วิเคราะห์ คือ แยกแยะ ถ้ามีสามตัวนี้ก็ o.k นะคะ
    (จุๆๆๆๆชอบจริงๆบรรทัดนี้.....นี่หลือปล่าวที่เค้าว่า"ทำมะ"(คงไม่ใช่"ธรรมะ"ที่เขียนแบบนี้)ขั้นสูงของผู้ถือศีลที่เป็น"อุปาสิกา" ในบวรพุทธศาสนา ....)

    สนุกดีๆๆจ้ะ....เอ...ฉันเคยเห็นในพระราชพิธีใหญ่ๆ หลือในโอกาสเข้าเฝ้าพระบรมวงค์ ฉันเห็น"เจ้านาย" กราบพระ-กราบเณร แต่ทุกครั้งที่แม่ชีได้มีโอกาสเข้าเฝ้าแม่ชีจะต้องกราบ"เจ้านาย"แล้วก็ถอนสายบัวทำความเคารพ"เจ้านาย"....แบบนี้เป็นการยืนยันนั่งยันได้ไหมว่า"ชี"เป็นแค่"อุปาสิกา" ??? ส่วนที่เชินชวนให้ไปดู"ชี"รับผ้าป่า ฉันขอไปดู "ค.ว.ยดีกว่าจ้า(อย่าพึ่งคิดสับปะดนนะ) เราหมายถึง ค-ควาย ว-วัว ย-ยีราฟ ดีกว่าที่สวนสัตว์ เอ...ตามความเข้าใจของฉัน สังฆะแปลว่า"หมู่คณะ"อันนี้ก็ถูก แต่ "สังฆทาน" หลือ "สังฆกรรม" อันนี้หมายถึง "หมู่สงฆ์ "หลือ "เรื่องของสงฆ์-กิจของสงฆ์ "ผ่าป่าจัดเป็นสังฆทานด้วย!!!แต่ในเมื่ออุส่ายกแม่น้ำทั้ง5มาลบร้าง"พระวินัย"ของ"พระพุทธเจ้า"ก็ตัวใครตัวมัน..... แหมมมฉันรู้สึกว่าตัวเองทำบุญมาดีจริงๆ ดูสิ...ร่ำๆว่าคงได้เห็นชีรับผ่าป่ารับกฐิน ก็มีชีมาชวนให้ไปดู ...เอางี้สิ..ปีนี้ทอดกฐินเลย เป็นกาลทานด้วย อนิสงฆ์ใหญ่ดี ... เดี๋ยวฉันว่าฉันจะไปบวชศีล8(แต่งชุดขาว) ที่วัดแล้วก็ออกมารับผ้าป่าบ้างก็คงจะไม่ผิดใช่ไหม?เพราะถือว่าเป็นผู้ถือศีล8เหมือนกัน อุ้ย..สนุกดีจริงๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2008
  14. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    สึ่งที่ชีเขียนมานี้ไม่อายบ้างเลยหลือ ? หลือว่าไม่มีใครบอกเธอ ? หลือว่ามีคนเตือนแล้วก็ไม่ยอมฟังเพราะรักตัวเองเชื่อตัวเองหลงตัวเอง หลือน้อยใจที่ชาตินี้เกิดมาไม่มีโอกาส"ห่มผ้าเหลืองห่มจีวร" ? อย่าไปอ้างว่าเป็นลูกศิษใครเลย ทำให้เค้าเสื่อมเสียปล่าวๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2008
  15. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    เรื่องการรับสังฆทาน หรือผ้าป่าในแม่ชีนั้น ส่วนมากคนไทยพุทธมักไม่เคยเห็น อีกทั้งมีความเชื่อว่าผู้ชายที่ใส่เครื่องแบบผ้าเหลืองเท่านั้นที่รับได้ ซึ่งความเชื่อนี้มันลบล้างยากลำบากอยู่

    ที่เป็นเช่นนั้นเพราะคติเดิมๆที่ผิดอีกทั้งยังศึกษาธรรมะยังไม่ถ่องแท้ ความดันทุรังเถียงแบบหัวชนฝาจึงมีมาก


