หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ขอบคุณมากครับ ที่ช่วยอธิบายขยายความ...
    เพราะปัญหาของผู้ที่ฝึกไปอย่างเดียว เวลาจะอธิบายขยายความมันทำไม่ออก เหมือนคนกินเอง อิ่มเอง แต่อธิบายไม่เป็น เรียกชื่ออาหารก็ยังไม่ถูก...
    เวลานั้น คำว่าอนุโลม กับ ปฏิโลม ผมยังไม่รู้จัก คำว่าโยนิโสฯ ก็อย่าหวังว่าจะรู้...3 คำนี้มารู้เอาภายหลัง จากท่านผู้รู้มาช่วยอธิบายคำศัพท์ให้ฟัง...
    แต่ว่าเวลานี้ คำว่า อาตาปี อีกแล้ว..ยังไม่รู้ความหมายคำนี้เลยครับ...

    กรรมฐานกองนี้ หลังจากทำจบไปแบบนี้แล้ว ผมเองไม่ได้นิ่งนอนใจ หรือคิดว่าจะสำเร็จแล้ว แต่กลับระมัดระวังตัว กลัวว่าจะถูกมารหลอกเอาเข้า...
    ตั้งการ์ดเอาไว้ตลอด แม้จะไม่ถึง 200 คนเหมือนอย่างในม็อบก็ตาม...


    เวลาอยู่ในสังคมกับคนทั่วๆไป จะมองเห็นคนที่เดินไป เดินมา เหมือนว่าเป็นซากศพเดินได้ ก็มี หรือบางทีจะเห็นเป็นโครงกระดูกขาวโพลน เดินได้ ก็มี
    แต่ว่าในท้ายที่สุดแล้วนั้น จะไปเห็นว่า ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่สะอาด ไม่ใช่สกปรก ไม่ใช่น่ารังเกียจ ไม่ใช่น่ารัก มันไม่ใช่อะไรๆ ทั้งสิ้น
    มันเพียงสักแต่ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วสลายไป ...

    จะเห็นซากเน่า จะเห็นซากอืด จะเห็นโครงกระดูก จะเห็นคนมีเนื้อมีหนัง ทั้งหมดทั้งหลาย เสมอกันไปหมด
    มันหมดทั้งอารมณ์รัก หมดทั้งอารมณ์รังเกียจ มันจะไม่เกี่ยวเนื่องด้วยอารมณ์ใดๆทั้งหลายอีก...
    ว่าถึงตรงนี้แล้ว ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่ออีก จึงได้แต่ทรงสติ สัมปชัญญะ ทรงสมาธิไว้ มีผู้รู้ตามดูอยู่เนืองๆ ...
    เนื่องจากผมยังเห็นว่า มันยังไว้ใจไม่ได้...มันยังไม่แน่...

    เรื่องที่เอามาสำรวจ อวัยวะภายในได้นั้น ผมก็ขอยืนยันว่าทำได้จริง และสามารถเห็นได้ว่า อวัยวะส่วนไหน เป็นอย่างไรบ้าง บางส่วนที่มีอาการป่วยก็จะสามารถเห็นได้...
    บางครั้งก็สามารถที่จะอาศัยกำลังใจ รักษาโรคที่เกิดในอวัยวะส่วนนั้นๆลงได้ แม้แต่การกำหนดรู้ว่า ในภายภาคหน้า จะเกิดโรคอะไรขึ้นกับเราอันรักษาไม่ได้อันนี้ก็รู้ได้ และรู้ได้ว่าโรคมะเร็งจะเกิดกับเราไม่ได้ นี่ก็รู้ได้เหมือนกัน...

    การไปรู้เห็นแบบนี้นั้น ไม่ค่อยได้ไปบอกใครเขาหรอกครับ เกรงว่าคนจะเอาไปเข้าใจผิดๆเหมือนอย่างเมื่อครั้งที่ตาลุง แกให้ช่วยไปนั่งดูอวัยวะภายในของศิษย์พี่ผมคนหนึ่ง เป็นผู้หญิง โดนคุณไสย ให้ผมไปเที่ยวดูว่าตอนนี้ไล่ของแล้วของนั้นวิ่งไปอยู่ตรงไหนบ้างแล้ว....
    ด้วยความที่ตอนนั้นเรายังวัยรุ่น ไม่กล้าปฏิเสธก็ต้องไปนั่งดูอยู่ตรงนั้นให้เขา แต่ว่ารู้สึกไม่ค่อยชอบเท่าไร เพราะว่าที่ผมฝึกมานี่ ผมไม่ได้จะเอามาใช้แบบนี้ ผมมีความมุ่งหวังจะขจัด เรื่องกามราคะ ให้สิ้นไปจากสันดาร

    ตาลุงนี่แกจะให้ของกายสิทธิ์แล้วสอนวิธีการไล่ของ ให้ผมอีกด้วย โดยรับรองว่าถ้าคนอื่นเรียนด้วยอาจเป็นปี แต่ถ้าให้ผมทำนี่ไม่เกิน 2 อาทิตย์ก็จะทำได้เหมือนแกทำ...
    ตรงนี้ก็ขอบคุณและขอปฏิเสธไป เนื่องเพราะตระหนักดีว่า ผมเองมันยังไม่เอาไหน มันยังเอาตัวเองไม่รอด ยังเป็นผู้หลงทางอยู่ ขอไปก้มหน้าก้มตาภาวนาต่อไปดีกว่า เดี๋ยวมันจะไม่ทันเอานะ...
    ชีวิตคนเรานั้นมันแสนสั้น ทำจนวันตายนี่เราจะพอเอาตัวรอดจากนรกได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย


    ปล. ท่านทั้งหลายที่อ่านแล้วก็อย่าพึ่งเข้าใจว่าผมเก่ง หรือมีบุญบารมีมากมายมาก่อน...ผมเป็นคนบุญน้อย ด้อยวาสนา ปัญญาทราม ยิ่งว่าที่ท่านคิดนิดนึง แต่ด้วยอาศัยที่ไม่ท้อแท้ต่อบุญบารมี ที่ไม่มีมานั้น ผมต้องก้มหน้าก้มตาฝึกไป กว่าอารมณ์อสภะจะปรากฎก็สิ้นเวลาไป15ปี กว่าจะเห็นว่า กายนี้สะอาดก็ไม่ใช่ สกปรกก็ไม่ใช่ น่ารักก็ไม่ใช่ น่ารังเกียจก็ไม่ใช่ กว่าจะไปจบที่อนัตตา นี่สิ้นเวลาไปอีกหลายปีมาก มากขนาดว่าคนโง่ๆเขาทำกันนี่ไม่ใช้เวลานานขนาดผมเลย...

