(((เปิดตำนานเรื่องราวหลวงปู่พิบูลย์วัดพระแท่น(บ้านแดง)จ.อุดรธานี)))

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย namayti, 29 ตุลาคม 2013.

  1. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    หลวงพ่อพิบูลย์ (หลวงปู่ทวดอีสาน)
    วัดพระแท่น (บ้านแดง) อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี
    *******************​

    ประวัติโดยย่อของหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 1)
    หลวงปู่พิบูลย์ นามเดิมชื่อ พิบูลย์ เกิดที่บ้านพระเจ้า ตำบลมะอี อำเภอธวัชบุรี จังหวัดร้อยเอ็ด บิดาชื่อสา มารดาชื่อโสภา นามสกุล แซ่ตัน บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนร้อยเอ็ด มีอาชีพทำไร่ทำนาและค้าขายจนมีฐานะมั่นคง ตามปกติหลวงปู่มีอุปนิสัยชอบทำบุญบำเพ็ญทานกับภิกษุ และคนทุกข์คนจนผู้ตกทุกข์ได้ยาก เพราะหลวงปู่เห็นว่าผลบุญกุศลที่ได้ทำแล้วจะทำให้เกิดบุญกุศล และเกิดความสุขในภพนี้และภพหน้า บุญกุศลเป็นความดีและเป็นเครื่องห้ามกั้นไม่ให้ไปสู่อบาย หลวงปู่เอาใจใส่ทั้งการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญเมตตา
    ต่อมาแต่งงานกับหญิงชาวบ้านพระเจ้าแต่ไม่ทราบชื่ออยู่ด้วยกันมาหลายปีไม่มีบุตร ส่วนภรรยาต้องการบุตรมาสืบวงศ์สกุล จึงได้ปรึกาากับหลวงปู่พิบูลย์ จึงตกลงกันไปขอบุตรของนางจันที เพราะนางจันทีมีลูกหลายคน นางจันทีก็ยินดียกให้เป็นเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 5 ปี หลวงปู่พิบูลย์ได้นำมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม หลวงปู่พิบูลย์ได้อบรมสั่งสอนให้เป็นคนมีอุปนิสัยดี ขยัน ซื่อสัตย์ ว่านอนสอนง่าย เป็นที่รักของหลวงปู่และภรรยา พอเจริญวัยขึ้นมาอายุได้ประมาณ 16 ปี หลวงปู่พิบูลย์ได้ให้เครื่องประดับแก่บุตรสาวซึ่งเป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยงามคนหนึ่ง และเป็นที่ชื่นชอบของหนุ่มๆ ต่อมาอายุ 18 ปี หลวงปู่พิบูลย์ จึงได้ให้แต่งงาน พอเห็นว่าบุตรสาวของตนได้แต่งงานกับบุคคลที่มีนิสัยดี พอที่จะไว้เนื้อเชื่อใจได้ หลวงปู่พิบูลย์จึงได้บอกกล่าวกับลูกสาวและลูกเขยว่า"พ่อขอยกทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ให้แก่พวกเจ้าเป็นผู้ดูแลรักษา ส่วนพ่อจะขอลาบวช" ส่วนภรรยาเมื่อได้ยินหลวงปู่พิบูลย์กล่าวอย่างนั้น ก็ออกปากจะออกบวชชีหนีไปคนละทางตลอดชีวิต ส่วนหลวงปู่พิบูลย์เมื่อตัดสินใจแล้ว จึงได้ไปปรึกษากับพ่อจารย์ฮวดชักชวนให้ออกบวช พอพ่อจารย์ฮวดได้ยินคำชักชวนของหลวงปู่พิบูลย์ก็ยินดีจะออกบวชด้วย วันต่อมาจึงได้ไปปรึกษากับพระอุปัชฌาย์เรื่องจะบวช พระอุปัชฌายืก็ยินดีอนุโมทนาด้วย พอพระอุปัชฌาย์ตกลงแล้ว วันต่อมาก็ได้โกนหัวอุปสมบทในวันนั้นทั้งหลวงปู่พิบูลย์และอาจารย์ฮวด แต่ไม่ปรากฏนามฉายาของหลวงปูพิบูลย์ พอบวชแล้วอยู่อยู่จำพรรษาร่วมกับพระอุปัชฌาย์และเหล่าภิกษุสามเณรวัดนั้นจนกระทั่งเดือน กุมภาพันธ์-มีนาคม หลวงปู่พิบูลย์จึงมีความประสงค์จะออกเดินรุกขมูลเจริญกัมมัฏฐานในป่าจึงได้ไปกราบลาพระอุปัชฌาย์อาจารย์และเรียนกัมมัฏฐานอันเป็นข้อปฏิบัติ และบอกกล่าวลาอุบาสก อุบาสิกาที่มีอยู่ในหมู่บ้าน ญาติโยมก็อนุโมทนาสาธุพร้อมด้วยเครื่องอัฐิบริขารที่จำเป็นส่วนตัว ก็เดินทางออกจากวัดมุ่งหน้าสู่ทางทิศตะวันออก โดยไม่มีใครติดตาม ไปเฉพาะลำพังรูปเดียว ค่ำที่ไหนก็นอนที่นั่น พอเดินทางมาถึงริมฝั่งโขง ก็มีญาติโยมเอาเรือมาส่งไปถึงฝั่งประเทศลาว หลวงปู่พิบูลย์ได้ไปอาศัยถ้ำเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ถ้ำนั้นอยู่ที่ "ภูอาก"ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านเล้กๆแห่งหนึ่ง พอลงมาบิณฑบาตรได้ประมาณ 200 เส้น พอถึงเดือนแปด หลวงปู่พิบูลย์ก็จำพรรษา ณ ที่นั่น พอออกพรรษาแล้ว หลวงปู่พิบูลย์ก็บอกลายาติโยมหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนั้น หลวงปู่ว่า"ถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาแวะอีก" และหลวงปู่พิบูลย์ได้แนะนำสั่งสอนญาติโยมให้ทำบุญบำเพ็ญทาน จะมีบุญกุศลนำมาช่วยเมื่อตาย