ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ก่อนปีใหม่ ได้มีโอกาสสัมผัสพระเครื่องอยู่หลายองค์ ซึ่งเป็นพระเครื่องแท้ๆ ทันยุคทันสมัย และเป็นที่ยอมรับในวงการ พอลองสัมผัสดดูจึงได้ืทราบความแตกต่างของแต่ละองค์ ขอเล่าให้ฟังก่อนดังนี้

    1. พระปิดตาหลวงปูนาค วัดห้วยจระเข้
    พลัีงจิตของผู้เสก เป็นผู้่ทรงอภิญญาเต็มเปี่ยม รุนแรง สามารถคุ้่มภัยได้อย่างทันท่วงที สมแล้วที่เป็นพระปิดตาอันดับหนึ่งของเมืองไทย
    2. พระปิดตายันต์ยุ่งของเจ้าคุณเฒ่าวัดหนัง
    พลัีงจิตของผู้เสก เป็นผู้ทรงคุณธรรมในระดับที่สูงมาก พลังออกมาจึงเป็นแบบเมตตา คุ้มครองและป้องกันภัยได้ทั้งหมด สมแล้วกับที่เป็นพระปิดตาหนึ่งในห้าของเมืองไทย

    แต่ถ้าให้ผมเลือก ถ้าเป็นวัยรุ่นก็จะเลือกแบบหนึ่ง แต่ถ้าเป็นวัยกลางคนแล้ว จะเลือกแบบสอง เพราะดูนุ่มนวลและเยือกเย็นกว่าครับ ส่วนรูปถ่ายจากของจริง ผมนำลงมาให้ดูตามนี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ส่วนองค์นี้ของผมเอง "พระกริ่งพรหมมุณี" ที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราชแพ ควบคุมการอธิษฐานจิตรวมถึงการดำเนินการในการเททองทั้งหมด โดยมีพระยาศุภกรบรรณสาร (นุ่ม วสุธาร) ท่านเป็นผู้อำนวยการพระคลังข้างที่ในสมัยนั้น และท่านก็เป็นลูกศิษย์ที่มีความเคารพนับถือในองค์สมเด็จพระสังฆราช (แพ) มาก เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบตามสูตรมาให้ท่าน และเมื่อสำเร็จเป็นพระกริ่งเรียบร้อยแล้ว พระกริ่งองค์นี้ ท่านเจ้าคุณสมเด็จฯ ท่านได้นำไปถวาย ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ) วัดเทพศิรินทร์ ที่ท่านนับถือ โดยถวายเพียง 5 องค์เท่านั้น โดยด้านหลังช่างได้เอาตุ๊ดตู่ตอกไว้เป็นวงกลมเพื่อให้สวยงาม เพื่อเป็นสัญญลักษณ์ให้แตกต่างกว่าของสามัญชน ที่ผู้ได้รับจะเป็นแบบชายด้านหลังเป็นเส้นตรงตามปกติตามที่เห็นกันทั่วไปครับ

    ส่วนการได้พระกริ่งองค์นี้มาต้องผ่านทั้งตานอกจากเซียนใหญ่สายพระกริ่งวัดสุทัศน์จากท่าพระจันทร์ และตาในของผู้มีฌาณขั้นสูง ส่วนราคานั้น แฮ่ะๆ แพงครับ

    พันวฤทธิ์
    2/1/57

    [​IMG]


    [​IMG]


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2014
  3. Smilerider

    Smilerider เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    533
    ค่าพลัง:
    +1,994
    วันที่ 3 ม.ค. 57 ผมได้โอนเข้าบัญชีกองทุนสงฆ์อาพาธจำนวน 500 บาท ประจำเดือน มค 57

    อนุโมทนาครับ
     
  4. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    เครดิต พี่หนุ่ม เมืองแกลง

    ทุกครั้งที่จัดพระเครื่องเข้าชุดเพื่อบูชา ควรหาพระเครื่องที่เด่นทางอิทธิฤทธิ์ไว้สักองค์เพื่อรวมในพวงพระเครื่องอื่นๆซึ่งปกติจะเด่นและดีทางบุญฤทธิ์เป็นมาตรฐานทั่วไป เพื่อที่จะช่วยให้เกิดผลเร็วทันใจและปรากฏสิ่งนอกเหนือเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เหนือวิบากกรรมได้ เพราะพระเครื่องที่ส่งผลแรงทางอิทธิฤทธิ์ จะส่งผลทันใจไม่ต้องรอผลบุญหรือแรงกรรมเป็นองค์ประกอบการอำนวยผลมากเหมือนพระที่แรงทางบุญฤทธิ์

    พระที่เด่นทางอิทธิฤทธิ์ จะส่งผลเร็วต่อการบูชาและให้ผลแรงดังใจหวังเช่น ลป.ทิม ลป. ศุข ลป.กวย ลป.โอภาสี คุณแม่บุญเรือน ลพ.เอียด ลป.หมุน ลพ.เดิม ลพ.พรหม ลพ.แช่ม ภูเก็ต ลพ.เงิน ลป.ยี วัดดงก้อนทอง ฯลฯ และอีกมากมาย มีวิธีเบื้องต้นในการพิจารณาด้วยตนเองว่าท่านใดเป็นพระที่เก่งในด้านอิทธิฤทธิ์ โดยดูจากสังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ย่อยสลายไปตามธรรมชาติทั่วๆไป และวัตรปฏิบัติที่แสดงออกมาในบางครั้ง เช่นการยืดเหรียญห้าบาทเป็นเส้นของ ลพ.ยี การเผาของมีค่าของ ลพ.โอภาสีแต่ของนั้นกลับมาอยู่ที่เดิม แต่บางท่านก็ต้องพิจารณามากกว่าข้อนี้เพราะท่านไม่ประสงค์ให้สังขารเป็นภาระแก่คนข้างหลัง และไม่ต้องการแสดงฤทธิ์ให้เป็นโลกติเตียน

