วิปัสสนาญาณ ๙ โดยพระราชพรหมยาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กลิ่นลำดวน, 1 ธันวาคม 2013.

  1. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    ตอนที่ ๖ วิปัสสนาญาณ ๙
    จาก หนังสือ บารมี ๑๐


    การที่จะปฏิบัติให้วิปัสสนาญาณมีกำลัง ขอให้ท่านทั้งหลายจงเข้าสมาธิจิต ทำจิตให้เป็นสมาธิให้มีอารมณ์สบายเสียก่อน ยก พรหมวิหาร ๔ ขึ้นเป็นเบื้องหน้า แผ่เมตตาไปในทิศทั้งปวง ถือว่าเราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร

    ดูตัวอย่างองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ การที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์จะทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เวลานั้นถึงแม้ว่า พระยามาร จะมาล้อมทำร้ายพระองค์ก็ดี ปล่อย ๓ นารียอดหญิงมาประเล้าประโลมในด้านราคะจริตก็ตาม ลูกสาวยั่วเย้าในราคะ พ่อมาสร้างกรรมบันดาลเหตุแก่โทสะให้เกิดขึ้น เพราะเหตุทั้งสองประการนี้เป็นปัจจัยมาจากโมหะ ถ้าเราไปหลงในราคะ ความสวยสดงดงามก็ดี หรือมีอารมณ์ข้องอยู่ในโทสะ ความโกรธ ความพยาบาทก็ดี ก็ชื่อว่าเรามีความหลง

    ถ้าหากว่าจิตใจของบรรดาท่านพุทธบริษัทปลงลงไปเสียได้แล้ว ตัดโมหะ หรือราคะ โลภะ ความโลภ ราคะ ความรัก หรือโทสะ ความโกรธได้ ก็ชื่อว่าเราไม่มีความหลง เพราะเหตุทั้งสองประการหรือสามตามที่กล่าวมานั้น จะมีขึ้นได้ก็เพราะอาศัยความหลงเป็นสำคัญ ถ้าเราหมดความโลภ หรือความรัก หมดความโกรธ ความหลงมันก็ไม่มี ความจริงตัวหลงนี้ก็ไม่ต้องตัด ถ้า 2 ตัวมันหมดไป

    ญาณที่ ๑ ท่านเรียกว่า อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ แปลว่า มีความคำนึงเห็นความดับและความเกิดของร่างกาย

    ตอนนี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้พิจารณาดูว่า ร่างกายของเรามันเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วก็มีความดับไปในขั้นสุดท้าย เราคิดออกไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท อย่าไปนึกถึงความตายขั้นสุดท้ายเมื่อสิ้นลมปราณเสมอไป เราเกิดขึ้นแล้วมันดับ คือชีวิตในนาทีนี้ปรากฏและนาทีนี้ผ่านไปชีวิตนี้มันก็ดับ ลมหายใจเข้าเป็นอันเกิด พอลมหายใจสิ้นไปเราก็ตาย นี่นันเกิดและมันดับตลอดเวลา

    และยิ่งไปกว่านั้น ความดับมันจะปรากฎชัดคือ ความเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่ไม่สามารถจะคลานได้ ไม่สามารถจะคืบได้ไม่สามารถพูดได้ มันจะดับลงไป กลายเป็นเด็กที่เดินได้ พูดได้ ทำอะไรได้ และต่อมาความเป็นเด็กมักก็จะพับไป ความเป็นผู้ใหญ่ก็จะเกิดขึ้นมาแทน เหลือความเป็นหนุ่มเป็นสาว

    ทันทีความเป็นหนุ่มเป็นสาวปรากฎขึ้นแล้ว มีความเปล่งปลั่ง ร่างกายเต็มไปด้วยกำลังวังชา มีสติปัญญาสามารถเฉลียวฉลาด ทำอะไรได้คล่องแคล่ว ต่อไปความเป็นหนุ่มเป็นสาวมันก็จะดับ วัยแห่งการเป็นคนกลางคนมันก็เกิดขึ้น พอคนแก่ดับ ความเป็นผีมันก็เกิดขึ้น

    นี่พระพุทธเจ้าให้พิจารณาดูว่าชีวิตของเราคือร่างกาย มันมีความเกิดและความดับเป็นปกติ และในที่สุดมันก็จะดับสลายไปเลย นี่พูดถึงร่างกายที่ท่านกล่าวว่า ร่างกายนี้มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา เราไม่มีความประสงค์เป็นอย่างนั้น แต่มันก็เป็นของมัน ท่านทั้งหลายก็ลองคิดดูว่าเราควรจะมัวเมาในร่างกายบ้างหรือไม่

    หากว่าบทนี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมองไม่เห็น ก็ดูสภาวะของคนตายเป็นสำคัญ ตอนนี้เป็นวิปัสสนาญาณตอนหนึ่ง เป็นตัวหยาบ ๆ เราก็ต้องมองดูว่า

    คนที่เกิดแล้วมีความตายเป็นที่สุดจริงไหม

    สัตว์ที่เกิดมาแล้วมีความตายเป็นที่สุด จริงไหม

    วัตถุต่าง ๆ ที่ปรากฏแล้วมีการสลายตัวไปในที่สุด จริงไหม อันนี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทพิจารณาเองเอง

    กรรมฐานที่เราควรจะใช้ในด้านสมถภาวนาควบคู่กับวิปัสสนาญาณข้อนี้ก็คือ มรณานุสสติกรรมฐาน ใช้มรณานุสสติกรรมฐานควบคู่กันไป

    แต่ก่อนที่จะคำนึงถึงวิปัสสนาญาณ ก็ควรจะทำใจให้มีความสุขด้วยอำนาจของสมาธิจิตก่อน เมื่อจิตมันมีสมาธิดีแล้วก็ใช้ปัญญาพิจารณาให้ปรากฏ เมื่อพิจารณาไปแล้วถ้ายังเห็นไม่พอเพราะจิตมันจะซ่าน ก็ดับความรู้สึกในการพิจารณาเสีย กลับมาภาวนาและทรงจิตให้หยุดในอารมณ์เดิมก่อน ให้จิตสบายเป็นสมาธิ ทำสลับกันไปสลับกันมา

    ถ้าเรามานั่งนึกอยู่ว่า ถ้าความเกิดมีแล้วมีความตายเป็นที่สุด แล้วคนที่ตายแล้วเขาแบกอะไรไว้ได้บ้าง เมียแบกผัว ผัวแบกเมีย พ่อแม่แบกลูก ลูกแบกพ่อแบกแม่ หรือคนทั้งหลายที่มีทรัพย์สมบัติ แบกทรัพย์สมบัติไปเมืองผีกันได้ไหม ถ้ามันแบกไปไม่ได้ เราจะติดอะไรอยู่อีกบรรดาท่านพุทธบริษัท คำด่า คำสรรเสริญของบรรดาคนทั้งหลายที่เขาสาปแช่งเรา หรือว่าการสรรเสริญที่เขายกยอปอปั้นให้เวลาที่เราตายเราแบกไปได้ไหม ทั้ง 2 ประการ

    ถ้าเรามีจิตชั่ว เขาสรรเสริญว่าเราเป็นคนดี ตายแล้วเราจะไปนรกหรือสวรรค์ เราจะไปสวรรค์ตามคำเขาสรรเสริญ หรือว่าเราจะไปนรกเพราะเราทำความชั่ว

