ขอเชิญร่วมทำบุญสงเคราะห์พระภิกษุสงฆ์อาพาธ

ในห้อง 'ตลาด พระเครื่องเพื่อการกุศล' ตั้งกระทู้โดย พันวฤทธิ์, 29 พฤศจิกายน 2007.

  1. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    จำนวนพระสงฆ์ที่จะทำบุญสังฆทานภัตตาหารเช้าในวันพรุ่งนี้ มีทั้งหมด 150 รูป สำหรับในวันพรุ่งนี้จะพิเศษหน่อยก็คือ เป็นวันทำบุญครบรอบปีในโอกาสที่ อ.ประถม อาจสาคร ถึงแก่อนิจกรรม ดังนั้นในเมื่อสองเหตุการณ์มารวมกันคือเป็นวันครบรอบ 6 ปี ของทุนนิธิฯ และเป็นวันครบรอบของ อ.ประถมฯ ข้างต้น ทุนนิธิฯ จึงจะได้มีการแจกพระพิมพ์สมเด็จ สกุลเจ้าคุณกรมท่า พิมพ์ต้นรังคู่ ให้เป็นกรณีพิเศษคนละ 1 องค์

    จึงขอประชาสัมพันธ์มาให้ทราบครับ

    พันวฤทธิ์
    21/12/56

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนธันวาคม 2556 ตอนที่ 1

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  3. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนธันวาคม 2556 ตอนที่ 2

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  4. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนธันวาคม 2556 ตอนที่ 3

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  5. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนธันวาคม 2556 ตอนที่ 4

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  6. chaipat

    chaipat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2007
    โพสต์:
    1,282
    ค่าพลัง:
    +11,099
    ภาพบรรยายทุนนิธิ ประจำเดือนธันวาคม 2556 ตอนที่ 5

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พบกันใหม่ในปีใหม่ เดือนมกราคม 2557

    ขอความสุขสวัสดีมีแด่ทุกท่านครับ

    [​IMG]

    สาธุครับ
     
  7. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2013
  8. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2013
  9. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ธันวาคม 2013
  10. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    รายนามผู้บริจาคอีกส่วนหนึ่งของเดือนธันวาคม 2556
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Dec56.pdf
      ขนาดไฟล์:
      505.2 KB
      เปิดดู:
      232
  11. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    มีนิทานมาเล่าให้ฟัง

    เกริ่นนำเรื่อง....
    เพื่อนธรรมผมผู้หนึ่งได้รับชานหมากจากที่บูชาไว้ที่รูปหลวงปู่เทพโลกอุดร ณ ห้องพระของนายแพทย์ท่านหนึ่งในต่างจังหวัด ซึ่งการได้ชานหมากมานี้ก็เป็นเรื่องอจินไตยคือว่าทางคุณหมอได้จัดหมากพลูสดถวายใส่พานไว้ที่หน้ารูปหลวงปู่ฯ ในห้องพระ แล้วคุณหมอก็ออกมาสนทนากับเพื่อนธรรมผม ผ่านไปสัก 15 นาที คุณหมอก็เข้าไปในห้องพระและพบว่าหมากพลูสดที่จัดถวายนั้นได้กลายเป็นชานหมากไปแล้ว ยังความปิติแก่คุณหมอและเพื่อนธรรมผมผู้นั้นมาก และได้แบ่งกลับมาบูชาที่กรุงเทพฯ

    ต่อมาผมได้พาเพื่อนธรรมท่านนี้ไปกราบพระอาจารย์ผมและเพื่อนธรรมผมได้แบ่้งชานหมากของหลวงปู่ฯ ไว้ให้พระอาจารย์จำนวนหนึ่ง ซึ่งพระอาจารย์ก็นำใส่พานบูชาไว้ที่โต๊ะพระในกุฏิของท่าน