    พระที่เด่นทางบุญฤทธิ์ จะส่งผลต่อเนื่องและหนุนนำชีวิตตลอดเวลา โดยเฉพาะหากผู้บูชาสามารถปฏิบัติธรรมด้วยแล้ว ผลจะหนุนเนื่องอย่างที่ต้องการได้โดยเร็ว เช่น สมเด็จโต ลพ.สด ลพ.ปาน ลพ.อุตตมะ ลป.ดู่ ลป.สิม ลป.เกษม ครูบาศรีวิชัย ลป.แหวน ลป.โต๊ะ ลพ.ฤาษี วัดท่าซุง ฯลฯ โดยมีวิธีเบื้องต้นในการพิจารณาว่าท่านใดบำเพ็ญเพียรจนมีบารมีธรรมเต็มเปี่ยมแล้วหรือเป็นพระกัมมัฏฐานหนัก โดยดูจากกระดูกที่เปลี่ยนเป็นพระธาตุเมื่อเวลาผ่านไป หรือการปฏิบัติภาวนาอย่างถึงที่สุดโดยหวังพุทธภูมิเป็นต้น และบางท่านก็ต้องพิจารณามากกว่านี้เช่นกัน โดยจะต้องไม่ยึดเอาแค่คำสอนดีๆหรูๆเป็นตัววัดโดยเด็ดขาด ตัวอย่างมีให้เห็นมามาก พระที่พูดกินใจผู้ฟัง มีภาพสำรวมและสงบเสงี่ยม คนกราบทั้งประเทศ แต่ปาราชิกโดยผิดศีลข้อสาม

    พระที่มีบารมี ไม่ใช่จะเป็นพระเด่นทางบุญฤทธิ์หรืออิทธิฤทธิ์เสมอไป อาจเป็นเพราะการทะนุบำรุงศาสนา ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มีผู้เคารพนับถือมาก มีศิษย์ดีๆและดังมากก็เป็นพระผู้มากบารมีได้เช่นกัน เช่นเจ้าคุณในหลายๆวัดในกรุงเทพ และบางท่านไม่ได้อภิญญาแม้แต่ขั้นต้น

    พระเครื่องสำเร็จด้วยบุญฤทธิ์และบารมีธรรม จะไม่แสดงผลเมื่อเข้าในที่อโจร แต่ไม่เสื่อม

    พระเครื่องสำเร็จด้วยจิตและอาคม มีโอกาสเสื่อม และไม่เกิดผลทันที เพราะในที่แบบนั้นมีของล้างวิชาครู

    เครื่องรางและของทนสิทธิ์ ไม่เสื่อมครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 มกราคม 2014
  5. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    คติธรรม ๑๘ พระอาจารย์

    ที่มา www.cupamnat.com/phodma/Form/thamma/t1.doc

    ๑. หลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล
    วิปัสสนานี้ มีผลอานิสงส์ใหญ่ยิ่งกว่าทาน ศีล พรหมวิหารภาวนา ย่อมทำให้ผู้เจริญนั้นมีสติไม่หลงเมื่อทำกาลกิริยา มีสุคติภพ คือ มนุษย์และโลกสวรรค์เป็นไปในเบื้องหน้า หากยังไม่บรรลุผลทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน ถ้าอุปนิสัยมรรคผลมี ก็ย่อมทำให้ผู้นั้นบรรลุมรรคผล ทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ในชาตินี้นั่นเทียว
    อนึ่ง ยากนักที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ เพราะต้องตั้งอยู่ในธรรมของมนุษย์ คือ ศีล ๕ และกุศลกรรมบท ๑๐ จึงจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ชีวิตที่เป็นมานี้ ก็ได้ด้วยยากยิ่งนักเพราะอันตรายชีวิตทั้งภายใน ภายนอกมีมากต่างๆ การที่ได้ฟังธรรมของสัตตบุรุษคือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ก็ได้ยากยิ่งนัก เพราะกาลที่ว่างเปล่าอยู่ ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกยืดยาวนานนัก บางคาบ บางสมัย จึงจะมีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกสักครั้งสักคราวหนึ่ง เหตุนั้นเราทั้งหลายพึงอยู่ด้วยความไม่ประมาทเถิด อย่าให้เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้เลย

    ๒. หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต
    การบำรุงรักษาสิ่งใดๆ ในโลก...การบำรุงรักษาตนคือ ใจเป็นเยี่ยม จุดที่เยี่ยมยอดของโลกคือ ใจ ควรบำรุงรักษาด้วยดี
    ไม่ว่าธรรมส่วนใด ถ้าสำคัญ "ตน" ว่าเสวยเป็นอันผิดทั้งนั้น
    ติดดี นี่แก้ยากกว่าติดชั่วเสียอีก


    ๓. หลวงปู่ดูลย์ อตุโล
    ส่วนธรรมะ ให้ดูที่จิตของตัวเอง ปฏิบัติที่จิต เมื่อเข้าใจจิตแล้ว อย่างอื่นก็เข้าใจเอง หลักธรรมที่แท้จริงนั้นคือ จิต ให้กำหนดดูจิต ให้เข้าใจจิตตัวเองสึกซึ้งแล้ว นั่นแหละได้แล้วซึ่งหลักธรรม
    ถึงจิตไม่สงบก็ไม่ควรให้มันออกไปไกลใช้สติระลึกไปแต่ในภายในกายนี้ ดูให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อสุภสัญญา หาสาระ แก่นสารไม่ได้ เมื่อจิตมองเห็นชัดแล้ว จิตก็เกิดความสลดสังเวช เกิดนิพพิทา ความหน่ายคลายกำหนัด ย่อมตัดอุปาทานขันธ์ได้เช่นเดียวกัน
    การศึกษาธรรมด้วยการอ่านการฟัง สิ่งที่ได้ก็คือ สัญญา (ความจำได้) การศึกษาธรรมด้วยการลงมือปฏิบัติ สิ่งที่เป็นผลของการปฏิบัติคือ ภูมิธรรม
    การปฏิบัติ ให้มุ่งปฏิบัติเพื่อสำรวม เพื่อความละ เพื่อความคลายกำหนัดยินดี เพื่อความดับทุกข์ ไม่ใช่เพื่อเห็นสวรรค์วิมาน หรือแม้พระนิพพานก็ไม่ต้องตั้งเป้าหมายเพื่อจะเห็นทั้งนั้น ให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ไม่ต้องอยากเห็นอะไร เพราะนิพพานมันเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน หาที่ตั้งไม่มี หาที่เปรียบไม่ได้ ปฏิบัติไปจึงจะรู้เอง