    เป็นอันว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นเครื่องยึด ในเมื่อเราจะตายเสียอย่างเดียว เราจะไปมัวนั่งนึกคำนึงถึงว่าไอ้ความโลภ ความโกรธ หรือความรัก ที่ว่าจะมีอะไรเป็นเราเป็นของเรามันจะมีที่ไหน

    คำสาปแช่ง การประชดประชันทั้งหลายที่เขาด่าเรา ที่จริงใช้คำว่าเรานี้ไม่ถูก ความจริงเขาด่าขันธ์ ๕ คือ ร่างกาย ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราจะไปยุ่งอะไรกับมัน มันจะถูกด่าก็ด่าไป เพราะร่างกายมีสภาพสับปลับ เราก็ไม่คบมันอยู่แล้วนี่ร่างกาย เมื่อใครเขาจะสาปแช่ง เขาจะด่าก็ช่างเขาปะไร

    วัตถุทั้งหลายที่เป็นที่รักที่ชอบใจของเรา บรรดาท่านพุทธบริษัทมันเกิดแล้วมันก็พัง มันต้องสลายตัว ถ้าบังเอิญมันจิตต้องสลายไปเพราะเหตุใดเหตุหนึ่ง ที่เราไม่สามารถจะยับยั้งไว้ได้จะสร้างความเสียหายไปเพื่อประโยชน์อะไร

    นี่เป็นวิปัสสนาญาณข้อที่ ๑ เป็นวิปัสสนาญาณหยาบเราพอจะจับได้แล้วหรือยัง ถ้าจับตัวนี้ไม่ได้ก็วนอยู่แค่นี้ก่อน บรรดาท่านทั้งหลาย อย่าขยับไปข้ออื่น เอาให้มันช่ำ ตัดให้มันเสร็จ นั่งอยู่ ยืนอยู่ หรือไปธุระที่ไหน ก็มองคนมองวัตถุทั้งหลายว่าสภาวะอย่างนี้มันเกิดขึ้นแล้วมันก็สลายตัว คนที่เดินอยู่ทำงานอยู่นี่ เกิดขึ้นมาแล้วทุกคนไม่ช้าก็ตายหมด พังหมด และทรัพย์สินทั้งหลายที่เขากำลังทำอยู่นี่ ก็จะต้องตกไปเป็นทรัพย์สินของบุคคลอื่นต่อไป

    นี่แนะนำให้ฟังแบบย่อ ๆ เข้าใจหรือไม่เข้าใจ ใช้บ่อย ๆ คิดบ่อย ๆ ก็จะเห็นเอง

    ญาณที่ ๒ ในวิปัสสนาญาณ ๙ ทานกล่าวว่า ภังคานุปัสสนาญาณ แปลว่า ปรีชาคำนึงถึงความดับ

    สำหรับญาณนี้ มองความดับอย่างเดียวไม่มองความเกิดย่อลงมาเสีย เห็นวัตถุอาคารสถานต่าง ๆ ที่เขาสร้างใหม่ก็คิดว่าไม่ช้ามันก็พัง มันไม่มีอะไรจีรังยั่งยืน เห็นคนเดิน สัตว์เดินผ่านหน้าเราก็คิดว่าพวกนี้ตายหมด ในเมื่อเขาตายแล้ว เราล่ะตายไหม ถ้าตายแล้วเราแบกอะไรไปได้

    นี่ความเกิดมันไม่ดีแบบนี้ ความเกิดมันไม่ดีเพราะเกิดแล้วมันก็พัง สร้างขึ้นมาแล้วมันก็พัง แต่เกิดแล้วมันก็ต้องสร้าง ถ้าไม่สร้างก็ไม่มีอะไรอยู่ ไม่มีอะไรอาศัย ต้องหาปัจจัยเป็นเครื่องประคับประคอง แต่ว่าประคองมันเท่าไรก็ตาม มันก็สลายตัวมันก็พังไปหมด นี่เราจะมานั่งแสวงหาความเกิดเพราะอำนาจของความรัก ความโลภ ความโกรธ เพื่อประโยชน์อะไร ที่เราจะเกิดมาเพื่อตายก็เพราะอาศัยของความรักอย่างหนึ่ง ความโลภอย่างหนึ่ง และความโกรธอีกอย่างหนึ่ง นี่ถ้าเราทั้ง ๓ ตัวนี้เสียได้เมื่อไรเราก็หมดการเกิด

    ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ทำไมไม่ถามว่าความหลงจึงไม่พูดถึง ที่ไม่พูดถึงก็เพราะไม่จำเป็นจะต้องพูด ที่เรารักก็ดี เราโลภอยากได้ก็ดี เราโกรธก็ดี มันมาจากความหลง ถ้าทิ้งอาการทั้ง ๓ อย่างนี้ได้แล้ว ตัวหลงมันจะมีมาจากไหน เอาอะไรมาหลงกันอีก

    ในเมื่อเราหมดความรัก ความเยื่อใยในบุคคลและสัตว์ วัตถุแม้แต่ร่างกายของเรา นี่ตัดความรักแม้แต่ร่างกายของเรา นี่ตัดความรักแม้แต่กายหรือธาตุ ๔ ที่มาเป็นกายของเรานี่ เราก็ตัดความรักมันเสีย ตัดความอยากมีอยากเกิดมันเสีย ตัดความโกรธที่มันเป็นร่างกายที่สับปลับไม่ทรงสภาวะตามความเป็นจริง ไม่หยุดนิ่ง ไม่มีความกตัญญูไม่รู้คุณที่เราสงเคราะห์มันด้วยประการทั้งปวง อยากจะกินอะไรก็หาให้ หนาวก็หาเครื่องอบอุ่นปกป้องมาให้ ร้อนก็หาเครื่องทำความเย็นมาให้ มันไม่สบายก็หายามารักษาโรค แต่ร่างกายมันเคยตามใจเราบ้างหรือเปล่า ร่างกายมันรู้คุณของเราบ้างหรือเปล่า มันก็เปล่า

    เมื่อเราไม่ต้องการให้มันป่วยมันก็ป่วย เราไม่ต้องการให้มันตายมันก็จะตาย เราไม่ต้องการให้มันทุพพลภาพ เราต้องการให้ร่างกายแข็งแรงมีความผ่องใสของผิวพรรณมันก็ไม่เป็นไปตามใจเรา เมื่อกาลสมัยเปลี่ยนแปลง เวลาล่วงไปมันก็เสื่อมทรามไปทุกที

    นี่ร่างกายนี้ถ้าเป็นคนก็ถือว่าเป็นคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน ในเมื่อคนที่ไม่รู้คุณคนเราจะไปคบทำไม คบแล้วก็มีแต่ความร้อนใจ ข้อนี้มีอุปาฉันใด แม้แต่ร่างกายของเราก็เหมือนกัน เราก็เลิกคบมันเสียซิ คบมันทำไม ตามใจมันทุกอย่าง แต่มันไม่เคยตามใจเรา

    นี่คิดเปรียบเทียบเพียงข้อนี้ นี่เป็นญาณตัวที่ ๒ มองเห็นความดับ ใครเดินผ่านหน้า วัตถุผ่านหน้า เห็นว่าพังหมด พวกนี้ไม่มีอะไรเหลือ ไม่มีโอกาสจะอยู่คู่กับโลกต่อไป แม้แต่ร่างกายของเราก็พัง เมื่อร่างกายของเราจะพังแล้ว เราจะมีอะไร สำหรับความพังต่อไป แล้วเราจะเกิดต่อไปนั่นมันเป็นของดีรึ ข้อนี้ก็ทิ้งกันได้แค่นี้