    เรื่องอจินไตยก็มาเกิดขึ้นอีกเรื่องที่พระอาจารย์โทรศัพท์มาตามผมให้ไปฟังจากปากท่านเมื่อวันเสาร์ที่ 21 ธ.ค.นี้ โดยท่านบอกว่าให้ผมฟังเป็นนิทานไป เรื่องมีอยู่ว่า
    - วันพุธที่ 18 ธ.ค. เวลาประมาณเที่ยงคืน พระอาจารย์ได้กลับเข้ากุฏิของท่าน ซึ่งกุฏิของท่านอยู่ชั้นสอง ซึ่งได้ปิดหน้าต่างและล๊อคประตูใส่กุญแจไว้
    - พอท่านไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป ก็ตกใจเมื่อพบพระภิกษุชราร่างใหญ่ เกศาท่านเป็นสีขาว ฝ่ามือเหี่ยวย่น แต่ใบหน้าหนุ่ม
    - พระอาจารย์จึงถามไปว่า หลวงปู่มาที่กุฏิผมนี้มีกิจอันใดขอรับ
    - หลวงปู่ฯ ตอบว่า "แวะมาดูชานหมาก กับนำพระมาให้ญาติโยมของเธอ"
    - พระอาจารย์คิดในใจว่า "เอ..เข้ามาในกุฏิได้ยังไง นี่จะเป็นผีหรือเปล่าหนอ"
    - หลวงปู่ฯ หัวเราะแล้วบอกว่า "เอ้า..มาจับแขนฉันนี่ มีเนื้อหนังนะ"
    - พระอาจารย์ก็เดินเข้าไปจับแขนหลวงปู่ฯ แล้วก็พบว่ามีเนื้อหนังจริงๆ
    - หลวงปู่ฯ ได้กล่าวเทศน์สอนพระอาจารย์ผมเกี่ยวกับเรื่องการไม่ให้ยึดถือรูปและนาม ท่านสอนอยู่ประมาณ 10 นาที แล้วก็บอกว่าจะกลับแล้ว
    - หลวงปู่ฯ เดินทะลุหายออกไปทางหน้าต่าง แต่พักเดียวก็เดินกลับเข้ามา กล่าวว่า "ขอโทษที กลับผิดทาง" แล้วหลวงปู่ฯ ท่านก็เดินทะลุประตูออกหายวับไป สร้างความตะลึงแก่พระอาจารย์เป็นอย่างยิ่ง
    - พระอาจารย์ได้นำพระที่หลวงปู่มอบไว้ให้ประมาณ 12 องค์ เก็บไว้ที่โต๊ะพระของท่าน ซึ่งรับมาครั้งแรกเป็นพระเนื้อดินสีแดงๆ 6 องค์พอผ่านมา 3 วันก็เปลี่ยนสภาพเป็นพระเนื้อเขียวเป็นแก้วใส
    - ยังมีพระพิมพ์อื่นๆ อีก มีพิมพ์รูปปู่ฤาษีเนื้อดินและเนื้อเหล็กไหลที่หลวงปู่ฯ มอบไว้ให้

    วันเสาร์ฺที่ 21 ธ.ค. ท่านก็ติดต่อให้ผมและเพื่อนธรรมไปรับพระที่หลวงปู่ฯ มอบให้นั้นมาไว้ติดตัวและบูชาไว้ที่บ้านเรือนเพื่อเป็นศิริมงคลต่อไปครับ

    สรุป - คิดว่าเป็นนิทานตามที่พระอาจารย์ผมท่านเล่าให้ฟังก็แล้วกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 23 ธันวาคม 2013
  12. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    ไม่ว่าผมหรือใครจะมีของวิเศษหรือพระเครื่องพระพิมพ์ดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่พ้นความเจ็บ ความตายไปได้ และยิ่งหากไม่มีศีล ไม่มีความกตัญญูกตเวที ก็อย่าได้หวังว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้มีวาสนารับมาบูชาแบบอจินไตยนี้จะอยู่ปกปักรักษาคุ้มครองเราได้

    ทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

     
  13. kumlungjai

    kumlungjai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2012
    โพสต์:
    164
    ค่าพลัง:
    +406
    อนุโมทนาสาธุครับ พี่ Somlatri เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่ให้ยึดติดรูปนาม
     