    ผู้ที่ปฏิบัติที่แท้จริงนั้น ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงชาติหน้าชาติหลัง หรือนรก สวรรค์อะไรก็ได้ ให้ตั้งใจปฏิบัติให้ตรงศีล สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่ก็พอ ถ้าสวรรค์มีจริงถึง ๑๖ ชั้นตามมตำรา ผู้ปฏิบัติดีแล้วย่อมได้เลื่อนฐานะของตนโดยลำดับ หรือถ้าสวรรค์นิพพานไม่มีเลย ผู้ปฏิบัติดีแล้วในขณะนี้ก็ย่อมไม่ไร้ประโยชน์ ย่อมอยู่เป็นสุข เป็นมนุษย์ชั้นเลิศ

    ๔. หลวงปู่เทสก์ เทสฺรํสี
    ตามกระแสพระธรรมเทศนาของสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าทุกข์เป็นของไม่ควรละ แต่เป็นของควรต่อสู้ ความทะยานอยากได้สุขหรือไม่อยากให้มีทุกข์ต่างหาก เป็นของควรละ ผู้ที่จะพ้นจากทุกข์ได้ในโลกนี้ ก็ล้วนแล้วแต่ยกทุกข์ขึ้นมาเป็นเหตุทั้งนั้น
    ทุกข์กับความเพียรเท่านั้นที่มีค่ามากในโลกนี้ หากไม่มีทุกข์กับความเพียรเสียแล้ว ใครๆ ในโลกนี้ จะไม่ทำความดีเพื่อพ้นทุกข์ในโลกนี้และโลกหน้า ตลอดถึงพระนิพพาน
    แท้จริงความนึกคิดไม่ใช่ทุกข์ แต่การไปยึดความนึกคิดมาเป็นของตน จึงเป็นทุกข์
    หลักอนัตตา ในทางพระพุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันชอบ พระองค์มิได้ตรัสว่าอนัตตาเป็นของไม่มีตนไมมีตัว เป็นของว่างเปล่า พระองค์ตรัสว่า ตนตัวคือ ร่างกายของคนเรา อันได้แก่ขันธ์ทั้ง ๕ นี้ มันมีอยู่แล้ว แต่จะหาสิ่งเป็นสาระในขันธ์ ๕ นั้นไม่มี ดังนี้ต่างหาก
    การเห็นความฟุ้งซ่านของจิตนั้นคือ "ปัญญาชั้นต้น"
    คนใดว่าตนดี คนนั้นยังไม่ดี ใครว่าตนวิเศษวิโส หรือฉลาดเฉียบแหลม คนนั้นคือ คนโง่

    ๕. หลวงปู่ขาว อนาลโย
    สติเป็นแก่นของธรรม แก่นของธรรมแท้อยู่ที่สติ ให้พากัน หัดทำให้ดี ครั้นมีสติแก่กล้าดีแล้ว ทำก็ไม่พลาด คิดก็ไม่พลาด กุศลธรรมทั้งหลายจะเกิดขึ้น เมื่อบุคคลอยู่กับสติแล้ว สติเป็นใหญ่ สติมีกำลังดีแล้ว จิตมันรวม เพราะสติคุ้มครองจิต

    ๖. หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ
    เวลากิเลสมันเกิดขึ้น เกิดขึ้นทางกาย เกิดขึ้นทางวาจา เกิดขึ้นทางใจ รู้ทันมันเดี๋ยวนี้ มันก็ดับไปเดี๋ยวนี้แหละ
    ตัวสติมันปกครองอยู่เสมอ ถ้ามีสติอยู่ทุกเมื่อ มันบ่ได้คุบมันหละ ครั้นเกิดขึ้น รู้ทันมันก็ดับ รู้ทันก็ดับ รู้ทันก็ดับ คิดผิดก็ดับ คิดถูกก็ดับ พอไจไม่พอไจก็ดับลงทันทีที่ตัวสติ


    ๗. ท่านพ่อลี ธมฺมธโร
    เมื่อมนุษย์เป็นคนไม่ดี แม้วัตถุเหล่านั้นจะเป็นของดีก็ตาม มันจะกลับกลายเป็นโทษแก่ปวงชนได้เหมือนกัน
    ถ้ามนุษย์มีธรรมประจำใจ สิ่งทั้งหลายที่ให้โทษก็จะกลายเป็นประโยชน์
    พวกเราทั้งหลายไม่มีความสัตย์ความจริงต่อดัวเอง จึงมิได้ประสบสุขอันแท้จริงเหมือนอย่างพระพุทธองค์ เราบอกกับตัวเองว่า อยากได้ความสุข แต่เราก็โดดเข้าไปสู่กองไฟร้อน เรารู้ว่าสิ่งนั้นๆ เป็นยาพิษ แต่เราก็ดื่มมันเข้าไป นี่แหละเป็นการทรยศต่อตัวเอง

    ๘. ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต
    คำว่า "ไม่สบายใจ" อย่าใช้ และอย่าให้มีขึ้นในใจต่อไป "Let it go, and get it out !" ก่อนมันจะเกิด ต้อง "Let it go" ปล่อยให้มันผ่านไป อย่ารับเอาความไม่สบายใจไว้
    ที่จะทำอะไรไม่ผิดนั้น ข้อสำคัญอยู่ที่สติถ้ามีสติคุ้มครองกาย วาจา ใจ อยู่ทุกขณะ จะทำอะไรไม่ผิดพลาดเลย ที่ผิดพลาดเพราะขาดสติคือ เผลอ เหม่อ เลินเล่อ ประมาท ระเริง หลงลืมจึงผิดพลาด จงนึกถึงคติพจน์ว่า "กุมสติต่างโล่ป้อง อาจแกล้วกลางสนาม"
    ต้องฝึกหัดแก้ไขปรับปรุงจิตใจเสียใหม่ทั้งก่อนที่จะทำอะไร หรือกำลังกระทำอยู่ และเมื่อเวลากระทำเสร็จแล้ว ต้องหัดให้จิตใจ แช่มชื่นรื่นเริง เกิดปีติปราโมทย์ เป็นสุขสบายอยู่เสมอเป็นเหตุให้เกิดกำลังกาย กำลังใจ "Enjoy living" มีชีวิตอยู่ด้วยความเบิกบาน สมองจึงจะเบิกบาน จะศึกษาเล่าเรียนก็เข้าใจง่ายเหมือนดอกไม่ที่แย้มบานต้องรับหยาดน้ำค้าง และอากาศอันบริสุทธิ์ฉะนั้น
    "จงเลือกทำแต่กรรมที่ดีๆ นะ" เป็นคำแทนคำอวยพรอย่างสูงสุด ประกอบด้วยเหตุผล เมื่อทำกรรมดีแล้ว ไม่ให้พรก็ต้องดี เมื่อทำชั่วแล้ว จะมาเสกสรรปั้นแต่งอวยพรอย่างไร ก็ดีไม่ได้ ทำชั่วเหมือนก้อนหินจะต้องจมทันที ไม่มีผู้วิเศษใดๆ จะเสกเป่าอวยพร ขอร้องให้หินลอยขึ้นมาได้ ทำกรรมชั่วต้องล่นจมป่นปี้เสียราศีเกียรติคุณชื่อเสียง เหมือนก้อนหินหนักจมลงไปอยู่กับโคลนใต้น้ำ

