หลงทาง

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย raming2555, 3 พฤษภาคม 2013.

  1. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    คำว่า โอปนะยิโก...พึงน้อมเข้ามาใส่ตัว...เกิดขึ้นมาในจิต...มันไปเห็นว่า จิตเขาเลว แล้วจิตแกดีแล้วหรือ? การดูจิตเขาว่าดีหรือเลว มันทำให้จิตใจแกดีขึ้นไหม? หรือว่าเลวลง? การรู้การเห็นสิ่งทั้งหลายเหล่านี้แล้วทำให้กิเลส ตัณหา อาสวะ แกลดลงไหม? ...



    สวัสดีค่ะท่าน raming วันนี้แหกคอกมาอีกแล้ว ข้อความข้างบนขออนุโมทนาค่ะ วันนี้เจอรูปในเฟสฯ พระสงฆ์ไหว้ฤาษี (ดังซะด้วยสิ)ดิฉันเลยเม้นท์ไปบ้าง เฮ้อออ ... ก็ว่าจะห่างๆเฟสฯบ้างล่ะ นี่ห่างเวปฯไปบ้างแล้วยังเหลือแต่เฟสฯนี่แหละ รักษากาย วาจา ใจ ไม่ค่อยได้เลย เฮ้อออ.... อยากบ่นๆๆๆๆ แต่ก็ไม่ได้อีกนั่นแหละ
    เอาล่ะค่ะก็แวะมาหาท่านคมสันต์เรื่องพระสมเด็จฯ มาอ่านเจอของท่านก็ต้องกลับไปดูจิตตนดีกว่า ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ์นิ เฮ้ออออ ....
     
  2. เ่ต่าโบราณ

    เ่ต่าโบราณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2010
    โพสต์:
    713
    ค่าพลัง:
    +3,624
    ระลึกถึงค่ะ มาส่งข่าวกันบ้างนะคะ
     
  3. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ใช่ค่ะ
    ยิ่งได้ดูข่าวทางทีวีก็ยิ่งรู้สึกเป็นห่วง
    ตำรวจทหารทำงานอย่างเสียสละ
    และเสี่ยงชีวิตเพื่อให้ประชาชนอยู่อย่างมีความสุข
    ท่านเสียสละมากเหลือเกินนะคะ
     
  4. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี .. ก่อนอื่นก็ขอสวัสดีเจ้าของกระทู้ท่าน raming และทุกๆท่านในนี้ค่ะ ก็ไม่รู้จะไปใส่กระทู้หรือห้องไหนดี แต่ก็คิดถึงที่นี่เลย

    กระแสดีๆในคืนดีๆ ได้รับ รู้ รส ในคืนลอยกระทงทำเอาปิติเกิดมากมาย บ้านเราคงสนุกครื้นเครงกันใหญ่ ก็ขอให้ทุกคนมีความสุข ส่วนดิฉันมันก็ยังหลงทางอยู่เรื่อยๆ ขอให้ทุกคนมีความสุขนะคะ ได้เห็นรูปในเฟสฯบ้างก็พลอยมีความสุขไปด้วย

    ...........................................

    บทสัพเพฯ เชิญพระเข้าตัว เอาง่ายๆ หลวงตาเคยบอกว่า เราต้องคิดว่าเราเป็นพระ เวลาแผ่ไปเนี่ย ให้คิดว่าเราเป็นพระ บทสัพเพฯนี้ใช้ได้ทุกที่ทุกเวลา หลวงตาท่านว่า เวลาไปไหนให้เกิดประโยชน์ ไปนั่นมานี่เช่น ตลาด ทะเล ที่ทำงาน ฯลฯ ใช้ได้หมด ยิ่งถ้าเราสวดท่องบทจักรพรรดิ์อยู่ตลอดเวลาแล้วล่ะก็ ให้นึกถึงหลวงปู่ (ดู่ )แล้ว สัพเพฯไปเลย
    อันที่ผิดไปเห็นจะเป็นความไม่เข้าใจและความไม่มั่นใจ นั่นคือ เอ.. บุญเราทำมาน้อย บารมีก็ไม่มาก (แทบหาไม่เจอ) แล้วจะทำได้ไงล่ะ แต่ก็ทำ ผลมันก็ออกมาให้ได้รับรู้บ้าง
    เลยจะมาบอกว่า ถ้าใครเคยหลงทางอย่างดิฉันเนี่ย ให้รู้ไว้ว่า ที่ออกมามาน่ะ ไม่ใช่จากตัวเราหรอก เป็นบารมีของพระ ให้มั่นใจเข้าไว้ นึกถึงพระแล้วแผ่ออกไป ได้ผลชัวร์ๆ ปรกติอยู่แต่ที่บ้าน ไม่ออกนอกสถานที่กลัวจะตามมาถึงบ้าน แต่หลวงตาท่านว่า มีพวกเป็นภพภูมิก็ดีนะ ไปไหนวันข้างหน้าเขาจำเราได้บางทีเขาอาจช่วยเรา (ประมาณนี้)

    แล้วสำเหนียกตัวเองไว้ด้วยว่า ไม่ใช่มาจากเรา มาจากบารมีพระ ไม่งั้นจะหลงไปกันใหญ่

    เข้ามาเพื่อหวังจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่เข้ามาอ่านที่ไม่มั่นใจ บ้างแม้เล็กๆน้อยๆก็ยังดี ไม่ได้มากเท่าไหร่แค่ขี้เล็บก็ยังดี
    ดิฉันก็ยังมีอุปปาทาน มีอวิชชา มีความกลัว มีกิเลสอยู่เต็มหัว เข้ามาเพียงเล่าให้ฟัง เพราะบางที " ธรรม " ที่เราได้รู้ได้ยินมา มันรับรู้ได้แค่หู เข้าไปที่สมอง ไม่เข้าไปใน จิตในใจ