    แล้วจนทุกวันนี้นี่ผมก็ยังต้องทำอยู่ เพราะไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมีดีอะไร และผมก็ไม่เคยไว้ใจกิเลส ตัณหา ในตัวผมเองเลย...
    พวกท่านทั้งหลายที่บุญน้อย ด้อยวาสนา และชีวิตที่ต้องมีเพื่อนซี้ชื่อว่า ลำบาก นั้น ก็ขออย่าได้นึกน้อยใจหรือดูถูกตัวเอง...
    ขอให้ท่านคิดว่า คนเฮงซวยอย่างผมนี่ยังทำได้ พวกท่านทั้งหลายนี่ถ้าทำจริงๆ ผมเชื่อว่าทำได้ทุกคน และน่าจะใช้เวลาน้อยกว่าผมด้วยซ้ำไป...
    ความผิดพลาดใดๆในการฝึกของผมนั้น ก็หวังว่าจะเป็นอุทธาหรณ์คอยเตือนให้ท่านทั้งหลาย ไม่ต้องเสียเวลาหลงทาง นานเหมือนที่ผมเป็นมา...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 ธันวาคม 2013
  2. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ผมเองก็เพิ่งเริ่มสนใจมาภาวนาได้ไม่นาน แรกเดิมที่ก่อนไปปฏิบัติที่วัด ก็ศึกษาแค่ว่า
    ขันธ์5ประกอบด้วยอะไรบ้าง กองไหนเป็นรูป เป็นนาม รู้ปริยัติแค่นี้พอ ปริยัตที่สำคัญอีกอย่างคือวิธีการเจริญสติปัฏฐาน4ที่หลวงพ่อจรัญ ฐิตธัมโม ท่านสอนต่อมาอีกที
    คำศัพย์3คำที่ยกตัวอย่างมาผมก็ไม่รู้มาก่อนเหมือนกันทั้งๆที่ทั้งทางโลกและทางธรรมก็โยนิโสเป็นปกติ แต่ปริยัตินี่ก็สำคัญ เอาแค่ความหมายของคำไม่จำเป็นต้องเจาะลึก
    ปริยัตินี้ช่วยขยายธรรมที่ได้จากปฏิบัติให้รอบรู้เพิ่มไปอีก

    ปฏิบัติแล้วจึงรู้ว่า คำว่าอายตนะนั้นสำคัญมากจึงเริ่มศึกษาคำศัพย์ บางทีหลายๆคำศัพย์เราก็รู้ความหมายอยู่แล้วและปฏิบัติแนวนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นการอธิบายคำศัพย์ในความหมายของเรา คำศัพย์ที่บางคำเป็นบาลี หรือคำเฉพาะ บางทีผมต้องใช้ในกรณีเพื่อเป็นการสื่อสารกับผู้อื่นเพื่อให้เข้าใจในทางเดียวกันเท่านั้น ไม่ใช่เพื่อแสดงว่าเข้าใจอะไรลึกซึ้งหรือเก่งอะไรหลอก ก็มันไม่เก่งนิน่า

    ดีใจที่ได้รับประสบการณ์จากผู้ทรงคุณ เพราะท่านทั้งเก่งทั้งฉลาดไงจึงเลือกของจริงเพื่อให้ตัวเองรอดก่อนเพื่อจะได้ช่วยผู้อื่นได้ ส่วนของเล่นที่เป็นเครื่องมือช่วยผู้อื่นนั้นเขาก็ยัดให้ท่านภายหลังอยู่ดีไม่ว่าจะสนหรือไม่สน
    พระท่านว่า ทำนาบนผืนเดิม คือตัวเองปฏิบัติจนเจริญมาได้อย่างไร ก็ให้ปฎิบัติเช่นนั้นต่อไป เจริญสติสัมปชัญญะ สมาธิตามที่ท่านบอกนั้นแหละเจ๋งสุด

    ขอแนบ link เกี่ยวกับอาตาปี เพราะคำนี้มีประโยชน์มาก ที่คุณramingเล่าเรื่องการเจริญสตินั้น คุณทำอาตาปีอยู่แล้ว รวมทั้งที่คุณทำขณะเกิดอสุภนิมิตด้วย
    อาตาปีนี่แหละที่ทำให้สติปัฏฐานครบองค์ ที่ทำให้น้อมสู่พระไตรลักษณ์และเกิดวิปัสสนา
    ที่ต่างกับสมถวิปัสสนา ส่วนเรื่องการนำประโยชน์จากสมาธิมารักษาร่างกายนั้น เราเน้นมาดูแลสังขารเพื่อให้ทุกขทนาน้อยเพื่อส่งเสริมในการภาวนาเท่านั้น บางอย่างก็ต้องเจ็บป่วยตามเวรกรรมมิอาจแก้ไข ได้แต่บรรเทา การที่จะนำไปใช้รักษาผู้อื่นนั้นมันแล้วแต่บุคคล บางท่านก็เปิดรับแบบเชื้อเชิญคนทั่วไปให้มารักษา บางท่านก็รักษาเฉพาะบุคคลที่เกี่ยวข้องหรือผู้ที่เรามิอาจปฏิเสธได้ ก็แล้วแต่ภาระหน้าที่ที่ตัวเองจะเลือกจะทำสิ่งใดก่อน หรือจะทำพร้อมกัน

    สติปัฏฐาน (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) - PaLungJit.org
     
