อยากทราบว่ามีวิธีใดในการประคองตัวเราให้ไม่ล้มเลิกการปฏิบัติธรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 19 มกราคม 2014.

  1. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    555..ตัวสุขนี่แหละครับ ผมก็กำลังสู้กับมันสุดฤทธิ์เลยนี่..เวลาหาเงินไม่ทันใช้นี่นะทุกข์ไม่เท่าเทียมใคร(ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ใช้เลย)-พอมีเงินใช้ แหมมันกระดี๊-กระด๊า..สวยไปหมด..ไปหม๊ด..แม้กระทั่งความคิด สัมมัปทาน4 ไม่ต้องเรียก ทำท่าจะเป็นสัมมัปทาน..มันมา5เลย..อิอิ
    ใจเป็นบุญไปหมด อะไร อาราย ใครครายทำอะไรก็หยวนๆๆๆ หมด..สุขนี่มันต้องวิเคราะหืกันให้หนักๆเลย..อิอิ

    :cool: วิธีแก้ครับ..มันไม่แน่-มันไม่ถาวร-เมื่อวานมันยังเล่นงานเราอยู่เลย ทุกข์ นะครับ ..เมื่อวานกูยังจำได้ มึงทำกูทุกข์แทบตาย-กูจะอายชาวบ้านเขาเงินหมดชักหน้าไม่ถึงหลัง- ต้องไปทำตาหวานส่งให้คนโน้น-คนนี้-แต่ไม่กล้าเอ่ยปาก เงินนะมีให้ยืมไหม..
    เข้าใจไหมกุ-เดือดร้อนน๊าาแต่-ไม่มีใครเห็นเลยย อิอิ/โอ้โฺฮ..พลิกแป๊บเดียววันนี้ได้เงินมาแล้ว มันสุขมาเลย โน่นลอยมาแล้วเงินก้อนใหญ่..ทุกข์..หายเป็นปลิดทิ้ง..มันหายไปไหน
    เอ๊ะ.. ต้องเอะใจครับ..มันไม่แน่..มันไม่เที่ยง..พรุ่งนี้มึงจะเล่นงงานอะไรข้าอีก อิอิ พิจราณาธรรมไปครับ อบรมไปครับ ..อย่าเพลินกับสุข-ทุกข์ เพียงด้านเดียวเดี๋ยว มันจะชินเราจะยึดติด แกะออกยากหากปล่อยจนชิน มันจะซวยครับ..อิอิ:':)@:mad:
     
  2. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สังขารใดๆ ไม่เที่ยง เขาให้ กำหนดรู้ ใช้แค่ กริยาจิตเข้าไปรู้

    หาก ฟังธรรมไม่เป็น หรือ มีธรรมลามก อยากอวด การ " ลงมือกระทำ "

    มันจะเข้าใจผิด แทนที่ จะรู้ ใช้แค่ กริยาจิตเข้าไปสัมผัส รับรู้ หรือ แจ้งธรรม

    ก็จะเกิด จิตหลอกตัวเองให้ ทำอะไรสักอย่างให้ เป็น ละคร หรือ ฉาก
    ของการแสดงว่า สังขารไม่เที่ยง

    พอ เข้าใจผิด คิดว่า ธรรมะ จะต้องเป็นอะไร ที่ " ลงมือกระทำ " มันก็
    จะหยิบอะไรผิดๆ พลาดๆ มาทำ มาตัด มาด่วน แบบสั้นๆ

    แต่ถ้า ฟังธรรมให้เป็น

    เขาให้กำหนดรู้ ดูที่ จุด และ ต่อม หรือ จิต หรือ ใจ หรือ วิญญาณ หรือ มโน

    นั่นแหละ มันเป็นของไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา

    มันก็จะเข้าใจว่า ทำไม การเห็นแสงโน้นแสงนี่ ต้องฝึกบ่อยๆ

    ที่ต้องฝึกบ่อยๆ ไม่ใช่เพราะ เห็นไม่พอ แต่ ต้นตอ จุด และ ต่อม มันไม่เที่ยง
    ต่างหาก ดังนั้น ฝึกให้ตาย ยังไงก็ต้องเสื่อมหายไป