    แปลกดีไม่เคยเห็นแม่ชีที่ไหนที่มีความคิดแบบคุณก็ผิ่งจะครั้งนี้หละ "ความดันทุรังเถียงแบบหัวชนฝาคือตัวคุณนั้นหละไม่ใช่ใคร" ในประเทศไทยไม่มีชีที่ไหนรับผ่าป่า-กฐิน หลือสังฆทานแทนพระสงฆ์ บังเอิญถ้าแม่ชึไปเห็นชีที่ต่างประเทศทำอย่างว่า....ก็ไปขอเข้าอยู่ด้วยสิ อย่าใช้ความซื่อของคนรุ่นใหม่ที่เค้าไม่มีความเข้าใจในเรื่องพระศาสนาเพื่อเรียกศ้ทธา ....ฉันว่าไม่แฟร์เลย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2008
  16. hongsanart

    hongsanart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    1,332
    ค่าพลัง:
    +10,468
    เจริญธรรม...

    ขออธิบายต่อ...

    เรื่องการรับกฐินนั้นไม่ใช่กิจของแม่ชี เรื่องนี้แม่ชีทราบดี...

    วัดที่มีแต่แม่ชี อย่างเช่น วัดคุณชีที่จังหวัดภูเก็ตนั้น ทุกเช้าแม่ชีก็จะเดิน
    บิณฑบาตรเลี้ยงชีพกันทุกคน

    ยกเว้นชีแก่ที่มีชีสาวๆนำอาหารที่โยมใส่ให้มาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน และแม้แต่เวลาเดินบิณฑบาตร

    พระที่เดินข้างหน้าเมื่อในบาตรท่านเต็มท่านก็จะเดินผ่านโยมไป เพื่อให้โยมใส่แม่ชีบ้าง ซึ่งก็นับว่าเป็นการช่วยเหลือต่อเพื่อนมนุษย์ร่วมกัน

    ครั้นเข้าฤดูเข้าพรรษาญาติโยมก็นำเทียนพรรษามาถวายแม่ชี ให้จุดเพื่อความสว่างในบริเวณ

    เนื่องจากสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้า มาในปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ญาติโยมจึงเปลี่ยนมาเป็นหลอดไฟฟ้าและสายไฟแทน

    วันๆก็มีญาติโยมนำถังเหลืองๆและข้าวของมาถวายเพื่อใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งหัวหน้าแม่ชีก็นำคณะแม่ชีทำการรับทานนั้น โดยนั่งเป็นแถวยาวตามลำดับของการบวช แล้วกล่าวอนุโมทนากับญาติโยมตามภาษาบาลี

    ครั้นมีคนมาบวชชีพราหมณ์ แม่ชีก็เป็นผู้บวชให้ นอกจากการบวชเป็นแม่ชีจึงต้องนิมนต์พระจากต้นสังกัดมาบวชให้หรือพากันไปที่วัดต้นสังกัด

    เรื่องการบวชชีพราหมณ์นี้ท่านเจ้าคณะก็อนุญาตให้แม่ชีทำการบวชให้ได้เลย

    ครั้นถึงปีใหม่ญาติโยมก็จะนิมนต์พระทุกวัดรวมทั้งแม่ชีทั้งหมดมารับบาตรร่วมกันที่ลานสะพานหินทุกปี

    เมื่อแม่ชีมาอยู่พัทลุง ที่นี่ก็ทำเหมือนที่ภูเก็ต คือนิมนต์พระและแม่ชีไปรับบาตรทุกปี

    เช้าๆเดินบิณฑบาตรด้วยกัน วันไหนพระไม่ว่างก็จะบอกแม่ชีให้บอกญาติโยมด้วยว่า วันนี้พระมาไม่ได้ วันไหนแม่ชีไม่ว่างก็วานพระบอกญาติโยมบ้าง ญาติโยมจะได้ไม่ต้องคอย ซึ่งก็เป็นการเอื้อเฟื้อเกื้อกูลต่อกัน

    เมื่อถึงเวลาออกพรรษาท่านเจ้าคณะอำเภอก็จะนำคณะญาติธรรม และผู้บวชเนกขัมมะหลายท่าน นำถังเหลืองๆขึ้นเขามาถวายแม่ชี
    แม่ชีกราบนิมนต์ท่านรับ ท่านเจ้าคณะอำเภอก็จะกล่าวว่า "ตามสบาย"อย่างนี้ทุกปี