  14. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    มีนิทานมาอีกครับ

    วันนี้ (27 ธ.ค.) ได้นำพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ และพระธาตุจากเพื่อนธรรมท่านที่สอง ที่สามารถอัญเชิญมาปรากฏแบบอจินไตยไปถวายพระอาจารย์อีกชุดหนึ่งเพื่อมอบให้แก่ทางวัดที่ได้ขอไปบูชาผ่านทางท่าน เมื่อได้ไปพบท่านที่กุฏิและหลังจากถวายพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ และพระธาตุแด่ท่านแล้ว ท่านได้แจ้งว่าพระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ และพระธาตุชุดแรกนั้นได้ถวายต่อไปยังวัดที่จ.มุกดาหาร 2 วัดและจ.เลย อีก 1 วัด (ก็ขอให้ท่านที่เข้ามาอ่านและมีความศรัทธาได้ร่วมโมทนาบุญนี้ด้วยกันนะครับ)

    ต่อจากนั้...ท่านก็ได้เล่านิทานให้ผมฟังอีกครับ เรื่องมีอยู่ว่า

    เรื่องที่ 1 - สามวันที่ผ่านมา หลังจากล้างบาตรเสร็จแล้ว พบลูกแก้วกลมขนาดเมล็ดลำไยใหญ่ๆ สีน้ำเงินเหลือบทองวางอยู่บริเวณที่ผึ่งบาตรให้แห้ง ท่านเห็นแล้วเข้าใจว่าเป็นของเด็กๆ ที่มาเล่นในวัดแล้วลืมทิ้งไว้ ท่านจึงนำไปวางไว้ที่โคนไม้ใหญ่ในวัด พอกลับขึ้นกุฏิกลับพบว่า ลูกแก้วนั้นกลับมาวางอยู่ตรงบันไดขึ้นกุฏิ ท่านยังไม่คิดอะไรมากก็ขว้างลูกแก้วนั้นออกไปไกลๆ

    สักพักท่านลงมาจากกุฏิ ที่หน้ากุฏิมีต้นไม้ขนาดปานกลางอยู่ต้นหนึ่ง ท่านก็มองลงไปที่โคนต้นไม้นั้นก็เห็นจะจะเลยว่าลูกแก้วลูกเดิมนั้นผุดพรวดขึ้นมาจากดินที่โคนไม้พุ่งขึ้นเหนือดินไปในอากาศประมาณ 1 ฟุตก็ตกลงบนดิน (นึกภาพเหมือนเราอมลูกอมแล้วเงยหน้าเป่าลูกอมขึ้นไปในอากาศ) คราวนี้ท่านก็เลยเก็บไว้ แต่ไม่ได้นำเข้ากุฏิ แต่วางไว้ในกระถางต้นไม้แขวน ซึ่งต้นไม้นั้นมีชื่อว่าต้น "นาคราช" เล่าจบแล้วท่านก็มองหน้าผม ผมเองก็ยังเฉยๆ เพราะสิ่งมงคลที่เสด็จมาแบบอจินไตยนี้ก็พอจะมีอยู่บ้างแล้ว ท่านเห็นผมเฉยๆ ท่านก็เล่านิทานเรื่องต่อไป...

    เรื่องที่สอง - ท่านหยิบวัตถุมงคลองค์หนึ่งที่ถูกสร้างเป็นท่านท้าวเวสสุวรรณ (เนื้อผงสีน้ำตาลเทา) มาให้ชมแล้วกล่าวว่า สิ่งเหนือโลกทั้งหลายมีทั้งสัมมาทิษฐิ และมิจฉาทิษฐิ หากโยม (หมายถึงผม) หากต้องไปปฏิบัติธรรมหรือต้องเดินทางไปในถิ่นที่ห่างไกลแล้วก็ให้นำติดตัวไปด้วย... ท่านกล่าวเพียงแค่นี้แล้วก็มอบวัตถุมงคลนั้นให้ผมไว้