    หรือ

    มีความสุขกับธรรมปฏิบัติ พอโลกรายล้อม ก็เป็นธรรมดา ที่ มรรค ปฏิปทา
    มันก็ต้องเสื่อมหายไป

    ที่มันหายไป เพราะ ต้นตอ มันไม่เที่ยง

    เห็นเข้าไปแบบนี้ มันจะ ทราบว่า กิจในการภาวนาเพื่อเป็นอย่างนี้ ไม่มี
    อย่างอื่นอีก กิจของการภาวนาตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้ไว้ เราได้เพียร
    ปรารภแล้ว ครบหรือไม่ อยู่จบหรือไม่ ก็ว่ากันไปตาม การฉลาดในการ
    ตามเห็นความแปรปรวน เนืองๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2014
  3. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    :cool:..อยากกระโดดถีบสักที..ทุกข์-กำหนดรู้แล้วแก้ไขได้ ไม่ต้องแก้รึ กำหนดรู้อย่างเดียวแล้วนั่งทนทุกขืรึ ไอ้สัnขวาน..อิอิ:cool:
     
  4. Barrage

    Barrage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +736
    เดี๋ยวก็ทุกข์อีก ระวังจะหนักกว่าเดิม คนแบบนี้มีวิธีเดียวจะเห็นทุกข์ใน "สุข" แบบโลกๆ คือต้องทุกข์หนักๆ จนกระอักเลือด ซ้ำไปซ้ำมา จนมันเข็ดหลาบจนเห็นว่า "โลก" มีแต่ทุกข์ ที่เป็นอยู่ไม่มีอะไร คือความประมาทแบบที่มนุษย์ทั่วไปเขาเป็น พอทุกข์เดี๋ยวก็เข้าหาธรรมอีก ซ้ำๆ ภาษาคนประมาทในการเกิด...
     
  5. Barrage

    Barrage เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    110
    ค่าพลัง:
    +736
    ที่เห็นว่าสุขนั้น ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตน ตั้งอยู่ได้ยาก ความทุกข์กำลังรออีกไม่ไกล เพราะความยึดมั่นถือมั่นว่าที่เป็นอยู่นั้นมันดี ​
     
  6. naitiw

    naitiw เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,611
    ค่าพลัง:
    +2,882
    1. มีอาจารย์ชี้แนะ

    2. มีกัลยาณมิตรคอยเกื้อกูล

    เดินช้าดีกว่าหยุดเดิน
     
  7. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ทุกข์เกิดขึ้นที่ขันธ์
    ปุถุชน จะไปแก้ทุกข์กันที่ขันธ์ แต่สิ่งที่เข้าไปยึดขันธ์ นั้นทำงานอยู่เต็มกำลัง

    อริยชน จะแก้ที่ขันธ์ หรือ ปล่อยมันไว้เฉยๆ แบบนั้น ไม่ต้องแก้ ก็สุดแล้วแต่จริตนิสัย
    แต่ที่เข้าไปแก้แน่ๆ คือ สิ่งที่เข้าไปยึดขันธ์
     
  8. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    นามะรูปังอนิจจัง
    นามะรูปังทุกขัง
    นามรูปังอนัตตา
     
  9. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    สำหรับแก้กรรม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2014
  10. Thanks-Epi

    Thanks-Epi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    984
    ค่าพลัง:
    +2,950
    คุณดัช
    คุณเคยอ่านที่ดิฉันเล่าคร่าวๆ (แค่คร่าวๆ นะ)ว่าดิฉันเจอะอะไรบ้าง ในช่วงแอบปฎิบัติ
    แอบกันสุดๆ


    หากเราได้เจอะอะไรมากมายจะมี ทั้งความพยายาม การปล่อยวาง ความเพียร ฯลฯ มากกว่าคนที่ปฎิบัติเท่ากัน บารมีเท่ากัน แต่ไม่เจอะอะไรเลย