แล้วหลวงปู่พิบูลย์ก็เดินทางออกจากภูอากมุ่งหน้าสู่ถ้ำแถบภูเขาควายประเทศลาว ต่อมาได้ไปพบกับอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่น (12 กิโลกรัม) ได้ไปศึกษาและปฏิบัติธรรมร่วมกับลูกศิษย์อีก 7 รูป เป็นเวลาหลายปี จนอาจารย์เห็นว่าลูกศิษย์แต่ละรูปประพฤติปฏิบัติในธรรมอย่างเคร่งครัด เห็นว่าได้บรรลุธรรมเป็นส่วนมากแล้ว อาจารย์จึงได้เรียกลูกศิษย์ออกมาทั้ง 7 รูป แล้วเอาลูกสมอให้คนละหนึ่งลูกให้เคี้ยวลูกสมอนั้นให้แตก ปรากฏว่าหลวงปู่พิบูลย์ เคี้ยวลูกสมอแหลกละเอียดพร้อมทั้งอีก 5 รูป ส่วนอีก 2 รูปนั้นไม่แตกแม้กระทั่งเปลือก อาจารย์รู้แล้วว่าผู้ได้บรรลุธรรมและไม่บรรลุธรรมแตกต่างกันอย่างไร ผู้ไม่ได้บรรลุธรรมให้ปฏิบัติธรรมต่อไป ส่วนหลวงปู่พิบูลย์อาจารย์แนะนำให้ไปสร้างวัดอยู่เขตอำเภอหนองหาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04752.JPG
      DSC04752.JPG
      ขนาดไฟล์:
      235.6 KB
      เปิดดู:
      3,127
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  2. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงปู่พิบูลย์ (ตอนที่ 2)
    เมื่อหลวงปู่พิบูลย์มาถึงเขตอำเภอกุมภวาปีแล้ว ก็ได้สร้างวัดเกาะแก้วเกาะเกศ อยู่ติดกับลำน้ำปาวอยู่ที่นั่นหลายปี ในลำน้ำปาวนั้นเขตที่วัดมีจระเข้ยักษ์ตัวหนึ่งเที่ยวกินวัวกินควายของชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนจึงได้ไปปรึกษากับหลวงปู่ หลวงปู่ได้แนะนำให้หาดอกไม้ธูปเทียนทำขันธ์ 5 ขันธ์ 8 เทียนเวียนหัวและยาวเท่าลำตัวให้นำมาจากทุกหลังคาเรือน พอมาถึงหลังจากหลวงปู่ฉันอาหารเช้าเสร็จ ก็เริ่มพิธีนั่งบริกรรมแล้วหลวงปู่ก็นุ่งสบงจีวรรัดอกจุดเทียนคู่หนึ่งไว้ในกำมือแล้วก็เดินลงสู่ลำน้ำปาวประมาณ 2 ชั่วโมง น้ำเริ่มขุ่นมัวขึ้น ชาวบ้านจ้องดูตามริมฝั่งทั้งสองฟากพอประมาณ แล้วหลวงปู่ก็ขึ้นมาพร้อมไม้เรียวและเทียน ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะสบงจีวรหลวงปู่ไม้เรียวและเทียน ข้อนี้เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง เพราะสบงจีวรหลวงปู่ไม่เปียก และเทียนที่จุดก็ไม่ดับและไม่สั้นลงไปอีก หลวงปู่จึงบอกกับชาวบ้านว่า"ไอ้จระเข้มันยอมแพ้แล้วมันจะหนีภายใน 7 วัน" หลวงปู่จึงถามว่า "อยากเห็นหน้ามันบ่พ่อออกแม่ออก อาตมาจะเอิ้นมันมาให้เบิ่ง" ญาติโยมเหล่านั้นบอกว่าอยากเห็น หลวงปู่จึงเรียกไอ้จระเข้ใหญ่ขึ้นมาจากน้ำอยู่ริมฝั่ง ขณะนั้นหลวงปู่ถามชาวบ้านว่า "ญาติโยมกลัวไอ้จระเข้ไหม" ญาติโยมก็บอกว่า "กลัวมากๆเลยหลวงปู่" หลวงปู่บอกว่า "ไม่ต้องกลัวเพราะมันยอมเราแล้ว" หลวงปู่จึงเอามือตบหัวจระเข้แล้วเอามือล้วงเข้าไปในปากของไอ้จระเข้มันก็ไม่ทำอะไรหลวงปู่ แล้วหลวงปู่ก็บอกให้มันกลับลงสู่ลำน้ำ ต่อมาภายหลังชาวบ้านเห็นจระเข้อยู่ในป่าจึงได้นำเหล็กแหลมๆ ทั้งสองข้างเอาริ้วหนังติดกับไม้ยื่นไปหาไอ้จระเข้ พอมันอ้าปากขึ้นก็ยื่นเหล็กเข้าไปในปากจระเข้ในทางตั้ง พอไอ้จระเข้มันงับปากลง เหล็กก็จะแทงปากจระเข้ทั้งด้านบนและด้านล่าง (ช่วงนั้นหลวงปู่ไม่อยู่แล้ว) สุดท้ายจระเข้ก็ตาย และชาวบ้านได้นำกระดุกจระเข้มาทำเป็นตีนธัมมาสถ์ ในสมัยก่อนวัดเกาะแก้วเกาะเกศแห่งนี้มีอาถรรพ์มาก คนไม่กล้าเข้าไปอยู่เพราะเป็นวัดร้าง หลวงปู่พิบูลย์ได้พาชาวบ้านร่วมกันสร้างจนทำให้ชาวบ้านเริ่มมั่นใจไม่กลัวและอยู่เย็นเป็นสุขกันทั่วหน้า
    จากนั้นหลวงปู่ได้เดินทางกลับมากราบอาจารย์ไม้เท้าหนักหมื่นที่ประเทศลาวอีกครั้ง อาจารย์ท่านบอกว่า "วัดที่หลวงปู่ไปสร้างนั้นไม่ใช่วัดเดิมของหลวงปู่ ที่บอกไปสร้างนั้นอยู่ทางทิศเหนือของอำเภอหนองหาน ซึ่งอยู่ติดกับริมห้วยหลวง" หลวงปู่พิบูลย์ได้พักกับอาจารย์ตามสมควร ก็ลาพระอาจารย์กลับมายังฝั่งไทย และได้พักที่วัดเกาะแก้วเกาะเกศอีก ส่วนลุกศิษย์คนอื่นๆ นั้นอาจารย์ก็บอกให้ไปทางภาคเหนือ-ภาคใต้ ส่วนหลวงปู่พิบูลย์ให้อยู่ที่ภาคอีสาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04768.JPG
      DSC04768.JPG
      ขนาดไฟล์:
      231.8 KB
      เปิดดู:
      1,521
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  3. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงปู่พิบูลย์ ตอนที่ 3