  3. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เครื่อง X-RAY หรือ MRI นั้นยังมีสิ่งที่ขวางกั้นได้ ทำให้การตรวจสอบ
    ออกมาตามที่เครื่องได้ตั้งโปรแกรมใว้  มีข้อจำกัด
    ส่วนการใช้พลังจิตตรวจสอบ พลังจิตที่ใช้งานได้แล้วนั้นจะไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นและต้านทาน จิตนั้นเดินทางได้เร็วกว่าแสงจึงสามารถตรวจสอบได้ทุกเส้นสายภายในร่างกาย
    และตรงไหนตีบตันก็สามารถขยายได้ตามจิตที่ปราถนา หรือซ่อมแซมในสิ่งที่บกพร่องไปในเวลาเดียวกัน ประโยชน์จึงมีมากมายเกินกว่าที่จะอธิบายครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 universe.jpg
      1 universe.jpg
      ขนาดไฟล์:
      130.5 KB
      เปิดดู:
      84
    • DSC05587.JPG
      DSC05587.JPG
      ขนาดไฟล์:
      474.5 KB
      เปิดดู:
      77
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  4. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    ในฐานะที่คุณคมสันต์usa มีประสบการณ์ช่วยรักษาผู้อื่นพอสมควร
    อยากถามว่า ถ้ากรณีเรามีสมาธิจนมีกำลังใช้งานได้ แต่ถ้าเราไม่ได้ให้ครู
    บาอาจารย์ทางภพภูมช่วยรักษา หรือเราไม่ชำนาญในกสิณ
    เราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยบางประเภทด้วยวิธีกำหนดจิต หรือ
    การอธิษฐานใช่หรือเปล่าครับ การอธิษฐานสามารถ กำหนดแบบเรียบง่ายดื้อ เช่น ให้อาการเจ็บป่วยบริเวณที่เราเพ่งอยู่หาย ให้หายปวด ให้เลือดไหลเวียนสะดวก ให้ลมปราณไหลเวียนสมดุล
    หรือเราอธิษฐานแบบรู้สรีระนิดหน่อย เช่น ให้ไขมันในเส้นเลือดหลุดลอกสลายออกไป ให้เส้นเลือดขยาย ให้เนื้องอกฝ่อหลุดออกไป
    คุณคมสันต์แนะนำหลักการคร่าวๆก็ได้ครับ ใช้การอธิฐานอย่างไรดี หรือใช้
    กำลังจากผรณาปิติ ถ้ากรณีผมไม่ได้ให้ครูบาอาจารย์ทางภพภูมช่วยรักษา หรือเราไม่ชำนาญในกสิณ
     
  5. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    เราสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยบางประเภทด้วยวิธีกำหนดจิต
    ย่อมสามารถทำได้โดยการน้อมจิตไปยังผู้ป่วย หรือถ้าเราอยู่ใกล้อาจจะใช้วิธีสัมผัสผู้ป่วยโดยใช้มือแตะตรงบริเวณที่เจ็บป่วย
    การอธิษฐานใช่หรือเปล่าครับ (การอธิการอธิษฐานสามารถ กำหนดแบบเรียบง่ายคือ รวมจิตให้เป็นสมาธิให้เกิดปิติ ก่อนแล้วจึงอธิฐานทันที)
    หรือจะใช้แบบมโนยิทธิคือให้สมมุติภาพของผู้ป่วยที่เราเห็นในมโนจิต
    แล้วจึงอธิฐานทันที)ส่วนเรื่องครูบาอาจารย์ นั้นเรามี พระพุทธเจ้าของเรา
    เป็นบรมครู ต่อด้วยครูบาอาจารย์ที่เราเคารพนับถือ ก็ใช้ใด้ครับ
    และเราจะแผ่ส่วนบุญกุศลไปให้ผู้ป่วยทุกครั้งที่ทำการรักษา ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      63
    • P7040805.JPG
      P7040805.JPG
      ขนาดไฟล์:
      1,013.6 KB
      เปิดดู:
      75
  6. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมนิดหนึ่งจากท่าน อ.คมสันต์
    ...แล้วแต่จะเห็นสมควรนะครับคุณ The SEVEN 7-

    ท่านคมสันต์เห็นว่าผิดอย่างไร ตำหนิท้วงติงกันได้ครับ ผมไม่ดื้อ..

    การที่จะช่วยรักษาผู้ป่วยให้ดีขึ้น ควรที่จะส่งแผ่จิตบุญกุศลส่งไปให้ยังเทวดาประจำตัว...และเจ้ากรรมนายเวร ของผู้ป่วยด้วยเพื่อให้เทวดาท่าน ได้มีพลังบุญช่วยรักษาเสริมดวงให้ผู้ป่วยอีกทาง...และส่งไปให้เจ้ากรรมนายเวรของคนป่วย เพื่อให้ลดพลังความอาฆาตมาดร้าย ให้สงบเย็นลงด้วย ก็จะเป็นอีกพลังทำให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้น

    แต่ให้ระวังเรื่องการใช้พลังจิต ช่วยผู้ป่วยในกรณีที่มีเจ้ากรรมนายเวร มีพลังอาฆาตรุนแรงแบบจองล้างจองผลาญเอาชีวิตกันเข้าไปด้วย...หรืออีกประเภทคือ โดนฟ้าสั่งลงทันฑ์แล้วแบบเฉียบขาด... คนที่ได้ตาทิพย์บางท่านเคยเล่าว่า เมื่อส่งพลังไปช่วยคนที่จะกลายเป็นอัมพาตพิการ หรือต้องตายแน่ๆ
    "พลังแสงรักษาที่ส่งไปช่วยกลับถูกตีกระเจิงออกหมด เข้าไม่ถึงตัวผู้ป่วย"


    หากทะเร่อทะร่าไปช่วยแบบ ไม่ดูตาม้าตาเรือ..ว่าเขาเคยไปทำกรรมรุนแรงเกี่ยวข้องกันมา

    โดยเฉพาะ เมื่อเราดั๊นอยู่ในช่วงกำลังบุญอ่อน... ดวงตก
    ระวังท่านจะโดนหางเลขไปด้วยนะขอบอก!!!!
    อย่าได้ประมาทฝืนทำเป็นเล่นไป.. เดี๋ยวหงายเงิบซะเองเชียว

    แต่เอาเถอะ หากไม่คิดมาก คำนี้ก็ยังใช้ได้ตลอดกาล

    "เมตตาธรรม ค้ำจุนโลกและ ค้ำจุนแก่ผู้มีจิตเมตตาปารถนาดีเสมอ"

