สอบถามเรื่องเทวดาที่ลงมาสรรเสริญและกราบไหว้พระพุทธเจ้าครับ

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย Sir-Pai, 9 กุมภาพันธ์ 2014.

  1. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    1.อย่างเทวดาใน 2 รูปที่ผมแนบไว้นี่คือเทวดาจากชั้นไหนหรอ ท่านคงไม่ได้มาจากนิมมานรดีหรือปรนิมมิตวสวัสดีหรอกใช่ครับ เพราะชั้นเหล่านั้น เสวยความสุขอย่างเดียวหรือเปล่า ??

    2.เทวดาในชั้นที่ 1 นี่มีแสงรัศมีด้วยหรอครับ แล้วเทวดาชั้น 1 ที่ถูกปกครองโดยท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 ไม่ว่าจะเป็นท้าวองค์ใด ก็ไม่มีหน้าตาไม่จำเป็นต้องแปลกประหลาดใช่ไหมครับ เช่น มีเขี้ยว หน้าแดงเป็นยักษ์ เพราะผมเคยเห็นในชาดกต่างๆเทวดาชั้น 1 ที่อาศัยในต้นไม้ที่หน้าตาก็เหมือนมนุษย์ เช่นเทวดาที่อยู่ในป่าหิมพานต์ คนธรรพ์ เหมือนกันครับ ถูกไหมครับ

    3.ต่อจากข้อ 2. อ่ะครับ คือเทวดาที่มีหน้าตาคล้ายมนุษย์ในชั้น 1 นี่ท่านถูกปกครองโดยใครหรอครับแล้วที่หน้าตาคล้ายมนุษย์นี่ไม่ใช่เพราะแปลงกายใช่ไหมครับ

    4.อันนี้เป็นคำถามออกแนวกวนๆหน่อย แต่อยากรู้เพราะสังเกตุบ่อยแล้ว ทำไมเทวดาชอบถอดเสื้อแล้วใส่แค่เครื่องประดับอ่ะครับ ผมว่าใส่เสื้อจะดูดีสุภาพกว่าไหม

    จบคำถามบริบูรณ์ครับ คำถามอาจงี่เง่าแต่สงสัยจริงๆ ขอบคุณทุกคำตอบนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  2. naroksong

    naroksong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    412
    ค่าพลัง:
    +1,135
    ตอบไม่ถูก

    ตอบได้ข้อแรก คือ ตามพระไตรเทวดาที่มีศรัทธา ไม่ว่าชั้นไหนเขาก็มาได้ครับ
    ---------------------------------
    เช่นเรื่องของนางสิริมา

    พระวังคีสเถระประสงค์จะให้นางสิริมาเทพธิดา ได้ประกาศบุญกรรมที่นางทำไว้
    ในครั้งก่อน จึงย้อนถามนางด้วยคาถาสองคาถา ความว่า
    ดูกรนางงามประจำชั้นไตรทศ ผู้มีร่างกายสะโอดสะอง ฉันจะขอถามท่าน
    การที่ท่านเข้าถึงความเป็นผู้มีสกลกาย และยานพาหนะอย่างประเสริฐเลิศ
    ยิ่ง คือ ท่านมีรถถึง ๕๐๐ คัน บุญกรรมเนรมิตมาให้โดยเฉพาะ ทั้งเทียม
    แล้วด้วยม้าอาชาไนยหลายตัว ทุกๆ ตัวเครื่องประดับประจำ ล้วน
    เครื่องสูง มันพากันก้มหน้าลง ในขณะที่ท่านจะลงมาจากเทวโลกและ
    เหินไปตามอากาศได้ มีกำลังฉับเฉี่ยว ม้าอาชาไนยทุกม้า อันบุญกรรม
    ดังนายสารถีเร่งแล้วก็พาตัวท่านไปได้ ท่านนั้นขณะที่ยืนอยู่บนรถอัน
    เพริศแพร้วที่บุญกรรมตกแต่งมาให้แล้ว ก็สว่างไสวคล้ายกับไฟกำลังโชติ
    ช่วงอยู่เช่นนี้ เพราะได้ทำบุญสิ่งใดไว้?


    นางเทพธิดาอันพระเถระถามแล้ว เมื่อจะประกาศการกระทำของตนให้ประจักษ์
    จึงตอบเป็นคาถาความว่า
    พระคุณเจ้าพูดถึงหมู่ทวยเทพชั้นปรนิมมิตวสวัสดี ซึ่งเป็นผู้เลิศโดยเชิง
    ภพที่อยู่ และโภคสมบัติหมู่ใดว่า เป็นทวยเทพที่เยี่ยมหาที่เปรียบมิได้
    ทวยเทพเหล่านั้น ก็มีความสุขสบายแต่ในภพและโภคสมบัติที่ทวยเทพ
    พวกอื่นมาเนรมิตให้เท่านั้น เพราะฉะนั้น ทวยเทพที่มีหน้าที่เนรมิต
    ภพและโภคสมบัติให้ คือพวกที่พระคุณเจ้าพูดถึงอยู่นี้ จึงได้นามว่า
    "นิมมานรดี" เป็นนางฟ้าที่มีร่างกายและผิวพรรณงดงามอันก่อให้เกิด
    ความงวยงงเพราะความรัก เดี๋ยวนี้มาถึงมนุษยโลกนี้แล้วเพื่อจะถวาย
    บังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


    เมื่อนางเทพธิดาประกาศความที่ตนเป็นนิมมานรดีเทพ ให้ปรากฏเช่นนี้แล้ว พระเถระ
    ใคร่จะถามถึงบุญกรรมที่นางให้ก่อสร้างไว้ในชาติก่อน จึงได้ภาษิตสองคาถาความว่า
    ชาติก่อนแต่จะเป็นนางเทพธิดานี้ ท่านได้สั่งสมสุจริตกรรมอย่างไรไว้