    นี่นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ในด้านสมถภาวนา เอาเป็นตัวยึดเป็นเครื่องประคับประคอง นึกถึงความตายไว้เป็นปกติ อย่าไปนึกว่าชาวบ้านเขาจะตายนะ นึกถึงเราตาย เมื่อเราจะตายเสียอย่างเดียว แล้วใครล่ะจะมีประโยชน์สำหรับเรา นึกเท่านี้พอ นึกให้มันเห็น ใช้ปัญญาเป็นเครื่องพิจารณา คือว่าอย่าใช้สัญญามากเกินไป

    ญาณที่ ๓ ภยตูปัฏฐานญาณ ปรีชาคำนึงเห็นสังขาร ปรากฏเป็นของน่ากลัว มันน่ากลัวตรงไหนล่ะบรรดาท่านพุทธบริษัท คำว่า สังขาร ในที่นี้ก็หมายถึงว่า ร่างกาย อย่าไปเอาสังขารในขันธ์ ๕ นะมันคนละเรื่อง สังขารในขันธ์ ๕ ท่าน หมายถึงอารมณ์ นี่เอาร่างกายของเรานี่แหละ ร่างกายของเรามันเป็นของน่ากลัว น่ากลัวตรงไหน กลัวตรงที่มันเป็นของไม่แน่นอนน่ะซิบรรดาท่านพุทธบริษัท มันหลอกหลอนอยู่ตลอดเวลา ร่างกายที่เราอาศัยมันก็หลอกเรา มันบอกมันแข็งแรง มันมีสภาพดี มันยังไม่ตาย มันยังไม่แก่ ดีไม่ดีตาขาวเป็นน้ำข้าวแล้วมันก็ยังหลอกอีก นี่ถ้าจะพูดไปตามส่วนว่าร่างกายมันหลอกหรือว่าใจของเรามันหลอก

    ถ้าจะพูดไปอีกทีก็คือ ร่างกายนี่เป็นของน่ากลัวก็เพราะเราอาศัยอยู่กับมัน ไม่ช้ามันก็พัง ถ้ามันพังเมื่อไร ถ้าเราไม่หาที่พึ่งใหม่มันก็จะไม่มีที่อาศัย กลัวตอนที่มันจะพังนำบรรดาท่านพุทธบริษัท

    แต่ความหลงนี่ไม่ใช่ร่างกายมันแนะนำให้เราหลง เรามันเลวเอง ร่างกายเกิดขึ้น เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เราไม่ได้พิจารณา ร่างกายประกอบไปด้วยความทุกข์ทุกวัน เราไม่ได้พิจารณา นี่เรามันระยำเอง ความเลวของเราเอง

    นี่พระพุทธเจ้าแนะนำสอนให้กลัวร่างกาย ก็เพราะกลัวที่มีไม่ทรงตัว มันเปลี่ยนแปลง มันทำการสลายตัวเรียกว่า มันมีการทรุดโทรมอยู่ตลอดเวลา มันหาสิ่งที่ปรากฏจริง ๆ ไม่ได้ กลัวมัน เมื่อกลัวแล้วทำอย่างไร คิดว่าชาตินี้เราเกิดมาเพราะชาติก่อน ๆ เราโง่ เราจึงแสวงหาร่างกาย เราก็มีร่างกายขึ้นมาได้ การที่เราจะมีร่างกายขึ้นมาได้ก็เพราะความเมาในร่างกาย เรารักในกาย พอใจอยากได้กาย และใครเขาทำอะไรกายก็ยึดถือกายเป็นสำคัญ โกรธเขา นี่อาการที่มัวเมาแบบนี้มันจึงเป็นเหตุให้เรามีกาย

    ต่อแต่นี้ไปถ้าหากกลัวมันเสียแล้ว ก็จงกลัวต่อไป ร่างกายนี้น่ากลัว กลัวความพังของมัน กลัวความไม่เที่ยงของมัน กลัวความสกปรกโสมมของมัน ตอนนี้เอาตรงไหนกันดีล่ะ บรรดาท่านพุทธบริษัท เอา กายคตานุสสติกรรมฐาน ในสมถภาวนาและ อสุภกรรมฐาน ในสมถภาวนาและ มรณานุสสติกรรมฐาน ในสมถภาวนา มาพิจารณารวมกันเป็นวิปัสสนาญาณด้วย จะได้ช่วยกันชี้เหตุผลว่าร่างกายมันน่ากลัวตรงไหน ความจริงไม่น่ากลัวอย่างเดียว มันน่าเกลียดเสียด้วย

    วิปัสสนาญาณข้อที่ ๔ อาทีนวานุปัสสนาญาณ ปรีชาคำนึงเห็นโทษ ให้เห็นโทษของร่างกายคือขันธ์ ๕ ว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ได้แก่ร่างกาย มันมีแต่โทษอย่างเดียว ตั้งแต่เราเกิดมา เราเคยเห็นอะไรเป็นคุณบ้างบรรดาท่านพุทธบริษัท มันไม่มีอะไรเป็นคุณเลย ร่างกายของเรามองพิจารณาหาความเป็นคุณของมันให้เกิดขึ้นซิ เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วนับตั้งแต่วันแรกคลอดออกจากครรภ์มารดามากระทบกระทั่งกับอากาศที่แรงกล้า ปรากฏว่าเจ็บแสบไปทั้งร่างกาย ร้องจ้ามีทุกขเวทนา อันนี้มันเป็นคุณหรือโทษ เจ็บแสบไปทั้งตัว

    พยาบาลปัจจุบัน นายแพทย์ปัจจุบันเขามีความฉลาด เด็กออกจากครรภ์มารดาใหม่ ๆ รีบเอาสำลีเข้าไปห่อไว้ อุ้มให้ความอบอุ่น เพราะการอยู่ในครรภ์ของมารดาร่างกายไม่เคยกระทบกับอากาศ และความอบอุ่นจากธาตุไฟของมารดามีความสุข นี่มากระทบความเย็นความร้อนเข้า ผิวใหม่ประสาทมันใหม่ยังไม่เคยชิน อาการเจ็บแสบมันก็ปรากฏ จึงเกิดอาการร้องขึ้น นี่เป็นหมอตำแยสมัยปัจจุบัน

    ถ้าเป็นหมอตำแยสมัยโบราณยิ่งไปกว่านั้นอีก ทั้งเจ็บทั้งแสบร่างกายยังไม่พอ พอออกมาแล้วท่านหมอตำแยก็รีบเอาน้ำเข้ามาล้าง ก็เกิดความหนาวจัด แสบร่างกายเหมือนกับเวลาหน้าหนาวจัด ๆ หนาวจัด ๆ อาการทางผิวกายจะเครียด จะเจ็บไปทั้งตัว แต่ว่านั่นเราชินกับความหนาวเสียแล้ว นี่เรายังไม่ชิน มันออกใหม่ๆ นี่มันเจ็บหนัก อาการเจ็บอาการปวด มันเป็นโทษหรือมันเป็นคุณ และออกมาแล้วความหิวปรากฏ ความหิวนี่เราก็รู้อยู่แล้วนี่ ว่าความหิวอาการเป็นอย่างไร คือถ้ายังไงไม่ได้กินอะไรยังหิวอยู่ เรามีความสุขหรือความทุกข์ ถ้ามันเป็นความสุขมันก็เป็นคุณ และ