    ซึ่งมันก็ทำให้แม่ชีซาบซึ้งในความกรุณาของพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบยิ่งนัก

    ส่วนคุณพสภัทธที่กล่าวมาอย่างนั้น อ่านและคิดดีแล้วหรือ? คำเขียนบางคำนั้นออกจะเป็นการหมิ่นประมาทลูกผู้หญิงคนหนึ่งนะ

    สิ่งดีงามที่สั่งสมมาจนได้รับการอนุโมทนาให้เป็นสมาชิกยอดนิยมนั้นนับว่าดี แต่เมื่อมาถึง ตอนนี้ ต้องกลับมาทบทวนดูว่า สิ่งที่ทำมานั้นดีจริงแล้วหรือ?...

    การอธิบายของแม่ชีนั้นมีหลักเหตุผล มีหลักการ หลักเกณฑ์ ไม่ได้ใส่หลักกูลงไปเลย มันมีที่มา จึงมีที่ทำ

    แม่ชีไม่ได้ล่วงเกินจาบจ้วงอะไรและก็ไม่ได้แหกคอกนอกกรอบแต่อย่างใด
    กฏระเบียบวินัยและกฏของสังคมแม่ชีก็ทำอยู่...

    น่าจะอ่านและทำความเข้าใจให้ดีก่อน เพราะสิ่งที่ทำไปแล้วเรียกคืนไม่ได้

    แต่ก็นั่นแหละมันทำให้แม่ชีได้เข้าใจความคิดของคนมากขึ้น ไม่ได้โกรธอะไรเพียง เตือนสติเท่านั้นเอง

    แม่ชียังคงภูมิใจที่ได้เกิดมาเป็นผู้หญิงและได้ทำประโยชน์ต่อส่วนรวมแม้จะน้อยนิด ก็นับว่าไม่รกโลก

    อีกอย่างในเว็บนี้เป็นที่ทรงเกียรติให้ความรู้ต่อผู้เข้ามาอ่าน น่าจะเคารพสิทธิส่วนบุคคลกันบ้าง

    หวังว่าการอธิบายของแม่ชีคงจะไม่ทำให้อารมณ์ขุ่นมัว เพียงหวังให้ผู้อ่านคิด พิจารณา แยกแยะเหตุผลด้วยปัญญาอันแท้จริง
    เพราะทานที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ทานอื่นใด ก็คือ ทานน้ำใจ

    ขอผู้อ่านจงใช้วิจารณญาณอันชาญฉลาดของท่านพิจารณาดูกันเองเถิด...

    บุญรักษา/ธรรมะสวัสดี
     
  17. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    สาธุ...

    ในความคิดของผมที่ศึกษามานั้น การให้มีหลายอย่าง ผู้รับมีหลายระดับขอยกตัวอย่าง

    การให้กับพระสงฆ์(๔ รูปขึ้นไป) อานิสสงส์ที่ได้กลับมา ๑๐ ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย อย่างมากนับไม่ถ้วน

    การให้กับพระสมมุติสงฆ์ อานิสสงส์ที่ได้กลับมา ๑ ล้านเท่าเป็นอย่างน้อย อย่างมากนับไม่ถ้วน

    การให้กับสามเณร อานิสงส์ที่ได้กลับมา ๑ แสนเท่าเป็นอย่างน้อย อย่างมากนับไม่ถ้วน

    การให้กับผู้ที่รักษา ศีล ๘ อุโบสถ อานิสสงส์ที่ได้กลับมา น้อยกว่า ๑ แสนเท่าเป็นอย่างน้อย อย่างมากนับไม่ถ้วน

    การให้กับผู้ที่รักษาศีล ๕ ศีล ๘ อานิสสงส์ที่ได้กลับมา ๑ หมื่นเท่าเป็นอย่างน้อย อย่างมากนับไม่ถ้วน