    ท่านมียศบริวารอยู่มากมาย เปี่ยมไปด้วยความสุข สำหรับตัวท่านเล่า
    ก็มีฤทธิ์และอำนาจพ้นจากสิ่งธรรมดาสูงเยี่ยม และมักเหาะไปในอากาศ
    ได้ (เช่นนี้) เพราะบุญกรรมอะไร อนึ่ง รัศมีกายของท่านก็สว่างไสวไป
    ทั่วทุกทิศ และท่านเล่าก็มีมวลเทพเจ้าเกรงกลัวและห้อมล้อมอยู่รอบ
    ท่านจุติมาจากคติไหนจึงมาถึงสุคตินี้ แม่เทพธิดา อนึ่ง ท่านได้ทำตาม
    ด้วยอาการยอมรับเอาโอวาทานุสาสนีในศาสนปาพจน์ของพระศาสดาองค์
    ไหน หากท่านเป็นสาวิกาของพระพุทธเจ้าจริงไซร้ ขอท่านได้โปรดตอบ
    คำถามของฉันนี้แก่ฉันด้วย?


    เมื่อนางเทพธิดา จะตอบเนื้อความตามที่พระเถระถามอย่างนี้ จึงกล่าวตอบด้วยคาถา
    เหล่านี้ความว่า

    ดิฉันเป็นพระสนมของพระเจ้าพิมพิสารผู้ประเสริฐ มีศิริ อยู่ในพระนคร
    ราชคฤห์ ซึ่งตั้งอยู่ในระหว่างภูเขา อันเป็นนครที่แออัดไปด้วยนักปราชญ์
    ดิฉันมีความชำนาญในการฟ้อนรำขับร้องชั้นเยี่ยม ชาวเมืองในกรุง
    ราชคฤห์ เขาพากันเรียกดิฉันว่า "นางสิริมา" พระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้
    องอาจในจำพวกผู้แสวงหาคุณอันประเสริฐ ผู้แนะนำสัตว์โลกให้เป็นผู้
    พิเศษ ได้ทรงแสดงความไม่เที่ยงแห่งของจริง คือ เหตุเกิดของทุกข์
    และทางให้ถึงความดับทุกข์ อันเป็นธรรมที่ไม่มีปัจจัยอะไรปรุงแต่ง เป็น
    ทางถาวร ทางตรง เป็นทางสุขเกษมแก่ดิฉัน ครั้นดิฉันฟังธรรมอัน
    เป็นทางไม่ตาย ไม่มีเหตุปัจจัยอะไรปรุงแต่งได้ ซึ่งเป็นคำสอนของพระ
    ตถาคตผู้ประเสริฐแล้ว จึงเป็นผู้สำรวมอย่างเคร่งครัดในศีลทั้งหลาย
    ดำรงมั่นอยู่ในธรรมปฏิบัติ ที่พระพุทธเจ้าผู้เลิศกว่านรชนทรงแสดงไว้
    แล้ว ครั้นดิฉันรู้จักบทอันปราศจากธุลี ซึ่งหาเหตุปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
    ที่พระตถาคตผู้ประเสริฐทรงแสดงไว้นั้น ดิฉันจึงได้บรรลุสมาธิอันเกิด
    จากความสงบจิตใจในอัตภาพนั้นเอง ดิฉันนั้นจึงได้มีความแน่นอนใน
    มรรคผลอันเป็นธรรมชั้นเยี่ยมขึ้น ครั้นดิฉันได้ฟังธรรมอันประเสริฐ
    อันไม่เกิดไม่ตายอย่างวิเศษแล้ว จึงหมดความเคลือบแคลงในพระรัตน-
    ตรัย มีความรู้พิเศษในการรู้อริยสัจธรรม หมดความสงสัยในสิ่งทั้งปวง
    จึงควรเป็นที่บูชาของชุมนุมชน ได้รับผลคือความสุขอันมั่นคง เป็นเครื่อง
    ตอบแทนมากมาย โดยทำนองตามที่กราบเรียนมานี้ ดิฉันจึงเป็นนางเทพ
    ธิดาผู้เห็นนิพพาน เป็นสาวิกาของพระตถาคตผู้ประเสริฐ เป็นผู้ได้เห็น
    ธรรมตามความเป็นจริง เป็นผู้ตั้งอยู่ในผลขั้นแรก คือ เป็นพระโสดาบัน
    ก็ทุคติย่อมไม่มีแก่ดิฉันอีก ดิฉันนั้นมาเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประ-
    เสริฐ ก็เพื่อจะถวายบังคม และนมัสการภิกษุทั้งหลายที่น่าเลื่อมใส
    ผู้ยินดีในธรรมอันไม่มีโทษ และเพื่อจะนมัสการสถานที่ๆ พระสมณะ
    ประชุมกัน อันเป็นสถานที่มีธรรมเกษม ดิฉันเป็นผู้มีความเคารพใน
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงพระศิริ เป็นพระธรรมราชา ครั้นได้เห็น
    พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นนักปราชญ์แล้ว ก็อิ่มเอิบปลาบปลื้มใจ
    ดิฉันขอถวายบังคมพระตถาคต ผู้เป็นสารถีของบุคคลที่ควรฝึกอย่างยอดเยี่ยม
    ทรงตัดตัณหาเสียได้ ทรงยินดีแล้วในกุศลธรรม ผู้ทรงแนะนำประชุมชน
    ให้พ้นจากทุกข์ได้ ผู้ทรงอนุเคราะห์สัตว์โลกในทางที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง.