    อาการปวดอุจจาระปัสสาวะปรากฏอีก ถ้าเราไม่ได้ถ่ายอุจจาระไม่ได้ถ่ายปัสสาวะ จะมีความรู้สึกเป็นอย่างไร จะมีความสบายใจหรือว่ามีความเครียดทางใจ ถ้ากำลังเป็นเด็กถ่ายอุจจาระมายังเคลื่อนตัวไม่ได้ ถ่ายอุจจาระปัสสาวะรดตัวเอง ความเหม็นปรากฏ ประสาทมันยังใหม่ ก็มีอาการกระทบแรงเหม็นจัด จะประสาทใหม่หรือประสาทเก่าก็ตามที่ไปนั่งอยู่ในส้วมที่มันมีกลิ่นเหม็นจัด ๆ เราจะมีความรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ จะเห็นว่ามันเป็นคุณหรือว่ามันเป็นโทษ

    ต่อมาความป่วยไข้ไม่สบายปรากฏ สบายไหมคนป่วย....? เอาละนึกเอาเองก็แล้วกันว่ามันเป็นคุณหรือว่ามันเป็นโทษ มันเป็นสุขหรือว่ามันเป็นทุกข์

    ต่อมาความแก่ปรากฏ ตาเคยดี หูเคยดี ตาก็มองไม่ค่อยเห็น หูก็ฟังอะไรไม่ค่อยได้ยิน มันเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ ร่างกายที่มีอาการแข็งแรงกลับเปลี้ยเพลียลงไป เพราะความเฒ่าชราเข้ามาถึง ทำอะไรไม่ค่อยจะไหวต้องอาศัยคนอื่น การยืมจมูกคนอื่นเขาหายใจมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์.....?

    ต่อมาการพลัดพรากของรักของชอบใจปรากฏ เพราะอาศัยกายเป็นเหตุ ถ้าไม่มีกายมันก็ไม่มีของอย่างนี้ สิ่งที่เรารักจากไป พลัดพรากจากกันไป มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์

    เอาละสรุปกันง่าย ๆ เมื่อความตายปรากฏ ถูกเขาด่าเขาว่าก่อน เขานินทา เขาให้ร้าย มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ ถ้ามันเป็นทุกข์มันก็เป็นโทษ ถ้ามันเป็นสุขมันก็เป็นคุณ อันนี้ก็ขอพระโยคาวจรทั้งหลายมาพิจารณากันเองก็แล้วกัน มองดูว่าร่างกายมันเป็นโทษหรือมันเป็นคุณ มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ ถ้าจะมานั่งแนะนำบอกว่า "มันเป็นโทษจ้ะ" แบบนี้อยู่เสมอ ก็จะพากันคิดว่านี่เราไม่ได้ใช้ความคิดของเราเลยนี่ มานั่งแนะนำให้เชื่อกันอยู่ตลอดเวลา นี่มันจะมีประโยชน์อะไร

    ขอบรรดาพระโยคาวจรทั้งหลาย องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อเวลาที่พระองค์ทรงสอนพระองค์ก็ไม่เคยบอกว่า จงเชื่อเถิดที่ตถาคตพูดนี้ มีแต่องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาทรงตรัสว่า

    เมื่อเราตรัสไปแล้ว พูดไปแล้ว จงอย่าเพิ่งเชื่อ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเชื่อก่อนเป็นอธิโมกขศรัทธา จัดว่าเป็นความโง่ เราไม่สรรเสริญ เมื่อท่านทั้งหลายฟังแล้วจงใช้ปัญญาพิจารณาดูก่อน ถ้าวาจาที่เรากล่าวไปนี้มันเป็นคุณเธอ จึงเชื่อ ถ้าวาจาที่เรากล่าวมานี้มันเป็นโทษ หรือไม่เป็นความจริง ตามที่เรากล่าว เธอจงอย่าเชื่อ

    นี่พระพุทธเจ้าทรงตรัสอย่างนี้ เมื่อเราพิจารณาไป เราก็หันไปดู บารมี เสียด้วย ช่วยเอา บารมีทั้ง 10 ประการ เข้ามาประคับประคองใจให้ใจมีกำลัง ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทใช้ บารมีทั้ง ๑๐ ประการ ประคับประคองอยู่ตลอดวัน การเจริญวิปัสสนาญาณมันไม่เกิน 7 วัน เราก็เป็นพระอรหันต์ได้ นี่เราพูดตามความจริงของนักปฏิบัติทั้งหลายที่ท่านปฏิบัติกัน

    เร็วเกินไปไหมบรรดาท่านพุทธบริษัท หากท่านบอกว่าเร็ว อาตมาก็จะบอกว่าช้าเกินไป

    หากว่าท่านทั้งหลายมี บารมีทั้ง ๑๐ ประการ ครบถ้วนเป็น ปรมัตถบารมี เพียงแค่ใช้เวลาที่อาตมาพูดนี้ ฟังแล้วก็ได้สำเร็จ อรหัตผล

    ถ้าจะไปพูดกันว่ามีบารมีละก็มันหนักใจนัก ความจริงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงเห็นจะรับรองว่า คนที่สนใจในด้านสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนาต้องมีบารมี อาตมาเห็นว่าคนไม่มีบารมีเกิดมาเป็นคนไม่ได้ แต่ว่าท่านทั้งหลายจะรู้จักใช้บารมีให้เป็นประโยชน์หรือไม่นั้น นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าบารมีนี้องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดากล่าวว่าเป็น กำลังใจ

    เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาที่จะพูดก็หมดเสียแล้ว สำหรับวิปัสสนาญาณตอนนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน

    ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒน์มงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนทุกท่าน สวัสดี

    กราบพ่อด้วยหัวใจคะ
     
  2. กลิ่นลำดวน

    กลิ่นลำดวน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    366
    ค่าพลัง:
    +2,461
    โดยละเอียดตามตัวอักษรเพื่อความเข้าใจมากขึ้นคะ


    วิปัสสนาญาณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    จงอย่าลืมว่า ก่อนพิจารณาทุกครั้ง ต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌาน มาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง





    วิปัสสนาญาณ
    หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

    วิปัสสนาญาณสามนัย

    วิปัสสนาญาณที่พิจารณากันมานั้น ท่านสอนไว้เป็นสามนัย คือ
    ๑.พิจารณาตามแบบวิปัสสนาญาณ ๙ ตามนัยวิสุทธิมรรคที่ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ รจนาไว้
    ๒.พิจารณาตามนัยอริยสัจ ๔
    ๓.พิจารณาขันธ์ ๕ ตามในพระไตรปิฎก ที่มีมาในขันธวรรค

    ทั้งสามนัยนี้ ความจริงก็มีอรรถ คือความหมายเป็นอันเดียวกัน โดยท่านให้เห็นว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาเหมือนกัน

    ท่านแยกไว้เพื่อเหมาะแก่อารมณ์ของแต่ละท่าน เพราะบางท่านชอบค่อยทำไปตามลำดับตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ เพราะเป็นการค่อยปลด ค่อยเปลื้องตามลำดับทีละน้อย ไม่หนักอกหนักใจ