    การให้กับผู้ที่ทุศีล อานิสงส์ที่ได้กลับมา ๑ พันเท่าเป็นอย่างน้อย

    การให้กับสัตว์เดรัจฉาน อานิสสงส์ที่ได้กลับมา ๓๐๐ เท่า

    การให้กับพระทุศีล อานิสสงส์ที่ได้กลับมา ๑๐๐ เท่า


    ดังนั้น การให้ของแม่ชี เราก็ให้ได้แต่จะมารับของร่วมกับพระมิได้ ต้องแยกไปให้แม่ชีคนละส่วนครับ
     
  18. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    คุณณัฐทิพย์คุณทราบอยู่แก่ใจดี หลอกคนอื่นหลอกได้แต่หลอกใจตัวเองมันหลอกไม่ได้..ฉันเชื่อว่าคุณรู้เรื่อง"ศาสนา"ดีพอไม่มากก็น้อย ข้อความของคุณข้างต้น"มันเข็งกล้าว"กว่านี้มาก ให้เด็ก"เมื่อวานซืน"มาอ่านก็หน้าจะเข้าใจได้การที่"พระสงฆ์"ท่านอนุญาติให้นำเอาอาหารหลือข้าวของเครื่องใช้ต่างๆมาให้ญาติโยมที่ขาดเครงท่านต้องทำ"สังฆกรรม" ต้อง "ประชุมสงฆ์"เมื่อหมู่สงฆ์"อนุญาติ" ก็ไม่มีบาป แต่การที่คุณจะถือ"วิสาสะ" เป็นคนรับผ่าป่าเองแบบที่คุณเชิญชวนฉันไปดู แล้วอ้างว่าคุณเป็น"ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ (สามเณรผู้เจริญ และผู้ทรงศีลผู้เจริญ ใช้กับแม่ชี) " ฉันก็ต้องออกมาปกป้อม"พระพุทธศาสนาจากคนที่จะมายำยีพระพุทธเจ้าย่ำยีพระธรรมวินัยอย่างคุณ ถ้าคุณปรารถนาดีกับ"ญาติโยมที่เค้าอุส่ามีน้ำจิตน้ำใจมาถึงคุณ..ทำไมคุณไม่อธิบายให้เค้าฟังว่าสำหลับ"ชี"เค้าไม่ทำกัน แต่ถ้าจะให้ด้วยความรักความเมตตาก็ให้เป็นการ"ส่วนตัว" เค้าไม่ใช่"ศัพแสง"เช่นเดียวกับ"พระสงฆ์-สามเณร" ยกตัวอย่างคำว่า"ให้"กับ"ถวาย"คำนี้เค้าใช้กับพระสงฆ์องค์เจ้าและพระบรมวงค์เท่านั้น หลือว่าคุณมีศักด์เป็น"หม่อมเจ้า"หลือว่าพ่อของคุณเป็น"พระองค์เจ้า" ? ถึงใช่คำว่า"ถวายชี"

    "ส่วนคุณพสภัทธที่กล่าวมาอย่างนั้น อ่านและคิดดีแล้วหรือ? คำเขียนบางคำนั้นออกจะเป็นการหมิ่นประมาทลูกผู้หญิงคนหนึ่งนะ

    สิ่งดีงามที่สั่งสมมาจนได้รับการอนุโมทนาให้เป็นสมาชิกยอดนิยมนั้นนับว่าดี แต่เมื่อมาถึง ตอนนี้ ต้องกลับมาทบทวนดูว่า สิ่งที่ทำมานั้นดีจริงแล้วหรือ?... "