    ๙. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร
    เราเป็นผู้ก่อกรรม ก่อเวร ก่อภัย ไม่มีใครก่อให้ ไม่ใช่เทวบุตร เทวธิดาสร้างให้ พี่น้องสร้างให้ บิดามารดาสร้างให้ เราสร้างเอง

    ๑๐. หลวงปู่คำดี ปภาโส
    ความจริงจิตใจของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์ สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์
    ไม่ใช่ว่ารูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อนเป็นทุกข์ ตัวของเราเองที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง

    การภาวนา ท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน เห็นความหลงของตน เห็นราคะตัณหาของตน เห็นมานะทิฏฐิของตน
    นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามีภรรยา หรือสมบัติต่างๆ เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้ เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้ ตรงกับคำว่า "สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก"

    ๑๑. หลวงพ่อดู่ พฺรหฺมปญฺโญ
    "โลกเท่าแผ่นดิน ธรรมเท่าปลายเข็ม" เรื่องโลกมีแต่เรื่องยุ่งของคนอื่นทั้งนั้น ไม่มีที่สิ้นสุด เราไปแก้ไขเขาไม่ได้
    ส่วนเรื่องธรรมนั้นมีที่สุด มาจบที่ตัวเรา ให้มาไล่ดูตัวเองแก้ไขตัวเราเอง ตนของตนเตือนตนด้วยตนเอง
    ถ้าเป็นโลกแล้ว จะมีแต่ส่งออกไปข้างนอกตลอดเวลา แต่ถ้าคิดสิ่งที่เป็นธรรมแล้ว ต้องวกกลับเข้ามาหาตัวเอง เพราะธรรมแท้ๆ ย่อมเกิดในตัวของเรานี่ทั้งนั้น
    รอให้แก่เฒ่าหรือจวนตัวแล้วจึงสนใจภาวนา ก็เหมือนคนหัดว่ายน้ำเอาตอนเรือหรือแพใกล้แตก มันจะไม่ทันการณ์

    ๑๒. หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร
    เมื่อสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นแหละมาถึงบุคคลใด บุคคลนั้นจะต้องรู้เท่าทัน อย่าไปยึดเอาถือเอา เมื่อไปยึดสิ่งได ถือสิ่งไดสิ่งนั้นไม่เป็นไปตามใจหวัง ก็เกิดความทุกข์ขึ้นมา ถ้าไม่ยึดเอาถือเอา เห็นว่า ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมมีความไม่เที่ยงอย่างนี้ มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่แล้วดับไป เกิดขึ้นใหม่ ตั้งอยู่ ก็ดับไป เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เป็นอยู่อย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าคน สัตว์ วัตถุธาตุทั้งหลาย มีความไม่เที่ยงแท้แน่นอนอย่างนี้
    วันเวลาที่หมดไปสิ้นไปโดยไม่ได้ทำอะไรที่เป็นคุณประโยชน์แก่ตัวเองบ้างในชีวิตที่เกิดมาในโลก และได้พบพระพุทธศาสนานี้ช่างเป็นชีวิตที่น่าเสียดายยิ่งนัก เวลาแม้เพียงหนึ่งนาทีที่ผ่านไปนั้น แม้ว่าจะทุ่มเงินจำนวนมหาศาลสักสิบล้าน ร้อยล้านบาท ก็ไม่สามารถซื้อกลับคืนมาได้ ฉะนั้น สิ่งที่น่าเสียดายในโลกนี้ จะมีอะไรน่าเสียดายเท่ากับปล่อยวันเวลาผ่านเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้ว่าจะเพียงแค่นาทีเดียว
    "มรณกรรมฐาน" นี้เป็นยอดกรรมฐานก็ว่าได้ คนเราเมื่ออาศัยความประมาทมัวเมา ไม่ได้มองเห็นภัยอันตรายจะมาถึงตน คิดเอาเอง หมายเอาเองว่า เราคงไม่เป็นอะไรง่ายๆ เราสบายดีอยู่เรายังเด็กยังหนุ่มอยู่ ความตายคงไม่กล้ำกรายได้ง่าย อันนี้เป็นความประมาทมัวเมา

    ๑๓. ท่านอาจารย์ffice:smarttags" />พระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
    ธัมมะท่านสอนให้ดูตัวเอง ระวังตัวเอง จะได้เห็นความบกพร่องของตัวเอง แล้วแก้ไขตัวเองไปเรื่อยๆ จนสมบูรณ์ได้