    จาก The toplus-11 คนโก้...โม้แหลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2013
  7. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    เห็นด้วยครับ ผมคงจะเน้นสำหรับช่วยเหลือตัวเองมากกว่านะครับ
    สำหรับคนอื่นโดยเฉพาะคนสนิท มีคุณ คงต้องดูยถากรรมของเขา และสิ่งรอบๆตัวเขาก่อนเพื่อความปลอดภัย และตรวจสอบว่าช่วยได้แค่ไหนก่อน
    เพราะเรื่องเจ้ากรรมก็มีหลายประเภท ประเภทเราทำเขามาจริงๆ เอาคืนตามกรรม
    ประเภทเข้าใจเราผิดทำให้โกรธ อิจฉาข้ามภพข้ามชาติ
    ประเภทขี้อาฆาตพยาบาททำเขานิดแต่เขาโกรธแค้นมากกว่าคนทั่วไปที่เข้าใจกฎแห่งกรรมหรือคนอภัยง่าย เอาคืนมากกว่าคนอื่นๆหลายเท่าแล้วแต่อารมณ์ทิฏฐิของกู

    ผมประเภทสาวกภูมิจะช่วยใครก็ต้องดูกำลังต้นทุนทั้งเราและเขาด้วย
    เรื่องสาวกภูมินี่คิดว่าน่าจะมีคนเข้าใจผิดในขอบเขตท่านนะ
    เพราะบางคนพยายามปฏิบัติให้ตัวเองพ้นทุกข์และมีความตั้งใจอยากจะให้คนรัก คนสนิท ญาติพ้นทุกข์เช่นกัน เขาจึงปราถนาเป็นพุทธภูมิ ซึ่งจริงๆแล้วสาวกก็สามารถชี้ทางคนเหล่านี้ได้ตามต้นทุนของเขา
    ถ้าต้องการชี้ทางเกือบทั้งหมดทุกคนจึงปราถนาเป็นพุทธภูมิ พุทธภูมิสำหรับท่านที่มีกำลังใจสูง สะสมบารมีมาก เสียสละมาก เกิดมาชาติปัจจุบัน จำความได้ก็รู้จักเสียสละทำเพื่อสังคม
    ไม่ใช่ประเภทเป็นคนเห็นแก่ตัว ตั้งแต่วัยรุ่นก็เสพความสุขจากกามทุกอย่างทั้งเหล้า นารี ทุกอย่าง
    เอาความสุขตัวก่อนจนอายุมากๆแล้วจึงมาเริ่มทำเพื่อคนอื่นแล้วบอกเป็นพุทธภูมิ ถ้าอย่างนี้คงแค่เริ่มต้นแล้วหละ
    เกิดมากันเนิ่นนานจนถึงชาติปัจจุบันแล้ว ถ้ายังไม่ถึงปลายอุปบารมี หรือ
    ปรมัตถบารมีก็ควรไตร่ตรองใหม่ สาวกก็สามารถชี้ทางคนใกล้ตัวได้มาก
    สมัยพุทธกาลพระอรหันต์ท่านก็สามารถชี้ทางผู้อื่นให้เดินสู่ทางพ้นทุกข์ได้มากโขอยู่

    แต่ที่น่าห่วงคือประเภทที่เห็นว่าพุทธภูมิมีความพิเศษมากสุด เก่งสุด จึงปรารถนาพุทธภูมิโดยที่ไม่ได้ตรวจสอบกำลังตัวเอง น่าสงสารว่ามันจะเสียเวลามากจนไม่อาจประมาณ จนต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกที

    สำหรับผมแล้วท่าน raming เป็นแบบอย่างพุทธภูมิสำหรับฆราวาส ทั้งรู้และปฏิบัติกรรมฐานที่สำคัญสำหรับพุทธภูมิ ภูมิธรรม บารมี ความเสียสละในอดีต กำลังใจในชาติปัจจุบัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 ธันวาคม 2013
  8. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    การรักษาโรคนั้น หลายท่านก็ไม่อยากที่จะรักษาเพราะกลัวว่าจะไปขวางการทำหน้าที่
    ของเจ้าเวรนายกรรมบ้าง หรือกลัวว่าจะต้องมาเป็นโรคเดียวกับผู้ป่วยบ้าง
    แต่ความจริงแล้วจะเป็นการดีที่จะเลิกจองเวรจาก ผลกรรม ของผู้ป่วยโดยที่เรา ได้ให้เป็นบุญกุศลไปแทน จะได้ไม่ต้องสร้างภพชาติต่อ หรือที่เราเรียกกันว่าจองเวร ชึ่งกันและกัน
    ส่วนคนป่วยที่หายจากโรคก็ยังมีโอกาสที่จะสร้างบุญกุศลเพิ่มได้อีกครับ

    การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ที่ประเสริฐ
    ก็ต้องมีลาภอันประเสริฐใว้เป็นของคู่กัน
    ถึงแม้นว่าโรคนั้นมีอยู่เพียงสองทางคือ
    มันจากเรา ...
    และ
    เราต้องจากมัน ...
    แต่มนุษย์เราก็ปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่
    โดยปราศจาคโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน
    จนถึงเวลาที่สมควรแก่อายุขัย
    ตามบุญบารมีของตนที่ได้สร้างมาครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      63
    • PICT0541.JPG
      PICT0541.JPG
      ขนาดไฟล์:
      853.4 KB
      เปิดดู:
      66
    • DSC01369.JPG
      DSC01369.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      62
  9. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,671
    ว่ากันเรื่องการรักษา นี้ ผมอธิฐานเลย มีครั้งหนึ่ง ผู้มีพระคุณที่สุดในชีวิต ผมรู้สึกปวดต้นขา

    เดินเขยกอยู่๒วัน วันนั้นไม่รู้ทำไม ผมบอกว่าผมจะนวดให้ ทันใดนั้น
    ความรู้สึกเจ็บที่ต้นขาของผมก็เริ่มเกิดขึ้น ยังพูดเล่นกันอยู่เลยว่า
    เออ ดีท่านไม่เจ็บมาเจ็บที่ผม โรคนี้มันวิ้งได้ แล้วท่านก็หายปวดขาจริงๆ