    ผมถามว่า...วัตถุมงคลนี้ท่านมาอย่างไร
    พระอาจารย์ตอบว่า... มาวางอยู่บนพานบนโต๊ะพระในกุฏิท่านเอง ไม่ทราบว่าใครเอามาให้

    เมื่อได้เวลาสมควร ผมก็กราบลาท่านกลับ ท่านเมตตาเดินลงมาส่ง แล้วกล่าวว่าตามอาตมามาหน่อย... ท่านก็เดินไปที่ต้น "นาคราช" นั้น ลูกแก้วนั้นก็ยังอยู่ที่เดิม ท่านจึงหยิบออกมาแล้วมอบให้ผมไว้บูชาครับ

    จบนิทานแล้วครับ... ธรรมะสวัสดี
     
  15. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    คิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นบาปเพียงใด?
    โดย
    ดังตฤณ
    ธันวาคม ๕๖


    ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน
    กรรมสำเร็จด้วยใจ
    ฉะนั้น ผลแห่งกรรมทั้งหลายย่อมไหลมาจากใจเช่นกัน
    จะคิดอะไรแล้วบาปแค่ไหน หรือเป็นบุญเพียงใด
    ก็ขึ้นอยู่กับใจที่มุ่งคิด
    ขึ้นอยู่กับกำลังใจที่ใช้ก่อกรรม


    หากจงใจคิดไม่ดี เช่น อาฆาตมาดร้ายอยากเอาคืน
    หรือเห็นการคิดลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องสนุก
    เรียกว่ามโนกรรมอันเป็นมหาอกุศล
    เพราะอาศัยกำลังใจก่อบาปตรงๆ เต็มๆ


    แต่หากไม่ได้จงใจ ทว่าเกิดความรู้สึกอยากทำร้าย
    อยากขโมย อยากผิดกาม อยากโกหก
    หรืออยากลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
    ในรูปความคิดแวบผ่านเข้ามาในหัว
    ไม่ได้มีกำลังใจของตนเองหนุนหลังจริงจัง
    อย่างนี้เรียกว่าเป็น ‘ความจำได้หมายรู้’ อันเป็นอกุศล
    หาใช่การก่อกรรม หาใช่บาปร้ายแรง
    ที่จะติดตัวเป็นเงาตามไปให้ผลไม่


    อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดความจำ
    หรือเกิดความสำคัญมั่นหมายอันเป็นอกุศลขึ้นในหัวแล้ว
    ที่จะชี้วัดว่าเกิดบาปหรือเกิดบุญตามมา
    ต้องดู ‘ใจ’ ที่มีปฏิกิริยาโต้ตอบกับอกุศลธรรมนั้นๆ


    หากเอาแต่เฝ้าทรมานใจ
    แอบกังวลอยู่กับตัวเองโดยไม่กล้าบอกใคร
    ครุ่นคิดว่าเราเป็นคนบาปแล้วหนอ
    หรือสงสัยว่าเราจะต้องตกนรกหรือเปล่าหนอ
    เช่นนี้ แท้จริงแล้วคุณกำลัง ‘รับผลของกรรมเก่า’
    ที่เคยไปเบียดเบียนคนอื่นให้เจ็บใจ
    หาใช่ ‘ก่อกรรมใหม่’ ด้วยการทำให้ใครเดือดร้อนไม่
    ไม่แม้กระทั่งจงใจคิดร้ายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไหนๆด้วยซ้ำ


    แต่หากเริ่มคล้อยตามความคิดพิเรนทร์
    เต็มใจครุ่นคิดต่อ ตามเสียงกระซิบของปีศาจในหัว
    กระทั่งคึกคะนอง โพล่งวาจาทะลึ่งตึงตังให้คนอื่นได้ยิน
    อย่างนี้เรียกว่าก่อกรรมใหม่อันเป็นไปในวิถีปีศาจแล้ว
    เมื่อสะสมบาปมาก จิตวิญญาณย่อมมีรูปปีศาจ
    เหมาะกับแดนปีศาจในภายภาคหน้า