    ๑๔. ท่านพ่อเฟื่อง โชติโก
    ก่อนที่จะพูดอะไร ให้ถามตัวเองว่าที่จะพูดนี้จำเป็นหรือเปล่า ถ้าไม่จำเป็นก็อย่าพูด นี่เป็นขั้นต้นของการอบรมใจ เพราะถ้าเราควบคุมปากตัวเองไม่ได้ เราจะควบคุมใจได้อย่างไร
    ไปกี่วัดกี่วัด รวมแล้วก็วัดเดียวนั่นหละคือ วัดตัวเรา
    จิตเปรียบเหมือนพระราชา อารมณ์ทั้งหลายเปรียบเหมือนเสนา เราอย่าเป็นพระราชาที่หูเบา
    มัวแต่นึกถึงวันเกิด ให้นึกถึงวันตายเสียบ้าง
    ของดีจริงไม่ต้องโฆษณา คนชอบขายความดีตัวเอง ที่จริงขายความโง่ของตัวเองมากกว่า คมให้มีในฝัก ให้ถึงเวลาที่จะต้องใช้จริงๆ จึงค่อยชักออกมา จะได้ไม่เสียคม
    สักวันหนึ่งความตายจะมาถึงเรา มาบีบบังคับให้เราปล่อยทุกสิ่งทุกอย่าง ฉะนั้น เราต้องหัดปล่อยวางล่วงหน้าให้มันเคย ไม่อย่างนั้น พอถึงเวลาไปจะลำบาก
    เวลาเราทำงานอะไรอยู่ ถ้าเราสังเกตว่าใจเราเสีย ก็ให้หยุดทันที แล้วกลับมาดูใจของตนเอง เราต้องรักษาใจของเราไว้เป็นงานอันดับแรก
    คนอื่นเขาด่าเรา เขาก็ลืมไป แต่เราไปเก็บมาคิด เหมือนเขาคายเศษอาหารทิ้งไปแล้ว เราไปเก็บมากิน แล้วจะว่าใครโง่

    ๑๕. หลวงพ่อชา สุภทฺโท
    ผู้ไปยึดอารมณ์จะเป็นทุกข์ เพราะอารมณ์มันไม่เที่ยง
    ดูซิ...เราข้ามกันไปหมด พากันทำบุญ แต่ว่าไม่พากันละบาป ผ้าสกปรกไม่ฟอก แต่อยากจะรับน้ำย้อมนะ
    ที่เรามาปฏิบัติกันอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้เห็นจิตเดิม เราคิดว่าจิตเป็นสุขจิตเป็นทุกข์ แต่ความจริงจิตไม่ได้สร้างสุขสร้างทุกข์ อารมณ์มาหลอกลวงต่างหาก มันจึงหลงอารมณ์ ฉะนั้น เราจึงต้องมาฝึกจิตใจให้ฉลาดขึ้น ให้รู้จักอารมณ์ ไม่ให้เป็นไปตามอารมณ์ จิตก็สงบ
    การทำจิตใจของเราให้มีกำลัง กับการทำกายของเราให้มีกำลัง มันต่างกัน การทำกายให้มีกำลังก็คือ การออกกำลังกายทำกายบริหาร มีการกระโดด การวิ่ง นี่คือการทำกายให้มีกำลัง การทำจิตใจให้มีกำลังก็คือ ทำจิตให้สงบ ไม่ใช่ทำจิตให้คิดนั่น คิดนี่ไปต่างๆ ให้อยู่ในขอบเขตของมัน เพราะว่าจิตของเรานั้นไม่เคยได้สงบ ไม่เคยมีกำลัง มันจึงไม่มีกำลังทางด้านสมาธิภายใน


    ๑๖. หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต
    มองตัวเองให้มากจึงจะกลายเป็นคนดีได้ มัวแต่มองท่านผู้อื่นแล้วไซร้ ก็กลายเป็นคนพาลไป ไม่รู้ตัว เพราะนิสัยคนพาลย่อมเพ่งโทษผู้อื่นเป็นวัตร โบราณท่านกล่าวว่า อุจจาระของตนนั่งดมอยู่ก็พอดม อุจจาระท่านผู้อื่นเล่า มากระทบจมูกเข้าก็เกิดเป็นพิษเป็นภัยขึ้น (โลกทั้งปวงย่อมเป็นแบบนี้เป็นส่วนมาก)
    ถ้าหากโลกทั้งปวงหนักไปทางสอนตนเองเป็นชั้นหนึ่ง และเป็นของจำเป็นมากกว่าสิ่งใดๆ แล้ว การโต้เถียงเกี่ยงงอนรังเกียจเบียดสีกัน ก็คงสงบไปในตัวเท่าที่ควร และพุทธศาสนาก็ยืนยันว่า "สอนตนดีแล้ว จึงสอนท่านผู้อื่น" จึงไม่เดือดร้อนในภายหลัง
    เรื่องอุปสรรคในโลกทั้งปวง และก็เป็นยาวิเศษทั้งปวงไปในตัว เป็นเหตุให้เข็ดหลาบโลกทั้งปวงไปในตัว แบบถี่ถ้วนแยบคายด้วยซ้ำ
    มุ่งดีในโลกีย์เป็นทางวนเวียน มุ่งดีในทางโลกุตตระเป็นทางพ้นทุกข์

    ๑๗. พระอาจารย์บุญกู้ อนุวฑฺฒโน
    เราไปเข้าโรงเรียน เพียรศึกษาวิชาการ แล้วมุ่งทำงานอาชีพ เราย่อมได้เงินทองเพื่อมาเลี้ยงร่างกาย
    เราเข้าวัดเพียรศึกษาธรรมะ แล้วมุ่งทำบุญกุศล เราย่อมเสียเงินทองเพื่อเลี้ยงจิตใจ
    ผู้ใดมุ่งเลี้ยงแต่ร่างกาย หรือบำรุงแต่จิตใจเพียงอย่างเดียว ความเจริญของชีวิตย่อมขาดตกบกพร่องไป หากผู้ใดเข้าใจ เลี้ยงทั้งร่างกายและบำรุงจิตใจพร้อมกัน ความเจริญของชีวิตย่อมเพิ่มพูนยิ่งขึ้น ยังมีชีวิตอยู่ก็สบาย ตายไปก็ต้องเป็นสุข

    ๑๘. พุทธทาสภิกขุ
    วิธีชุบชีวิตยามมีทุกข์ คนเราเกิดมาชาติหนึ่ง ถ้ารูจักแต่ทำมาหากินเลี้ยงร่างกายอย่างเดียว ไม่รู้จักแสวงหาธรรมะมาหล่อเลี้ยงจิตใจให้สุขสงบเย็นด้วยแล้ว การเกิดมานั้น ก็จะเป็นการเกิดมาเพื่อทนทุกข์ทรมานติดคุกติดตาราง ในทางวิญญาณชนิดหนึ่งไปจนตาย ทุกๆ ชาติทีเดียว เพราะถ้าไม่รู้จักทำจิตใจให้สงบตามธรรมบ้างแล้ว แม้คนรวยที่อยู่ตึกก็มีความสุขสู้คนจนที่อยู่กระท่อมซอมซ่อไม่ได้

     
  6. SunnySoCute

    SunnySoCute เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2012
    โพสต์:
    227
    ค่าพลัง:
    +1,563
    11/1/57
    ขอร่วมบุญทุกๆอย่างด้วยคับ
    ด้วยเงิน200 บาท
    เชิญร่วมอนุโมทนาทุกๆท่านด้วยคับผม..
     