    พอเช้าอีกวัน ผมแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ ก็รู้สึกเจ็บอย่างแรง แล้วก็ล้มลงที่ห้องน้ำจนลุกไม่ขึ้น

    ตรวจหาสาเหตุจากพระท่านบอกผมว่ามีคนทำสิ่งไม่ดี ใส่ผู้มีพระคุณ๒คน คนหนึ่งสึ่งไม่ดีนี้ทำอะไรไม่ได้ เพราะท่านนั้งสมาธิเป็นประจำทุกวัน อีกท่านนี้ผมรับแทนแล้ว

    นี้ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ บอกว่าคนเราสามารถที่จะรับความทุกข์ทรมารแทนกันได้

    ส่วนคนที่ทำก็ แค่บอกเขาว่าเรารู้แล้วนะ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเขา แผ่เมตตาให้

    ประสบการณ์เล็กๆ ที่แสนภาคภูมิใจ ผมนี้ไม่ได้มีทรงมีฌานอะไรกับเขานะนี้

    สำหรับผู้อาวุโสทั้ง๒ท่าน ท่านระมิ้ง กับท่านคมสันต์ คงเป็นเรื่องขี้ประติว เพราะท่านระดับอินเตอร์แล้ว
     
  10. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ถูกต้องทั้งสองท่านนี้เขาระดับ International (ระดับโลกสากลนิยมทั่วไป)

    แต่ toplus99 นี้ก็ไม่ธรรมดานะ ระดับ In house (ในบ้านหลังเดียว)มัวแต่วุ่นในบ้านไม่ไปยุ่งกับใคร และใครก็ไม่ค่อยอยากมายุ่งด้วย... เพราะรังเกียจ กลัวต้องปวดหัววุ่นวายตามไงล่ะอิ๊

    อ่ะฮ้าพูด...เรื่องประเภทนี้เดี๋ยวมีจัดฉายหนัง ม้วนยาวเปลืองฟิล์มแน่
    ....เรื่องมันเยอะ โม้แล้วจะหาว่าคุย

    เฮ้อ.. ยุ่งไปได้ทุกเรื่องซิเรา เล่าบ้างได้ม่ะ!!!
     
  11. ดูงาน

    ดูงาน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    569
    ค่าพลัง:
    +2,671
    อาจารย์โทพัส นี้ ระดับโกลบอล พอๆกับ ท่านระมิ้งกับท่านคมสันต์

    ติดที่อาจารย์โทพัส ไม่ได้ออกนอกประเทศเฉยๆ ไม่งันก็อินเตอร์ไปแล้ว

    ยังไงอาจารย์โทพัส ก็อย่าค้างไว้นาน เดียวคนอ่านงอน นะคราบ

    รออ่านครับ รออ่าน
     
  12. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    toplus99 เน้นวัฒนธรรมพื้นบ้านครับ...ไม่มีปัญญาโกอินเตอร์

    เรื่องใครชม มายกยออะไรนี่ชอบนะ..แต่พอใครมาว่า มาติเตียนนี่กลับไม่ค่อยชอบ เออ..แปลกจัง..


    เรื่องเล่านี่มันเยอะเพราะความชอบไปนั่งปั้นจิ้ม ปั้นเจ๋อไปทั่วนี่แหละ
    ชีวิตเลยมีแต่เรื่อง..เฮ้อเวรกรรม

    ตอนนี้ยังไม่ขอเล่านะครับ....ไม่ใช่ไม่ว่างหรือยุ่งยากอะไรนะขอบอก
    แต่ตอนนี้...แค่เล่นตัวเฉยๆ (แอบงุบงิบไปงั้น..ให้ใครหมั่นไส้เล่น)
     
  13. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ไม่มีใครเค้าหมั่นไส้แระคร้า.......เค้ารู้ไต๋หม๊ดแหล่ว...55555555
     
  14. toplus99

    toplus99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,620
    ค่าพลัง:
    +13,004
    ไม่จริงมั๊ง..เพราะแผนนี้มันดูสลับซับซ้อนมากเลยนะครับ
    ถึงขั้นที่ว่า ท่านขงเบ้งยังยกนิ้วให้อ่ะ..
    จะมารู้ไต๋ได้ไง..ใช้ไปไม่กี่ทีเองนะ

    ว่าแต่...ไม่มีใครคิดจะง้ออะไรสักนิดเลยเหรอ!!!!
    นิดเดียวก็ยังดี จะเข้าปีใหม่แล้ว..นะขอร้องเถอะ
     
  15. หัวมัน

    หัวมัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2013
    โพสต์:
    2,191
    ค่าพลัง:
    +6,947



    pleaseeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeeee...!!!!!!




    [​IMG]



    ไม่มีใครง้อคุณเลยเหรอ.... น่าสงสารจัง.... ให้แมวง้อ..... ก็แล้วกันนะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2013
  16. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    [​IMG]

    ที่จังหวัดขอนแก่น มีแม่วัวตัวหนึ่งชื่อ นางเขียว มีลูกติดหนึ่งตัว นางเขียวชาติก่อนมีลูกชาย และลูกสะใภ้ที่ดี เมื่อเกิดแป็นแม่วัวก็ยังระลึกชาติเก่าได้แต่พูดไม่ได้ ฟังภาษาคนออก จิตที่ระลึกชาติเก่าได้ ได้ไปเข้าฝันลูกสะใภ้เมียของลูกชายครั้งเป็นคนว่า แม่มาเกิดแล้ว

    แต่เกิดเป็นวัว ชื่อนางเขียว เพราะแม่เป็นหนี้เขา 5 บาท (บอกชื่อเจ้าหนี้) ยังไม่ได้ใช้หนี้ แม่ตายมาเกิดเป็นวัวใช้แรงแทนหนี้ ขอให้ลูกนำเงินไปใช้หนี้แทนแม่ด้วย ลูกสะใภ้ไม่กล้าบอกความฝันแก่สามี