    ในทางกลับกัน
    หากอาศัยความจำได้หมายรู้อันเป็นอกุศลนั้น
    เป็นเครื่องมือฝึกสติ ทำสติให้เจริญขึ้น
    เริ่มจากยอมรับตามจริงว่า อกุศลธรรมเกิดขึ้นในหัว
    เห็นตามจริงว่าเราไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เต็มใจให้มันเกิดขึ้น
    สิ่งใดเกิดขึ้นด้วยสาเหตุหนึ่งๆเป็นธรรมดา
    เมื่อหมดเหตุหนึ่งๆแล้ว สิ่งนั้นย่อมต้องดับลงเป็นธรรมดา
    ไม่น่ายินดี และไม่น่ายินร้าย
    เห็นอย่างนี้เรียกว่าก่อกรรมใหม่เป็นการ ‘เจริญสติ’
    ซึ่งทางพุทธศาสนาถือเป็นบุญขั้นสูงสุด
    เหนือกว่าการรักษาศีลสำเร็จ
    และเหนือกว่าการให้ทานไม่เลือกหน้า


    สรุปคือ หากมองถูก
    อกุศลธรรมก็เป็นปัจจัยให้เกิดบุญขั้นสูงสุด
    เท่าที่มนุษย์จะทำได้
    และมีแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ชี้ทางให้ทำได้
    โดยก่อตั้งศาสนาที่สอนให้ดูความคิดไม่เที่ยง
    ทรงสอนให้เห็นบ่อยจนรู้ซึ้งว่า ความคิดไม่ใช่ตัวตน
    จะเป็นความคิดฝ่ายกุศลหรืออกุศลก็ตาม


     
  16. nanbatakeshi

    nanbatakeshi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2011
    โพสต์:
    19,467
    ค่าพลัง:
    +20,860
    วันที่29/12/56เวลา20.07น.ได้ร่วมทำบุญกองทุนพระสงส์อาพาธจำนวน100บาทและขออนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ทุกๆท่านครับสาธุๆๆอนุโมทนามิ
     
  17. kongpak

    kongpak เลื่อมใสอย่างยิ่งในตถาคต ถึงที่สุดโดยส่วนเดียว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2009
    โพสต์:
    802
    ค่าพลัง:
    +6,118
    คุยกันตามประสาเพื่อน

    30 ธค 2556
    ถามแบบไม่ได้ศึกษาทางจิตวิญญาณนะครับ
    - เหตุใดวิญญาณชั่วจึงมาเกิดเป็นคนได้ แล้วมาก่อกรรมทำให้ต้องไปชดใช้ในภพภูมิถัดไป
    - การลงโทษให้ชดใช้กรรมชั่วหลังจากตายไปมันช้าไปไหม ใช้กรรมแบบทันทีทุกๆกรณีจะได้ไหม จะได้มีโอกาสสะสมบุญบารมีในทุกชาตฺที่เกิด
    - คนเราเกิดมาน่าจะได้สร้างกรรมดี สะสมบุญให้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นจนนิพพาน แต่ทำไมยังมีโอกาสให้ทำชั่วได้ ก่อกรรมได้ ทำอย่างไรทุกคนจึงจะหมดโอกาสทำชั่วได้เมื่อได้เกิดเป็นคนแล้ว...
    -----------------------------------------------------------------------------------------------

    เพื่อนรัก... คำถามของเพื่อนนั้น... ต้องให้พระอริยสงฆ์ตอบซะแล้ว....
    ตัวผมเอง...ก็ไม่ใช่คนดีอะไรนัก...ปฏิบัติภาวนามากๆ เข้าก็รู้เลยว่า ตัวเรานี้ช่างแย่อะไรปานนี้

    ถ้าจะตอบคำถามเพื่อนตามภูมิปัญญาที่ได้รู้มาเล็กๆ น้อยๆ ก็น่าจะเป็นตามนี้ (ต้องบอกว่าเป็นความเห็นส่วนตัวนะเพื่อน... เหมือนคุยกันในหมู่เพื่อนฝูง)