  7. mretgnol

    mretgnol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    706
    ค่าพลัง:
    +2,347
    วันที่ 15/1/2557 ร่วมทำบุญกองทุนพระสงส์อาพาธจำนวน 300.99 บาท และขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆ ท่าน ขอบคุณครับ
     
  8. hirtr1

    hirtr1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +2,080
    วันนี้โอนเงิน 300 บาทเข้าบัญชี ศ.ทุนนิธิฯเพื่อร่วมทำบุญสงเคราะห์สงฆ์
    โปรดร่วมอนุโมทนาบุญด้วยครับ
     
  9. คนแซ่อาว

    คนแซ่อาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2013
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +232
    วันนี้ที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๕๗ ได้โอนเงินจากตู้ ATM ธนาคารกรุงไทย สาขาจังหวัดสระแก้ว จำนวน ๒๐๐.-บาท เพื่อร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ กับทางทุนนิธิฯ และอุทิศส่วนกุศลผลบุญนี้ ให้แก่บิดา มารดา บรรพบุรุษ ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณ เจ้ากรรมนายเวร และเทวดารักษาตัวข้าพเจ้า สาธุ...
     
  10. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    "ความซับซ้อนของกรรม"
    พระนิพนธ์ สมเด็จพระญาณสังวร
    สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก


    ชีวิตในชาตินี้ชาติเดียวย่อมน้อยนัก เมื่อเปรียบกับชีวิตในอดีตชาติ ซึ่งนับจำนวนชาติหาถ้วนไม่ ดังนั้น กรรม...คือ การกระทำ ที่ทำในชีวิตนี้ในชาตินี้ชาติเดียว จึงน้อยนัก เมื่อเปรียบกับกรรมหรือการกระทำที่ทำไว้แล้วในอดีตชาติ อันนับจำนวนชาติไม่ถ้วน

    การเขียนหนังสือด้วยปากกาหรือดินสอ ลงบนกระดาษแผ่นเดียวนั้น เขียนลงครั้งแรกก็ย่อมอ่านออกง่าย อ่านเข้าใจได้ง่าย แต่ยิ่งเขียนทับเขียนซ้ำลงไป บนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้น ตัวหนังสือย่อมจะทับกันยิ่งขึ้นทุกที การอ่านก็จะยิ่งอ่านยากขึ้นทุกที จนถึงอ่านไม่ออกเลย ไม่เห็นเลยว่าเป็นตัวหนังสือ จะเห็นแต่รอยหมึกหรือรอยดินสอทับกันไปทับกันมาเป็นสีสันเท่านั้น ให้เพียงรู้เท่านั้น ว่าได้มีการเขียนลงบนกระดาษแผ่นนั้น หาอ่านรู้เรื่องไม่ และหาอาจรู้ได้ไม่ว่า เขียนอะไรก่อน เขียนอะไรหลัง นี้ฉันใด

    การทำกรรม หรือ การทำดีทำชั่ว ก็ฉันนั้น ต่างได้ทำกันมานับภพชาติไม่ถ้วน ทับถมกันมา ยิ่งกว่าตัวหนังสือที่อ่านไม่ออก หารู้ไม่ว่าได้เขียนอะไรก่อนเขียนอะไรหลัง ทำกรรมใดไว้ก็ไม่รู้ไม่เห็น แยกไม่ออกว่าทำกรรมใดก่อน ทำกรรมใดหลัง ทำดีอะไรไว้บ้าง ทำไม่ดีอะไรไว้บ้าง มากน้อยหนักเบากว่ากันอย่างไร มาถึงชาตินี้ไม่รู้ด้วยกันทั้งสิ้น เป็นความซับซ้อนของกรรมที่แยกไม่ออก เช่นเดียวกับความซับซ้อนของตัวหนังสือที่เขียนทับกันไปทับกันมา

    ความซับซ้อนของกรรม แตกต่างกับ ความซับซ้อนของตัวหนังสือ ตรงที่ตัวหนังสือนั้น...เมื่อเขียนทับกันมากๆ ก็ย่อมไม่มีทางรู้ว่า เขียนเรื่องดี หรือเรื่องไม่ดีอย่างไร แต่กรรมนั้น...แม้ทำซับซ้อนมาเพียงไร ก็มีทางรู้ว่า ทำกรรมดีไว้มากน้อยเพียงไร หรือกรรมไม่ดีไว้มากน้อยเพียงไร โดยมีผลที่ปรากฏขึ้นของกรรมนั้นเอง เป็นเครื่องช่วยแสดงให้เห็น

    [​IMG]

    http://https://www.facebook.com/Thunnithi?fref=ts
     
  11. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    " การภาวนา พุทโธ เป็นมหากุศลอันเลิศ ได้บุญถึง ๔ บ่อ คือ
    (๑) เป็น “พุทธานุสติ” เพราะขณะที่เรากำหนดลมและบริกรรมว่า “พุทโธๆ” นั้น เราได้น้อมเอาพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ เข้าไปไว้ภายในใจของเราด้วย

    (๒) เป็น “อานาปานสติ” เพราะลมหายใจที่เรากำหนดอยู่นี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิต และมีสติตื่นอยู่ ไม่ลืม ไม่เผลอ ไม่คิดไปในสัญญาอารมณ์อื่นนอกจากลมหายใจอย่างเดียว

    (๓) เป็น “กายคตาสติ” เพราะลมหายใจเป็นตัวชีวิต เป็นตัวกายใน เรียกว่า พิจารณากายในกาย

    (๔) เป็น “มรณานุสติ” ทำให้เรามองเห็นความตายได้อย่างแท้จริงด้วยการกำหนดลมหายใจ ความตายนั้นแท้จริงมันอยู่ที่ปลายจมูกของเรานี่เอง มิได้อยู่ไกลไปจากนี้เลย "

    ท่านพ่อลี ธัมมธโร
    วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

    [​IMG]

    https://www.facebook.com/Thunnithi?fref=ts
     
  12. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    “ทายาท” มหาเศรษฐี ชาวเมเลเซีย ทิ้งมรดก 9.5 พันล้านเหรียญ บวชไม่สึกในไทย!!

    ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศรา หน้าแรก รายงานว่า ขณะนี้คนในโลกออนไลน์จำนวนมาก กำลังมุ่งความสนใจไปที่ชีวิตของพระสงฆ์ชาวต่างชาติรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นบุตรชายคนเดียวของมหาเศรษฐี อันดับ 2 ของมาเลเซีย ที่เข้ามาบวชอยู่ในประเทศไทย เมื่อหลายสิบปีก่อน พร้อมปฏิเสธที่รับมรดกครอบครัว มูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

    โดยเมื่อเร็วๆ นี้ เฟซบุ๊ค ซึ่งใช้ชื่อว่า “สาขาวัดหนองป่าพง” มีวัตถุประสงค์ในการประชาสัมพันธ์กลุ่มคณะสงฆ์วัดสาขาหนองป่าพง ได้เผยแพร่ข้อมูลของพระสงฆ์รูปนี้ พร้อมรูปถ่ายยืนยัน

    โดยระบุว่า “อาจารย์สิริปันโน (Ajahn Siripanno) หรือ Ven Siripanyo เป็นลูกชายคนเดียวของมหาเศรษฐี ที. อนันดากริชนัน (Tan Sri Ananda Krishnan) เป็นมหาเศรษฐี ผู้ใจบุญสุนทานชาวศรีลังกาเชื้อสายทมิฬซึ่ง Forbes จัดอันดับความรวยเป็นอันดับ 2 ของมาเลเซียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (2nd richest man in Malaysia & Southeast Asia and 89th in the world according to Forbes.)

    ครอบครัวนี้มีลูกสาว 2 คน และมีลูกชายเพียง 1 คน คือ อาจารย์สิริปันโนท่านจบการศึกษาจากประเทศอังกฤษและสามารถพูดได้ถึง 8 ภาษา ท่านได้เลือกที่จะอุปสมบทเป็นพระภิกษุเมื่อ 18 ปีที่แล้วและไม่เคยมองย้อนกลับมาอยากใช้ชีวิตฆราวาสท่านปฏิเสธโอกาสที่จะทำงานเพื่อเข้ามาดูแลและขยายอาณาจักรธุรกิจของบิดา

    รวมทั้งปฏิเสธที่จะรับมรดกของครอบครัวซึ่งมูลค่าราว 9.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ ($9.5 billion -2011)แต่กลับเลือกเดินบนเส้นทางของการเจริญสมาธิภาวนาตามแนวปฏิบัติสายพระวัดหนองป่าพง ปัจจุบันท่านจำพรรษาอยู่ที่สำนักสงฆ์เต่าดำ อันเป็นสาขาของวัดป่านานาชาติ

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การโพสต์ข้อความดังกล่าว สร้างแรงศรัทธา ให้กับพุทธศาสนิกชน เข้าไปกดไลค์ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเป็นจำนวนกว่า 5,151 คน และมีการนำไปแชร์ต่อเป็นจำนวนถึง 779 ครั้ง

    “ทายาท” มหาเศรษฐี ชาวเมเลเซีย ทิ้งมรดก 9.5 พันล้านเหรียญ บวชไม่สึกในไทย

    [​IMG]
     
  13. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    กิจกรรมที่ รพ.สงฆ์ ประจำเดือนนี้คือวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม 2557 ซึ่งเป็นเดือนแรกที่ขึ้นปี 7 ในการเริ่มทำกิจกรรมทั้่งการบริจาคเงินและทำบุญถวายสังฆทานภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์อาพาธ ที่ รพ.สงฆ์ ของทุนนิธิฯ ในปีนี้ครับ

    กิจกรรมในเดือนนี้มีการนัดพบเพื่อจัดเตรียมสังฆทานอาหารที่โรงอาหารด้านข้างของ รพ.สงฆ์ในเวลา 7.30 น.-8.00 น. เหมือนเช่นเคย ตามกำหนด โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง

    จึงขอแจ้งให้ผู้ที่สนใจได้ทราบทั่วกัน ผมและกรรมการของทุนนิธิฯได้เบิกเงินจากบัญชีของทุนนิธิฯ มาเรียบร้อยแล้ว และจะได้ทยอยบริจาคไปยัง รพ.ต่างๆ ให้เสร็จเรียบร้อยภายในสัปดาห์นี้ โดยมีรายละเอียดการบริจาคสำหรับเดือนมกราคม 2557 ดังนี้ (สำเนาการโอนเงินจะได้นำมาลงให้อนุโมทนากันต่อไปครับ)

    1. รพ.สงฆ์
    - ถวายค่าสังฆทานอาหาร 6,000.- (ประมาณการพระสงฆ์ไว้200 รูป โดยจะถวายเป็นอาหารกล่องๆ ละ 30.-)
    - ถวายค่าเวชภัณฑ์ส่วนกลาง 5,000.-
    - ถวายค่าโลหิต 5,000.-

    รวม 16,000.-

    2. รพ.ภูมิภาค
    - รพ.แม่สอด จ.ตาก 8,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชปัว จ.น่าน 5,000.-
    - รพ.สมเด็จพระยุพราชด่านซ้าย จ.เลย 8,000.-
    - รพ.มหาราช จ.เชียงใหม่ 8,000.-
    - รพ.ศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น 8,000.-
    - รพ.50 พรรษาฯ จ.อุบล 5,000.-
    - รพ.สงขลา จ.สงขลา 8,000.-
    - รพ.ปัตตานี จ.ปัตตานี 5,000.-

    รวม 55,000.-

    รวมเงินตามข้อ 1+2=71,000.-(เจ็ดหมื่นหนึ่งพันบาทถ้วน)

    โดยรายละเอียดอื่นๆ ผมจะได้ทยอยนำมาแจ้งให้ทราบต่อไป

    พันวฤทธิ์
    20/1/57


    [​IMG]



    เฟสบุ๊คของทุนนิธิฯ
    https://www.facebook.com/Thunnithi?fref=ts

    รายละเอียดการโอนเงินและธนาณัติ พร้อมทั้งใบอนุโมทนาที่ได้รับมาในเดือนมกราคม 2557 นี้ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2014
  14. ปิยะพันธ์