    ใครเข้าใจก็ดี ไม่เข้าใจก็ขอผ่านและต้องขอโทษด้วยนะคะ ข้อความทั้งหมดดิฉันเรียบเรียงออกมาไม่ค่อยเป็นในการจะสื่อ แต่ก็คิดได้แค่นี้

    หากจะมีประโยชน์ใดๆแก่ผู้ที่นำไปปฏิบัติ ขอผลของบุญทั้งหลายมีแก่พ่อแม่ผู้มีคุณของข้าพเจ้า ตลอดจนถึงครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรทั้งหลายในนี้ ตลอดจนถึงพ่อหลวงของปวลชน และเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  5. jit_cs

    jit_cs เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2008
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +183
    มารายงานตัวครับ ยังสบายดีอยู่ครับ ตั้งแต่หมวดแชน ที่นราโดนระเบิดเสียชีวิต ก็ไม่ค่อยจะว่างครับ เพราะต้องเข้าไปช่วยศูนย์ข้อมูลวิเคราะห์วงจรระเบิดที่ได้มา ว่ามันทำงานยังไง เพื่อประโยขน์ของทุกคนในวันข้างหน้า ว่าพวกเค้าใช้วิธีไหน วางแผนแบบไหนเพื่อคิดจะฆ่าพวกเรา จะได้หาทางป้องกันเอาไว้ครับ พอได้ผลสรุปมา ก็มีทั้งพอใจบ้างไม่พอใจบ้าง ด้วยทิฐิ ที่ต่างคนต่างมี จะไม่ขอลงลึกในรายละเอียดน่ะครับ เพราะไม่เกี่ยวกับธรรมมะเลย แต่จะเห็นธรรมชาติของคนมากกว่า ทั้งตัวเรา ทั้งตัวเขา หลงในทิฐิมานะตัวเองอยู่หลายวัน ด้วยหวังเพียงเจตนาไขข้อข้องใจของบุคคลหลายๆคน สุดท้ายตัวเองก็ทุกข์ เพราะไม่เป็นดั่งคิด เพราะยึดมั่นถือมั่นในวิชาทางโลกว่าตัวเองมีความรู้พอสมควร เพราะเพียงคิดว่าเราทำได้เราพิสูจน์ได้แล้ว เหตุใดจึงไม่เชื่อเรา เราทำเพื่อหน่วย เราทำเพื่อชีวิตทุกคน กว่าจะรู้ตัวก็หลงอยู่ในวังวนของความคิดตัวเองอยู่หลายวัน จนเมื่อภรรยาได้ชวนไปวัดเพื่อทำบุญได้ทอดกฐิน 3-4 วัดได้เข้าไปไหว้พระพุทธรูปในวัด ได้มองเห็นชีวิตผู้คนมากมายต่างที่มาวัด ก็พอได้เริ่มปลงกับชีวิตขึ้นมาบ้างอีกครั้ง จะตายก็ตายก็ช่างมันเถอะ ชีวิตมันไปได้แค่ไหนก็ช่างมัน มัวแต่ดูอารมณ์ความคิดคนอื่น แต่ไม่คิดที่จะดูตัวเองมันก็สมควร ชีวิตที่ตราบใดยังอยู่ในวังวนของโลก วังวนของกองกิเลสตัญหา ปัญหามันก็ไม่ทางจบสิ้น ทุกวันนี้ไม่ใช่เพียงแค่ต้องระวังโจร แต่ยังต้องระวังพวกนักการเมืองนิยมอีกด้วย ทั้งเหลือง ทั้งแดง ทั้งอะไรต่อมิอะไร ที่แฝงตัวอยู่ในหน่วยงาน ทั้งที่เป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งเพื่อนร่วมงาน ที่ประกาศกร้าวพร้อมชนกับผู้ที่คิดเห็นต่าง พวกหลังนี้หน้ากลัวกว่าโจรซะอีก แบ่งแยกตัวตนเป็นจังหวัด เป็นพรรค เป็นพวก ยิ่งกว่าโจรใต้ซะอีก คงเป็นกรรมของชาติบ้านเมือง ที่ยากจะแก้ไขแล้วจริงๆ ครั่นจะปลีกวิเวก ไปปฏิบัติธรรมเหมือนกับท่านอื่นก็ไม่ได้อีก แต่ก็ไม่เป็นไร.....ขอขอบคุณทุกท่านที่เป็นห่วงน่ะครับ ขอขอบคุณ คุณอาระมิงค์ ที่ให้พื้นที่ระบายความรู้สึก ขอบคุณครับ
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,346
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,046
    มารายงานตัวครับ




    *************************************
    อาชีพของคุณเป็นอาชีพที่น่าสรรเสริญค่ะขอชมและยกย่องด้วยใจจริงค่ะ เอาใจช่วยและขอให้โชคดีและปลอดภัยคุณพระคุ้มครองตลอดเวลาค่ะขอบคุณท่านค่ะ
     
  7. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ส่งกำลังใจมาให้ท่านjit_cs ค่ะ
    ภาคอีสานอากาศเย็น
    แต่ภาคใต้คงมีฝน ทำให้ทำงานด้วยความยากลำบาก
    สู้ต่อไปนะคะ....
     
  8. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ยินดีด้วยกับ คุณ Jit cs ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสมความดีต่อไป...
    ปัญหาของโจรร้ายที่แย่งชิงอำนาจกันเพื่อจะบริหารงบประมาณ ไม่ใช่บริหารประเทศนั้น
    เป็นเหตุให้เกิดความวุ่นวายเสียหาย ยิ่งเสียกว่าโจรใต้ ที่ก่อขึ้น และการแย่งชิงอำนาจกันนี้เองก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ของการเกิดโจรใต้ ที่ยังยุติไม่ได้...

    ทุกวันนี้คนไทย โกรธ เกลียด เคียดแค้น กันเสียยิ่งกว่า หมากับแมว,งูกับพังพอน ด่าทอกันด้วยคำผรุวาจา อย่างที่ไม่เคยได้ยินได้ฟังกันมาก่อน...