    ดูอรรถกถาเพิ่ม
     
  3. บุญยง โคกกระทา

    บุญยง โคกกระทา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    2,709
    ค่าพลัง:
    +3,236
    เกิดมาไม่เคยเห็นเทดวาแบบ มาบอกว่าเค้าคือเทวดา มาคุยด้วย ว่าเป็นใครทำบุญอะไร ผมเป็นคนมารยาททราม

    แต่เมวดาจะจำแนกสังกัด ด้วยเครื่อง แต่งกาย กับกระบวนแถว
    ว่ามีหมู่เหล่าสังกัด เดียวกัน และถ้าแต่งกายไม่เหมือนกัน
    การจัดกระบวนแถวไม่เหมือน ก็จะไม่ปนกัน ไม่อยู่คละกัน

    ถ้าเทวดา มาทำความรู้จักกับเรา ด้วยอาการอะไรก็ตาม
    โดยไม่แต่งเครื่องแบบ ไม่แจ้งสังกัด ปะปนคละเคล้ากับรูปนามชั้นต่ำ

    ก็ให้นับเป็นรูปนามชั้นต่ำ

    ปฏิบัติกะมันเยี่ยงรูปนามชั้นต่ำ

    เทวดาจิงมักปรากฏกาย แบบสวยงาม เพราะจะได้รับการปฏิบัติ แย่งรูปนามชั้นสูง มีอาหารชั้นสูง
     
  4. ชีวอน

    ชีวอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2012
    โพสต์:
    246
    ค่าพลัง:
    +763
    จิตกรที่วาดภาพนั้นเอาตามที่ตัวเองมโนภาพมาจากการได้ยิดได้ฟังหรือศึกษามาจากพระไตรปิฎกครับ งั้นเทวดาทางยุโรปประเทศอื่นทำไมถึงมีปีกละจีนก้อใส่ชุดจีน ญีปุ่นใส่กิโมโน ก้อเพราะการจิตนาการเอาเองครับ แต่ของไทยส่วนมากเอามาจากพระไตรปิฏกครับ ส่วนเรื่องแสงรัศมีของเทวดามีครับชั้นสูงแสงก้อมาก แต่ชั้นต่ำหรือใกล้มนุษย์ แสงน้อยจนมองแทบไม่เห็นหรือไม่เห็นเลย เทวดาเขาวัดบุญบารมีกันที่แสงครับ พระพุทธเจ้าก้อวัดบารมีที่แสงได้เช่นกัน ส่วนเทวดาชั่น1ทำไมถึงมีหน้าแบบยักษ์ หรือหน้าสวยเหมือนมนุษย์ เพราะเทวดาชั้น1อยู่ใกล้กับโลกมากที่สุดเลยมีหลายสายพันธ์เทวดา แบ่งเป็น ยักษ์ นาค ครุฑ คนธรรพ์ กุมภันท์ วิทยาธร แต่ละสายพันธ์ยังแยกอีกได้หลายแบบและยังมีชั้นสูง กลาง ต่ำ เช่น ผีปอบ ผีพราย หรืออะไรก้อชั่งที่กินของสดคาว จะเป็นสายยักษ์ เจ้าพ่อเจ้าแม่ตามต้นคะเคียนหรือต้นไม้ใหญ่เป็นคนธรรพ์ งูตัวใหญ่งูเจ้าที่ทั้วหลายเป็นนาค เจ้าป่าเจ้าเขาหรือเจ้าอภินิหารทั้งหลายแหล่เป็นวิทยาธร กุมภันท์คือเจ้าหน้าที่ในยมโลก เป็นต้น ที่ว่าหน้าตาเหมือนคนนั้น ก้อมี คนธรรพ์ วิทยาธร ปกครองโดยท้าวธตรฐมหาราช แต่ถ้าสามารถแปลงได้ก้อทุกสายพันธ์ ส่วนเรื่องใส่เสื้อผ้าหรือถอด ก้อเป็นจิตนาการของช่างเขียนครับ อ้อเกือบลืม เทวดาชั้นสูงหรือพรหมก้อลงมาฟังธรรมได้ครับ ถ้าเขาตั้งใจ มีทุกชั้นจนถึงพรหมครับ ที่มีทั้งนับถือพระพุทธเจ้ากับไม่นับถือพระพุทธเจ้าครับ ขนาดตอนพระพุทธเจ้ายังพระชนชีพอยู่ภุมเทวา ในระแวกวัดเชตวันบางองค์ยังไม่นับถือไม่มาพระธรรมจากพระพุทธเจ้าเลยครับ รอผู้รู้ท่านต่อไป ขอบคุณครับ
     
  5. หมูดิน1

    หมูดิน1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2011
    โพสต์:
    544
    ค่าพลัง:
    +863
    โดยพระราชพรหมยานเถระ..

    [​IMG]