    แม้ทุกวันนี้ ดิฉ้นต้องเพียร ไปเริ่มเจริญสติกันแบบ นับ 1 ใหม่ เพราะลืม และการไปตั้งกระทู้ถาม ได้อะไรหลายอย่างกลับมาค่ะ

    ดิฉันมาผิดทางแล้ว การเจริญสติกันแบบแค่นิดหน่อยๆ ไม่พอจริงๆ (อย่างที่่เล่า เพราะช่องก่อนดิฉันไปช็อคเรื่องลูกมาก ทำให้ได้แต่สมถะทุกวัน การเจริญสติเหลือนิดเดียวค่ะ) ทำให้ดิฉันพลาด ฟุ้ง จนญาติธรรมต้องเตือนกลับมา ค่อยมาพิจารณาคำตอบคุณนพอีกที
    คุณนพตอบคำเดียวกันคือ อย่าส่งจิตออกนอกเกินไป

    สุขให้รู้ว่าสุขค่ะ แลัวจะรู้ว่า ต้องปฎิบัติธรรมทำไม
    อย่าลืมดูไตรลักษณ์ที่เกิดขึ้นด้วยว่า สุขนั้นไม่เที่ยงค่ะ
     
  11. ◎สุริunร์

    ◎สุริunร์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2013
    โพสต์:
    991
    ค่าพลัง:
    +2,200
    แม้ประคอง ก็ไม่เที่ยง
     
  12. ปัญญา ณ c

    ปัญญา ณ c เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2014
    โพสต์:
    35
    ค่าพลัง:
    +172
    นิพพานในความเข้าใจของผม นิพพานไม่ใช่การที่เราอยากจะลองไปเที่ยวที่ไหนซักแห่งน่ะครับ และนิพพานไม่ใช่การหนีทุกข์ ในความเห็นผม นิพพานคือการหลุดพ้น ทั้ง ทุกข์ สุข ร้อน เย็น หนาว อุ่น และพ้นทุกๆสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะ สถานที่ โลก จักรวาล มิติ และพ้นทุกๆอย่างในจักรวาลทั้งหมด
    พ้นแม้กระทั่งความว่างเปล่า ผู้ที่ปราถนาจะไปนิพพานคือผู้ที่หมดสิ้นแล้วที่ อยากจะทำอะไร อยากจะได้อะไร อยากจะมีอะไรอยากชมอะไรทั้งนั้น พูดง่ายๆก็คือหมดความสนใจในทุกสรรพสิ่งแล้ว ต้องการหลุดออกไปจากทุกสรรพสิ่ง

    ไม่ใช่อยู่ดีๆนึกอยากจะไปก็ไปได้น่ะครับ

    แม้กระทั่งจิตรับรู้และเข้าใจถึงนิพพาน ก็ใช่ว่าผู้นั้นจะไปนิพพานได้ เพราะจิตรับรู้เป็นพื้นฐานแรกที่เข้าใจ แต่ยังไม่เข้าถึง การจะเข้าถึงก็ใช่ว่าอยู่ดีๆจะเข้าถึง ก็จะเข้าถึงได้เลย แต่มีหลายกระบวนการครับ การปฎิบัติธรรม นั่งสมาธิ นั่งวิปัสนา และสติกรรมฐาน เป็นเครื่องช่วยให้จิตนิ่งมีกำลังและเกิดปัญญา ให้ประคองจิตให้จิตเป็นนิพพานอย่างมีกำลังมากที่สุดครับ


    ตัวผมตอนนี้ยังถือว่าตัดทางโลกไมไ่ด้ แต่ผมก็สามารถอยู่บนโลกอย่างอย่างรู้สัจธรรมเข้าใจสัจธรรมพอสมควร


    ไม่หลงในความสุขทางโลกมากเกินไปและก็ไม่ได้หมกหมุ่นแต่ธรรมมากเกินไปจนไม่สนใจโลกเลย ประมาณนั้นครับ









     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2014
  13. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,553
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอแสดงความยินดีด้วย ที่พ้นทุกข์เสียที...
    เวลาของความทุกข์มันช่างยาวนานเสียจริงๆเลยนะ...
    จะว่าไป ทุกข์มากมายนั้น ก็ไม่ใช่จะไม่มีข้อดีเสียเลยทีเดียว...
    เพราะทุกข์ในวันนั้น...
    ทำให้ความสุขในวันนี้ มีค่ามากมาย เช่นเดียวกัน
    ขอแสดงความยินดีด้วยคนจ้า...
     