    คุณณัฐทิพย์ฉันว่าคุณกลับไปอ่านใหม่ไปว่าฉันไปดุหมิ่นอะไรลูกผู้หญิง ตัวฉันเองยัง"มึนงง"กับธรรมะ("ค.ว.ย" คิด-วิเคาะ-แยก) ที่คุณเป็นคนเขียนกับมือเพื่อเรียกศัทธาการที่คุณเขียนแบบนี้นั่นหละคือการ"ดูถูกตัวเอง"กลักคระที่สุด! คุณจงจำเอาไว้นะคนอย่างฉันทำดีฉันก็จะทำสิ่งไหนดีต่อพระศาสนาฉันทำทันที ฉันไม่สนอะไรทั้งนั้น การที่คุณอ้างพระผู้ใหญ่จะทำให้ท่านเดือดร้อนป่าวๆ ก่อนที่ฉันจะเขียนข้อความนี้ฉันได้กราบเรียนพระผู้ใหญ่เรื่อง"ชีรับผ้าป่าแล้ว ท่านได้เมตตาบอกมาว่า"มันทำไม่ได้" แต่ถ้าคุณยังจะ"รั้น"รับผ้าป่าและสนับสนุนให้ญาติโยมที่บริสุทธ์ที่ไม่รู้เรื่องศาสนา มาทำตามคุณคนที่จะเดือดร้อนคือตัวคุณเอง ไฟนรกมันจะเผาผลานตัวคุณเหมือนมะเร็งร้ายที่จะแกะกินร่างกายคุณเหมือนไฟที่เผาไหม้อยู่ตรอดเวลา คนอย่างฉันเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการสงเคราะงานพระศาสนาฉัน"ปรารบ"พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ถ้าคุณมีเจตนาดีต่อน้องๆคนรุ่นใหม่คุณ"จงอย่าใช้"ความรู้สึก"ส่วนตัว"ในการเผยแผ่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะคุณไม่ใช่พระอริยเจ้าหลือแม้แต่คนที่เค้าเป็น"พระอริยเจ้า" เค้ายิ่งต้องเชื่อพระพุทธเจ้าเชื่อพระวินัยเป็นหลัก .....

    คุณณัฐทิพย์ คุณไม่ใช่"ภิกษุณี" หลือ "สัมเณรี" คุณเป็นแค่ "อุบาสิกา" เป็น "อนุปสัมปันนัง" ...."ขวานมันจามทุกสึ่งทุกอย่างได้แต่มันไม่สามารถจามตัวมันเองแนใดก็ฉันนั้น" หลือคุณคิดว่ายังไง?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2008
  19. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    อีกอย่างนะ"รับบาตร"มันเป็น"บุคลิกทาน"(เจาะจงให้เฉพาะคน)มันเป็นการให้ส่วนตัว เค้าเจาะจงให้ ก็ไม่มีใครเค้าว่า ส่วนเรื่องการรับศีล ญาติโยมก็สามารถสมาทานเองได้(ทำที่บ้านยังได้เลย)มันขึ้นอยู่ที่ใจถ้ามือถือสากปากถือศีล ก็ไม่เห็นจะมีประโยดอะไร กรรมบท10ยังรักษาเอาไว้ไม่ได้จะถือวิสาสะไปให้ศีลอะไรกับใคร...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2008
  20. พชร (พสภัธ)

