ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ตำนาน,เรื่องเล่า,สิ่งเหนือธรรมชาติ
    สวัสดีค่าาาาา เมี้ยววว ^__^ มาต่อกันที่ลัทธิที่เป็นที่รุ้จักกันอย่างแพร่หลายกันเลยนะคะ เรียกว่า วูดู หรือ ออกเสียงตามคำเดิมคือ โวดัน กันเลยค่ะ //ฟรองซีน

    ลัทธิวูดู สามารถสะกดได้หลายอย่าง เช่น Vodun, Vodou, Voudou, Vudu, Vodounเป็นลัทธิของแอฟริกาตะวันตก วูดูเกี่ยวกับ สัตว์ และวิญญาณของผู้ที่ตายไปแล้ว และพิธีกรรมหลายอย่างของวูดูเกี่ยวกับการทำพิธีกรรมเพื่อบรรพบุรุษที่ตายไปแล้ว

    แปล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

    ------------------------------------------------------------------
    ลัทธิวูดู
    วูดูเป็นคำแอฟริกาตะวันตกแปลว่า วิญญาณ คำเดิมคือ โวดัน (vodun) ความ เชื่อพื้นฐานของศาสนานี้คือทุกสิ่งทุกอย่างในสากลโลกนี้เกี่ยวข้องกันหมด ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่มีอะไรที่เกิดขึ้นเพราะโชคชะตา ทุกอย่างที่ทำต่อคนอื่นจะมีผลกระทบกระเทือนถึงตัวเองด้วยเพราะตัวเราก็คือ ตัวคนนั้นด้วย

    ประวัติวูดู
    วูดูมีต้นกำเนิดมาจากพิธีกรรมทางไสยศาสตร์ของชนพื้นเมืองในแอฟริกา ไล่ไปตั้งแต่แกมเบียไปจนถึงแองโกลานั่นแหละครับ ชาวพื้นเมืองเหล่านี้จะศรัทธาในตัวเทพเจ้าประจำท้องถิ่นเป็นอย่างมาก ทำให้หมอผีและคนทรงพลอยมีหน้ามีตา โดนนับถือไปกับเขาด้วย ในฐานะสื่อกลางระหว่างเทพเจ้าและคนพื้นเมือง ทีนี้เรื่องมันเริ่มยุ่งขึ้นเมื่อถึงยุคล่าอาณานิคม หัวหน้าเผ่าของชนพื้นเมืองจำนวนมากได้ขายลูกเผ่าหรือเชลยศึก ไปเป็นทาสของชาวตะวันตก ในจำนวนทาสเหล่านี้ก็มีพ่อมดหมอผีติดไปด้วย นัยว่าเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจแก่เหล่าทาสพลัดถิ่นครับ ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมของวูดูแพร่กระจายไปยังส่วนต่างๆของโลก โดยเฉพาะโลกใหม่ของโคลัมบัส ซึ่งนำเข้าทาสมากเป็นพิเศษ

    พ่อหมดหมอผีแห่งลัทธิวูดู ไม่ได้มีอำนาจแก่กล้าด้วยตัวเองเหมือนหนังกำลังภายในหรอกครับ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือจากภูตผีและวิญญาณต่างๆ จึงจะสามารถสำแดงฤทธิ์เดชได้เต็มที่ ในหมู่เกาะอินดิสตะวันตกเองนั้น พลังของภูตผีในชุมชนของพวกทาสได้ก่อให้เกิด "เจ้า" อีกประเภทหนึ่งขึ้นมาใหม่ เรียกว่าโล(หรือ โลอา)(Loa) โลนี้สามารถคุ้มครอง ช่วยเหลือ ลงโทษ ตลอดไปจนกลั่นแกล้งมนุษย์ได้เช่นเดียวกับภูตผีปีศาจทั่วไป หมอผีทั้งหลายเรียกไสยศาสตร์แขนงใหม่นี้ว่า "วูดู" ชาววูดูทั้งหลายจะบูชาโลเป็นสรณะ ไม่มีใครรู้เหมือนกันว่า แท้ที่จริงแล้ว โลแต่ละตนมีที่มาที่ไปอย่างไร มีแต่พ่อมดหมอผีระดับสูงเท่านั้นที่รู้ และจะบอกกล่าวเฉพาะในหมู่พวกตน