  14. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301

    ถ้าไม่ใช่เพราะมีทุกข์ แล้วไม่ใช่หนีทุกข์จะอยากไปนิพพาน
    ทำไมคะ ที่พระพุทธเจ้าออกบวชเพราะเห็นทุกข์มิใช่หรือ

    ดิฉันก็ทำนองเดียวกันคะ แต่ขนาดพูดจากปากแบบนี้
    ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ตัวเองยังอยุ่ในหนทางหรือเปล่า
    ไม่สวดมนตร์ ไม่ค่อยเชื่อเรื่องราวเทพ ปะวัติ อภินิหาร
    การกลับชาติมาเกิดในศาสนาพุทธ

    ฯลฯ แต่เหตุใดจึงเห็นนิมิตแปลกๆอยู่แทบจะตลอดเวลาทุกวัน
     
  15. สับสน!

    สับสน! เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +3,984
    ท่านอินทรบุตร..สงสัยจะมึนนะครับ ธรรมทุกบท ทุกหัวข้อ ของพจ.จะเกื้อหนุนเกี่ยวเนื่องกันหมดจนถึง ปฏิจจสมุปบาทนะครับ..ต้องแจ้งในปฏิจจสมปบาทนี้ เพื่อไม่มาเกิดอีก..

    การจะแก้ทุกข์อริยสัจจ์4 ต้องเข้าใจทุกข์สัจจะ รูปคือขันธ์5 นี้ กามตัณหา พามาเกิด จะทำให้ทุกข์ดับต้องเพ่งมาที่กายก่อนเพื่อน อุปทานขันธ์5..จะถอนยังไงต้องใช้ปัญญา ไล่เหตุ-หาผล จนแจ้งด้วยปัญญา
    :mad:ธรรมของ พจ.เราจะพ้นทุกข์และเข้าใจทุกข์ได้ด้วยปัญญานะครับ ไม่ใช่มานั่งมองดูมันเฉยๆ..ท่านเข้าใจอะไรผิดรึไมครับ
     
  16. NICKAZ

    NICKAZ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +812
    คุณดัชเชส

    ศาสนาพุทธ มีกระบวนการที่คล้ายคลึงกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือเรื่องของการพิสูจน์ทราบด้วยตัวเองให้เห็นเป็นประจักษ์ได้ในทุกขั้นตอน

    ดังนั้น เรื่องราวต่างๆ ที่ดูแล้วไม่น่าเชื่อถือในทางศาสนาพุทธ น่าจะหาทางพิสูจน์ให้ชัดเจนไปว่า เรื่องดังกล่าว เป็นเรื่องจริง หรือเรื่องเท็จกันแน่

    วิธีพิสูจน์นั้นทำอย่างไร ผมคงจะไม่มีเวลามาอารัมภบทมากนัก แต่เข้าใจว่า น่าจะสอบถามจากเพื่อนๆ ในบอร์ดนี้ได้ไม่ยาก

    เรื่องการเห็นนิมิตต่างๆ นั้น ควบคุมการเห็นได้ไหม? อยากจะเห็นเมื่อไหร่ อยากจะเห็นนานแค่ไหน ก็ดูได้ทุกเวลาทุกสถานที่ หรือถ้าไม่อยากเห็น ก็ปิดไปเสีย อย่างนี้ ถ้าทำได้ก็จะเป็นประโยชน์กับคุณยิ่งขึ้น