    ปัญหาเรื่องเทวดา
    ผู้ถาม
    คนที่ชอบบนกับพระภูมิ ท่านสามารถจะช่วยได้จริงหรือเปล่าค่ะ…?
    หลวงพ่อ
    ก็ไปถามท่านซิ ฉันไม่ใช่คนถูกบนนี่…
    ผู้ถาม
    บางครั้งคนที่ไปบนก็ได้รับความช่วยเหลือก็มีค่ะ แต่ยังไม่แน่ใจว่าท่านจะช่วยได้อย่างไร…?
    หลวงพ่อ
    ท่านจะช่วยได้ในสิ่งที่ไม่เกินวิสัย อย่าลืมนะคนกับเทวดานั้นไม่เหมือนกัน ถ้าสิ่งที่เกินวิสัยเขาก็หมดทางช่วยเหลือเหมือนกัน เคยถามหลวงพ่อปานว่า เขาบนหลวงพ่อเขาขอให้หลวงพ่อช่วยหลวงพ่อแย่ไหม…ท่านบอกว่าไม่หรอก บางทีเขาบนเกินวิสัยท่าน ท่านก็ให้คณะของท่านมาสงเคราะห์พระโพธิสัตว์ทั้งนั้น ท่านต้องการช่วยคนอยู่แล้ว ท่านมีหน้าที่ช่วยคน ท่านทำเพื่อพระโพธิญาณ ถ้าท่านช่วยไม่ไหว องค์อื่นทำงานแทนทันที คณะของพระโพธิสัตว์นี่บารมีเข้มข้นมาก พระภูมิเจ้าที่หรือเทวดา พวกท่านก็มีเยอะเหมือนกัน ความสามารถไม่เท่ากัน ความสามารถเขาดูกันที่มือ องค์ที่มีอานุภาพมาก มือขวาแดงช้าด แดงมาก มีฤทธิ์มาก แดงน้อยมีฤทธิ์น้อย ที่ไม่แดงเลยไม่มีฤทธิ์เลย
    ผู้ถาม
    (หัวเราะ) “เราจำเป็นต้องตั้งศาลพระภูมิไหมค่ะ…?
    หลวงพ่อ
    ก็สุดแท้แต่เรา เพราะว่าที่ต้องมีการยกศาลก็เป็นการยอมรับนับถือกัน เรื่องนี้บางคนเขาชอบสงสัย วันหนึ่งว่างๆ ถามท่านว่าทำไมจึงต้องตั้งศาล ท่านก็เลยบอกว่า ฉันจะเล่าประวัติให้ฟัง
    สมัยดึกดำบรรพ์ชาวบ้านยังไม่มีอะไรเป็นที่ยึดเหนี่ยวใจ ไปอยู่ที่ไหนก็ตามก็คิดว่าผีสางเทวดาอาจช่วยเขาได้ เขาก็จุดธูปเทียนบูชา ทีนี้ไอ้ที่บูชาที่ไหนมันก็ไม่เหมาะ เขาก็ปักบนกระบอกไม้ ต่อมาภายหลังความสุขสบายมีขึ้น ความเคารพนับถือมีขึ้น อาจจะใช้เวลาหลายชั่วอายุคนก็ได้ ก็คิดว่าเทวดานี่ดีจริง ทีนี้ทำยังไง จะวางกับดินก็ไม่ได้ หาโต๊ะหาตั่งลำบาก ก็ตั้งเป็นศาลเพียงตา ๒ ชเวลาจะถวายอาหารเขาก็เอาไปวางบนนั้น ต่อมาภายหลังเขาเกิดสงสารเทวดา ก็เลยทำหลังคาให้ และต่อมาก็ทำเป็นเรือนมีหลังคา ต่อมาก็ประดิษฐ์เป็นเรือนไทย เวลานี้เป็นตึกแล้ว ั้น
    sitmatrix:
    ก็รวมความว่า ศาลก็คือที่บูชานั่นเอง พระภูมิไม่ได้ขึ้นศาล วิมานท่านมีอยู่แล้ว ทีนี้ศาลที่เราทำเป็นที่บูชา การบูชานี่เป็นการยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ก็เลยถามท่านว่า แล้วไปช่วยอะไรเขาได้บ้าง ก็ช่วยได้เท่าที่จะช่วยได้ ถ้าสิ่งใดที่จะช่วยได้ก็พยายามช่วย ถ้าสิ่งใดที่ช่วยไม่ได้ก็พยายามป้องกัน ถ้ากันไม่ได้มากก็กันน้อย แต่ว่ากำลังกันเขามากกว่า เอาเต็มที่ไม่ได้เอาสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังดี จนกระทั่งเขาไม่บูชา ทีนี้พอจะกันเขาได้ก็ไม่ได้เสียแล้ว เพราะไม่ได้ให้ช่วยได้ยังไงล่ะ เขาก็เฉย
    ทีนี้ถ้าถามว่าควรตั้งศาลไหม ถ้าชอบก็ควร ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องตั้ง แต่ถ้าเป็นฉัน ฉันตั้งนะ และฉันเคยแนะนำให้เขาตั้งศาลทางทิศเหนือกับทิศตะวันออกของบ้าน ถ้าตั้งทางทิศใต้กับทิศตะวันตก ทำมาหากินมาได้เท่าไร ก็ไม่เหลือ

    ผู้ถาม

    ผมก็ตั้งครับหลวงพ่อ ผมบูชาทั้งพระภูมิทั้งผีบ้านผีเรือน เวลาถวายข้าวพระภูมิ ผมจะมีข้าวตอกให้ผีบ้านผีเรือนด้วย ทีนี้ถ้าผมจะเชิญพระภูมิเจ้าที่ และผีบ้านผีเรือนพร้อมกันเลยได้ไหมครับ…?

    หลวงพ่อ

    ว่าได้เลย ทีเดียวพร้อมกัน ผีบ้านหรือผีเรือนก็หมายถึง ภูมิเทวดา ผีอื่นเข้ามายุ่งไม่ได้

    ผู้ถาม

    ทีนี้ของถวายเราเอาไว้ในห้องพระได้ไหมครับ…?

    หลวงพ่อ

    ได้…วางกับพื้นหรือวางกับโต๊ะอีกโต๊ะหนึ่งก็ได้ เทวดาก็เหมือนพระ ถ้าวางไว้คนละโต๊ะไม่เป็นไร ไม่ถือว่าเป็นอาสนะเดียวกัน

    ผู้ถาม

    แล้วอย่างถวายพวงมาลัยพระ แต่ไม่ต้องจุดธูปเทียน นี่จะได้ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ

    ได้…ฉันนี่ฝ่ายขี้เกียจจุดธูปเทียน ฉันใช้เทียนไฟฟ้า เวลาบูชาก็กดสวิทต์แชะเป็นแสงสวยดีกว่า สว่างกว่าใช่ไหม…
    คือว่าการบูชาด้วยเทียนเป็นการบูชาแสงสว่างหรือเป็นการบูชาด้วยประทีปโคมไฟ ถ้าไฟฟ้าก็สว่างกว่าเทียนธรรมดา แล้วไม่มีอันตรายจากไฟด้วย มีประโยชน์กว่าเยอะ แต่ถ้าเราหาอะไรไม่ได้ก็เอาธูปน้อยๆ เทียนน้อยๆ เป็นแสงสว่างนั่นแหละดี

    ผู้ถาม

    ผมเคยฟังเทปที่คุณพรนุชท่องสวรรค์ บอกว่าวิมานของภูมิเทวดาสูงจากพื้นดินสักคืบหนึ่ง ทีนี้เวลาที่ขับรถผ่านไปก็ดี หรือขี้เยี่ยวก็ดี อย่างนี้ไม่ถูกเขาหรือครับ…?