    หลายวันก่อน แฟนผมเล่าให้ฟังว่า เวลาเกิดอารมณ์โมโหจากการรับรู้เรื่องข่าวการบ้านการเมือง ก็จะนึกถึงเรื่องเล่าของผมในอดีต เรื่องที่สัตว์นรกได้เข้าสิงสู่จิตใจของเหล่าชนชาวไทย เธอก็จะระงับอารมณ์ไว้ได้ และมองไปยังบุคคลทั้งหลายก็ให้รู้สึกว่า เหตุการณ์ที่เคยเล่าไว้มันเริ่มเข้าเค้าไปทุกที แต่ก่อนเคยฟังเรื่องเล่า ก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ....

    เธอถามต่อว่า แล้วอย่างนี้จะรอดจากการสิงสู่ของสัตว์นรกเหล่านี้ได้อย่างไร?...
    การแขวนพระเครื่องจะช่วยได้ไหม?
    แล้วใครบ้างที่รอดจากการสิงสู่ของสัตว์นรกเหล่านี้
    ใครกันที่ชักนำพวกนี้ขึ้นมาบนแผ่นดิน
    แล้วทำไมเกิดขึ้นเฉพาะบนแผ่นดินไทย
    ครูบาอาจารย์เก่งๆท่านรู้แล้วแก้ไขไม่ได้เหรอ
    แล้วอย่างนี้สุดท้ายมันจะเป็นยังไงต่อไป...
    ฯลฯ
    เจอกระหน่ำคำถามเหล่านี้เข้ามา...
    ทำให้เปลี่ยนจากการหลงทาง เป็น เมาทาง ไปชั่วขณะหนึ่ง...
    วิธีง่ายๆที่รีบจัดการกับคำถามทั้งหลายเหล่านี้ คือ ต้องตอบไปด้วยความมั่นใจ และหนักแน่น มีสติ ว่า...

    "ไม่รู้จ้า...า..."
     
  9. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    พี่ระมิงค์ ตอบสั้นจังค่ะ
    ติงกำลังติดตามอ่านว่าพี่จะตอบอย่างไร...
     
  10. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    เรื่องแบบนี้ตอบไปมากไม่ดี เพราะคนถามจะสงสัยไม่รู้จักหมดจักสิ้นเสียที แถมรู้แล้วก็ไม่ได้ทำให้กิเลส ตัณหา อาสวะ มันจะลดลงได้ตรงไหน...
    แต่ไหนๆก็เกริ่นไปแล้วนี่นะ...พาชาวบ้านหลงทางกันไปใหญ่แล้ว...
    จึงบอกต่อไปว่า...
    วิธีการป้องกันตัวก็มีอยู่เหมือนกัน...

    คือหมั่นเจริญสติ ให้มากๆ ทำให้ต่อเนื่อง ...สติจะช่วยเราได้...
     
  11. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มาว่าต่อถึงเรื่องอสุภกรรมฐานกันก่อน...

    ที่แท้แล้ว กรรมฐานกองนี้เกิดขึ้นกับผมตั้งแต่ 4-5 ขวบแล้ว...แต่ด้วยอาศัยความเป็นเด็กน้อย นอกจากไม่รู้แล้ว ยังเกิดอาการกลัวมากๆเสียด้วย...
    คือกลางวันนี่ผมชอบไปเพ่งแสงสว่างบ้าง แสงแดดเวลากลางวันบ้าง บางทีก็เป็นแสงสะท้อนบน
    โครเมี่ยมกันชนรถยนต์บ้าง เมื่อทำอย่างนั้นแล้ว สายตาจะต้องเสียเป็นแน่ จะต้องมีอาการแสบตา...แต่ผมรู้สึกว่า ไม่แสบ และยังทำให้ใจสงบ ชุ่มเย็น เสียอีกด้วย...

    ตกกลางคืนเวลานอน ก็จะฝันเห็น ซากศพผู้ชายนอนตายเน่าเฟะ อยู่ในโลงไม้ ไม่ปิดฝา...
    บางคืนก็ลุกขึ้นมาได้ด้วย...
    บางคืนก็เห็นตัวเองนอนอยู่ในโลง...กลัวหนักเข้าไปอีก...
    บางคืนเห็นซากศพในโลงนี่ลุกขึ้นมานั่งทั้งเน่าๆนั่นแหละครับ...
    เจอแบบนี้เข้าบ่อยๆ ก็เชื่อได้ว่า ผมจะเป็นคนกลัวผี...และกลัวผีมากๆเสียด้วย...

    พอได้สัก 8-9 ขวบก็นั่งสมาธิเป็นจริงเป็นจัง เพื่อหวังว่า ผีจะไม่กล้าเข้าใกล้...
    ปรากฎว่ามีโครงกระดูกลอยมาให้เห็นอยู่ตรงหน้า...
    คือก็ต้องเข้าใจก่อนว่า ยังเด็ก พอเห็นโครงกระดูกก็บอกตัวเองเลยว่าผี...
    ต้องเลิกฝึกไป เพราะว่าฝึกผิดแน่ๆ ตอนนั้นคิดว่าเราฝึกผิด มีอย่างที่ไหน ฝึกจะไม่ให้เจอผีแต่ดันมาเจอผี อย่างนี้มันใช้ไม่ได้...

    กระทั่งมาระงับ วิชามโนมยิทธิ ดังที่ได้เล่าไปแล้ว...
    เวลานั้นยังนอนอยู่วัดท่าซุง อยู่ข้างหลังโบสถ์ ห้องเลข 5 เขาว่าเฮี้ยนมาก ใครไม่ปฏิบัติธรรม มานอนเล่นๆ เป็นโดน... เจ้าหน้าที่จึงจัดห้องนี้ให้ผมไปนอน ด้วยความอยากจะแกล้งผมล่ะมั๊ง..คิดว่าดีไม่ดี จะได้จับไข้หัวโกร๋นไปซะ...