    ขอคั่นเวลา จากผู้มีความรู้น้อย ด้อยปัญญา การปฏิบัติก็ยังไม่ได้เรื่องไม่ได้ราวนะครับ รอความเห็นอื่นๆ จะมาคุยให้ความรู้กับเพื่อนๆต่อไป และขอถอยไปห่างๆ เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมด้วยคน
     
  17. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456

    ปัญญา มันมีหน้าที่ ตัด

    เวลาพิจารณาธรรม หากมี ปัญญาประกอบ ก็จะ รับฟังสิ่งที่เรียกว่า กามภพ
    (โลก เทวดา พรหม) ได้ แต่ ในขณะที่ รับฟัง หรือ ผัสสะ กระทบว่ามี "ภพ"
    ปัญญาจะตัดทันที

    ใจจึงรับรู้ในลักษณะว่า มีอยู่ ไม่ได้ไม่เห็นว่าไม่มี แต่ จะไม่ก้าวล่วง
    เข้าไปถือว่า " มี "

    เรียกสั้นๆว่า " มี เหมือนไม่มี ไม่มีก็ เหมือนมี "

    ทั้งนี้ มันไม่ใช่คิดเอา ไม่ได้ไม่เชื่อ หรือ เชื่อ เพราะ คิดเอา แต่เป็น การเห็น

    คือ มีการเห็นด้วย

    ดังนั้น

    จึงทำให้จิต มีผัสสะ คือ " เห็น " แต่ การยึดมั่นถือมั่นว่ามี ไม่กระเพื่อม

    ก็เหมือน เคสของ พระเตีมีย์ ที่ เห็น " นรก " ทันทีที่ จิตได้รับรู้เรื่อง
    ราวของการสั่งประหาร ทำให้ พระเตมีย์ ยอมที่จะให้พระราชาสั่งประหารให้ตาย ไปเสีย
    ดีกว่าจะได้ เสพสุขบน " กองราชสมบัติ "

    ทีนี้

    สิ่งที่ควรกำหนดรู้ คือ การเห็น นั้นไม่เที่ยง คือ ยามใดที่ ไม่เห็น ยาม
    นั้น จิตก็จะ " จมโลก " พอเห็นขึ้นมา ก็เหมือน สลัดวาง โลก ได้

    แล้วถ้าเข้าใจผิดว่า สิ่งนี้คือ นิพพาน ก็จะ เข้าใจผิด คิดว่า
    ฌาณเป็นนิพพาน ทำให้ ประกาศตัวว่า พ้น แต่ พอถึงเวลา
    ที่สุดๆ ก็นึกอยากจะพ้นแบบผิดๆ คิดสั้นๆ

    เรียกว่า โดน รูปฌาณ รูปสัญญานานาชนิด หลอกให้โง่ เอาแบบจังหนับ

    พวกที่ โง่กว่านี้ คุณก็เคยเห็นแล้ว พวกที่ โง่กว่านี้ จะไม่มีความ
    รู้เป็นของตัว จะต้องไป ถามองค์ประถม มัธยม แล้ว เอามาเล่าเป็น
    ตุเป็นตะว่า ข้ารู้จริงเห็นจริง ทั้งๆที่ มันอยากจะรู้อะไร มันต้อง
    วิ่งโล่ไปถามคนอื่น แล้ว อมขี้ฟันสัมภเวสี ในภพภูมิ กามโลก มาบอก
    อีกที

    *******

    ปล. เคส พระเตีมีย์ แม้นจะ ยอมให้ถูกสั่งประหาร แต่ ไม่ใช่การ
    ปลงชีวิตตน พระเตมีย์ใช้เป็น อุบายในการ ออกจากวัง ไปบำเพ็ญ
    สมณะธรรมต่อ เท่านั้น ( อย่าได้เข้าใจว่า เป็นการ สรรเสริญการตาย )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2014
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ เวลา ปัญญาเป็นตัวตัด แต่ จิตก็ยัง แฉลบไป เห็น นิมิต