    หลวงพ่อ

    วิมานเขาเป็นวิมานทิพย์ขยับได้ พอขี้จะถูกขยับปั๊บ

    ผู้ถาม

    อ้อ…หลบได้ด้วย

    หลวงพ่อ

    ไม่ถูก อย่างเขาพระสุเมรุ สูงมากจากพื้นดินไปถึงดาวดึงส์ และดาวดึงส์นั้นอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุ เครื่องบินยังไม่เคยชนเลย ไม่มีอะไรชนได้หรอก เพราะสภาพเป็นทิพย์

    ผู้ถาม

    เป็นอันว่า ขี้เยี่ยวตรงไหนไม่ต้องกลัวไปโดนนะครับ…?

    หลวงพ่อ

    ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องห่วง เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความมั่นใจเวลาจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ก็ยกมือ
    sitmatrix:
    ไหว้ “เจ้าประคู้น หลบหน่อยเถิด มันจำเป็นจริงๆ

    ผู้ถาม

    (หัวเราะ)

    หลวงพ่อ

    ไม่เป็นไรหรอกนะ สภาพท่านเป็นทิพย์ ไม่มีอะไรกระทบท่านได้

    ผู้ถาม

    หลวงพ่อค่ะ บ้านทุกหลังมีพระภูมิเจ้าที่อยู่ไหมค่ะ…?

    หลวงพ่อ

    เขาคงไม่อยู่นะ พระภูมิองค์หนึ่งรักษาเขตเป็นกิโลๆ องค์เดียวกันนี่นะ เคยถามเขาว่า คนที่คุณรักษาในเขตกรุงเทพเป็นกิโลนี่คนมันมากเหลือเกิน มีเป็นล้าน แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าเขาทำดีทำชั่ว ต่างกรรมต่างวาระ คุณรู้ได้ยังไง เขาบอกว่าอารมณ์จิตผมเป็นทิพย์ครับ คือไม่ต้องไปถามดูหรอก มันขึ้นเอง คือว่าบัญชีมันขึ้นเลย มันจะบอกเลยว่าใครทำอะไร เขาบอกว่า เขามีหน้าที่รับทราบคนที่ทำความดีความชั่ว เมื่อถึงเวลาวันโกน วันกลางเดือนหรือวันสิ้นเดือน จะมีเทวดาชั้นจาตุมหาราชมารับบัญชี และก็จะไปส่งให้เทวดาที่เป็นมหาอำมาตย์ใหญ่ เทวดาผู้ใหญ่ก็เสนอท้าวมหาราชๆ ท่านก็แบ่งบัญชีเป็น ๒ บัญชี ใครทำบาปกันไว้ประเภทของบาป ใครทำบุญกันไว้ประเภทของบุญ ประเภทบาปก็ให้เทวดา ๔ องค์ ที่เรียกว่าเทวทูตนำไปส่งสำนักพระยายม ตัวท่านท้าวมหาราชเอง พอเวลาวันพระก็นำไปส่งที่ประชุมของเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเทวดามาประชุมกันที่เทวสภาหรือศาลาสุธรรมา บรรดาเทวดาทั้งหลายเหล่านั้นเมื่อทราบว่าคนทำบุญมากก็ดีใจ แต่หน้าที่ที่จะนำเอาบัญชีนั้นไปกราบทูลให้พระอินทร์ทรงทราบ คือ ท่านปัญจสิกขเทพบุตร มีหน้าที่เป็นเลขาพระอินทร์ เมื่อพระอินทร์ทรงทราบแล้วก็ประกาศนามคนที่ทำบุญเหล่านั้นให้มวลหมู่เทวดาที่มาประชุมกันทราบ ถ้าระหว่างวันพระไหนมีคนทำบุญมาก บัญชีบุญบัญชีกุศลมาก บรรดาเทวดาทั้งหลายก็ดีใจ กล่าวกันว่าต่อแต่นี้ไปพวกบรรดาเทพนิกายมากแล้ว เพราะอาศัยความดีดีใจปลื้มใจที่มีพวกมาก ท่านก็พากันฟ้อนรำทั้งเทวดาและนางฟ้า ความจริงสวยจริงๆนะ แต่วันพระไหนถ้าบังเอิญคนทำบุญน้อย บรรดาเทวดาทั้งหลายได้ทราบจากบัญชีของท้าวมหาราชก็สลดใจ วันนั้นไม่มีการฟ้อนรำ นั่งสลดใจเศร้าสร้อยไปตามๆกัน

    ผู้ถาม

    ความจริงเราบูชาเทวดาก็ดีเหมือนกันนะครับ

    หลวงพ่อ

    เขาเป็นเทวดา เราบูชาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา เราจะถือว่าเราดีกว่าเขาไม่ได้ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นภูมิเทวดา ท่านก็เป็นเทวดาแล้ว เรายังไม่เป็นเทวดา ยังเอาแน่ไม่ได้ ใช่ไหม…เวลาที่เราบูชาเทวดาในวิสุทธิมรรคท่านเรียกว่า เทวตานุสสติกรรมฐาน นึกถึงความดีของเทวดา คือเขาจะเป็นเทวดาได้ด้วยคุฯธรรม ๒ ประการคือ หิริ กับ โอตตัปปะ เรื่องชั่วนี่เขาไม่ทำ เขาจึงเป็นเทวดาได้ เราก็ใช้แบบนั้น และเขาก็ดีจริงๆ ถ้ามีอะไรขัดข้องที่จะต้องทำ ถ้าไม่เกินวิสัย เขาจะมาบอกเลย ท่านจะมาบอกก่อนเสมอ