    ต่อมาหลวงปู่ก็ได้ลาญาติโยมชาววัดเกาะแก้วเกาะเกศ มุ่งหน้าสู่ทิสเหนือของอำเภอหนองหาน พอมาถึงบ้านเชียงงามก็เลยไปพักอยู่ที่วัดร้าง(วัดไม่มีพระจำพรรษาอยู่)พ่อเวียงได้เห็นหลวงปู่เข้ามาอยู่ที่วัดจึงได้แต่งขันหมากพลู บุหรี่ออกไปหาหลวงปู่ที่วัด เมื่อถวายท่านแล้วก็ได้ถามถึงที่มาที่ไปของหลวงปู่ว่ามาจากที่ไหน จะไปไหน หลวงปู่บอกว่า"จะไปบ้านไท"(บ้านแดงในปัจจุบัน)ที่อยู่คิดกับริมห้วยหลวง หลวงปู่เลยถามโยมเวียงว่า"ยังอีไกลไหมกว่าจะถึงบ้านไท"โยมเวียงบอกว่า"ยังอีกไกลอยู่เพราะถึงวันเข้าพรรษาแล้ว ข้าน้อย(กระผม)ขอนิมนต์ปู่จำพรรษาที่วัดนี้ก่อน"หลวงปู่ก็รับปาก หลวงปู่เลยถามว่า"มีผู้เอาอะไรมาฝากไว้กับโยมหรือไม่เมื่อหลายปีก่อน" โยมเวียงตอบว่า "มีตาปะขาวคนหนึ่งได้นำเอาอะไรไม่ทราบมาฝากผมไว้ ยาวประมาณ 4 ศอก แต่เอาผ้าขาวห่อไว้ไม่ให้ผมเห็นและไม่ให้บอกใคร จนกว่าเจ้าของจะมาถามเอา" หลวงปู่เลยบอกว่า "ไม้เท้าของหลวงปู่เอง" พอค่ำมาโยมเวียงก็นิมนต์หลวงปู่เข้าไปดูแล้วโยมเวียงก็นำมาถวาย หลวงปู่คลี่ผ้าขาวออกก็เห็นเป็นปล้องๆ จะว่าเป็นเหล็กก็ไม่ใช่ เป็นไม้ก็ไม่เชิง ส่วนผ้าที่ห่อไม้นั้นโยมเวียงได้ขอเอาไว้เป็นอนุสรณ์ผู้ที่ฝากของไว้พอฝากแล้วก็หายตัวไปเลย โยมเวียงไม่รู้จักจึงได้ถามหลวงปู่ว่าเป็นใคร หลวงปู่บอกว่า"เป็นเทพบุตร"พอสนทนากับโยมเวียงพอสมควรแล้วหลวงปู่ก็กลับมาพักที่วัด และจำพรรษาที่วัดบ้านเชียงงาม ตลอดพรรษานั้นช่วงระยะกลางพรรษามีไอ้หนุ่มเกเรคนหนึ่งชื่อ"นายเถิก"เรียนเดรัจฉานวิชา ตอนกลางคืนออกเที่ยวตอนกลางวันมาพักที่วัดแห่งนี้ หลวงปู่เห็นหลายวันจึงได้ว่ากล่าวตักเตือนว่า "ทำไมจึงได้มานอนอยู่ที่นี่ เป็นคนเกียจคร้าน หลีกการงานจากพ่อแม่ หาที่ซ่อนตัวไม่อยากทำงานช่วยพ่อแม่ใช่ไหม กลับไปทำงานช่วยพ่อแม่เถอะ" เมื่อนายเถิกได้ยินหลวงปู่ว่าให้อย่างนั้นจึงเดินหนีด้วยกิริยาอาการที่โกรธมาก พอเวลาประมาณตีสองของเที่ยงคืนนั้น นายเถิกก็ได้ปล่อยวัวธนู หมายจะทำร้ายหลวงปู่ให้ถึงตาย วัวธนูก็ได้มาบินวนอยู่ที่กุฏิหลวงปู่ถึงสามรอบ เสียงดังเหมือนฟ้าร้อง และลงไปวิ่งวนรอบตัวหลวงปู่หวังจะทำร้ายแต่เข้าไม่ถึงตัวหลวงปู่ๆเลยเอากระดถนหรือเงี่ยงน้ำหมากครอบตัววัวธนูตัวนั้นไว้ทันที ต่อมาประมาณอีกหนึ่งชั่วโมง ได้ยินเสียงชาวบ้านร้องไห้วิ่งแตกตื่นกันไปดูนายเถิกไหลตาย จนกระทั่งรุ่งเช้าหลวงปู่ออกบิณฑบาต เห็นชาวบ้านกำลังทำไม่มงคลอยู่ (ไม้หีบศพ) หลวงปู่เลยถามว่า "ญาติโยมพากันทำอะไร" ชาวบ้านตอบว่า"ทำไม้หีบสพนายเถิก มันไหลตายเมื่อตอนตีสองของเมื่อคืนนี้" หลวงปู่บอกว่าไม่ต้องทำหรอก คนสันดานไม่ดี(ขี้ดื้อ)"ชาวบ้านเลยถามว่า"ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีหลวงปู่" หลวงปู่เลยบอกว่า "เอาน้ำมนต์ของหลวงปู่ให้มันกินเดี่ยวมันก็ฟื้นขึ้นมา" โยมเหล่านั้นก็กลุกุจอรีบไปตักน้ำมาให้หลวงปู่ทำน้ำมนต์ให้ หลวงปู่บอกว่า"ยังทำไม่ได้เพราะบิณฑบาตอยู่ ให้หลวงปู่บิณฑบาตและฉันภัตตาหารเช้าเสร็จก่อน" พอหลวงปู่เสร็จกิจแล้ว โยมได้นำดอกไม้ธูปเทียน และขันน้ำมนต์เข้าไปถวายหลวงปู่เพื่อทำน้ำมนต์ หลวงปู่ก็ทำให้เสร็จแล้วหลวงปู่ว่า "เอาไปล้างหน้าและให้หยอดเข้าปากไม่นานก็จะฟื้นขึ้นมา" ชาวบ้านได้ทำตามไม่นานนายเถิกก็ฟื้นขึ้น ลืมตาขึ้นร้องขอความช่วยเหลือจากพ่อแม่ว่าหลวงปู่ผูกมัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืนนี้ พอนายเถิกตั้งสติได้พ่อแม่ก็นำมาคารวะหลวงปู่ พร้อมด้วยชาวบ้านที่แตกตื่นกันออกมา หลวงปู่จึงแนะนำให้นายเถิกไปบวชกับพระอุปัชฌา และมาเป็นผู้อุปถากหลวงปู่อยู่ที่นั่น นายหลอดเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนายเถิกแล้วก็กลัวตาย จึงได้นำวัวธนูที่ไปเรียนมานายเถิกเอากลับไปคืนอาจารย์แล้วก็บวชพร้อมกับนายเถิก ชาวบ้านจึงเริ่มเห็นอภินิหารของหลวงปู่...
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04748.JPG
      DSC04748.JPG
      ขนาดไฟล์:
      196.5 KB
      เปิดดู:
      1,423
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ธันวาคม 2013
  4. chattrg