    - เหตุใดวิญญาณชั่วจึงมาเกิดเป็นคนได้ แล้วมาก่อกรรมทำให้ต้องไปชดใช้ในภพภูมิถัดไป

    ตอบ - สัตว์ต่างๆ (หมายรวมถึงสัตว์ต่างๆ ใน 31 ภพภูมิ) ได้เกิดมาทำกรรมดีและกรรมชั่วนับอนันตชาติ เมื่อได้รับผลของกรรมดีและกรรมชั่วมาเรื่อยๆ หลายล้านชาติภพจนมาชาติภพปัจจุบัน ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะมีเศษของกรรมดีหนุนส่ง (การทำงานของกรรม พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นเรื่องอจินไตยครับ) ไม่ใช่เพราะชาติที่แล้วเป็นวิญญาณชั่ว แล้วเหตุไฉนจึงได้มาเกิดเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ก็เนื่องจากเศษของบุญที่ได้เหลือไว้... แต่ดวงจิตที่มาอาศัยร่างนี้เป็นจิตที่เศร้าหมองชั่วช้า...จึงมาทำกรรมชั่ว อีก... แต่ที่แน่ๆ หล้ังจากหมดชาติปัจจุบันนี้ ดวงจิตนี้ก็จะไม่ได้ขึ้นสุคติภูมิ (ได้แก่ มนุษย์ เทวดา พรหม) อีกนานแสนนานคือลงทุคติภูมิ (เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย หรือสัตว์นรก)

    - การลงโทษให้ชดใช้กรรมชั่วหลังจากตายไปมันช้าไปไหม ใช้กรรมแบบทันทีทุกๆกรณีจะได้ไหม จะได้มีโอกาสสะสมบุญบารมีในทุกชาตฺที่เกิด

    ตอบ - เรื่องนี้ขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เห็นชัดขึ้นนะเพื่อน...

    สมมติว่า การสร้างบุญทุกครั้งของคนๆ หนึ่งเหมือนกับการสร้่างเรือลำหนึ่ง... ทำมากๆ เข้า เรือก็ลำใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น สามารถต้านทานกระแสน้ำ (ผลสะท้อนแห่งกรรมชั่ว) อันเชี่ยวกรากรุนแรงได้

    แต่ทว่าคนนี้..เลิกสร้างบุญ แต่ไม่ทำชั่ว บุญเก่าก็คือเรือก็ยังคุ้มตัวไปได้ แต่ก็ค่อยๆ ผุพังลงตามกาลเวลา..จนในที่สุดเรือก็พัง กระแสน้ำแห่งกรรมชั่วก็จะลากเขาลงสู่นรก นั่นก็คือ มันต้องใช้เวลาสักระยะที่ให้คนผู้นี้รับกรรมชั่วที่ได้เคยทำมา
    หากแต่ว่าคนนี้...นอกจากเลิกสร้างบุญ ยังเติมบาป ก็เหมือนกันเริ่มทุบทำลายเรือของตนเองทีละนิด....หากบุญเก่ามาก อันหมายถึงเรือลำใหญ่มาก แข็งแรงมาก การทุบทำลายของเขาจนเรือจะพังลงก็ใช้เวลาบ้าง แต่อย่างไรก็ตาม เรือลำนี้ก็จะพังได้เร็วกว่าในกรณีแรก

    ผู้ที่มีปัญญา..ทราบเรื่องเหล่านี้แล้ว...จะไม่ยอมทำชั่ว (ทุบทำลายเรือ) นอกเสียจากทำแต่ความดี (บุญ 10 ประการ) เรือของเขาก็จะแข็งแรงยิ่งๆ ขึ้นไปจนกรรมชั่วที่เคยทำมา ทำอะไรเขาไม่ได้ และถ้าหากได้ปฏิบัติภาวนาจนพ้นโลกิยะภูมินี้แล้ว จิตเข้าสู่พระอรหันต์ กรรมต่างๆ จะกลายเป็นอโหสิกรรมไปทั้งหมด

    - คนเราเกิดมาน่าจะได้สร้างกรรมดี สะสมบุญให้เกิดในภพภูมิที่สูงขึ้นจนนิพพาน แต่ทำไมยังมีโอกาสให้ทำชั่วได้ ก่อกรรมได้ ทำอย่างไรทุกคนจึงจะหมดโอกาสทำชั่วได้เมื่อได้เกิดเป็นคนแล้ว...