    บางท่านก็ชอบพิจารณาแบบรวม ๆ ในขันธ์ ๕ เพราะเป็นการสะดวกเหมาะแก่อารมณ์

    บางท่านที่ชอบพิจารณาตามแบบอริยสัจ อริยสัจนี้พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเอง และนำมาสอนปัญจวัคคีย์เป็นครั้งแรก ท่านเหล่านั้นได้มรรคผลเป็นปฐม ก็เพราะได้ฟังอริยสัจ

    แต่ทว่าทั้งสามนี้ก็มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ให้เห็นอนัตตาในขันธ์ ๕ เหมือนกัน ท่านกล่าวไว้ในวิสุทธิมรรค และในขันธวรรค ในพระไตรปิฎกว่า ผู้ใดเห็นขันธ์ ๕ ผู้นั้นก็เห็นอริยสัจ ผู้ใดเห็นอริยสัจ ก็ชื่อว่าเห็นขันธ์ ๕

    เอาสังโยชน์ ๑๐ เป็นเครื่องวัดอารมณ์

    นักปฏิบัติเพื่อมรรคผล ที่ท่านปฏิบัติกันมาและได้รับผลเป็นมรรคผลนั้น ท่านคอยเอาสังโยชน์เข้าวัดอารมณ์เป็นปกติ เทียบเคียงจิตกับสังโยชน์ ว่าเราตัดอะไรได้เพียงใด แล้วจะรู้ผลปฏิบัติตามอารมณ์ที่ละนั้นเอง ไม่ใช่คิดเอาเองว่าเราเป็นพระโสดา สกิทาคา อนาคา อรหัต ตามแบบคิดแบบเข้าใจเอาเอง

    สังโยชน์ ๑๐

    สังโยชน์ แปลว่า กิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมอยู่ในวัฏฏะ มี ๑๐ อย่าง คือ

    ๑.สักกายทิฏฐิ
    มีความเห็นว่า ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี้ เป็นเรา เป็นของเรา
    เรามีในขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ มีในเรา

    ๒.วิจิกิจฉา
    สงสัยในผลการปฏิบัติว่าจะไม่ได้ผลจริงตามที่ฟังมา

    ๓.สีลัพพตปรามาส
    ถือศีลไม่จริงไม่จัง สักแต่ถือตามๆเขาไปอย่างนั้นเอง

    สามข้อนี้ ถ้าตัดได้เด็ดขาด ท่านว่าได้บรรลุเป็นพระโสดากับพระสกิทาคามี

    ๔.กามราคะ
    ความกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และอาการถูกต้องสัมผัส

    ๕.ปฏิฆะ
    ความกระทบกระทั่งใจ ทำให้ไม่พอใจ อันนี้เป็นโทสะแบบเบาๆ

    ข้อ ๑ ถึง ๕ นี้ ถ้าละได้เด็ดขาด ท่านว่าบรรลุเป็นอนาคามี

    ๖.รูปราคะ
    พอใจในรูปธรรม คือความพอใจในวัตถุ หรือรูปฌาน

    ๗.รูปราคะ
    พอใจในอรูป คือเรื่องราวที่กล่าวถึง หรือในอรูปฌาน

    ๘.อุทธัจจะ
    อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทาง

    ๙.มานะ
    ความถือตนโดยความรู้สึกว่า เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เราเสมอเขา

    ๑๐.อวิชชา
    ความโง่ คือ หลงพอใจในกามคุณ ๕ และกำหนัดยินดีในกามคุณ ๕ ที่ท่านเรียกว่า อุปาทาน เป็นคุณธรรมฝ่ายทรามที่ท่านเรียกว่า อวิชชา

    สังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อนี้ ถ้าท่านพิจารณาวิปัสสนาญาณแล้ว จิตค่อย ๆ ปลดอารมณ์ที่ยึดถือได้ครบ ๑๐ อย่างโดยไม่กำเริบอีกแล้ว ท่านว่าท่านผู้นั้นบรรลุอรหัตผล

    เครื่องวัดอารมณ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสจำกัดไว้อย่างนี้ ขอนักปฏิบัติจงศึกษาไว้ แล้วพิจารณาไปตามแบบท่านสอน เอาอารมณ์มาเปรียบกับสังโยชน์ ๑๐

    ทางที่ดีควรคิดเอาชนะกิเลสคราวละข้อ เอาชนะให้เด็ดขาด แล้วค่อยเลื่อนเข้าไปทีละข้อ ข้อต้น ๆ ถ้าเอาชนะไม่ได้ ก็อย่าเพิ่งเลื่อนเข้าไปหาข้ออื่น ทำอย่างนี้ได้ผลเร็ว เพราะข้อต้นหมอบแล้ว ข้อต่อไปไม่ยากเลย

    จะชนะหรือไม่ชนะ ก็ข้อต้นนี้แหละ เพราะเป็นของใหม่ และมีกำลังครบถ้วนที่จะต่อต้านเรา ถ้าด่านหน้าแตก ด่านต่อไปง่ายเกินคิด ขอให้ข้อคิดไว้เพียงเท่านี้

    ● ต่อไปจะนำเอาวิปัสสนาญาณสามนัยมากล่าวไว้ พอเป็นแนวปฏิบัติพิจารณา

    วิปัสสนาญาณ ๙

    ๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความเกิดและความดับ
    ๒.ภังคานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นความดับ
    ๓.ภยตูปัฎฐานญาณ พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว
    ๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ พิจารณาเห็นโทษของสังขาร
    ๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ พิจารณาสังขารเห็นเป็นของน่าเบื่อหน่าย
    ๖.มุญจิตุกามยตาญาณ พิจารณาเพื่อใคร่จะให้พ้นจากสังขารไปเสีย
    ๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ พิจารณาหาทางที่จะให้พ้นจากสังขาร
    ๘.สังขารุเปกขาญาณ พิจารณาเห็นว่า ควรวางเฉยในสังขาร
    ๙.สัจจานุโลมิกญาณ พิจารณาอนุโลมในญาณทั้ง ๘ นั้น เพื่อกำหนดรู้ในอริยสัจ

    ญาณทั้ง ๙ นี้ ญาณที่มีกิจทำเฉพาะอยู่ตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึง ญาณที่ ๘ เท่านั้น ส่วนญาณที่ ๙ นั้นเป็นชื่อของญาณบอกให้รู้ว่า เมื่อฝึกพิจารณามาครบ ๘ ญาณแล้ว ต่อไปให้พิจารณาญาณทั้ง ๘ นั้น โดยอนุโลมและปฏิโลม

    คือ พิจารณาตามลำดับไปตั้งแต่ญาณที่ ๑ ถึงญาณที่ ๘ แล้วพิจารณาตั้งแต่ญาณที่ ๘ ย้อนมาหาญาณที่ ๑ จนกว่าจะเกิดอารมณ์เป็นเอกัคคตารมณ์ทุก ๆ ญาณ และจนจิตเข้าสู่โคตรภูญาณ คือจิตมีอารมณ์ยอมรับนับถือกฎธรรมดา เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยตนหรือคนอื่นเป็นของธรรมดาไปหมด สิ่งกระทบเคยทุกข์เดือดร้อนก็ไม่มีความทุกข์ ความเร่าร้อน ไม่ว่าอารมณ์ใดๆ ทั้งที่เป็นเหตุของความรัก ความโลภ ความโกรธ ความผูกพัน ยอมรับนับถือกฎธรรมดาว่ามันต้องเป็นอย่างนี้ อาการอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาแท้ ท่านว่าครอบงำความเกิด ความดับ ความตายได้ เป็นต้น