    chattrg เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    4,337
    ค่าพลัง:
    +13,241
    ตามอ่าน
    จำได้ลางๆว่า มีเพื่อน แขวนพระท่าน (ไม่แน่ใจนะ)
    แล้วบอกว่า ดีมาก งานการดีขึ้น
    แล้ว จะหามาให้
    พอดี ขาดการติดต่อกันนานมาก และ ไม่แน่ใจว่า ใช่ไหม
    ก็ ตามอ่านต่อ
     
  5. ส่างปา

    ส่างปา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    2,531
    ค่าพลัง:
    +11,165
    มีคนให้มาครับ ใช่ท่านรึป่าวครับ

    [​IMG]
    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_2994.jpg
      IMG_2994.jpg
      ขนาดไฟล์:
      550.2 KB
      เปิดดู:
      64,769
    • IMG_2996.jpg
      IMG_2996.jpg
      ขนาดไฟล์:
      867.8 KB
      เปิดดู:
      45,148
  6. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ใช่ครับผม...เป็นเหรียญยอดนิยม เนื้อฝาบาตร สร้างราวปี 2507 ปัจจุบันเหรียญห้าเหลี่ยมหลวงพ่อพิบูลย์เป็นพระหลักของจังหวัดแถบทางอีสานแล้วครับ ราคาหลายหมื่นทีเดียว หายากมากครับ...เหรียญที่ท่านโพสต์ให้ชม...ผมว่าดูไม่ดีครับท่าน...ต้องขออภัยนะครับ...มีเก้จากหลายสำนักทีเดียว...เช่าหาต้องระวังให้มาก...ถ้าไม่คิดมาก...แต่เอาศรัทธาหลวงปู่เป็นหลักระลึกถึงท่านก็ใช้ได้แล้ว...หลวงปู่ท่านไม่ธรรมดาของแท้ครับ...ทำให้เหรียญหยดน้ำของท่านราคาเข้าหลักแสนไปนานแล้วครับ...
     
  7. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ขอบคุณมากครับที่กรุณาติดตาม...ด้วยความยินดีครับ...จะพยายามนำเสนอให้อย่างเต็มที่เอาให้จุใจ เพื่อเผยแพร่พุทธบารมีของหลวงปู่...ตลอดจนลูกศิษย์สาย"บ้านแดง"ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้นครับ...งานนี้ขออาสาจากใจจริงครับ....กราบหลวงปู่ครูบาอาจารย์เหนือเศียรเกล้าครับ...สาธุ
     
  8. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 4)
    กล่าวถึงบ้านเชียงงามสมัยก่อนที่หลวงปู่จะเข้าไปจำพรรษา พระจะอยู่ไม่ได้เพราะมีเปรตร้ายอยู่ที่นั่น ถ้าพระไปนอนจะถูกเปรตลากขาและหลอกหลอนตลอดทั้งคืน จึงเป็นวัดที่น่ากลัวในสมัยนั้นผู้ไปอยู่ไม่ได้ พ่อเวียงได้แจ้งให้หลวงปู่ฟังตลอด แล้วปรึกษาหารือกับหลวงปู่ว่าจะทำอย่างไร หลวงปู่แนะนำพ่อเวียงว่า "แต่ก่อนเปรตพวกนั้นมันทำบาปไว้มาก มันเอาเนื้อควายมาย่างกินอยู่ที่วัด และเอาไม้ศาลาวัดมาก่อไฟย่างควาย" หลวงปู่บอกว่า "ให้บอกลูกหลานพร้อมทั้งผู้เฒ่าผู้แก่บ้านเราให้ทำข้าวร้อยพา (ข้าวร้อยถาด) แล้วนำไปไว้ 4 ทิศๆละ 25 พา(ถาด) ทำอย่างนี้มันจะได้ไปเกิด" ตั้งแต่นั้นมาชาวบ้านเชียงงามก็อยู่เย็เป็นสุขมาตลอด เมื่ออกพรรษาแล้ว หลวงปู่ก็อยู่กับญาติโยมชาวบ้านเชียงงามถึงเดือน 4 หลวงปู่จึงบอกลาญาติโยม มีพ่อเวียงเป็นต้น ว่าจะไปจำพรรษาข้างหน้าและโปรดสัตว์ต่อไปคือจะไปที่บ้านไท (บ้านแดงในปัจจุบัน) ญาติโยมเหล่านั้นเคารพ และศรัทธาในตัวหลวงปู่เป็นอย่างมากไม่อยากให้หลวงปู่ไปจึงพากันนิมนต์ไว้ แต่หลวงปู่ไม่รับนิมนต์ พอถึงเวลาออกเดินทางก็บอกแก่ญาติโยมว่า "ให้หม่อมเถิกและหม่อมหลอดอยู่ที่วัดนี้ พอให้พ่อออกแม่ออก (ญาติโยม) ได้ทำบุญจังหันจังเพล (ถวายอาหารเช้าอาหารเพล)" พ่อเวียงจึงนำส่งพอพ้นเขตบ้าน
    หลวงปู่ได้เดินทางมุ่งสู่บ้านไท พอเดินทางมาถึงบ้านนาทราย หลวงปู่ได้แวะพักที่ศาลาวัด พอท่านหลักคำ (พระที่จำวัดอยู่ที่นั่น) มองเห็นจึงบอกเณรนำน้ำไปถวาย พอเณรถวายน้ำหลวงปู่แล้วหลวงปู่จึงถามว่า "อยู่ด้วยกันกี่รูป" เณรตอบว่า "มีพระ 1 เณร 1" หลวงปู่จึงถามต่อไปว่า "เคยไปบ้านไทหรือเปล่า" เณรบอกว่า "ไม่เคยไปสักที" ไม่นานท่านหลักคำก็ตามมาถามข่าวคราวว่ามาจากไหนและจะไปไหน หลวงปู่ก็บอกว่า "พรรษาที่แล้วจำพรรษาที่บ้านเชียงงาม และกำลังจะเดินทางไปบ้านไท" แล้วหลวงปู่ก็ลาท่านหลักคำเดินทางมาจนถึงห้วยดาน บริเวณท่าหลักเส หลวงปู่ก็นั่งพักอยู่ระยะหนึ่งพอดีเห็นโยมจารย์มี หลวงปู่เลยถามว่า "เจ้าจะไปไหน" จารย์มีก็ตอบว่า "จะไปตามควายๆมันหายไปสามสี่วันแล้ว คิดว่ามันคงจะไปทางหนองบ่อเค็ม" หลวงปู่เลยบอกว่า "ไม่ต้องไปตามมันหรอกแค่สีนวดเอาควายมันก็จะวิ่งมาเอง ให้มาเอาเครื่องอัฐบริขารของหลวงปู่ข้ามน้ำไปเถอะ" น้ำก็ไม่ลึกเท่าไหร่พอข้ามได้ พ่อจารย์มีก็ข้ามไปเอาเครื่องอัฐิบริขารกับหลวงปู่ เมื่ออาบน้ำสรงน้ำเสร็จแล้วก็พากันมุ่งหน้าสู่บ้านไท พอเดินทางมาถึงห้วยมันปลา ปรากฏว่ามีฝูงควายวิ่งตามมา หลวงปู่บอกกับจารย์มีว่า "โน้น ควายมันวิ่งตามมาแล้ว" พ่อจารย์มีเห็นแล้วก็ทั้งดีใจและน่าอัศจรรย์ใจ พอมาถึงโนนบ้านไท ผู้เฒ่าผู้แก่ของหมู่บ้านเมื่อเห็นแล้วก็วิ่งพากันมาต้อนรับ และปรึกษาหาที่พักให้กับหลวงปู่ชั่วคราว
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04744.JPG
      DSC04744.JPG
      ขนาดไฟล์:
      251.7 KB
      เปิดดู:
      549
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2013
  9. oomdi