    ตอบ - จิตของมนุษย์ทุกคนนั้นเดิมทีเป็นจิตที่สะอาด ผ่องใส แต่มาเริ่มเศร้าหมองเพราะเมื่อมีปํญญาเรียนรู้มากขึ้น เกิดความปรุงแต่ง เกิดความนึกคิด อันเป็นมิจฉาทิษฐิ (ดื้อรั้นในทางที่ผิด) และคิดไปเองว่า สิ่งที่ตนเข้าใจนั้นถูกต้องตรงกับปัจจุบัน ดังนั้น..สิ่งชั่วที่มนุษย์คนนั้นทำลงไป คนนั้นไม่เคยคิดว่ามันเป็นความชั่วเลยสักนิด เช่นความเห็นแก่ตัว ความละโมบโลภมากในผลกำไรในการค้าจนเกินไป ความไม่มีมนุษยธรรม ซึ่งมันค่อยๆ หมดลงไปจนจะไม่เหลือแล้ว

    ถ้าพวกเรา หันมาศึกษาพระพุทธศาสนาให้ลึกซึ้ง... ไม่ใช่แค่ทำบุญแล้วหวังผลต่างๆ ภายหลัง ... ควรศึกษาว่า วงจรปฏิจจสมุปบาทนั้นเป็นอย่างไร ทำความเข้าใจให้ได้ (ซึ่งไม่ยากจนเกินไปนัก เพราะธรรมของพระองค์นั้นมีไว้สอนมนุษย์) แล้วเราก็จะพบทางพ้นทุกข์ทั้งๆ ที่มีกายเนื้อนี้ได้จริงๆ ศาสนาพุทธมีไว้ให้พิสูจน์ ไม่ได้มีไว้ให้เชื่อนะครับเพื่อน..

    คนที่จะหมดโอกาสทำชั่วนั้น..ไม่มี..ยกเว้นพระอรหันต์ เนื่องจากท่านได้ฝึกจิตของตนจนสามารถรู้ทันสิ่งที่เข้ามากระทบความรู้สึก ต่างๆ ในจิตท่าน พระอรหันต์ไม่ใช่ผู้ที่สกัดกั้นหรือบังคับจิตตนเองได้ แต่ท่านรู้ทันต่างหาก

    ตัวอย่าง - คนมีสติทั่วๆ ไป เวลารู้สึกโกรธ สติหรือความรู้สึกตัวจะหายไปทันที จนอีกสักพักจะรู้สึกได้ว่า "โกรธไปแล้ว" ถ้ามีสัมปชัญญะก็จะดึงสติกลับมาให้อภัยหรือปล่อยวาง (ตามประสาเพื่อนก็คือ "ช่าง....มัน") แต่พระอรหันต์จะไม่ขาดสติและสัมปชัญญะในเรื่องโกรธและไม่ว่าเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น (รัก โลภ โกรธ เกลียด อาฆาต ริษยา ฯลฯ อันเป็นการทำงานของจิต) ท่านรู้ทันและวางลงได้อย่างรวดเร็วมาก

    พระอรหันต์ท่านละวางลงทั้งทางร่างกายและจิตใจทั้งหมด ท่านรู้แล้วว่า ขันธ์ทั้งห้าคือทุกข์ จิตของท่านก็คือทุกข์ เมื่อละวางทั้งขันธ์ห้าและจิตแล้ว ...แสนจะบรมสุข...แล้วก็นิพพาน

    ธรรมะสวัสดีครับ


     
  18. sirimanod

    sirimanod เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    128
    ค่าพลัง:
    +912
    ผมขอร่วมทำบุญประจำเดือน ม.ค.57 ด้วยนะครับ