    ตอนนั้นมีตาลุงคนนึง แกเป็นพวกหมอไล่คุณไสย แกเล่าเรื่องขั้นตอนการฝึกอสุภกรรมฐานให้ฟัง แกว่า ผู้ชายต้องเพ่งศพผู้ชาย ผู้หญิงต้องเพ่งศพผู้หญิง ถ้าชายเพ่งหญิง มันไม่เกิดอารมณ์อสุภะ...เย็นวันนั้น ก่อนที่จะไปเจริญกรรมฐาน ตามปกติของวัดท่าซุง ซึ่งฝึกแบบ สุขะวิปัสโก ก็มีคนเอาอัลบัม รูป อสุภะ ทั้งชายทั้งหญิงมาให้ดู ผมเลือกดูแต่ภาพผู้ชาย...มีนอนขึ้นอืดอยู่ร่างนึง แขนบวมเขียว หนังเริ่มปริลอกออกมา...

    หัวค่ำพอไปเข้าห้องกรรมฐาน เริ่มสมาทานพระกรรมฐาน ก็ปรากฎว่ามีผู้ชายคนหนึ่งมายืนห่างออกไปสัก 2 วา ร่างแกขึ้นอืดมาเชียว...มองไปมองมาก็คิดว่า เป็นคนเดียวกับที่เห็นในรูปนี่เอง...คืนนี้ท่าจะโดนลองดีซะแล้ว ทั้งๆที่ยังไม่พร้อมและคิดว่ายังไม่มีดีให้ลอง...
    (พิมพ์ยาวไป เห็นใจคนอ่าน..ค่อยๆเล่าละกันนะ...เดี๋ยวมาต่อ)
     
  12. pegaojung

    pegaojung เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    1,720
    ค่าพลัง:
    +9,448
    รีบจองตั๋วมานั่งรอเรื่องเล่าก่อนค่ะ
    เดี๋ยวเนตเดี้ยงบ้าง เวปเข้าไม่ได้บ้าง ^^


    [​IMG]
     
  13. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    ด้วยคนจร้าป้าแตน.............อิอิ
     
  14. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    ในอดีตที่ผ่านมา ผมก็เอาแต่จะไปบังคับเอากับนิมิตของอสุภะ...
    ไปเพ่งกับนิมิตภายนอกบ้าง...
    บางครั้งลังเลว่าเราควรมากำหนดจิตไว้ที่ใจ ในเวลาฝึกอสุภะจะดีกว่า..ไม่ควรส่งจิตออกนอก...
    หรือว่าเราควรจะกำหนดนิมิตไว้เบื้องหน้าแต่กำหนดจิตเอาไว้ที่ใจ จะดีไหมนะ...
    เอ...หรือว่าไม่ต้องไปสนใจ เรื่องจิต เรื่องใจ และคำบริกรรม ภาวนาใดๆ เอากำหนดแต่นิมิต อสุภะก็พอ...

    ที่เล่าให้ฟังกันนี่เพื่อจะบอกว่า ไอ้คนที่มันยังมั่วๆอย่างนี้น่ะ มันจะยังหาสาระอะไรในการเจริญกรรมฐานไม่ได้เลยครับ...ไปเที่ยวเพ่งเอาบ้าง นึกเอาบ้าง จะไปบังคับให้อุคหนิมิตเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไปกดข่ม บีบบังคับ บ้าง...ผมลองไปแล้ว ไม่เป็นผลเลยครับ...

    ในเวลาที่อสุภะเกิดขึ้น กลับเป็นการปรากฎขึ้นในเวลาที่ไม่ได้มุ่งหมายจะเอา จะเอา อสุภะ...ใจมันเป็นกลางๆ นิมิตเกิดขึ้นมาก็เกิดขึ้น...อาการทางใจในเวลานั้น ก็เพียงแต่เป็นผู้รู้ ผู้ดูตาม เพียงเท่านั้น คือรักษาอารมณ์ใจไว้เป็นปกติ...นิมิตเปลี่ยนเป็นภาพน่ากลัวก็ปกติ...มีสติ สัมปชัญญะ และทรงสมาธิไว้ ตามปกติ ผมทำเพียงเท่านั้นเอง ไม่ได้ไปบังคับ ไม่ได้ไปกดข่มอารมณ์หรือว่าอาการใดๆ...

    ในเวลานั้น นิมิตซากศพผู้ชายคนนั้นก็หมุนวนรอบตัว ในระยะห่าง สัก 10 เมตรเห็นจะได้ หมุนเร็วเข้า เร็วเข้า...ที่แปลกสักหน่อยก็คือ ถึงแม้เขาจะอยู่ข้างหลังเรา เราก็จะยังเห็นได้.. เมื่อหมุนรอบตัวเราจนพอเพียงแล้ว เขาก็หยุด แล้วพุ่งเข้าหา เรียกว่าพุ่งเข้าชน..
    ที่จะบ้า จะเสียสติ ก็เห็นจะเป็นช่วงนี้แหละมั๊งครับ...เกิดกลัวขึ้นมาก็ลุกวิ่งหนี บางทีดีไม่ดีก็เป็นบ้ากันไปเสียเลย...

    แต่เนื่องจากว่าผมนี่มันเป็นบ้าอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่อาจเป็นบ้าได้อีก ที่จะเรียกว่า บ้า บ้า นี้คงไม่มี...ผมคิดของผมอยู่เองในเวลานั้นว่า คนเราทุกคนเกิดมามันต้องตายด้วยกันทุกคน จะตายช้าตายเร็ว ตายดี ตายโหง สุดท้ายแล้วตายกันหมด...ในเมื่อเรามาวัด เรามาทำความดี ตายก็ตายดี มีสุคติภูมิเป็นที่ไป นี่เราก็ยังดีกว่าไปโดนรถชนตาย หรือโดนยิงตาย เป็นไหนๆ...ตายแบบนี้เราตายเพื่อบูชา พระรัตนตรัย ไม่เห็นมีตรงไหนน่ากลัวเลย...