    oomdi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +1,261
    เหรียญแบบนี้มีรุ่นที่หลวงปู่ชมสร้างด้วยหนิครับ
     
  10. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ใช่ครับท่าน oomdi เหรียญที่พระครูอมรธรรมโมภาส (หลวงปู่ชม) แห่งวัดสามัคคี จ.หนองคาย..สร้างก็มีหลายรุ่นเหมือนกัน แต่พิมพ์-ทรง-เนื้อ คนละอย่างกันครับ..ทั้ง 5 เหลี่ยม เหรียญกลมของท่าน รูปหล่อ รวมทั้งล็อกเก็ตครับ..ขอถ่ายรูปแล้วจะทยอยนำมาให้ชมกัน...เพื่อนๆท่านใดมีก็เรียนเชิญครับ นำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันครับ...ขอบพระคุณที่แวะเข้ามาพูดคุยกันครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ธันวาคม 2013
  11. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 5)
    เมื่อจัดหาที่พักให้กับหลวงปู่เสร็จเรียบร้อยแล้ว ชาวบ้านก็พากันจีบหมาก พันยาและนำน้ำไปประเคนหลวงปู่ หลวงปู่ได้ถามสารทุข์สุกดิบกับชาวบ้าน และถามถึงที่ที่เป็นวัดเก่า พ่อออก (โยมผู้ชาย) ก็บอกว่า มีอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 500 เมตร แต่มันศักดิ์สิทธิ์มากใครไปทำอะไรก็ไม่ได้ แม้วัวควายเข้าไปก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปตามเอา จะถ่ายอุจจาระปัสสาวะหันหน้าไปทางนั้นก็ไม่ได้ จะตัดต้นไม้ลำเท่านิ้วตีนนิ้วมือก็ไม่ได้ ถ้าใครไปทำจะมีอาการกระตุกและล้มป่วยลงทันที ถ้าไม่ไปปลูกต้นไม้แทนหรือแก้ไขก็จะมีอันตรายถึงตาย ที่ว่าอย่างนี้เพราะมีคนที่มีเป็นอย่างนี้มาแล้ว หลายคนจึงไม่มีใครเข้าไปในวัด วัดเก่าแห่งนี้มีของสำคัญอย่างหนึ่ง คือ แท่นพระเก่าทำด้วยศิลาแลงเป็นแท่งขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 3 เมตร สูง 1.5 เมตร เป็นแท่นพระอยู่ในซากวิหารเก่า และมีซากโบสถ์เก่าหนาทึบด้วยไม้เบญจพรรณน้อยใหญ่ ออกดอกเต็มสะพรั่งไปหมด ในบริเวณวัดแห่งนี้มีต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ไม้แดง ไม้สะแบง ไม้จิก และไม้รัง เป็นต้น พอเช้าวันต่อมา ญาติโยมก็พากันไปทำบุญใส่บาตรให้หลวงปู่ทุกๆหลังคาเรือน ซึ่งสมัยนั้นมีกันทั้งสิ้น 30 หลังคาเรือน พอหลวงปู่ฉันอาหารเสร็จ หลวงปู่ก็เตรียมถุงหมาก ถุงย่าม มีดพร้า พร้อมด้วยพ่อออก 2-3 คนพากันขึ้นไปดูวัดแห่งนี้ ทุกคนอยากจะไปแต่ก็ไม่กล้าเพราะกลัวมาก จะมีก็แต่ผู้กล้าตายสองสามคนตามหลวงปู่ไปดูวัด พอมาถึงหลวงปู่ก็บอกว่า "ถางไปตรงนี้" ชาวบ้านที่ไปด้วยต่างก็มีอาการกล้วไม่กล้าถาง หลวงปู่จึงย้ำไปอีกว่า "รับรองไม่มีอันตรายแน่ๆ" หลวงปู่ก็ให้ถางเข้าไปถึงแท่นพระ พวกเก้ง พวกกวาง ก็วิ่งออกจากแท่นพระเก่าเป็นจำนวนมาก วันแรกแม่ออก (โยมผู้หญิง) ไม่กล้ามาส่งเพล พอมาถึงเขตวัดก็หยุดพักอยู่ข้างนอก แล้วร้องนิมนต์ให้หลวงปู่ออกมาฉันเพลข้างนอก พอผ่านไปหนึ่งคืนก็ไม่มีเหตุอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับหลวงปู่ และพ่อออกผู้ติดตาม เช้าวันต่อมาหลวงปู่ไปถากถางวัดกับพ่อออกอีก พองสองสามวันผ่านไป ชาวบ้านก็มีความมั่นใจในตัวของหลวงปู่มากขึ้น ชาวบ้านจึงรวมแรงร่วมใจช่วยหลวงปู่ถากถางบริเวณนั้นโดยดี
    บริเวณแท่นพระและรอบๆแท่นพระนั้นมีไม้แดง และไม้สะแบงใหญ่มาก ถ้าหากโค่นล้มลงมากลัวจะถูกแท่นพระ หลวงปู่จึงสั่งให้หาเอาเครือหวาย และเครือจานมาทำเป้นเชือกแล้วนำไปผูกที่ปลายของต้นแดง แล้วดึงออกจากแท่นพระ ชาวบ้านได้พยายามอยู่ 1 วันเต็มๆ จึงสามารถเอาไม้แดงใหญ่ออกมาได้ วันต่อมาพอหลวงปู้ฉันเพลเสร็จจึงกล่าวกับพ่อออกแม่ออกว่า "หลวงปู่ขอแผ่ (บริจาค) หญ้าคากับญาติโยมบ้านละไพ (ตับ) สองไพ พอได้ทำเป็นกุฏิอาศัยอยู่ชั่วคราว"ชาวบ้านก็หามาให้และช่วยกันทำทั้งกลางวันกลางคืนทำเป็นกุฏิเล็กๆ อยู่กลางวัด รวมหญ้าที่ใช้ทำกุฏิทั้งสิ้น 35 ไพ ผู้ใดเจ็บไข้ได้ป่วยหลวงปู่ก็หายามาให้กินให้ทา และรดน้ำมนต์ให้ ปรากฏว่า ทุกคนที่มารักษากับหลวงปู่ก็หายจากอาการเจ็บไข้เป็นปลิดทิ้ง ทำให้ทุกคนมีกำลังใจและเชื่อมั่นในตัวหลวงปู่มากยิ่งขึ้น บ้านใกล้บ้านไกลเมื่อได้ยินข่าว ต่างก็พากันหลั่งไหลมาหาหลวงปู่ไม่ขาดทั้งกลางวันและกลางคืน โดยมากจำพวกผีฟ้า ผีปอบ นางฟ้า นางเทียม ผีป่าผีดง เข้าทรงเข้าสิง พอมาหาหลวงปู่ก็อาบน้ำมนต์ ผูกแขน ชำระไล่ผีเหล่านั้นออกหนี ทำให้ผู้คนในหมู่บ้านไทและบ้านใกล้เคียงนั้นอยู่ดีกินดี พอจะเข้าพรรษา พระเถิก และพระหลอด ที่อยู่บ้านเชียงงามได้ยินข่าวจากชาวบ้านไทที่หนองหานจึงพากันมาคารวะกราบไหว้ และได้อยู่พรรษาร่วมกับหลวงปู่ในพรรษาแรกของวัดที่ตั้งขึ้น รวมพระสงฆ์ที่จำพรรษามีอยู่ 3 รูป ผู้คนจากจังหวัดต่างๆ เช่น จังหวัดขอนแก่น บ้านขามเปี้ย หนองไฮ บ้านแฮด หนองเข็งจากลำชี บ้านแต้ จากจังหวัดมหาสารคาม บ้านเลิงแฝกบัวแก้ว และที่มาจากจังหวัดหนองคาย ก็เยอะเหมือนกัน เมื่อคนมามากหลวงปู่ก็มีกำลังศรัทธาที่จะสร้างกุฏิศาลา ภายใน 2-3 ปี ทำให้วัดพระแท่นเต็มไปด้วยกุฏิและศาลาน้อยใหญ่เป็นจำนวนมาก ในปีหนึ่งๆจะมีพระภิกษุ และสามเณรจำพรรษาอยู่ 30-50 รูปตลอดที่หลวงปู่จำพรรษาอยู่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ธันวาคม 2013
  12. jarawoot