    ผู้ถาม

    หลวงพ่อค่ะ ภูมิเทวดานี่จะอยู่ถึงศาสนาพระศรีอาริย์ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ

    ถ้าเทวดาองค์นั้นไม่จุติก็อยู่ถึง

    ผู้ถาม

    (หัวเราะ)
    sitmatrix:
    หลวงพ่อ

    ภูมิเทวดาก็มีอายุเท่ากับอากาศเทวดา คือจาตุมหาราช แต่ว่าจะเอาแน่อะไรกับท่านละ เทวดามี ๒ ประเภท เทวดาขยัน กับเทวดาขี้เกียจ คือว่าเทวดาขยันนี่ ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ขยันจุติมาบำเพ็ญบารมีเพิ่ม ถ้าเทวดาขี้เกียจก็ปล่อยเต็มหุ่ย หมดอายุเมื่อไรจุติเมื่อนั้น

    ผู้ถาม

    อายุของภูมิเทวดาเท่าไรคะ?

    หลวงพ่อ

    ภูมิเทวดามีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ ๕๐ ปี ของเราเป็น ๑ วันของเขา ก็ลองคิดซิ อีกล้านปีพระศรีอาริย์จึงจะตรัส

    ผู้ถาม

    ภูมิเทวดาเป็นพวกเดียวกับรุกขเทวดา หรือเปล่าคะ…?

    หลวงพ่อ

    ก็เหมือนกัน แต่รุกขเทวดาอยู่สูงกว่าหน่อย อยู่บนต้นไม้ ถ้าต้นไม้พังวิมานก็พังก็ต้องเดินดินเหมือนกันคือลอยไม่ได้

    ผู้ถาม

    ค่ะ ทีนี้มีอีกอย่างนะคะที่หนูสงสัย คือเวลาที่หนูสวดมนต์บูชาพระแล้วก็อุทิศส่วนกุศลไปยังสัตว์โลกทั้งหลาย แต่มีเพื่อนคนหนึ่งมาบอกว่า ให้อุทิศส่วนกุศลแก่ท้าวเวสสุวัณด้วย เพื่อให้ท่านเป็นพยาน ท้าวเวสสุวัณคือใครคะ…

    หลวงพ่อ

    ท้าวเวสสุวัณ ก็คือเท้ามหาราชองค์หนึ่ง มี ๔ องค์ด้วยกัน คือ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรูปักษ์ และท้าวเวสสุวัณ
    ถ้าเทวดาชั้นจาตุมหาราช เขาจะมีสองแบบนะ ยามปกติเขาจะอยู่ในฐานะทหารของพระอินทร์ เขาจะมีรูปร่างเหมือนคนนี่ล่ะ แต่ว่าเป็นคนละแบบ ท่าทางจะไม่สวยนัก แต่ถ้าเขาเข้าเครื่องทรงธรรมดาจะคล้ายพรหมหมด สวยมาก เพราะพวกนี้ก่อนตายเขาได้ฌาน แต่ว่าไม่ได้ถึงฌาน ๔ ได้แค่ฌาน ๑, ๒, ๓ และก่อนจะตายไม่ได้เข้าฌานตาย เขาจึงไปเป็นพรหมไม่ได้ จึงต้องพักแค่จาตุมหาราช พอไปชั้นนี้ฌานก็ทรงตัวตามเดิม แต่ก็ยังเป็นพรหมไม่ได้ ต้องทำงานตามเวลาก่อน เมื่อหมดวาระก็ไปเป็นพรหมตามกำลังของฌาน เวลาเขาแต่งเครื่องทรงเทวดานี่ รูปร่างเพรียวหมด มีสภาพเหมือนกับพรหม เพราะเขาไปจากฌาน
    เวลาอยู่ปกติเขาจะมีรูปร่างไม่เหมือนกัน อย่างลูกศิษย์ท้าวธตรฐนี่ มีรูปร่างเพรียวๆ สวยสะโอดสะองหน่อยๆ
    ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก เขาเรียกกุมภัณฑ์ อ้วนต่ำ
    ถ้าลูกศิษย์ท้าววิรูปักษ์ บอกลักษณะยาก ก็เหมือนกับคนเรานี่ อ้วนๆ ล่ำๆ แต่สูง
    ถ้าลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณนี่ ผมหยักโศก ท่าทางทะมัดทะแมงแข็งแรงมาก
    แต่เทวดา ๔ ทิศนี่ มีพระท่านหนึ่ง จ.อยุธยาบอกว่า เทวดา ๔ ทิศนี่ มีเกเรจริงๆ อยู่ ๒ ทิศ คือลูกศิษย์ท้าวเวสสุวัณ กับลูกศิษย์ท้าววิรุฬหก แต่ความจริงเขาเข้มแข็งเอาเหมือนกัน ถามว่าเกเรเพราะอะไร แกก็ไม่บอกให้ฟัง มีวันหนึ่งเขาสร้างศาลาหลังใหญ่ เขาจะยกเสาขึ้นไปท่านก็จัดการบวงสรวง ฉันก็ไปในงานนั้นด้วย แต่มีเหล้าอยู่แก้ว ถามว่าทำไมต้องมีเหล้า เขาบอกว่าตำรา
    sitmatrix:
    เขามีอย่างนี้ ก็บอกว่า ตายล่ะ…ที่ท่านบอกว่าเทวดา ๒ ทิศเกเร ก็ท่านทำอย่างนี้ก็เกเรซิ เขาก็ถามว่าทำไม ก็บอกว่าแกเลี้ยงเหล้าก็เมา วันนี้เมาหมด ก็จริงๆ เสาขึ้นเสาเมา ขื่อขึ้นขื่อเมา เมาหมดทุกอย่าง นี่เป็นอย่างนี้
    ทีนี้เวลาอุทิศส่วนกุศลแล้วบอกให้ท่านเป็นพยานอันนี้ดี เมื่อก่อนฉันนึกว่าเขาพูดเล่น คิดว่าเขาพูดเพ้อ ฝากเทวดาให้เป็นพยานว่าก็ว่าไม่น่าเชื่อ ต่อมาพอมีประสบการณ์จริงจังจึงเชื่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงมีหลายคน พวกที่บอกฝากนี่นะ เวลาที่แกตายบางทีกำลังใจแกอ่อน คือสมถวิปัสสนานี่แกไม่เอาเอาแต่ทำบุญธรรมดา เวลาจะตายจิตก็เฝือ ก็ต้องลงไปที่สำนักพยายมก่อน เวลาไปอยู่สำนักพระยายม เวลาท่านสอบสวนกรรมบางอย่างมันปกปิด ถามเรื่องบุญมันนึกไม่ออก ถ้าเขานึกถึงบุญไม่ออก ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งจะต้องปล่อยให้ลงนรก หากถาม ๓ เที่ยวนึกไม่ออก ท่านก็จะได้ประกาศว่า เขาเคยบอกฉันไว้ว่า เวลาเขาทำบุญให้ฉันเป้นพยาน แล้วท่านก็ประกาศกุศลนั้น ก็ได้ไปสวรรค์ อันนี้ดีนะ แต่ว่าหาว่าท่านเล่นพรรคเล่นพวกไม่ได้นะท่านไม่ได้จำกัด