    เมื่อซากศพนั้นพุ่งเข้าชน แทนที่ร่างจะแหลกเละไปด้วย กลับผ่านร่างเราไป ทะลุออกไปอยู่ด้านหลัง...ก็กลับไปหมุนวนรอบตัวเราต่อไป...ในเวลานั้น สติ สัมปชัญญะ ครบถ้วนบริบูรณ์ สมาธิก็ยังทรงตัวเป็นปกติ ไม่ได้ไปคาดคั้น มุ่งเน้นเรื่องใด หรือส่วนใดโดยเฉพาะ เหมือนอย่างที่ผ่านๆมา...

    ต่อมาซากศพนั้นก็มาหยุดตรงหน้า ห่างไปสัก 5-6 เมตรเห็นจะได้ ซากศพนั้นก็เริ่มแสดงอาการหลุดไปของหนัง...เนื้อ อวัยวะภายใน ไปจนกระดูก เมื่อเส้นเอ็นขาด กระดูกก็ตกลงไปกองรวมกัน จนเมื่อกระดูกสลายกลายเป็นฝุ่นผง สักพักหนึ่งก็มีลมมาพัดหอบเอาไป จนในที่สุดไม่มีอะไรเหลือ เป็นอนัตตา...

    เมื่อดูต่อไป ก็ปรากฎลมว่าพัดกลับมาพร้อมเถ้าฝุ่นกระดูก จากนั้นค่อยรวมตัวกันเป็นแท่งกระดูก ค่อยๆประกอบเข้ากับเอ็น เรื่อยไปจนกระทั่งมีหนังกลับมาหุ้มตัวเป็นปกติ...

    เมื่อแยกตามอาการ 32 เสร็จแล้ว ร่างก็เริ่มบวมพอง ขึ้นอืด หนังเริ่มปริ น้ำเหลืองเริ่มไหลเยิ้ม มีอากาศรั่วออกมาตามร่างกายที่พองขึ้น หนังที่เขียว ช้ำเลือดช้ำหนอง ก็เริ่มเน่าเปื่อยยุ่ยลง อวัยวะต่างๆก็หลุดออกเป็นท่อนๆ ค่อยๆเน่าเปื่อยกลายเป็นน้ำเลือดน้ำเหลืองน้ำหนอง ลงไปกองกับพื้น จนไปสุดที่กองกระดูกขาวโพลน และเสื่อมสลายหายไปในที่สุด...

    จากนั้นเมื่อลมพัดกลับมา ทุกอย่างก็เริ่มย้อนกลับไปอีกจนในที่สุดกลับมากลายเป็นรูปผู้ชายคนเดิม เพียงแต่สภาพที่เห็น เวลานั้นไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแล้ว อวัยวะที่แสดงเพศก็ไม่ปรากฎ ร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนจากที่เป็นเนื้อทึบๆ ก็ค่อยๆโปร่งแสงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งใสเป็นแก้ว...

    เวลานั้นผมไม่รู้หรอกครับว่า นี่เป็นการควบเอาอสุภกรรมฐานเข้ากับกสิณ เพื่อทำให้อสุภกรรมฐานที่ปกติคือเข้าได้เพียงอุปจารสมาธิ พอควบเข้ากับกสิณแล้วจะสามารถเข้าได้ถึงฌาณ 4 เวลานั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย เพียงแต่ทรงสติ สัมปชัญญะ และรักษากำลังใจไว้ให้อยู่ในสมาธิเพียงเท่านั้น...จากนั้นร่างกายที่กลายเป็นแก้วใส จึงเดินเข้ามาคุกเข่ากราบผม 3 ครั้ง ในเวลานั้นมันรู้ของมันเองว่าต้องแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้ ผมก็อุทิศส่วนกุศลให้ มันเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ทันได้คิดอะไร....

    ในกายแก้วนี้ เวลานั้นหากผมอยากจะเห็นอวัยวะอะไร อวัยวะนั้นจะปรากฎให้เห็น...เมื่อนั้นแล้ว เราพึงน้อมเข้ามาพิจารณาตัวเอง...กล่าวคือ ให้ย้อนกลับมามองที่ร่างกายตน ซึ่งกลับกลายว่า กายแก้วดังกล่าวสามารถเปลี่ยนเป็นกายของผมเอง แล้วนั่งพิจารณาต่อหน้ากันไป ตามอาการ 32 ก็ดี โดยความเน่าเปื่อยไปตามอสุภวิธี ก็ตาม มันเป็นไปของมันเองตามลำดับ ไม่ได้มีการบังคับ บีบคั้นแต่อย่างใด...เมื่อพิจารณาไป พิจารณากลับ จนเป็นที่เข้าใจแล้ว...ต่อมาผมก็นึกถึงผู้หญิงที่เคยนึกชอบ คิดว่าน่ารัก ว่าสวย เอามาพิจารณา แม้แต่นางงามจักรวาล เวลานั้นคือ คุณพรทิพย์ นาคหิรัญกนก ก็กลายมาเป็นเครื่องพิจารณาในเวลานั้นได้ ซึ่งในท้ายที่สุดของการพิจารณา จะไปจบลงที่ไตรลักษณ์เสมอ คือ อนิจจัง ไม่เที่ยง ทุกขัง เป็นทุกข์คือทนอยู่ในสภาวะเดิมโดยไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้...จนในที่สุดก็สลายหายไปจนหมดสิ้น...