    jarawoot เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    2,762
    ค่าพลัง:
    +6,940
    ผมได้เหรียญหลวงปู่จาก หลวงปู่ขาว พุทธรักขิตโต ปีพ.ศ.2555
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ยินดีด้วยครับ...เป็นเหรียญยุคหลังๆ ไม่ทัน ลป.โชติ ซึ่งท่านพระครูมัญจาภิรักษ์ ท่านได้นำบล็อกของเหรียญรุ่น"ยายเขียว"มาสร้างใหม่อีกครั้ง แต่ตัวตัดไม่เหมือนกัน ราวปี 48 หลังรุ่นสร้างอำเภอ"พิบูลย์รักษ์" มีเนื้อทองแดง และทองเหลือง...และเหรียญ-วัตถุมงคลยุคหลังๆมานี้ หลวงปู่ขาว ท่านร่วมเมตตาอธิษฐานจิต แทบทุกรุ่นครับ...ขอบารมีหลวงปู่คุ้มครองนะครับ...เหรียญของหลวงปู่ดีจริงๆอุ่นใจ มั่นใจ พุทธคุณครอบจักรวาลทุกรุ่นครับ...
     
  14. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 6)
    หลวงปู่พิบูลย์ปราบจระเข้ที่กุดแห่ บ้านนานกหงส์
    ในสมัยก่อนกุดแห่แห่งนี้เป็นห้วยน้ำที่มีฝูงจระเข้น้อยใหญ่อยู่มากมายอาศัยอยู่ ทำให้ชาวบ้านกลัวและไม่กล้าไปทำมาหากินในลำห้วยแห่งนี้ จึงพากันมากราบนมัสการให้หลวงปู่ทราบ พอท่านได้ทราบเรื่องแล้วในวันต่อมาได้ชักชวนพ่อออก 3-4 คนไปกุดแห่ด้วย พอไปถึงหลวงปู่จึงเอ่ยถามพ่อออกที่ไปด้วยว่า"โยมอยากจะเห็นเรือทองคำไหม? เป็นของพวกผีเขาแห่มาไว้น่ะ" พ่อออกก็บอกว่าอยากจะเห็น หลวงปู่จึงเดินลงไปในน้ำลึกประมาณโคนขา แล้วเอาแขนล้วงลงไปในน้ำดึงเรือทองคำขึ้นมา เรือลำดังกล่าวยาวประมาณ 3 เมตร หลวงปู่จึงเอ่ยถามโยมว่า "อยากได้ไหม" พ่อออกก็บอกว่าอยากได้ แต่หลวงปู่บอกว่า"เอาของๆเขาไม่ได้เพราะเจ้าของเขาหวง" เสร็จแล้วหลวงปู่จึงปล่อยเรือลงไปไว้เหมือนเดิม ด้วยเหตุนี้ลำน้ำแห่งนี้จึงมีชื่อว่า"ห้วยกุดแห่"ต่อจากนั้นหลวงปู่ก็มานั่งบนฝั่ง ใช้มือล้วงเอาหินเสกที่อยู่ในย่ามหว่านลงไปในน้ำ ทำให้ฝูงจระเข้และเต่าทั้งหลายลอยขึ้นมาบนผิวน้ำ แล้วหลวงปู่ก็สั่งให้สัตว์เหล่านั้นมารวมกันตรงหน้า และหลวงปู่ก็แผ่เมตตาและให้ศีลแก่สัตว์เหล่านั้น พร้อมให้หนีไปอยู่ที่อื่นห้ามไม่ให้ทำร้ายมนุษย์อีกต่อไป หลังจากนั้น 7 วันก็ไม่มีใครปรากฏเห็นจระเข้าอยู่ในลำห้วยนั้นอีกเลย แต่ต่อมามีชาวบ้านนานกหงส์ และบ้านนาทรายหลายคนบอกว่าได้ยินเสียงร้องไห้แถวๆป่าแห่งนั้นในเวลากลางคืนและต่อมาอีกระยะหนึ่งก็มีคนพบซากขอจระเข้ และซากเต่าอยู่ตามโคกตามป่าแห่งนั้น ตั้งแต่นั้นเป็นมาห้วยกุดแห่จึงเป็นห้วยน้ำที่ทำมาหากินของชาวบ้านนานกหงส์ บ้านนาทราย บ้านแดง บ้านหนองผักแว่น และหมู่บ้านใกล้คียง สืบมาจนถึงทุกวันนี้