    ผู้ถาม

    แล้วพระยายมล่ะคะ…?

    หลวงพ่อ

    พระยายมนี่เป็นตำแหน่ง ความจริงท่านเป็นพรหมและสำนักพระยายมก็อยู่ในเขตของจาตุมหาราช ไม่ใช่เขตนรก เวลาเราไปที่สำนักพระยายม เราจะเห็นมีวิมานสวยสดงดงาม แล้วก็เป็นทุ่งโล่งเตียน มีสวนดอกไม้สวยสดงดงาม เวลาจะมองดูนรกต้องมองไปทางทิศตะวันออกไกลมาก จะเห็นแสงเพลิงมันสว่างพุ่งขึ้นบนอากาศ เป็นลานกว้างมาก ทีนี้โดยมากคนเข้าใจว่าพระยายมเป็นพวกของนรก ความจริงท่านไปนั่งกันมิให้ลงนรกนะ

    ผู้ถาม

    ยังงั้นให้ท่านพระยายมเป็นพยานองค์เดียวก็ได้ใช่ไหมคะ…?

    หลวงพ่อ

    องค์นั้นองค์เดียวพอ เพราะถ้าท่านไม่กั้นละก็..ป๋อง…

    ผู้ถาม

    หลวงพ่อลงไปเที่ยงคงร้อนมากซิคะ…?

    หลวงพ่อ

    ใช่…ร้อนกว่าไฟธรรมดาหลายแสนเท่า มันร้อนกว่าไฟที่เราใช้อยู่นี่นะ แต่ถ้าเราลงไปเที่ยวไม่ร้อน แต่ว่าผู้ลงไปเที่ยว เขาห้ามลงขุมนรกลงได้แต่ขอบๆ ลงไปในขุมเขาไม่ได้นะ มีเจ้าหน้าที่เขาคอยกันอยู่ ถ้าลงขุมไฟเขาดับ ถ้าเราจะไปเที่ยวนรก เราจะไปตามลำพัง มันก็ไม่ได้เกิดประโยชน์ เราต้องไปสำนักพระยายมก่อนแล้วไปขอคนจากสำนักพระยายมคนหนึ่ง เราจะไปขุมไหนเขาจะพาไป ถ้าเราไปคนเดียว ถ้าเราเจอสัตว์นรกสักคนหนึ่ง เราเห็นเราก็รู้เลยว่าใครเป็นใคร ถ้าเราต้องการจะเรียกขึ้นมาพูดเขาไม่ให้ขึ้นมาหรอก ถ้าหากไปพูดกับนายนิริยบาลขอให้คนนั้นขึ้นมา เขาจะไม่พูดกับเรา ต้องให้คนจากสำนักพระยายมไปบอก คนที่ได้ก็คือเทวดา ถ้าเทวดาองค์นั้นท่านไปกับเรา เราต้องการจะคุยกับคนนี้ เขาก็บอกนายนิริยบาลให้เ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  6. Sir-Pai

    Sir-Pai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2010
    โพสต์:
    1,157
    ค่าพลัง:
    +3,358
    อย่างงี้เทวดาชั้น 1 บางองค์ก็หล่อได้ สวยได้ เหาะได้บ้าง ถ้าเขาใส่เครื่องแต่งกายประดับคงหล่อสวยมาก ขอบคุณมากนะครับ ท่านหมูดิน1

    ปล.เทวดาตั้งแต่ชั้นดาวดึงส์ขึ้นไป คงมีรัศมีกายและหล่อมากแน่ๆเลย

    ปล.2 เป็นเทวดาก็เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ยเพราะต้องช่วยเหลือคนครับ อิอิ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2014
  7. ศนิวาร

    ศนิวาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2008
    โพสต์:
    7,337
    ค่าพลัง:
    +17,635
    ตอบข้อ ๑ ทุกชั้น ตั้งแต่ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา ดุสิต นิมมานรดี และ ปรนิมมิตวสวัสตี รวมทั้ง พรหมโลกอีก ๑๖ ชั้น ถึงแม้เสวยสุขอยู่ก็มาเพราะการมาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและฟังธรรมเป็นมงคลอันประเสริฐที่หาได้ยากอย่างยิ่ง