    ต่อมาจิตของนางเขียวไปเข้าฝันลูกสะใภ้อย่างนั้นอีก ลูกสะใภ้ก็ไม่กล้าบอกกับสามีอีก จากนั้นอีก 2 อาทิตย์ จิตนางเขียวไปเข้าฝันลูกชายบอกข้อความอย่างเดียวกับที่เข้าฝันลูกสะใภ้ ตื่นเช้าลูกชายเล่าความฝันให้ภรรยาฟังภรรยาพูดว่า นางเขียวนั้นแม่ของเราแน่ สามีถามว่า

    เธอรู้ได้อย่างไร? ภรรยาตอบว่า นางเขียวมาเข้าฝันฉันอย่างนั้นสองครั้งแล้ว สามีต่อว่า ทำไมไม่บอกฉัน ? ภรรยาตอบว่า ฉันกลัวพี่จะโกรธหาว่า ว่าแม่พี่ไปเกิดเป็นวัว เราควรนำเงินไปใช้หนี้แทนแม่ 5 บาท และเงินอีก 1,000 บาท ไปซื้อแม่มาเลี้ยงให้แม่ของเรามีความสุข

    สามีพอใจ จึงนำเงินไปบ้านเจ้าหนี้ พอดีกับป้าที่เป็นเจ้าหนี้ของแม่ ถามได้ความว่า แม่เขาครั้งยังมีชีวิตอยู่เป็นหนี้ยังไม่ได้ใช้อยู่ 5 บาทจริง ตรงกับความฝัน จึงบอกความประสงค์จะนำเงินมาใช้หนี้แทนแม่ 5 บาท
    ป้าเจ้าหนี้บอกว่า ป้าไม่เอาดอก

    เพราะอธิษฐานยกหนี้ให้แล้วเมื่อเผาศพแม่แก ป้าเจ้าหนี้ย้อนถามว่า แกรู้ได้อย่างไรว่าแม่แกเป็นหนี้ฉันอยู่ 5 บาท เขาตอบว่า วัวของป้าชื่อนางเขียวไปเข้าฝันเมียฉัน 2 ครั้งและครั้งที่ 3 เข้าฝันฉันบอกว่า แม่เกิดเป็นวัวชื่อนางเขียวอยู่ที่นี่

    ขอให้ลูกนำเงิน 5 บาทมาใช้หนี้ป้าแทนแม่ด้วย ฉันจึงรู้ว่า แม่ฉันเป็นหนี้ป้าอยู่ 5 บาท วันนี้ฉันนำเงิน 1,000 บาทมาขอซื้อวัวแม่ฉันไปเลี้ยงดูให้มีความสุขด้วย ป้ากรุณาขายให้ฉันเถิด แต่ป้าเจ้าหนี้บอกว่า ป้าไม่กล้าขายแม่ของเอ็งดอก นางเขียวมีลูกติด 1 ตัวอยู่ที่ฝูงโน่น เอ็งไปเรียกเอา

    ถ้ามันตามเอ็งไปข้าก็ยกให้เลย สองสามีภรรยา ไปที่ฝูงวัว ร้องเรียกแม่เขียว นางเขียวได้ยินก็เดินออกจากฝูงพร้อมลูกแหง่ตามมาด้วย ที่ตาของนางเขียวมีน้ำตาไหลพราก สองสามีภรรยาเดินไปยืนข้าง ๆ แล้วพากันร้องไห้

    แม่วัวชื่อนางเขียวกับลูกแหง่วิ่งตามมาที่บ้านด้วย โดยที่ไม่ร้องเรียกอีก สองสามีภรรยาก็พาแม่วัวพร้อมลูกติด ไปเลี้ยงดูเป็นอย่างดี ให้นางเขียวซึ่งเป็นแม่ในร่างวัวมีความสุขตลอดไป

    https://www.facebook.com/photo.php?...48334595.22006.100005003114296&type=1&theater
     
  17. Linda2009

    Linda2009 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    956
    ค่าพลัง:
    +9,998
    ................................................................................................
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • poi.jpg
      poi.jpg
      ขนาดไฟล์:
      12.3 KB
      เปิดดู:
      58
  18. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ช่วงอายุ 14-15 ผมตามพี่สาวไปฝึกวิปัสสนาที่วัดกระโจมทอง หลวงพ่อ สุทัศน์ โกสโร เป็นเจ้าอาวาส...
    ก่อนหน้าที่ผมจะได้มีโอกาสไปนั้น มีเรื่องเล่ากันว่า วัดกระโจมทอง เป็นที่ชุมนุมของพระโยคาวจร ผู้มุ่งฝึกศึกษาทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน ทุกๆปีจะมีการประชุมรวมกัน จะมีพระจากทั่วประเทศกว่า 300 รูป มาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน...
    จวบจนกระผมได้ไปถึงที่วัด ก็พบว่า ประเพณีนี้พึ่งได้เลิกไปอย่างน่าเสียดาย...

    หลวงพ่อสุทัศน์ ท่านสอนเดินช้าๆ คล้ายๆ แนวยุบหนอ พองหนอ...
    มีการยกมือสร้างจังหวะเพื่อให้ตื่นรู้ พลิกฝ่ามือขึ้นตั้ง ยกขึ้นช้าๆ มีการขยับนิ้วเข้าออกเพื่อเรียกสติให้อยู่กับตัว...ทำไป ทำไป ก็จะเกิดอาการซู่ซ่า เหมือนไฟฟ้าสถิตจะเกิดขึ้นที่บริเวณฝ่ามือ...