    การตั้งชื่อวัดและบ้านแดง
    ที่ได้ตั้งชื่อว่า"วัดพระแท่น"นั้นก้เพราะอาศัยแท่นพระเก่าแต่ไม่มีพระพุทธรูปอยู่ หลวงปู่จึงตั้งชื่อว่า"วัดพระแท่น"ให้สมกับนามเดิมของแท่นพระเก่า พอหลวงปู่มาสร้างวัดแล้ว ชาวบ้านไทก็ได้อพยพย้านบ้านเรือทั้ง 30 หลังคาเรือน มาอยู่บริเวณรอบๆวัดและได้ตั้งชื่อว่า"คุ้มใต้วัด"และ"คุ้มหัววัด"ชาวบ้านที่อยู่ต่างจังหวัดได้ยินชื่อเสียงของหลวงปู่จึงพากันอพยพมาอยู่กันมากยิ่งขึ้น ทางทิสเหนือของวัดติดกับบ้านไท เดิมมีหนองน้ำแห่งหนึ่งเรียกว่า"กุดบ้าน"แต่ก่อนหนองน้ำแห่งนี้เคยมีข้าศึก และคู่อริกันได้มาต่อสู้กันด้วยหอกดาบ พอเลิกต่อสู้กันแล้ว ต่างคนต่างก็ลงอาบน้ำล้างเลือด ทำให้หนองน้ำแห่งนี้มีสีแดงเต็มไปด้วยเลือด หลวงปู่จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านว่า"บ้านแดง"และที่มาของหมู่บ้านอีกอย่างหนึ่งก็คือ ตอนที่หลวงปู่มาตั้งวัดครั้งแรกที่บริเวณแห่งนี้เต็มไปด้วยดอกไม้สีแดง และต้นไม้แดงขนาดใหญ่อยู่ในวัด จึงได้อาศัยตำนานหนองน้ำสีแดง ดอกไม้แดง และป่าไม้แดง หลวงปู่จึงได้ตั้งชื่อบ้านแห่งนี้ว่า"บ้านแดงใหญ่"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2013
  15. จำปาแมน

    จำปาแมน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    854
    ค่าพลัง:
    +2,166
    กราบหลวงพ่อพิบูลย์เหนือเศียรเกล้า

    กราบเคารพศรัทธาหลวงพ่อเหมือนกันครับ
    รอติดตามทุกเรื่องราวครับ
    ขอบคุณครับ
     
  16. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    น้อมรับด้วยความยินดีครับท่าน...ท่านที่ยังไม่มีต้องรีบหา แล้วลองนิมนต์ขึ้นคอดูนะครับ...สุดๆเลยนะขอบอก...ครอบจักรวาลจริงๆครับ
     
  17. oomdi

    oomdi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    405
    ค่าพลัง:
    +1,261
    เขาว่าที่หลวงปู่ชมเสกก็ดีมากนิครับ จิตท่านแก่กล้ามาก เห็นเขาว่ากันมางี้นะครับ จริงไหมครับท่านเจ้าบ้าน
     
  18. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ใช่ครับผม...ซึ่งวัตถุมงคลที่หลวงปู่ชมสร้างที่เป็นเหรียญ 5 เหลี่ยมนั้นจะทำพิธีที่วัดพระแท่นตลอด แล้วจึงนำกลับวัดสามัคคี และแจกญาติโยม พิธีตามตำราโบราณสายบ้านแดงครบสูตร มาในช่วงหลังๆนี้ท่านทำรูปหล่อ ทำเหรียญ ล็อกเก๊ตของท่าน จึงได้ทำพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสามัคคี ปัจจุบันนับว่าหลวงปู่ชม เป็นปู่ใหญ่ เป็นธรรมใหญ่ของสายบ้านแดงนี้ สืบทอดวิชาจากหลวงพ่อพิบูลย์มาเต็มที่ ดังน้ันวัตถุมงคลของท่านทุกรุ่นทุกพิมพ์สุดยอดทั้งนั้นครับ...ดีทุกรุ่นทุกพิมพ์...ต้องลองดูลองใช้ด้วยตนเองครับเพื่อนๆสมาชิก...
     