    ในทางธรรมเรียกว่า ไม่ล่วงรูปสัญญา หาก การภาวนายังไม่ ล่วงรูปสัญญา
    ก็แปลว่า เวลาเห็น รูปสัญญา หรือ กสิญสัญญา จิตเกิด ยินดี ยินร้าย

    ให้สังเกต จิต ที่แสดง อาการไปทาง ยินดี ยินร้าย หรือ แสร้งทำเป็นเฉยๆ

    ถ้า จิตสามารถกำหนดรู้ เวทนา ได้ ก็จะเหลือ ด่านสุดท้าย คือ การรับรู้
    ในลักษณะ รู้เป็นเรื่องเป็นราวได้ คล้ายรู้ล่วงหน้า ก็เรียกว่า นานัตสัญญา

    นานัตสัญญาจะไม่ดับ หาก ยังมี จิตตรึกไปทาง กลัวจะถูกเบียดเบียน หรือ
    ยัง สาระวนอยู่กับเรื่องราวการเบียดเบียนกัน สัญญามันก็ไม่ดับ

    ดังนั้น ให้พิจารณา วิหิงสาวิตก การตรึกเรื่อง การเบียดเบียนกัน ซึ่ง ตรึก
    แล้วก็จะเกิดความ พอใจ ไม่พอใจ หรือ แสร้งทำเฉยๆ เข้ามาอีกชั้น
    เพื่อ ย้อมจิต ให้ถอยกลับไปยัง โลก ไม่สามารถแหวกอาสวะออกไปได้

    แต่ถ้า พิจารณา วิหิงสาวิตก ด้วย อวิหิงสาวิตก หรือ กำหนดรู้ เวทนา ได้
    ก็จะล่วงพ้น นานัตสัญญา

    จะเห็น จิตที่กระทบผัสสะ นานาชนิด นานาเรื่องราว แต่ มีจิตตั้งมั่น ไม่ส่งออก
    ไม่ไหลไปตามเรื่องราว ไม่ฉกฉวยเอาเรื่องราวมาทำการสู่รู้ล่วงหน้า แต่จะ
    หยิบจับ เฉพาะที่จำเป็น ที่เป็นประโยชน์ต่อ ปวงสรรพสัตว์ เท่านั้น

    พอเห็นได้แบบนี้ ก็จะ ฝุ้งในธรรมอีกสักระยะ โดยที่ รู้ทั้งรู้ว่า อาการฝุ้งในธรรม
    ฝุ้งในปประโยชน์ของสรรพสัตว์ ไม่ใช่ นิพพาน แต่ ก็ทำอะไรไม่ได้ รู้ทั้งรู้
    ว่าไม่พ้น แต่ก็แหวกออกไปไม่ได้ จนกว่า " จิตสว่าง " หรือ แสงสว่าง
    จากจิต จากปัญญาจะดับ ให้เห็น

    ซึ่งตอนที่ปัญญาดับ การล่วงรู้ดับ นึกไม่ออก บอกไม่ถูก หากไม่กำหนดรู้ทุกข์

    ก็จะคลาด อุบาย ในการนำออกจาก สังสารวัฏ ไปอีก

    **********

    อนึ่ง พึงทราบว่า หาก ปัญญามันล้ำหน้ามากๆ นิมิตจะหายไปหมด จะเหลือ
    เพียงแสงวับเดียว สั้นๆ ประมาณ ช้างกระดิกหู งูแล็บลิ้น แต่ นั่นก็ถือว่า

    "โอภาส ขวางกัน นิพพาน" หรือ " กสิณสัญญาขวางกันมรรคผล "
    หรือ " อุธัจจะขวางกั้นการพ้นสังสารวัฏ "

    [ หลายพวกทีเดียว เวลา นิมิต ดับ แต่ยังเหลือแสง ก็เข้าใจผิด คิดว่า
    เป็น แสงทิพย์แสงธรรม ดังนั้น พวกนี้ ก็ยังมีอาการ เมา องค์ประถม
    องค์มัธยม โง่ๆ บ้าๆ ไม่สิ้น ...แต่...จะไป ประมาท ต่อว่า ไม่ได้ เพราะ
    ยังมีแนวโน้ม กำหนดรู้ทุกข็ได้อยู่ เว้นแต่ จะทำกรรม หลอกลวงคน
    ไว้เยอะ เช่น หลอกว่า ตัวเองเป็น อริยเจ้า แล้วมีคนเชื่อ ก็จะ ปิดนิพพานกันไป ]
     