    ในตอนท้ายของการพิจารณานั้น ผมระลึกขึ้นมาว่า ตัณหาและอุปทานทั้งหลายนี้ เกาะกินเรามานับเอนกชาติ การที่เราจะพิจารณาในอสุภกรรมฐานแต่เพียงหนนี้หนเดียว แล้วหวังว่าจะตัดเสียซึ่งความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนของเรามาอย่างยาวนานนั้น เห็นทีจะเป็นไปไม่ได้ เปรียบไปแล้วเสมือน เอามีดโกนไปปาดเข้ากับต้นสักอายุหลายร้อยปี โดยหวังจะให้ขาดในคราวเดียวแล้วนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้...ตอนนั้่นจึงอธิษฐานต่อไปยังกายแก้วที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าว่า หากเวลาใดในกาลสมัยใดก็ตามที่ข้าพเจ้าปรารถนาในการเจริญอสุภกรรมฐานแล้ว ขอให้กายแก้วนี้มาปรากฎเพื่อเป็นเครื่องส่งเสริมการเจริญกรรมฐานกองนี้ให้กับข้าพเจ้า ตราบเท่าข้าพเจ้าจะสิ้นกิเลสเป็นสมุเฉจประหารกล่าวคือถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด...

    กายแก้วซึ่งไม่มีเพศนี้ ยกมือขึ้นพนม กล่าวสาธุการ เป็นการรับรู้ในคำอธิษฐาน แล้วยืนอยู่ห่างๆ... ผมยังคงนั่งสมาธิอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งมีสัญญาณหมดเวลาในการเจริญกรรมฐาน เมื่อออกจากกรรมฐานแล้ว จึงได้กลับมาพิจารณาถึงการเกิดขึ้นและดำเนินไปของกรรมฐานกองนี้ว่าเป็นอย่างไร...เนื่องด้วยตลอดเวลาที่ฝึกอยู่นั้น ไม่ได้ตรึกนึกคิดใคร่ครวญแต่อย่างใดเลย...เมื่อได้มาทบทวนซ้ำๆอีกหลายวาระ จึงสังเกตว่า ในระหว่างที่กรรมฐานดำเนินไปนั้น ก็ดำเนินไปเอง โดยผมมิได้ไปบังคับ คิดนึก คาดเดา หรือแสดงความปรารถนาใดๆ แม้คำอธิษฐานใดๆ วิธีการพิจารณา ก็บังเกิดขึ้นเอง โดยผมไม่ได้ตระเตรียมการมาก่อนแต่อย่างใด...และแม้ออกจากกรรมฐานมาแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าเวลานั้น พิจารณาไปได้อย่างไร และอธิษฐานไปได้อย่างไร...

    เห็นทีจะเป็นการดำเนินไปของกองกรรมฐานนั้นๆ และครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาสงเคราะห์อยู่ให้เป็นไปตามลำดับ ตามสมควรเอง...

    เมื่อกลับมาเล่าให้ตาลุงฟังที่ห้อง แกก็บอกว่าตั้งแต่แกเคยเล่าเรื่องอสุภกรรมฐานมานั้น ยังไม่เคยมีใครฟังแล้วสามารถทำได้ภายในคืนเดียวมาก่อน...ดังนั้นแล้วจึงมาชวนผมไปเป็นผู้ช่วยไล่คุณไสย...ไปซะงั้น...เวงกำ...

    ด้วยความที่เป็นวัยรุ่นและไม่ได้ลึกซึ้งในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด เรื่องการจะเข้าใจว่ากรรมฐานที่ฝึกดำเนินไปนั้น ถูกผิดอย่างไร จึงไม่อาจตัดสินได้ด้วยตัวเอง ดังนั้นก็ได้แต่ทำความเพียรต่อไปเรื่อยๆ...จนหลวงพ่อฤษีท่านยกเอาเรื่องนี้มาพูดว่า การทำอสุภกรรมฐานนี้ สามารถทำให้เป็นฌาณ 4 ได้โดยเอากสินมาควบเข้าไปด้วย แล้วท่านก็ยกตัวอย่างหลวงพ่อท่านนึงให้ฟังว่า ท่านทำได้จนกระทั่งซากอสุภะมาปรากฎขึ้นได้จริงๆ...ทั้งนี้ก็เป็นความเมตตาของหลวงพ่อ ที่ช่วยยืนยันให้หายสงสัย และก็ให้หายโง่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน...

    ผมจึงมีความเชื่อของผมเองว่า ถ้าหากเราตั้งใจจริงในการเจริญพระกรรมฐานแล้วนั้น ครูบาอาจารย์ท่านจะไม่ทอดทิ้งเรา ท่านจะคอยอยู่ช่วยสงเคราะห์ให้การดำเนินไปของพระกรรมฐานนั้นๆ ไปในทางที่ถูกที่ควรอย่างแน่นอน...ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลไปว่า ฝึกไปแล้วจะถูกหรือจะผิด จะบ้าเสียสติหรือไม่อย่างไร...ครูบาอาจารย์ท่านสอนมาอย่างไร ก็ให้ทำไปอย่างนั้น ทำให้มันจริงๆเท่านั้นแหละ ผมมั่นใจว่า เราอยู่ที่ไหน ครูบาอาจารย์ท่านก็จะอยู่กับเราที่นั่น เจริญพระกรรมฐานเวลาไหน ท่านก็จะคอยคุ้มครองเราอยู่ที่นั่น...ผมเชื่อของผมเองอย่างนั้น...

    ก็ขอจบเรื่องอสุภกรรมฐาน ฉบับหลงทาง เอาไว้แต่เพียงเท่านี้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  15. ล้อเล่น

    ล้อเล่น เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    4,924
    ค่าพลัง:
    +18,649
    สาธุการ..................
     