    ผมพยายามจะเดินจงกรมอย่างที่หลวงพ่อสอนนี่แหละครับ แต่เวลานั้นการทรงตัวยังไม่ดี เอียงๆไปจะล้มเอา...ประสาลูกอีช่างสงสัย ผมก็ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ เดินช้าๆแบบนี้น่ะ เวลาข้ามถนน มิโดนรถเอาไปกินก่อนเหรอครับ"...
    หลวงพ่อท่านบอกว่า "เวลาใช้ชีวิตปกติ ก็เดินตามปกติ ให้จับความรู้สึกตกข้อพับนี่(ว่าแล้วท่านก็จับให้ดูตรงข้อพับฝั่งตรงข้ามกับหัวเข่านั่นเอง)"
    ผมก็เถียงต่อครับ "ถ้าหลวงพ่อให้จับตรงข้อพับที่มันขยับไปมาในเวลาเดินปกติ งั้นเวลาฝึกทำไมเราไม่จับตรงข้อพับก็พอล่ะครับ"
    หลวงพ่อท่านก็ไม่โกรธนะครับ ท่านบอกว่า "เวลาฝึกก็แบบนึง เวลาเอาไปใช้งานมันก็อีกแบบนึง"

    ตอนนั้นผมเองยังไม่ค่อยเข้าใจเรื่องราวใดๆในการฝึกวิปัสสนา ผมก็เที่ยวถามเอาจากแม่ชีเชื้อบ้าง ... ถามพระที่ท่านแวะเวียนมาที่วัดบ้าง หนึ่งในนั้นมี หลวงพ่อ วิชัย เขมิโย วัดถ้ำผาจม สมัยนั้นท่านยังเป็นพระอาจารย์หนุ่ม ท่านยังคุยสนุก ผมก็ชอบคุยด้วยนะ แซวไปบ้าง อำกันไปบ้าง...ด้วยความสนุกสนาน...โดยไม่ได้รู้เลยว่าไปปรามาส ครูบาอาจารย์ ไปกี่มากน้อยด้วยกัน...กว่าจะรู้ว่าท่านเป็นเกจิองค์สำคัญองค์หนึ่งก็ผ่านไปหลายเพลาเสียแล้ว...

    โดยสรุปแล้ว ผมเองเวลานั้น ก็ไม่มีความเข้าใจตามแนวทางที่หลวงพ่อสุทัศน์ ท่านสอนสักเท่าไรนัก สักแต่ว่าท่านให้ทำอะไรผมก็ทำไปอย่างนั้นเอง...
    เวลานั่งก็นั่งกันไปจนปวดไปหมดทั้งตัว ปวดจนแน่นอก หายใจไม่ออก เหงื่อออกโทรมกาย แล้วก็ไม่เกิดอะไรขึ้นครับ มีแต่ทน แล้วก็ทน...
    เวลานั้นผมก็แยกไม่ออกระหว่าง การเพ่งเป็นอย่างไร การรู้เป็นอย่างไร...

    มารู้เอาในภายหลัง เมื่อนั่งคิดวิเคราะห์ถึงเรื่องราวที่ได้ทำไว้แต่ในอดีตจึงได้เข้าใจว่าเราไปเพ่งเข้าแล้ว...จึงอย่าไปคิดนะครับว่า การฝึกวิปัสสนาโดยการยกมือสร้างจังหวะนั้น จะเป็นการเจริญสติเสมอไป...เพราะหากว่าเราไปเพ่งเข้าแล้ว นั่นกลายเป็นสมถะทันที..แทนที่จะรู้นี่ก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน...ไม่ต่างอะไรกับที่ไปว่าคนอื่นเขาว่าหินทับหญ้านะครับ...

    แล้วเวลานั้นนี่ผมก็ไปนั่งแข่งกับสาวคนนึงเข้าเหมือนกัน เขานั่งได้ เราก็นั่งได้...
    เขานั่งได้นานเท่าไร เราก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน...ปวดยังไงก็จะทน นี่กลัวเสียฟอร์ม...
    มานั่งนึกๆดูแล้วนี่มันเป็นความโง่ หนักหนาสาหัสเสียจริงๆ มันเหมือนคนบ้าซะมากกว่า ...
    จึงมาปรากฎให้เห็นว่า การฝึกแบบไร้สติเยี่ยงผมทำนี่ ไม่ได้ผลอะไรเลย...
    ครูบาอาจารย์ท่านสอนถูกแล้ว แต่เรามันทำไม่ถูก ทำไม่ตรง ทำไม่ถึง...

    จนไปฝึกวิชาอื่นๆไปหลายอย่าง...แล้วในที่สุด ก็วนกลับมาที่วัดกระโจมทองอีกครั้ง...
    มาในครั้งนี้ มาพบพระธุดงค์ หลวงพ่อพิทักษ์ ปริสุทโธ...
    เป็นครูบาอาจารย์ที่ผมเคารพรูปหนึ่ง แม้ท่านจะไม่ยอมรับที่จะเป็นอาจารย์ของผมก็ตาม...
    สิ่งที่ท่านสอนไว้มีอยู่ไม่มากก็ตามที...แต่สิ่งที่ท่านสั่งให้ทำนี้ สำคัญเสียยิ่งกว่าสิ่งที่ท่านสอน เพราะท่านทำให้ได้รู้ได้เห็นเอง โดยไม่ต้องเที่ยววิ่งพล่านไปถามเอาจากครูบาองค์โน้น องค์นี้...วิธีการปฏิบัติที่ท่านสอน แม้จะมีไม่มาก แต่ก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เนื้อหาเยอะแยะมากมายนั้น ไม่จำเป็น...หากประเด็นที่ถูกที่ตรงแล้ว มุ่งมั่นทำให้ถึงที่สุด ย่อมรู้ได้เห็นได้เอง...ท่านทำให้ผมเข้าใจว่า อัตตาหิ อัตโนนาโถ หมายความว่าอย่างไร...ปัจจัจตังเวทิตัปโพ เป็นอย่างไร....

    แล้วจะมาเล่าให้ฟังว่า ... อยู่กับท่าน...ท่านสอนอะไร...สอนอย่างไร...
    แล้วผมฟังแล้ว เข้าใจผิด ผิดอย่างไร...ผมเอาไปทำผิดๆนั้น ผมทำไปอย่างไรบ้าง...
    ทำเอาหลวงพ่อส่ายหน้าก็แล้ว...จนท่านเกาศีรษะไปหลายครั้ง...เพราะไม่รู้จะสอนไอ้คนอย่างผมยังไงดีเนี่ย...
     