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    สมมติว่า งง

    จะเอาแบบ หลวงตามหาบัวก็ได้

    คือ แทนที่จะไป พิจารณาหาทาง ภาวนาให้ถูก ก็ไม่จำเป็น

    ให้สังเกต " จิตทียังปรารภรสนิพพาน " หากมี จิตตัวนี้กระเพื่อม
    ขึ้นมา ก็ให้ ฟันธงไปเลยว่า สภาวปัจจุบันที่เป็นอยู่ ยังไม่ถึงพระนิพพาน

    รับรู้ไปแค่นั้น

    แล้วไม่ต้อง เฝ้นหาอุบายอะไรมาก

    หลวงตาท่านให้ ดูลงไปเลยว่า จิตทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้น ( เฉพาะ เรื่องที่เป็น กุศล)

    เช่น

    เจ้าของกระทู้ ปรารภว่า ไม่สวดมนต์

    หลวงตามหาบัว ท่านก็ว่า จิตท่านไม่มี บริกรรม ไม่ยอบบริกรรม

    ท่านก็ ฝืนมันลงไปเลย ฝืนทำลงไปเลย บริกรรมสู้เลย หัวจะแตก
    มันไม่ยอมแบบจะให้หัวแตก ก็ไม่เชื่อมัน บริกรรมให้ได้ จนจิต
    ยอมบริกรรมนั่นแหละ ก็จะ ผึงผาง ได้เหมือนกัน

    ดังนั้น

    เจ้าของกระทู้บอกว่า จิตไม่ยอมสวดมนต์ ก็ ลองสวดมนต์เลย สวดมนต์
    ไม่ถนัดเพราะ สังคมมันปิด ไม่สะดวก ก็ บริกรรมคำอะไรก็ได้ ไม่จำกัดคำ
    บริกรรมขอให้ระลึกในใจว่า เป็น การสวดมนต์ แล้วลองสู้ดู ลองฝืนดู

    แล้วจะเห็นเองว่า จริงๆ แล้ว โดนอะไรปิด ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย ทีปิด
    แต่เป็น อะไรบางอย่างที่ ออกมาจาก ตัวเจ้าของเอง ปิดทางเอง เพราะ
    ไปสำคัญผิดในเรื่อง " แม้นมันจะชั่วคราว แต่มันก็ให้รสน่าพอใจ " เรียกว่า
    ไป " ติดภพ " บางอย่าง
     
  20. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    การฟังคำพระ แม้จะอ่านผ่านๆ หรือเคยอ่านเคยฟังมาแล้ว

    หากมาได้ยินได้ฟังอีก ก็มีประโยชน์ เช่น

    ขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขขข


    เกร็ดธรรม

    หลวงปู่พุธ ฐานิโย
    วัดป่าสาละวัน อ.เมือง จ.นครราชสีมา

    การกำหนดรู้
    โดยที่เราตั้งใจกำหนดรู้ลงที่จิต ทำจิตให้ว่างอยู่ชั่วขณะหนึ่ง
    โดยธรรมดาของจิตเมื่อเราตั้งใจกำหนดลง เราจะเกิดความว่าง
    ในเมื่อเกิดความว่างเกิดขึ้นมาแล้ว
    เราก็กำหนดดูที่ความว่าง
    ในเมื่อจิตว่างอยู่ซักพักหนึ่งความคิดย่อมเกิดขึ้น
    เมื่อความคิดเกิดขึ้น ทำสติตามรู้ความคิดนั้น

    เพียงแต่สักว่ารู้ อย่าไปช่วยมันคิด
    ความคิดอะไรเกิดขึ้นกำหนดรู้ ความคิดอะไรเกิดขึ้นกำหนดรู้