  19. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 7)
    ความเป็นอยู่ของชาวบ้านแดงในสมัยนั้นอยู่กันอย่างมีความสุข และก็อุดมสมบูรณ์ไปด้วยกุ้ง หอย ปู ปลา ไม่อดอยาก ไร่นาจับจองเอาที่ไหนก็ได้ ต่อมาคนต่างหมู่บ้านและต่างจังหวัดก็หลั่งไหลกันเข้ามาอาศัยบารมีของหลวงปู่มากขึ้นทุกวัน หลวงปู่จึงมีนโยบายแนวทางพัฒนาแผนใหม่ จึงได้วางผังหมู่บ้านและสถานที่ที่จะตั้งเมืองในอนาคตข้างหน้า จึงเริ่มตัดถนนหนทาง ถนนสายใหญ่ๆ ทั้งหมดก็มี 8 สาย นอกจากนี้ได้ตัดถนนเป็นตรอกซอกวอยจำนวนมาก เมื่อคนเข้าไปอยู่เต็มในแต่ละแปลงก็ตั้งเป็นคุ้มๆ หลวงปู่บอกว่าไม่ให้มีการซื้อขายที่ดินให้แบ่งปันกันอยู่ ในแต่ละคุ้มต้องมีศาลาหนึ่งหลัง และมีหัวหน้าประจำคุ้มนั้น ๆ ที่ตรงไหนเป็นทุ่งไร่ทุ่งนาอยู่แล้ว หลวงปู่จะซื้อเอาไว้แต่ราคาขายต้องไม่เกิน 60 บาท และหลวงปู่ได้หมายขอบเขตของหมู่บ้านเอาไว้ โดยใช้ไม้แดงขนาดใหญ่ฝังเป็นจุดๆ โดยรอบอาณาเขตที่บอกว่าจะเป็นเมือง หลวงปู่ปักเขตไว้ว่าตรงไหนจะเป็นของหน่วยงานราชการใด เช่น ตรงนี้จะเป็นโรงเรียนประถม โรงเรียนมัธยม ที่ว่าการอำเภอ ไฟฟ้า อนามัย เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้มีปัญหาภายหลัง ข้อนี้บอกได้เลยว่าหลวงปู่เป็นคนมองการณ์ไกลอย่างแน่นอน เมื่อมีผู้คนอพยพเข้ามาอยู่มากขึ้น หลวงปู่จึงนำชาวบ้านสร้างศาลา และกุฏิทางด้านทิศตะวันออกของวัด ในการสร้างนั้นตอนกลางคืนก็ให้หนุ่งมๆ สาวๆ ที่มีกำลังดี ไปช่วยกันลากไม้โดยใช้ขิ่งล้อ (รถที่มีล้อสำหรับลากไม้ ทำขึ้นมาจากไม้) พอไปตัไม้ได้ก้เอาขึ้นรถเที่ยวละ 3-4 ท่อน ขนาดของไม้แต่ละท่อนยาวประมาณ 8-10 เมตร ในการลากก้เอาริ้วหนังผูกกับรถแล้วช่วยกันลากเสียงของรถไม้เสียดสีกันในตอนลากนั้นดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วป่าแทบนั้น และตอนที่ริ้วหนังที่ใช้ลากขาด หนุ่มสาวที่ช่วยลากไม้ล้มทับกันระเนระนาด ทำให้หนุ่มสาวได้รับความสนุกสนาน ผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยได้ไม่น้อยทีเดียว ทำอยู่อย่างนั้นเรื่อยมาทุกคืนทุกวัน หากคืนไหนไม่ได้ไปลากไม้ชาวบ้านก็พากันออกไปตัดถนนตามถนนสายต่างๆ และบางพวกก็ช่วยกันเลื่อยไม้ที่ขนมาแล้ว จากการที่ชาวบ้านจากที่าอื่นๆ ย้ายเข้ามาอยู่มากขึ้น หลวงปู่จึงตั้งธนาคารข้าวเปลือก และธนาคารโคกระบือ เพื่อแจกจ่ายให้หกับคนยากคนจน และมีผู้หญิงบางกลุ่มมาขอบวชชี (นุ่งขาวห่มขาว) รับอาสาทำอาหารเลี้ยงคนงาน ผู้ที่มาบวชชีจึงมีเป็นร้อยๆ
     
  20. namayti

    namayti เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    17,435
    ค่าพลัง:
    +4,932
    ประวัติหลวงพ่อพิบูลย์ (ตอนที่ 8)
    กล่าวถึงหลวงปู่โชติ
    หลวงปู่โชติ เกิดที่บ้านเลิงแฝง อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม บวชได้ 2 พรรษาได้ยินข่าวถึงชื่อเสียงของหลวงปู่พิบูลย์ จึงตั้งใจมากราบไหว้ถวายตนเป็นศิษย์และได้เดินทางมากับเณรอีก 1 รูป ใช้เวลาในการเดินทาง 15 วันก็เข้ามาถึงบ้านแดง เมื่อเวลาประมาณสามโมงเย็น (15:00น.) หลวงปู่พิบูลย์พร้อมด้วยพระเณรที่กำลังเลื่อยไม้อยู่ที่ลานเลื่อยไม้ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันนออกของวัดในปัจจุบัน หลวงปู่จึงเอ่ยกับพระเณรว่า"อาจารย์ของพวกเจ้ามาถึงแล้ว" พอหลวงปู่โชติมาถึงก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่พิบูลย์ หลวงปู่จึงได้ถามถึงที่มาที่ไปของหลวงปู่โชติ พอทราบแล้วก็บอกให้ไปพักที่กุฏิ พอค่ำเมื่อทุกคนเลิกงานแล้ว หลวงปู่โชติจึงนำเครื่องบูชาเข้าไปมอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์กับหลวงปู่พิบูลย์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลวงปู่โชติจึงเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับหลวงปู่พิบูลย์มากที่สุด และไม่ว่างานน้อยใหญ่ต่างๆ หลวงปู่พิบูลย์ก็ได้มอบให้หลวงปู่โชติเป็นตัวแทนในการนำชาวบ้านพัฒนา เช่น ตัดถนนหนทาง และการพัฒนาวัดในทุกๆด้าน จึงเป็นที่ไว้เนื้อเชื่อใจของหลวงปู่พิบูลย์ เป็นอย่างมาก
    ประวัติหลวงปู่โชติ
    หลวงปู่โชติเดิมชื่อ โชติ ภูเฮืองแก้ว เกิดเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2435 บิดาชื่ นายนู ภูเฮืองแก้ว มารดาชื่อนางสา ภูเฮืองแก้ว เกิดที่บ้านเลิงแฝก อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม มีพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน 5 คน เป็นบุตรคนแรก นอกนั้นได้ถึงแก่กรรมหมดแล้ว
    การบรรชาอุปสมบท
    เมื่ออายุได้ 14 ปี ก็ได้บวชบรรพชาเป็นสามเณร เมื่อปี พ.ศ.2454 ที่วัดบ้านหนองสิมใหญ่ อำเภอบรบือ จังหวัดมหาสารคาม เมื่อได้บรรพชาแล้วก็ได้ศึกษาพระธรรมวินัยในสำนักวัดเลิงแฝกจนได้อายุ 20 ปีบริบูรณ์จึงได้อุปสมบทที่วัดหนองสิมใหญ่ จังหวัดมหาสารคาม โดยพระอุปัชฌาป้อง พระกรรมวาจาจารย์ชื่อ พระมหาบุตร อนุสาวนาจารย์ ชื่อ พระอธิการเกตุ เมื่ออุปัชฌาแล้วได้ศึกพระธรรมวินัยต่อที่วัดเลิงแฝกอยู่อีก 3 พรรษา เมื่อปี พ.ศ.2462 ได้ย้ายขึ้นมาอยู่กับหลวงปู่พิบูลย์ที่บ้านแดง (วัดพระแท่น) ตำบลบ้านแดง อำเภอพิบูลย์รักษ์ จังหวัดอุดรธานี ได้มามอบกายถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่พิบูลย์ โดยได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมตามสายหลวงปู่พิบูลย์จนเป็นที่ไว้วางใจของหลวงปู่พิบูลย์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • DSC04753.JPG
      DSC04753.JPG
      ขนาดไฟล์:
      277.6 KB
      เปิดดู:
      5,072
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 ธันวาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...