  16. คมสันต์usa

    คมสันต์usa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 เมษายน 2012
    โพสต์:
    1,879
    ค่าพลัง:
    +11,861
    ถิ่นกาขาวกับเรื่องราวในคราวนี้
    ม๊อบเป็นสียังมีถึงซึ่งแตกร้าว
    แม้นจะเตรียมปฏิวัติเป็นครั้งคราว
    แต่ก็หนาวก้าวไม่ออกบอกขุนพล


    เมื่อแผ่นดินสิ้นจบครบกาขาว
    หมดยุค๙เรื่องเศร้าเกิดสูญสิ้น
    ศิวิ-ไลซ์เปลี่ยนถ่ายบนแผ่นดิน
    ก็จบสิ้นม๊อบทุกสีที่มีมา


    ชาวประชาทั่วหน้าล้วนผาสุข
    เหมือนหมดทุกข์สิ้นภัยไม่ถามหา
    ประชาธิปไตยแบบไทยสืบผ่านมา
    จะก้าวหน้าเบ่งบานขวานทองไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC01369.JPG
      DSC01369.JPG
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      37
    • DSC06288.JPG
      DSC06288.JPG
      ขนาดไฟล์:
      550.6 KB
      เปิดดู:
      40
    • PICT0715.JPG
      PICT0715.JPG
      ขนาดไฟล์:
      983.5 KB
      เปิดดู:
      40
  17. raming2555

    raming2555 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    1,552
    ค่าพลัง:
    +18,998
    มีใครชอบนั่งทำสมาธิในห้องส้วมบ้างไหมครับ...
    ผมชอบแอบนั่งสมาธิในห้องส้วม เพราะว่า เย็นสบายดี...
    แถมห้องส้วมก็เป็นห้องส่วนตัวด้วย เพราะเวลาเข้าส้วมนี่ผมเข้าคนเดียว ผมไม่ได้ให้ใครมาเข้าส้วมร่วมด้วย...ดังนั้นจึงเป็นห้องส่วนตัว...

    ผู้คนทั้งหลายพากันมาอาศัย โถส้วม ในการปลดทุกข์ แล้วต่างพากันตำหนิว่าโถส้วมนี้สกปรก...เป็นของน่ารักเกียจ จะเอามือลงไปจุ่มในน้ำที่อยู่ในชักโครกก็ไม่กล้า เพราะมันน่ารังเกียจ น่าสกปรก เป็นที่ขับถ่ายของอุจจาระ ปัสสาวะ และสิ่งสกปรกทั้งหลายลงไป...

    แต่แรกเริ่มเดิมที ที่เอาโถส้วม มาจากโรงงานผู้ผลิตนั้น มันยังดีอยู่ เขาทำความสะอาดมาก่อน ยังไม่มีใครใช้ เราซื้อมาครั้งแรกเพื่อจะติดตั้ง เมื่อวางมันเอาไว้ยังไม่ได้ติดตั้ง มันก็เป็นสุขภัณฑ์ชิ้นหนึ่ง ที่ทำด้วยเซรามิกบ้าง พอซเลนท์บ้าง ก็เหมือนจานข้าว ถ้วย โถ ต่างๆ ที่ผ่านการปั้น การเคลือบน้ำยา แล้วเอามาเผา...มันไม่ได้สกปรกมาก่อน เพราะถ้ามันสกปรกมาก่อนจริงๆ เราก็คงไม่ซื้อมาแน่ๆ...

    ครั้นมาติดตั้งเข้าในห้องส้วม เมื่อยังไม่ได้มีการใช้งาน มันก็ยังไม่เป็นที่น่ารังเกียจแต่อย่างใด...ต่อเมื่อมีคนเข้ามาใช้งาน แม้แต่จะเพียงปัสสาวะเข้าไป มันก็กลายเป็นสิ่งสกปรก น่ารังเกียจไปเสียแล้ว...จะเอามือลงไปควาน ไปจับ หรือเอาน้ำวักมาล้างหน้า มันทำไม่ได้เสียแล้ว...แม้ว่าจะล้างอย่างไรก็ตามก็ไม่สามารถล้างความรู้สึกสกปรก น่ารังเกียจ นี้ทิ้งไปได้...

    ความสกปรก น่ารังเกียจนี้ มีมาจากบุคคลทั้งนั้น ไม่ได้เกิดมาจากสุขภัณฑ์แต่อย่างใด...ทั้งอุจจาระ ปัสสาวะ ของเราเอง และของคนอื่นๆ ต่างพากันระดมใส่เข้าไป...แต่แทนที่เราจะรู้สึกรังเกียจสิ่งสกปรกนี้ว่าอยู่ในร่างกายเราเอง และระบายออกมาใส่ลงในสุขภัณฑ์ เราเองที่น่ารังเกียจ เพราะเป็นผู้ผลิต สิ่งปฏิกูลทั้งหลายเหล่านี้ออกมา หาใช่สุขภัณฑ์เป็นผู้ผลิตสิ่งปฏิกูลออกมาก็หาไม่...
    คนเรากลับไม่เคยมองดูความสกปรก ที่เกิดจากตัวเราเอง แต่กลับไปโทษสุขภัณฑ์เสียนี่...

    ที่ผมชอบนั่งสมาธิในห้องส้วม ก็เพราะจะได้มองเห็นความเป็นจริงของชีวิตตัวเองไปด้วย...ผมว่าคนเรานี้มันบ้านะ...บ้าจริงๆ...ตัวเองสกปรกยังไม่พอ ยังไปทำให้สุขภัณฑ์ดีๆ พลอยสกปรกไปด้วย แล้วแทนที่จะโทษว่าตัวเองนี่แหละที่สกปรก กลับไปโทษและนึกรังเกียจสุขภัณฑ์...

    แต่เรื่องแบบนี้ผมก็เล่าให้ใครฟังไม่ได้หรอกครับ...ชาวบ้านเขาจะหาว่าผมบ้า..ทั้งๆที่จริงๆแล้วผมมันก็คนบ้านั่นแหละ...แต่ก็ไม่ค่อยอยากให้ใครเขามาลำบากคอยเตือนว่าผมมันบ้า...