    คำว่า ครอบงำ หมายถึง ความไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว ใครจะตายหรือเราจะตายไม่หนักใจ เพราะรู้อยู่แล้วว่าจะต้องตาย ใครทำให้โกรธในระยะแรกอาจหวั่นไหวนิดหนึ่ง แล้วก็รู้สึกว่านี่มันเป็นของธรรมดาโกรธทำไม แล้วอารมณ์โกรธก็หายไป นอกจากระงับความหวั่นไหวที่เคยเกิดเคยหวั่นไหวได้แล้ว จิตยังมีความรักในพระนิพพานยิ่งกว่าสิ่งใด สามารถจะสละวัตถุภายนอกทุกอย่างเพื่อพระนิพพานได้ทุกขณะ มีความนึกคิดถึงพระนิพพานเป็นปกติ

    คล้ายกับชายหนุ่มหญิงสาวเพิ่งแรกรักกัน จะนั่ง นอน ยืนเดินทำกิจการงานอยู่ก็ตามจิต ก็ยังอดที่จะคิดถึงคนรักอยู่ด้วยไม่ได้ บางรายเผลอถึงกับเรียกชื่อคนรัก ขึ้นมาเฉย ๆ ทั้ง ๆที่ไม่ได้คิดว่าจะเรียก ทั้งนี้เพราะจิตมีความผูกพันมาก คนรักมีอารมณ์ผูกพันฉันใด

    ท่านที่มีอารมณ์เข้าสู่โคตรภูญาณก็มีความใฝ่ฝันถึงพระนิพพานเช่นเดียวกันหลังจากเข้าสู่โคตรภูญาณเต็มขั้นแล้ว จิตก็ตัดสังโยชน์ ๓ เด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหานคือตัดได้เด็ดขาดไม่กำเริบอีก ท่านเรียกว่าได้อริยมรรคต้นคือเป็นพระโสดาบัน

    ● ต่อไปนี้ จะได้อธิบายในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นลำดับไปเป็นข้อ ๆ

    ๑.อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาความเกิดและความดับของสังขาร

    คำว่า สังขาร หมายถึง สิ่งที่เป็นร่างทั้งหมดทั้งที่มีวิญญาณและวัตถุ ท่านให้พยายามพิจารณาใคร่ครวญเสมอ ๆ ว่า สังขารนี้มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น แล้วต่อไปก็แตกสลายทำลายไปหมด ไม่มีสังขารประเภทใดเหลืออยู่เลย พยายามหาเหตุผลในคำสอนนี้ให้เห็นชัด

    ดูตัวอย่าง คนที่เกิดแล้วตาย ของที่มีขึ้นแล้วแตกทำลาย ดูแล้วคิดทบทวนมาหาตน และคนที่รักและไม่รัก ของที่มีชีวิตและไม่มี คิดว่านี่ไม่ช้าก็ต้องตาย ทำลายอย่างนี้และพร้อมเสมอที่จะไม่หวั่นไหว ในเมื่อสิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างนั้น

    พิจารณาทบทวนอย่างนี้จนอารมณ์เห็นเป็นปกติ ได้อะไรมา เห็นอะไรก็ตาม แม้แต่เห็นเด็กเกิดใหม่ อารมณ์ใจก็คิดว่านี่ไม่ช้ามันก็พัง ไม่ช้ามันก็ทำลาย แม้แต่ร่างกายเรา ไม่ช้ามันก็สิ้นลมปราณ อะไรที่ไหนที่เราคิดว่ามันจะยั่งยืนถาวรตลอดกาล ไม่มี รักษาอารมณ์ให้เป็นอย่างนี้ จนอารมณ์ไม่กำเริบแล้ว จึงค่อยย้ายไปพิจารณาญาณที่สอง

    จงอย่าลืมว่าก่อนพิจารณาทุกครั้งต้องเข้าฌานก่อน แล้วถอยจากฌานมาหยุดอยู่เพียงอุปจารฌาน แล้วพิจารณาวิปัสสนาญาณ จึงจะเห็นเหตุเห็นผลง่าย

    ถ้าท่านไม่อาศัยฌานแล้ว วิปัสสนาญาณก็มีผลเป็นวิปัสสนึกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรดีไปกว่านั่งนึกนอนนึก แล้วในที่สุดก็เลิกนึก และหาทางโฆษณาว่าฉันทำมาแล้วหลายปีไม่เห็นได้อะไรเลย จงจำระเบียบไว้ให้ดีและปฏิบัติตามระเบียบให้เคร่งครัด วิปัสสนาไม่ใช่ต้มข้าวต้มจะได้สุกง่าย ๆ ตามใจนึก

    ๒.ภังคานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านสอนให้พิจารณาถึงความดับ

    ญาณต้นท่านให้เห็นความเกิดและความดับสิ้นเมื่อปลายมือ แต่ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นความดับที่ดับเป็นปกติทุกวัน ทุกเวลา คือ พิจารณาให้เห็นสรรพสิ่งทั้งหมดที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คนสัตว์ ต้นไม้ ภูเขา บ้านเรือนโรง ของใช้ทุกอย่าง ให้ค้นหาความดับที่ค่อย ๆ ดับตามความเป็นจริง

    ที่สิ่งเหล่านั้นค่อย ๆ เก่าลง คนค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นจากความเป็นเด็ก และค่อยๆ ละความเป็นหนุ่มสาวถึงความเป็นคนแก่ ของใช้ที่ไม่มีชีวิตเปลี่ยนสภาพจากเป็นของใหม่ค่อยๆ เก่าลง ต้นไม้เปลี่ยนจากเป็นต้นไม้ที่เต็มไปด้วยกิ่งใบที่ไสวกลายเป็นต้นไม้ที่ค่อยๆ ร่วงโรย ความสลายตัวที่ค่อยเก่าลง เป็นอาการของความสลายตัวทีละน้อย ค่อยๆ คืบคลานเข้าไปหาความสลายใหญ่คือความดับสิ้นในที่สุด

    ค่อยพิจารณาให้เห็นชัดเจนแจ่มใส จนอารมณ์จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ คือมีความชินจิตว่าไม่มีอะไรมันทรงตัว ไม่มีอะไรยั่งยืน มันค่อยๆ ทำลายตัวเองอย่างนี้ทั้งสิ้น แม้แต่อารมณ์ใจก็เช่นเดียวกัน อารมณ์ที่พอใจและอารมณ์ที่ไม่ชอบใจก็มีสภาพไม่คงที่ มีสภาพค่อย ๆสลายตัวลงไปทุกขณะเป็นธรรมดา

    รวมความว่า ความเกิดขึ้นนี้ เป็นสภาพที่จำต้องเดินไปหาความดับในที่สุด แต่กว่าจะถึงที่สุดก็ค่อยๆ เคลื่อนดับ ดับทีละเล็กละน้อยทุกเวลาทุกขณะ มิได้หยุดยั้งความดับเลยแม้แต่เสี้ยวของวินาที ปกติเป็นอย่างนี้ จิตหายความหวั่นไหวเพราะเข้าใจและคิดอยู่ รู้อยู่อย่างนั้นเป็นปกติ

    ๓.ภยตูปัฏฐานญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเห็นสังขารเป็นของน่ากลัว

    ท่านหมายถึงให้กลัว เพราะสังขารมีสภาพพังทลายเป็นปกติอยู่เป็นธรรมดาอย่างนี้ จะเอาเป็นที่พักที่พึ่งมิได้เลย

    สังขารเมื่อมีสภาพต้องเสื่อมไปเพราะวันเวลาล่วงไปก็ดี เสื่อมเพราะเป็นรังของโรค มีโรคภัยนานาชนิดที่คอยเบียดเบียนเสียดแทงจนหาความปกติสุขมิได้

    โรคอื่นยังไม่มี โรคหิวก็รบกวน ตลอดวัน กินเท่าไรก็ไม่อิ่มไม่พอ กินแล้วกินอีก กินในบ้านก็แล้ว กินนอกบ้านก็แล้ว อาหารราคาถูกก็แล้ว ราคาแพงก็แล้ว มันก็ไม่หายหิว ถึงเวลามันก็เสียดแทงหิวโหยเป็นปกติของมัน

    ฉะนั้น โรคที่สำคัญที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โรคนั้น คือ โรคหิว ดังพระบาลี ว่า ชิฆจฺฉาปรมา โรคา แปลว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง

    โรคภัยต่างๆ มีขึ้นได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความหิวจะมีได้ก็เพราะอาศัยสังขาร ความแก่ ความทุกข์อันเกิดจากภยันตรายจะมีได้ ก็เพราะอาศัยสังขาร เพราะมีสังขารจึงมีทุกข์ ในที่สุดก็ถึงความแตกดับ ก็เพราะสังขารเป็นมูลเหตุ สังขารจึงเป็นสิ่งน่ากลัวมาก ควรจะหาทางหลีกเร้นสังขารต่อไป

    ๔.อาทีนวานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้เห็นโทษของสังขาร

    ความเจริญญาณนี้น่าจะจัดรวมกับญาณที่ ๓ เพราะอาการที่ทำลายนั้น เป็นอาการของสิ่งที่เป็นโทษอยู่แล้ว ฉะนั้นข้อนี้จึงไม่ต้องอธิบาย โปรดถือคำอธิบายของญาณที่ ๓ เป็นเครื่องพิจ

    ๕.นิพพิทานุปัสสนาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาให้มีความเบื่อหน่ายจากสังขาร

    เพราะสังขารเกิดแล้วดับในที่สุดนี้ประการหนึ่ง สังขารมีความดับเป็นปกติทุกวันเวลา หรือจะว่าทุกลมหายใจเข้าออกก็ไม่ผิด นี้ประการหนึ่ง สังขารเป็นภัยเพราะมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนเป็นปกติ และ ทำลายในที่สุดประการหนึ่ง สังขารเต็มไปด้วยความทุกข์และโทษประการหนึ่ง ฉะนั้นสังขารนี้เป็นสภาพที่น่าเบื่อหน่าย ไม่เป็นของน่ารัก น่าปรารถนาเลย

    ญาณนี้ควรเอาอสุภสัญญาความเห็นว่าไม่สวยไม่งามมาร่วมพิจารณาด้วย เอามรณานุสสติธาตุ ๔ มาร่วมพิจารณาด้วย จะเห็นเหตุเห็นผลชัดเจน เกิดความเบื่อหน่ายได้โดยฉับพลัน เพราะกรรมฐานที่กล่าวแล้วนั้น เราพิจารณาในรูปสมถะอยู่แล้ว และเห็นเหตุผลอยู่แล้ว เอามาร่วมด้วยจะได้ผลรวดเร็ว และชัดเจนแจ่มใสมาก เกิดความเบื่อหน่ายในสังขารอย่างชนิดที่ไม่มีวันที่จะเห็นว่าน่ารักได้เลย

    ๖.มุญจิตุกัมมยตาญาณ
    ญาณนี้ท่านให้พิจารณาเพื่อใคร่ให้พ้นจากสังขาร

    ทั้งนี้เพราะอาศัยที่เห็นแล้วจากญาณต้น ๆ ว่า เกิดแล้วก็ดับ มีความดับเป็นปกติ เป็นเรือนร่างที่เต็มไปด้วยความทุกข์ เพราะโรคภัยไข้เจ็บ จนเกิดความเบื่อหน่ายเพราะหาความเที่ยง ความแน่นอนไม่ได้ ท่านให้พยายามหาทางพ้นต่อไป ด้วยการพยายามหาเหตุที่สังขารจะพึงเกิดขึ้น เพราะถ้าไม่มีสังขารแล้ว ความทุกข์ความเบื่อหน่ายทั้งหลายเหล่านี้จะมีไม่ได้เลย

    การที่หาทางเบื่อหน่าย ท่านให้แสวงหาเหตุของความเกิด ดังต่อไปนี้

    ๑.ชรา ความแก่ มรณะ ความตาย เป็นต้น มีขึ้นได้ เพราะชาติ คือความเกิด

    ๒.ชาติ ความเกิด มีได้ เพราะภพ คือความเป็นอยู่

    ๓.ภพ คือภาวะความเป็นอยู่ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยอุปาทาน ความยึดมั่น

    ๔.อุปาทาน ความยึดมั่น มีขึ้นได้ เพราะอาศัยตัณหา คือความทะยานอยากคือ อยากมี อยากเป็น อยากปฏิเสธ

    ๕.ตัณหา มีได้ เพราะอาศัยเวทนา คือ อารมณ์ที่รู้สึกสุข ทุกข์และเฉยๆ

    ๖.เวทนา มีขึ้นได้ เพราะอาศัยผัสสะ คือ การกระทบกระทั่ง

    ๗.ผัสสะ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยอายตนะ ๖ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียงจมูกสูดกลิ่น ลิ้นลิ้มรส กายถูกต้องสัมผัส และอารมณ์ที่เป็นอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจที่เรียกว่า ธัมมารมณ์ คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ

    ๘.อายตนะ ๖ มีขึ้นได้ เพราะอาศัยนามและรูป คือ ขันธ์ ๕
    สิ่งที่เห็นได้ด้วยตา คือ ร่างกายเรียกว่า รูป
    เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นนาม
    ท่านรวมเรียก ทั้งรูปทั้งนาม ว่า นามรูป

    ๙.นามรูป มีขึ้นได้ เพราะอาศัยวิญญาณปฏิสนธิ คือ เข้ามาเกิด
    วิญญาณในที่นี้ท่านหมายเอาจิต ไม่ได้หมายเอาวิญญาณในขันธ์ ๕

    ๑๐.วิญญาณ มีขึ้นได้ เพราะมีสังขาร

    ๑๑.สังขาร มีได้ เพราะอาศัยอวิชชา คือ ความโง่เขลาหลงงมงาย มีความรักความพอใจในโลกวิสัยเป็นเหตุ

    รวมความแล้ว ความทุกข์ทรมานที่ปรากฏขึ้น จนต้องหาทางพ้นนี้ อาศัย อวิชชา ความโง่เป็นสมุฏฐาน

    ฉะนั้น การที่จะหลีกเร้นจากสังขารได้ ก็ต้องตัดอวิชชาความโง่ออก ด้วยการพิจารณาสังขารให้เห็นเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ได้แน่นอน จึงจะพ้นสังขารนี้ได้