    พชร (พสภัธ) ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    5,746
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +49,866
    การทอดผ้าป่า
    ผ้าป่า ครั้งพุทธกาลเรียกว่า ผ้าบังสุกุลจีวร คือผ้าเปื้อนฝุ่นที่ไม่มีเจ้าของหวงแหน ทิ้งอยู่ในที่สาธารณะ ประเพณีการทอดผ้าป่ามีมาแต่ครั้งพุทธกาล เมื่อยังไม่ทรงอนุญาตให้ภิกษุรับคฤหบดีจีวร คือจีวรที่ชาวบ้านถวายโดยเฉพาะ ทรงอนุญาตแต่เพียงให้ภิกษุแสวงหาผ้าบังสุกุล นำมาซักฟอกตัดเย็บเป็นจีวรผืนใดผืนหนึ่งที่ต้องการ แล้วใช้นุ่งห่ม พุทธศาสนิกชนเห็นความลำบากของภิกษุในเรื่องนี้ ประสงค์จะบำเพ็ญกุศล ไม่ขัดต่อพุทธบัญญัติ จึงได้จัดหาผ้าที่สมควรแก่สมณบริโภค ไปทิ้งไว้ตามที่ต่าง ๆ โดยมากเป็นป่าช้าที่รู้ว่าภิกษุผู้แสวงหาเดินไป จึงเรียกว่าผ้าป่าในภาษาไทยเรา
    ในครั้งนั้น การทอดผ้าป่าไม่ได้นิยมกาล ต่อมาเมื่อทรงบัญญัติจีวรกาล คือการแสวงหา และทำจีวรขึ้น จำกัดอยู่หนึ่งเดือน นับแต่ออกพรรษาแล้ว และถ้าได้กรานกฐินด้วย จะขยายออกไปอีกสี่เดือนจนถึงวันเพ็ญเดือนสี่ การทอดผ้าป่าจึงนิยมทำขึ้นกันในระยะนี้ ส่วนมากในฤดูออกพรรษาใหม่ ๆ
    การทอดผ้าป่าที่ทำในประเทศไทย มีทำกันหลายอย่างคือ ทอดผ้าป่าและเลยทอดกฐินด้วยก็มี ทำกันอย่างสัณฐานประมาณ คือ เอาเครื่องไทยธรรมใส่ภาชนะ แล้วเอากิ่งไม้ปักเอาผ้าห้อย อุทิศตั้งไว้ตามทางที่พระเที่ยวบิณฑบาตรผ่านมา หรือนำไปตั้งไว้ตามพระอาราม แล้วให้สัญญาณให้พระภิกษุรู้ว่า มีผ้าป่ามาถึงที่ก็มี ที่ทำกันอย่างขนานใหญ่ให้ทายกรับไปคนละองค์จนครบจำนวนภิกษุสามเณรทั้งวัด แล้วนำมาทอดพร้อมกันตามกำหนด แห่แหนกันมา แล้วประชุมถวายอุทิศต่อหน้าพระภิกษุสงฆ์ก็มี บางแห่งทำผ้าป่าบรรทุกเรือพ่วงไปทางน้ำเรียกกันว่าผ้าป่าโยง ผ่านไปถึงวัดไหนก็ทอดวัดนั้นเรื่อยไปก็มี
    พิธีทอดผ้าป่า มีข้อสำคัญอยู่ว่าให้อุทิศเป็นผ้าป่าจริง ๆ อย่าเจาะจงถวายแก่ผู้ใดโดยเฉพาะ ถ้าทอดลับหลังพระภิกษุสงฆ์ผู้รับ เพียงแต่ตั้งใจขณะทอดว่าขออุทิศผ้า และเครื่องบริวารเหล่านี้แก่พระภิกษุผู้ต้องการผ้าบังสุกุลมาถึงเฉพาะหน้าเท่านี้ก็ถือว่าได้ทอด และถวายผ้าป่าแล้ว
    ถ้าเป็นการทอดผ้าป่าหมู่ต่อหน้าสงฆ์ผู้รับ พึงว่าคำอุทิศถวายทั้งบาลี และคำแปล ดังนี้
    อิมานิ มยํ ภนฺเต , ปํสุกุลจีวรานิ , สปริวารานิ , ภิกขุสงฺฆสฺส , โอโณชยาม ,
    สาธุโน ภนฺเต , ภิกขุสงฺโฆ , อิมานิ , ปํสุกุลจีวรานิ , สปริวารานิ , ปฏิคฺคณฺหาตุ
    อมฺหากํ , ฑีฆรตฺตํ , หิตาย , สุขาย.
    ข้าแต่พระสงฆ์ผู้เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายผ้าบังสุกุลจีวรกับทั้งบริวารเหล่านี้ แก่พระภิกษุสงฆ์ ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับ ผ้าบังสุกุลจีวร กับทั้งบริวารเหล่านี้ ของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพื่อประโยชน์และความสุข แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย สิ้นกาลนาน เทอญ ฯ
    สำหรับภิกษุผู้ชักผ้าป่า ไม่ว่าเป็นผ้าแบบใด พึงยืนสงบตรงหน้าผ้า เอื้อมมือขวาจับผ้าให้จับหงายมือ แล้วกล่าววาจาหรือบริกรรมในใจว่า
    อิมํ ปํสุกุลจีวรํ อสฺสมมิกํ มยฺหํ ปาปุณาติ
    กล่าวจบแล้วชักผ้านั้นมา เป็นอันเสร็จพิธี
    ถ้าเป็นผ้าป่าถวายหมู่เมื่อชักแล้ว พึงอนุโมทนาด้วยบท วิเสสอนุโมทนา ในทานนี้นิยมใช้บท สพฺพพุทฺธานุภา เวน... หากเป็นผ้าป่าเฉพาะรูป อนุโมทนาด้วยสามัญ อนุโมทนาเท่านั้นก็ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...