    เลยพลอยทำให้นึกไปถึงหลวงพ่อองค์นึง ที่ท่านพูดว่า
    "เฮาบ้าสูว่าเฮาดี...เฮาดีดี สูว่าเฮาบ้า"​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2013
  18. ติงติง

    ติงติง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    38,272
    ค่าพลัง:
    +82,731
    ติงเพียงดูลมค่ะพี่ระมิงค์
    ดูลม ดูจิตดูใจตนเอง ซึ่งถ้าไม่หลงก็พยายาม
    (ความจริงเป็นเองไม่ได้พยายามอะไร)
    ทำให้เป็นปรกติค่ะ ไม่ว่าโอกาสใด สถานที่ใด

    แต่ส่วนใหญ่ก็เผลอเป็นหลักค่ะ
    ความเพียรไม่สม่ำเสมอ

    เมื่อเช้าได้ยินเหมือนเสียงข้อความเข้า
    ที่แท้มันถึงเวลาตื่น
    เฮ้อ! ยังง่วงๆอยู่เลยค่ะ
     
  19. kimberly

    kimberly เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2006
    โพสต์:
    1,627
    ค่าพลัง:
    +5,233
    อิฉันก็คิดแบบนี้แหล่ะ และไม่กล้าบอกใคร กลัววว..
     
  20. THE SEVEN

    THE SEVEN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +870
    สวัสดีครับทุกท่าน ไม่ได้เข้ามาคุยกันนาน
    อสุภกรรมฐาน แบบฉบับหลงทาง ที่คุณramingเล่านี้ไม่ใช่ของง่ายเลยนะครับ
    ผมเองยังอีกห่างไกล ยังทำไม่ได้ แต่พอที่จะประเมินลักษณะและประโยชน์ของกรรมฐานนี้
    เมื่อปีก่อนเคยได้คุยกับพี่สาวคนหนึ่ง เขาเกิดอสุภนิมิตเหมือนที่คุณramimgเล่า
    ผู้ที่ทำกรรมฐานแบบนี้ได้จะเป็นการตรวจสอบการปฏิบัติได้ทางหนึ่งเหมือนกัน
    เพราะว่ากรรมฐานนี้จะเกิดได้เมื่อ เขาเจริญสติ สัมปชัญญะ อย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ ยังไม่ถึงกับตลอด24ชมต่อวันก็เกิดได้ เขาผู้นั้นมีความเพียรมาก ญาณจึงเจริญต่อเนื่อง
    หรือ ละสังโยชน์เบื้องต้นแล้ว กำลังชนกับกามฉันทะ ญาณเจริญเป็นลำดับและกำลังจะละสังโยชน์กามฉันทะ
    หรือ บอกได้ว่าเขาเจริญสติปัฏฐานมาถูกทางแล้ว และโอกาสถึงจุดหมายสูงมาก

    อสุภนิมิตนี้จะเกิดอนุโลม ปฎิโลม สลับไปมาตลอดตามที่คุณramingเล่า ร่างกายเน่าเปื่อยเป็นลำดับ จนเป็นกระดูก ป่นเป็นขี้เถ้า และกลับไปเป็นกระดูก ร่างกาย กลับไปกลับมาอย่างนี้โดยที่เราไม่ได้บังคับ ไม่ได้คิด
    เราเป็นผู้ดูอย่างเดียว กำหนดรู้ อาตาปี ผู้รู้น้อมอสุภนิมิตเป็นไตรลักษณ์ เกิด-ดับ
    ไม่เที่ยง กลับไปกลับมา ญาณรู้จะเจริญโดยลำดับ
    อสุภนิตจะเกิดเมื่อเจริญสติ จนสัมปชัญญะมั่น คือเป็นฌาน มีการเจริญสติต่อเนื่อง เจริญอาตาปี ใน กาย เวทนา จิต ธรรม อย่างต่อเนื่อง จนญาณเจริญเป็นลำดับ จนเกิดอสุภนิมิตเกิดขึ้นเอง เราไม่ได้บังคับ ไม่ได้เพ่งในอสุภทั้งภายนอกหรือกายเรา จะเกิดขึ้นตามธรรมชาติของจิตที่เจริญสติปัฏฐานจนเจริญถึงจุดๆหนึ่ง ตามที่คุณramingอธิบาย

    ผู้ที่เริ่มเกิดอสุภะนิมิต ถ้าสัมปชัญญะยังไม่มั่น อาจกลัวและหยุดกลางคันในช่วงแรก
    ปกติผู้ที่เจริญมาจนเกิดอสุภนิมิตกลับไปกลับมาแบบคุณramingได้ น่าจะเป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะแก่กล้าขณะนั้น จิตเป็นกลาง ไม่ปรุงแต่ง จึงไม่เพ่งบังคับ ไม่คิดพิจารณาในระหว่างเกิด ไม่สงสัยขณะเกิด

    ประโยชน์อสุภนิมิตนอกจากเป็นเครื่องมือ ในการเจริญอาตาปี ละสักกายทิฏฐิ ละอัตตา อุปาทานแล้ว ยังมีประโยชน์อีกอย่างคือ (อสุภนิมิต ถ้าไม่เอามาเป็นเครื่องมือเจริญสติ อสุภนิมิตจะเป็นเพียงนิมิต ดังนั้นผู้ปฏิบัติต้องฉลาดใช้ประโยชน์จากนิมิต ไม่ใช่คิดว่านิมิตไม่ดีเสมอไป)
    เมื่อเกิดอสุภนิมิต กำหนดรู้ ผู้รู้ดูอสุภะเป็นไตรลักษณ์ อนุโลม ปฎิโลม จนหยุดแล้ว
    ถ้าน้อมจิตมาดูร่างกาย จะสามารถเข้าไปดูร่างกายเราได้ทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นในลำไส้ ในเส้นเลือด หัวใจ ทุกๆที่ในร่างกาย ชัดเจน ละเอียดยิ่งกว่าเครื่อง X-RAY หรือ MRI
    เข้าไปดูเพื่อที่จะดูต้นเหตุที่ร่างกายกำลังเจ็บป่วยอยู่ขณะนั้น รวมทั้งแนวโน้มที่จะทำให้ป่วย แล้วใช้สมาธิรักษาตอนนั้นเลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...