    ในรูปที่ทรงชุดขาวคือเทวดาชั้นพรหมเพราะมีศีลแปดเป็นพื้นฐาน ดังนั้นผู้ที่บวชพราหมณ์จึงใส่ชุดขาวเพราะเหตุว่าถือศีลข้อพรหมจรรย์เสมอด้วยกับพระพรหม

    องค์สีเขียวคือพระอินทร์ ที่ท่านมีสีเขียวเพราะรัศมีแก้วมณีอินทขีลจากเครื่องประดับส่องสว่างจับผิวกายทำให้มองดูเป็นสีเขียว

    ตอบข้อ ๒ เทวดามีรัศมีทุกองค์ สว่างมากน้อยตามแต่กำลังของบุญที่ทำไว้และความละเอียดของจิต เทวดายิ่งชั้นสูงรัศมียิ่งสว่างจนสามารถกลบรัศมีของเทวดาที่อยู่ชั้นต่ำกว่าได้ ยกเว้นเทวดาที่ได้พระโสดาบันไปจนถึงอนาคามีจะมีรัศมีสว่างมากกว่าเทวดาที่ไม่ได้บรรลุธรรมเพราะภูมิของจิตสูงกว่า เทวดาย่อมมีภาคที่สวยงามกับไม่สวยงาม ยามปกติ็ก็หน้าตาคล้ายมนุษย์ แต่ถ้าเป็นยักษ์หรือมารเวลาโกรธหน้าตาก็จะเปลี่ยนไปตามพื้นฐานเผ่าพันธุ์ที่ตนไปเกิด

    ตอบข้อ ๓ เทวดาชั้นที่ ๑ คือ จตุมหาราชิกาภูมิ มีผู้ปกครองอยู่ ๔ องค์ แบ่งออกตามทิศทั้ง ๔ จึงเรียกว่า ท้าวจตุโลกบาล (ผู้รักษาโลกทั้ง ๔ ทิศ) ดังนี้

    ท้าวธตรฐ ปกครองทิศตะวันออกเป็นผู้ดูแลคนธรรพ์ทั้งหลาย เทวดาเหล่านี้รูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์

    ท้าววิรุฬหก ปกครองทิศใต้เป็นผู้ดูแลเหล่ากุมภัณฑ์ทั้งหลาย เทวดาเหล่านี้รูปร่างหน้าตายามไม่โกรธจะคล้ายคลึงกับมนุษย์แต่ยามโกรธจะคล้ายยักษ์

    ท้าววิรุณปักข์ ปกครองทิศตะวันตกเป็นผู้ดูแลเหล่า นาค ทั้งหลาย เทวดาเหล่านี้ยามอยู่ในวิมานจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายคลึงกับมนุษย์ และยามออกจากวิมานจะเปลี่ยนร่างเป็นงูใหญ่มีทั้งประเภท เศียรเดียว สามเศียร ห้าเศียร เจ็ดเศียร พันเศียร เวลาขึ้นมาบนโลกมนุษย์จะแปลงร่างเป็นคน แต่บางจำพวกไม่สามารถแปลงร่างเป็นคนได้ จึงอยู่ในสภาพของงู

    ท้าวเวสสุวรรณ (ท้าวกุเวร) ปกครองทิศเหนือ เป็นผู้ดูแลยักษ์ทั้งหลาย เทวดาเหล่านี้ยามอารมณ์ดี ก็อยู่ในร่างที่คล้ายคลึงกับมนุษย์แต่ยามโกรธเขี้ยวจะงอก ตาถลน แปรสภาพเหมือนยักษ์ บางจำพวกก็ไม่สามารถอยู่ในสภาพที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ได้จึงมีรูปร่างหน้าตาน่าเกลียด

    ตอบข้อ ๔ เทวดาท่านมีเสื้อใส่ แต่เสื้อของท่านเหล่านั้นใสบางอย่างแก้วมองทะลุได้ เมื่อมองเผิน ๆ จึงเหมือนไม่ใส่ ดังนั้นเวลาวาดรูปไม่สามารถวาดเสื้อได้เพราะใสอย่างแก้วจึงเว้นไว้ แล้วไปวาดเครื่องประดับแทนจึงดูเหมือนกับไม่ใส่เสื้อ ท่านก็สุภาพของท่านอยู่แล้วไม่เห็นจะน่าเกลียดตรงไหน
     
  8. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ๑ ผมไม่แน่ใจนะครับว่าในรูปเป็นเทวดาอะไร ต้องถามคนวาด
    และเทวดาชั้นไหนๆก็ลงมาพบพระพุทธเจ้าหรือพบใครต่อใครได้ทั้งนั้นถ้าเขาต้องการ
    การที่เข้าใจว่าเทวดาเสวยสุขอย่างเดียวนั้นผิดครับ เทวดาปฏิบัติธรรมเยอะแยะ

    ๒ เทวดาทุกชั้นก็มีรัศมีทั้งนั้น ตามกำลังบุญที่ทำมา
    อย่างการถวายพระพุทธรูปเป็นสังฆทานก็ทำให้มีรัศมีกายมาก
    ส่วนหน้าตาของเทวดา ท่านก็แสดงออกอย่างที่เราจะเข้าใจได้ว่าเป็นเทวดา

    ๓ เรื่องของเทวดามันซับซ้อนมากครับ โดยรวมกว้างๆแล้วเทวดาเขาก็มีขอบเขตการปกครองกัน
    ผมก็ไม่รู้รายละเอียดแน่ชัดนัก อยากรู้จริงๆต้องถามเทวดาชั้นผู้ใหญ่เช่นพระอินทร์ครับ

    ๔ เทวดาชอบถอดเสื้อ...? ดูจากรูปภาพใช่มั้ยครับ
    คุณก็วาดเทวดาใส่เสื้อก็จบครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2014

แชร์หน้านี้

Loading...