    ปิยะพันธ์ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +15
    วันที่ 20/1/2557 เวลา 13.04 ร่วมทำบุญจำนวน 500 บาท ครับ
    และขออนุโมทนาบุญกับทุก ๆท่านด้วยครับ
     
  15. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    แจ้งโอนเงิน เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2557 เวลา18.30 น. โอนเงินร่วมทำบุญกับทุนนิธิฯ เพื่อพระสงฆ์อาพาธ 650 บาท ในนาม สุชาดาและคุณแม่ และเพื่อน
    โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
     
  16. โจโฉ คร้าบบบ

    โจโฉ คร้าบบบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,550
    โอนร่วมบุญด้วย 500 เมื่อสักครู่
    เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครับ

    จริงๆ โอนร่วมหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยแจ้ง
    ต้องกราบขอบพระคุณที่เปิดโอกาสให้ได้ร่วมบุญที่หาทำได้ยากนี้ด้วยนะครับ

    ผมเองไม่หวังอะไร
    นอกจากขอมีสุขภาพแข็งแรง(กว่านี้)
    เพียงเพื่อจะมีแรงทำงานให้พระศาสนาได้สะดวกกว่านี้

    ขออนุโมทนาและกราบขอบพระคุณทุกท่านด้วยครับ
     
  17. โจโฉ คร้าบบบ

    โจโฉ คร้าบบบ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    181
    ค่าพลัง:
    +1,550
    ฝากอีกนิดครับ ผมพึ่งทำซีดี และดีวีดี สมเด็จพระญาณสังวร เสร็จ อยากฝากทางคณะ ที่เห็นว่าเดินทางบ่อย ไว้ถวายพระแต่ละวัด หรือแต่ละองค์กรได้หรือไม่ครับ เพื่อเป็นต้นฉบับ และให้แต่ละที่พิจารณาร่วมเผยแพร่อีกที ใกล้ถึงวันพระราชพิธีแล้ว คงจะดี หากเราช่วยกันทำสื่อเกี่ยวกับพระประวัติโดยละเอียดและผลงานนิพนธ์ของพระองค์ท่านแจกจ่ายไปให้กว้างไกลครับ ถ้าได้รบกวนส่งที่อยู่มาที่ jozho.net@gmail.com เฉพาะทีมงานกองทุนนี้นะครับ สำหรับคนทั่วไป ผมแจกไม่ไหวครับ มีทุนจำกัด และไม่มีเวลามาส่งไปรษณีย์ให้แล้ว จะส่งให้เป็นต้นฉบับกับบุคคลที่จะช่วยกระจายได้ในช่องทางที่ผมเห็นว่าสมควรเท่านั้น อีกหน่อยผมจะจัดจุดรับซีดีที่ผมทำต่างหากอะครับ หน้านี้คือหน้าดาวน์โหลดต้นฉบับได้เลยครับ มีทั้งแยกเรื่องและเป็นทั้งแผ่นซีดี และดีวีดี ลองพิจารณาดูนะครับ
     
  18. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096


    เดี๋ยวจะส่งที่อยู่ให้ครับ

    เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสมเด็จญาณฯ ท่านนิดนึง ผมเองตอนฝึกสมาธิก็ใช้คำสอนของท่านนี่ล่ะ คาสเซท 37 ม้วน ฟังจนเพลิน แถมพอทำเป็นซีดีแบบ mp3 ก็ตามเก็บอีก ตอนนี้ก็ยังอยู่ ธรรมของท่านลึกมากครับ ท่านเทศน์โดยไม่ติดขัด ฟังมาตั้งแต่ปี 40 บางทีก็นิมนต์ ท่านเจ้าคุณพระเทพดิลก (ระแบบ) วัดบวรฯ มาเทศน์ให้ฟังบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะผูกพันกับสมเด็จญาณฯ ท่านมากกว่า เพราะขอขึ้นกรรมฐานต่อหน้ารูปท่าน

    ส่วนในแง่พลังจิตของท่าน ครูอาจารย์เล่าให้ฟังว่า พิสดารมาก แม้กระทั่งตอนเจ็บป่วย จิตท่านยังขึ้นลงไปโปรดทั้งสวรรค์และนรกบ่อยไป ซึ่งเป็นเรื่องอจินไตยสำหรับผมจริงๆ แต่ที่แน่ๆ แม้แต่รูปท่าน พลังยังดีมากครับ อันนี้สัมผัสได้ด้วยตัวเอง

    ขอโมทนาบุญล่วงหน้าครับ

    พันวฤทธิ์
    24/1/57
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    ขอขอบคุณและโมทนาบุญกับทุกๆ ท่านด้วยครับ ปัจจัยของทุกท่านที่โอนเข้าบัญชีทุนนิธิฯ นี้มา คณะทุนนิธิฯ จะได้นำไปบริจาคเพื่อรักษาสงฆ์อาพาธอย่างไม่ให้ขาดแม้แต่สตางค์แดงเดียว

    ด้วยความนับถือ
    พันวฤทธิ์
    25/1/57

    [​IMG]


     
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,782
    ค่าพลัง:
    +16,096
    จำนวนพระสงฆ์ที่จะถวายภัตตาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ที่ รพ.สงฆ์ มีจำนวนประมาณ 130 รูป ขอประชาสัมพันธ์ให้ทราบครับ โดยพรุ่งนี้จะแจกผ้ายันต์ท้าวเวสสุวรรณซึ่งเสกมาสำหรับกันปืนโดยเฉพาะ ให้ผู้เข้าร่วมกิจกรรมคนละผืน โดยในวันนี้ ผมได้ตระเวณแจกการ์ดที่เวทีสีลม ปทุมวัน ไปราวๆ 70 ผืนแล้ว ผ้ายันต์นี้ทำไว้ดีมาก แค่จับดูยังสะท้านเลย ผมตั้งใจให้ครูอาจารย์ทำมาเพื่อรักษาชีวิตคนโดยแท้ เรียกว่าอุดอย่างเดียวครับ ยังเหลืออีก 100 ผืน กะว่าแจกพรุ่งนี้แล้วเหลืออีกเท่าใด จะไปแจกให้เวทีอื่นอีกทีนึง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...