    วันที่ 2 ม.ค. 57ผมได้โอนเข้าบัญชีจำนวน 100 บาทและผมขออนุโมทนากับทุกๆคนด้วยนะครับ
     
  19. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    [​IMG]

    อำนวยชัยสุขสวัสดิ์พิพัฒน์ผล

    ศุภฤกษ์ดิถีขึ้นปีใหม่
    อำนวยชัยสุขสวัสดิ์พิพัฒน์ผล
    ขออำนาจพระไตรรัตน์บรรดาลดล
    สถิตย์ล้นสู่ทวยราษฎร์มาตรสีมา

    ขอทวยเทพคุ้มภัยไทยทั้งผอง
    สิ่งใดปองสมมาตรปรารถนา
    พ้นสิ่งทุกข์เหล่ามารร้ายภัยพนา
    เกิดปัญญาผลาสุขทุกหย่อมเรือน

    พรใดเลิศประเสริฐล้ำจงนำสุข
    ขจัดทุกข์โภยภัยในผองเพื่อน
    ประสงค์สิ่งอันใดให้มาเยือน
    อีกทั้งเคลื่อนคลาดแคล้วแผ้วเภทพาล

    ให้ชื่อเสียงเกียรติก้องระบือนาม
    ทุกเขตคามลือเรื่องล้ำย้ำขับขาน
    ทั้งก้าวหน้าภารกิจมิตรการงาน
    ประสบสุขทั่วไพศาลสวัสดี


    ขอบคุณบทกลอนจาก http://www.กลอนอวยพร.comปีใหม่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มกราคม 2014
  20. พันวฤทธิ์

    พันวฤทธิ์ เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3,789
    ค่าพลัง:
    +16,103
    [​IMG]

    ธรรมโอวาท
    ของ
    พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์
    พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร
    วัดอโศการาม อ.เมือง จ.สมุทรปราการ

    แสดงธรรมเทศนา ณ วัดศรีเทพ จังหวัดนครพนม
    เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๙๖




    การบำเพ็ญทาน
    เท่ากับเราหาทรัพย์ไว้ให้ตัวของเรา

    การบำเพ็ญศีล
    เท่ากับเราสร้างร่างกายของเราให้เป็นคนสมบูรณ์
    ไม่พิการ ง่อยเปลี้ย บอดใบ้

    การบำเพ็ญภาวนา
    เท่ากับสร้างจิตใจของเราให้เป็นคนสมบูรณ์


    "ทาน" ไม่สามารถคุ้มศีลได้ แต่ศีลคุ้มทานได้
    ส่วน "ภาวนา" คุ้มได้ตลอดทั้งทานและศีล
    สามารถทำให้ทานบริสุทธิ์และศีลของเราก็บริสุทธิ์
    เข้าถึงสุคติสวรรค์โลกุตตระ และนิพพานเป็นที่สุด


    สมมติคนหนึ่งเกิดมาในตระกูลสูง
    มีทรัพย์สมบัติมาก และร่างกายก็บริสุทธิ์ทุกส่วน
    แต่จิตใจไม่ปรกติ วิกลวิการ เป็นผีบ้า
    อย่างนี้จะมีประโยชน์อย่างไร

    เหตุนั้นพระพุทธเจ้าจึงทรงสั่งสอนให้อบรมจิตให้เป็นกุศล
    พระองค์ทรงสอนให้มนุษย์เป็นเทวดา
    เทวดาเป็นพรหม พรหมเป็นอริยะ จนถึงอรหันตขีณาสพ เป็นที่สุด


    คัดลอกเนื้อหาจาก
    หนังสือแนวทางวิปัสสนา-กัมมัฏฐาน
    พระอาจารย์ลี ธมฺมธโร.
    โดยชมรมกัลยาณธรรม ปี พ.ศ. ๒๕๕๒. หน้า ๑๕๙

    .....................................................
    ...รักษาใจ...


    ทำตนให้เป็นที่พึ่งของตน
     

แชร์หน้านี้

Loading...