    ยกตัวอย่างเช่น
    คิดถึงสีแดง ก็เพียงแต่ว่า รู้ว่าสีแดง ไม่ต้องไปคิดว่า สีแดงคืออะไร
    ถ้าหากว่าจิตมันคิดไปโดยอัตโนมัติของมัน
    เราทำสติตามรู้ทุกระยะอย่าเผลอ

    ในทำนองนี้จะเป็นอุบายทำให้จิตของเรารู้เท่าทันอารมณ์
    สติตัวนี้จะกลายเป็นมหาสติ
    ถ้าสติกลายเป็นมหาสติ จะสามารถ ประคับประคองจิต
    ให้ดำรงอยู่ในสภาพปกติ ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ได้ง่าย
    เมื่อสติตัวเป็นมหาสติแล้ว
    เพิ่มพลังขึ้น
    ด้วยการฝึกฝนอบรมกลายเป็นสตินทรี
    เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินทรีแล้ว
    พอกระทบอะไรปั๊ป
    จิตจะค้นคว้าพิจารณาไปเองโดยอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ
    ทีนี้เมื่อสติตัวนี้กลายเป็นสตินทรีเป็นใหญ่ในอารมณ์ทั้งปวง
    ซึ่งมีลักษณะ คล้ายๆกับว่า
    จิตของเราสามารถเหนี่ยวเอาอารมณ์
    มาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้

    หรือ เอากิเลสมาเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้
    เพราะสติตัวนี้เป็นใหญ่ ย่อมมีอำนาจเหนืออารมณ์
    และสามารถใช้อารมณ์ให้เกิดประโยชน์ได้
    เมื่อเป็นเช่นนั้น สติตัวนี้จะกลายเป็น สตินทรี อ่าจะกลายเป็น สติวินะโย
    ในเมื่อสติตัวนี้เป็นกลายเป็นสติวินะโย
    สมาธิ สติ ปัญญา ของผู้ปฏิบัติ มีสมรรถภาพดียิ่งขึ้น

    อีกชั่วโมง เป็นสติสัมปชัญญะ เป็นสายสัมพันธ์ สืบต่อกันตลอดเวลา
    แม้หลับลงไปแล้ว จะรู้สึกว่าตัวเองนอนไม่หลับเพราะสติไม่ขาดตอน

    สติตัวรู้หรือสติตัวรู้สึกสำนึกหรือสติอันเป็นตัวการซึ่งเป็นสติวินะโยเนี๊ยะ
    มันจะคอยจดจ้องอยู่ที่จิตตลอดเวลา
    พออะไรเข้ามาปั๊บ
    มันจะฉกออกไปเหมือนกับงูเห่าฉกเหยื่อ อย่างงั้นล่ะ
    ถ้าสิ่งใดที่มันยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง
    มันจะยึดเอามาแล้วก็พิจารณาค้นคว้า จนรู้ความจริง
    ถ้ามันรู้แล้วพอสัมผัสรู้ปั๊บมันก็มานิ่ง

    เวลาเราจะทำงานทำการสิ่งหนึ่งสิ่งใด

    สติตัวนี้มันจะคล้ายๆกับว่าเป็นตัวรู้ปรากฎอยู่ในท่ามกลางแห่ง ทรวง อก

    ส่วนที่ส่งกระแสออกไปทำงาน
    มันก็ทำงานของมันอยู่ตลอดเวลา

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น
    เราสามารถที่จะเอาพลังแห่งสมาธิไปใช้ในงานทุกประเภทได้


    การทำสมาธิอันใด
    ทำให้ท่านเบื่อต่อโลก ต่อครอบครัวมันยังไม่ถูกต้องดอก
    ถ้าทำสมาธิ มีสติปัญญา รู้แจ้งเห็นจริงดีแล้ว
    ต้องสามารถเอาพลังของสมาธิไปสนับสนุนงานการที่เราทำอยู่ได้
     

แชร์หน้านี้

Loading...