  19. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    วัดกระโจมทอง เป็นที่ชุมนุมของพระโยคาวจร ผู้มุ่งฝึกศึกษาทางด้านวิปัสสนากรรมฐาน ทุกๆปีจะมีการประชุมรวมกัน จะมีพระจากทั่วประเทศกว่า 300 รูป มาประชุมแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์กัน...
    จวบจนกระผมได้ไปถึงที่วัด ก็พบว่า ประเพณีนี้พึ่งได้เลิกไปอย่างน่าเสียดาย
    ...น่าเสียดายเช่นกันครับ ไม่เช่นนั้นแล้วเราคงจะได้อ่านและฟังประสพการณ์และเรื่องราวต่างฯอีกมากมาย อย่างเช่นสมัยปี ๒๔๕๐ ได้มีการชุนุมประลองและทดสอบสมาธิจิต โดยแบ่งเป็นกลุ่ม พระสงฆ์ผู้ที่มีพลังจิต โดยการวางไม้ใว้ท่อนหนึ่ง พร้องกับกบที่ไสไม้ ใว้ข้างบน แล้วใช้จิตบังคับให้กบไสไม้ได้เอง  สมัยนี้มีการทดลองวิทยาศาสตร์ทางจิต จัดโดยโลกทิพย์
    ก็เรียกความสนใจของผู้ปฏิบัติได้พอสมควร ครับ พระอาจารย์เทพ ถาวโร
    ท่านก็เมตตาแสดงเล่นแร่แปรธาตุให้ได้ชมกันเต็มตามาแล้วที่โลกทิพย์และ
    ต่อด้วยการสอนธรรม ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • DSC04037.JPG
      DSC04037.JPG
      ขนาดไฟล์:
      579.2 KB
      เปิดดู:
      59
    • DSC01369.JPG
      DSC01369.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      50
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2014
  20. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เมื่อแรกพบหลวงพ่อพิทักษ์ คือที่วัดกระโจมทอง ท่านธุดงค์มาพักรักษาตัว...ท่านยกเก้าอี้พับสีแดงมานั่งรออยู่หน้ากุฏิ แล้วพูดว่า อาตมาจะออกเดินทางแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่อาการร่างกายไม่ค่อยดี จึงอยู่ต่อ...โยมเองก็ฝึกสมาธิมามากแล้ว ที่หลวงพ่อจะสอนก็มีแต่เรื่อง สติ ส่วนเรื่องตำหรับตำราที่โยมศึกษามามากแล้วนั้น ก็ขอให้วางเอาไว้ก่อน ฝึกตามที่หลวงพ่อแนะนำ ถ้าหากว่าฝึกแล้วดีก็ฝึกต่อไป หากว่าฝึกแล้วไม่ดีก็ไม่ต้องไปฝึก ส่วนเรื่องที่ว่าฝึกไปแล้วจะได้อะไรนั้น การฝึกกับหลวงพ่อ มีแต่เสีย ไม่มีได้ เพราะในชีวิตคนเรา เราได้กันมาเยอะแล้ว ได้รัก ได้โลภ ได้โกรธ ได้หลง การที่เราจะมาฝึกการเจริญสตินี้ ก็มาฝึกเพื่อให้เสีย คือ เสียความรัก เสียความโลภ เสียความโกรธ เสียความหลง...

    เรื่องการฝึกแล้วผลจะเป็นอย่างไรนั้น จะเล่าไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างไร เพราะคุณยังฝึกไปไม่ถึงตรงนั้น เอาไว้ฝึกไปถึงแล้วคุณก็จะรู้เองเห็นเอง เป็นพยานได้ด้วยตัวคุณเอง ไม่ต้องไปเที่ยวถามใคร ...

    เรื่องบุญ-บาปนั้น คุณก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องที่เหนือบุญเหนือบาปนั้นยังมีอยู่...
    เรื่องดี-ชั่วนั้น คุณก็รู้อยู่แล้ว แต่ว่าเรื่องที่เหนือดีเหนือชั่วนั้นยังมีอยู่...เรามาพากันเจริญสติ ก็เพื่อสิ่งนี้นี่เอง..
    ..........
    ผมเคยจะถามหลวงพ่อว่า ท่านมาจากไหน เคยไปฝึกกับสำนักไหนมาบ้าง แต่ท่านก็ไม่ตอบ ท่านบอกเพียงว่า มันไม่เกี่ยวกับการปฏิบัติ....สิ่งที่ท่านสอนโดยมากคือให้ฝึกเดินจงกรม ท่านให้เหตุผลว่า การนั่งสมาธิ หรือการเจริญภาวนาในท่านั่งนั้น มันสบายไป ทำไปแล้วจะติดสบาย...เดินจงกรมให้มากจะดีกว่า ส่วนการภาวนาในท่านั่งนี้ก็ทำแต่พอสมควร...
    การจะฝึกอยู่ด้วยกันนี้ ก็ขอให้เป็นผู้กินน้อย พูดน้อย นอนน้อย แต่ทำความเพียรให้มาก
    เรื่องการทำวัตรสวดมนต์ ยังไม่ต้องก่อน อาหารให้กินวันละมื้อ การนอนวันหนึ่งไม่ควรเกิน 4 ชั่วโมง และต้องเจริญสติทั้งในรูปแบบ คือ ในอริยาบทหลักทั้ง 4 กับอริยบทย่อย อีก 5 รวมความแล้ว ก็คือให้มีสติ อยู่ตลอดเวลา....

    เรื่องระยะเดินจงกรมนั้น ท่านกำหนดให้ประมาณ 20 ก้าว โดยให้เหตุผลว่า หากทางจงกรมสั้นเกินไป การเดินไปกลับก็จะทำให้เวียนหัวได้ง่าย แต่หากทางเดินจงกรมยาวเกินไป อารมณ์จะฟุ้งได้ง่าย ส่วนเรื่องระดับสายตานั้น ท่านว่าโบราณให้กำหนดช่วงคันไถแอก หรือสักประมาณ 2 วา ที่ไม่ให้มองไปไกลก็เพราะจิตจะส่งออกนอกไปได้ง่าย....
    การเดินก็เดินธรรมดา เดินสบายๆ เดินเหมือนคนเดินทอดน่อง หรือเดินอย่างช้างทรง เดินอย่างราชสีห์...ไม่ต้องเดินให้มันช้าๆ หรือไม่ต้องเดินให้มันเร็วๆ เพราะถึงจะเดินเร็วเพียงไหนมันก็อยู่ได้แค่ระยะทางเดินจงกรมนี่เอง...เว้นเสียแต่ว่าเกิดอาการง่วง การเดินเร็วๆก็พอช่วยบรรเทาอาการง่วงได้บ้าง...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...