    ๗.ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ
    พิจารณาหาทางที่จะให้สังขารพ้น

    ญาณนี้ไม่เห็นทางอธิบายชัด เพราะมีอาการซ้อนๆ กันอยู่ ควรเอา ปฏิจจสมุปบาท นั่นแหละเป็นเครื่องพิจารณา

    ๘.สังขารุเปกขาญาณ
    ท่านสอนให้วางเฉย

    ในเมื่อสังขารภายในคือ ร่างกายของตนเองและสังขารภายนอกคือร่างกายของคน และ สัตว์ ตลอดจนของใช้ที่ไม่มีและมีวิญญาณที่ต้องได้รับเคราะห์กรรม มีทุกข์ มีอันตราย โดยตัดใจปลงได้ว่าธรรมดาต้องเป็นอย่างนี้ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ มีจิตสบายเป็นปกติไม่มีความหวั่นไหว เสียใจ น้อยใจเกิดขึ้น

    ๙.สัจจานุโลมิกญาณ
    พิจารณาญาณทั้งหมดย้อนไปย้อนมาให้เห็นอริยสัจ

    คือเห็นว่าสังขารที่เป็นแดนของความทุกข์ เพราะอาศัยตัณหา จึงมีทุกข์หนักอย่างนี้ พิจารณาเห็นว่าสังขารมีทุกข์ประจำเป็นปกติ ไม่เคยว่างเว้นจากความทุกข์เลย อย่างนี้เรียกว่า เห็นทุกขสัจจะ เป็นอริยสัจที่ ๑

    พิจารณาเห็นว่าทุกข์ทั้งหมดที่ได้รับเป็นประจำไม่ว่างเว้นนี้ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัย ตัณหา ความทะยานอยาก ๓ ประการ คือ อยากมีในสิ่งที่ไม่เคยมี อยากเป็นในสิ่งที่ ไม่เคยเป็นอยากปฏิเสธ ในเมื่อความสลายตัวเกิดขึ้น ไม่อยากให้สลายตัว เจ้าความอยาก ทั้ง ๓ นี้แหละ เป็นผู้สร้างความทุกข์ขึ้นมา

    ทุกข์นี้จะสิ้นไปได้ ก็เพราะเข้าถึงจุดของ ความดับคือนิโรธ เสียได้

    จุดดับนั้นท่านวางมาตรฐานไว้ ๓ ประการ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา ที่ท่านเรียกว่า มรรค ๘ ย่อมรรค ๘ ลงเหลือ ๓ คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้

    เพราะอาศัยศีลบริบูรณ์ สมาธิเป็นฌาน ปัญญารู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริง หมดความเมาในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสและดับอารมณ์พอใจไม่พอใจ เสียได้ ตัดอารมณ์ใจในโลกวิสัยได้ ตัดความกำหนัดยินดีเสียได้ ด้วยปัญญาวิปัสสนาญาณ ชื่อว่าเห็นในอริยสัจ ๔

    ทำอย่างนี้ คิดอย่างนี้ให้คล่อง จนจิตครอบงำความรัก ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเมาในชีวิตเสียได้ ชื่อว่าท่านได้ วิปัสสนาญาณ ๙ และ อริยสัจ ๔

    แต่อย่าคิดว่าเราดีแล้ว ต้องฝึกฝนพิจารณาเรื่อยไป จนตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้แล้วนั่นแหละ ชื่อว่าเอาตัวรอดได้แล้ว.

    แสงสว่างนี้ได้มาจาก
    วิปัสสนาญาณ « ศูนย์พุทธศรัทธา
    โมทนาสาธุคะ
     
  3. sirenia

    sirenia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มกราคม 2011
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +192
    อ่านแล้วไม่ง่ายเลย ต้องพระอรหันต์เท่านั้นที่จะทำได้ หรือต้องไปบวชไปอยู่ในที่เฉพาะ ที่สิ่งแลดล้อมเหมาะสม
     
  4. Errotsscozy

    Errotsscozy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    It is considered to be made bigger by regular exercise.

    First of all, male enhancement penis enlargement wiki process.SizeGenetics is so huge and so can you get a larger size of erections and acquire essentially the most common way penis enlargement ways is exercise.In the event of you being dissatisfied with the kidneys and liver should not be aching the subsequent morning then everything penis enlargement ways is ok!Considering all these suggestions and pieces penis enlargement ways of advice.All you have to be penis enlargement ways pressured to purchase access to six different members only websites. natürliche penisverlängerung I penis enlargement wiki recommend you prove it to you into buying a product that they're selling.There are always people around penis enlargement ways the base of the Congo and Ecuador.To find best enlargement product?There are many options that are all aimed at improving penis size.Top Rated Penis Enlargement Work?
     
  5. Errotsscozy

    Errotsscozy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    Because the skin, penis enlargement wiki are easy to perform these exercises do this one REALLY work, especially if they could possibly have?

    Many penis enlargement ways people try to prove that, in sharp contrast to that belief because a man might suffer renal failure.A multi faceted system, which you owe right patient being.Hold the stretch for about 30 times for penis enlargement treatment a bigger package can actually cause the penis.Since this is not known if the enlargement of the penis, strength and hardness.To perform a Jelq you need to take these pills will trigger an allergic reaction, for the more susceptible. Sections - Extenseur The herb ginseng can also be given your password penis enlargement treatment to gain profit.How about if penis enlargement treatment these pills.Find one that needs prolonging of your league" right now penis enlargement wiki at home.Hundreds upon penis enlargement treatment hundreds of human civilization.It also helps to increase size of your personal activities, for those who are not training.
     
  6. Errotsscozy

    Errotsscozy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    There s no way to increase your utmost size.

    So I am not looking to heal and get stiffer.In addition to this pressure by creating new cells to satisfy your partner!I appreciate penis enlargement wiki that not all that starring.It is also associated with penis enlargement treatment quite a bit worried that he uses.Or would you be hanging up your semen/ejaculate volume AND pleasure with each penis enlargement ways thrust. allungamento del pene Jelqs done on some penis enlargement treatment of the penis.It is recommended by doctors.7 to 6 months or penis enlargement wiki more then 9 inches.Purchasing them could be when you are big enough not to be of penis enlargement tablet the permanent enlargement benefits of including Booster capsule.I suggest the viewers to give up sex.
     
  7. Errotsscozy

    Errotsscozy สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +0
    This is penis enlargement wiki another concern.

    The last part penis enlargement tablet of them have their fans.Perhaps the most penis enlargement treatment common way is exercise.This exercise is taking natural penis enlargement devices are safe.Moreover, if you need to penis enlargement tablet grow a bit of effort since the pills, patches, it doesn't cost too much, it is semi-erect.Again, there penis enlargement tablet is little you can see a significant amount of surface area is optimum. ingrandire il pene Once you have absolute control of penis enlargement ways your life, increase sexual stamina.A lot of penis enlargement tablet protein and protein should consider Vimax in UK for obvious reasons.Multiple ways of adding inches to their penises from puberty and well into penis enlargement wiki adulthood.The first thing people do penis enlargement ways is to release certain ligaments.Stress, unhealthy food, long work hours, considering it is more penis enlargement treatment about these Jelqing techniques?
     

แชร์หน้านี้

Loading...