    หมอผีในลัทธิวูดูเรียกว่า โซบ๊อป(Zobop) พวกนี้เป็นได้ทั้งชายทั้งหญิง ซึ่งโซบ๊อปแต่ละคนต้องผ่านการฝึกฝนวิชามาอย่างแก่กล้าเสียก่อน จึงจะสามารถออกมาทำพิธีกรรมต่างๆได้ อำนาจของโซบ๊อปก็เหมือนแม่มดหมอผีในลัทธิมืดอื่นๆ คือสำแดงฤทธิ์ได้สารพัดประการ ปลุกคนตายขึ้นจากหลุมเอย เหาะเหินเดินอากาศเอย เครื่องรางของขลัง ยาแฝดคุณไสย พี่แกทำได้หมด เสกคาถาให้คนตายคาที่ก็ยังทำได้ ตามตำรากล่าวเอาไว้ว่า โซบ๊อปที่เป็นชายจะมีพลังแก่กล้ากว่าโซบ๊อบหญิง ลักษณะพิเศษของโซบ๊อปชายก็คือ สามารถแปลงร่างเป็น ลูป-การู(Loup-Garou) หรือยุงผีเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ เจ้ายุงผีนี่แหละแสบนัก เพราะมันชอบบินไปดูดเอาชีวิตของเด็กทารกในขณะหลับ โซบ๊อบหญิงเองก็แปลงเป็นยุงผีได้เหมือนกัน แต่มักแปลงไปเองโดยไม่ตั้งใจและไม่สามารถควบคุมได้เหมือนอีกเพศหนึ่ง

    พิธี ทางวูดูประกอบด้วยการสวดมนตร์ รำ กับการทำพิธีต่างๆ รวมทั้งฆ่าสัตว์เพื่อใช้บูชา งูมัความสำคัญในพิธีต่างๆ เชื่อกันว่าพระหรือชีอาวุโสจะมีความสามารถแบบงู การรำกับการเล่นดนตรีมีส่วนสำคัญในพิธีทางวูดู การรำเป็นวิธีสื่อสารติดต่อกับวิญญาณกับโลกอื่น วูดูมีความสำคัญเกี่ยวกับการเป็นอยู่ในหมู่คนที่เขื่อ พระมีอิทธิพลมาก เป็นทื่ปรึกษาให้คำแนะนำเมื่อมคนขอ และยังรักษาโรคด้วยยากับสมุนไพร ความรู้ของพระนั้นนั้นได้มาจากปู่ย่าตายาย

    ซอมบี้คืออะไร !?

    ซอม บี้หรือเรียกว่า"ซัมบิ" (zumbi) ..เชื่อกันว่า เป็นศพที่เดินได้ เนื่องจากเป็นร่างไร้วิญญาณที่ถูกปลุกให้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ด้วยอำนาจเวทมนตร์ของนักบวชในลัทธิวูดู ลักษณะการเดินของซอมบิดูคล้ายหุ่นยนต์ที่ไร้วิญญาณ ปราศจากแววตา และจะทำตามคำสั่งของนักบวช

    ซอมบี้นั้นในภาษาพื้นเมืองไฮติเขา เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "โบโกร์" (Bokor).. ซอมบี้เป็นทาสผีดิบของหมอผี หรือผู้ทรงไสยดำ ผู้ที่มีอำนาจ (เชื่อว่าเป็นอำนาจจากนรก) เรียกเอาคนตายกลับขึ้นมาจากหลุมศพ..ซอมบี้เป็นเพียงศพที่เดินได้มันกินอาหาร ได้ อาหารที่กินเป็นอาหารพิเศษที่หมอผีจัดหามาให้ มันมีลมหายใจคล้ายคน มันต้องขับถ่าย มันพูดได้ แต่ส่วนมาไม่ได้พูดภาษาคน และมันสามารถได้ยินเสียงหรือรับรู้คำสั่งของหมอผีได้แสดงว่ามันมีชีวิต แต่มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปราศจากความทรงจำใด ๆ ทั้งสิ้น มันไม่รู้จักชีวิตของตัวมันเอง มันไม่มีความรำลึกของอดีตใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่เคยเข้าใจสภาพ หรือสถานภาพใด ๆ เกี่ยวกับตัวมันเอง มันไม่รู้จักความเจ็บปวดหรือความกลัว..พูดง่าย ๆ ซอมบี้ เป็นเสมือนหุ่นยนต์ที่มีเลือดเนื้อ เหมือนเครื่องจักรชีวอย่างไงอย่างนั้นนั่นเอง

    ชนเผ่าชาไฮติแทบทุกคน รู้จักความชั่วร้ายแห่งไสยดำวูดูเป็นอย่างดี และพวกเขาก็รู้จักซอมบี้ว่ามันมีจริง มันเป็นศพคืนชีพ ทาสรับใช้ของหมอผีหรือผู้มีอำนาจทางไสยดำวูดู พวกชาวบ้านธรรมดาจะสามารถแยกซอมบี้ออกจากหมู่คนธรรมดาได้ทันทีที่ได้เห็น

    กล่าว กันว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา

    ชาวบ้านธรรม ดาในไฮติโดยทั่วไปไม่มีใครกลัวซอมบี้ เพราะไม่เคยปรากฏว่า ซอมบี้ทำอันตรายได้เลย แต่ก็ไม่มีใครกล้ายุ่งเกี่ยวข้องกับซอมบี้ ถ้าเผอิญ ไปเจอมันเข้า สิ่งที่พวกเข้าทุกคนกลัวที่สุดไม่ใช่ซอมบี้ แต่พวกเขากลัวเป็นซอมบี้ กลัวว่าญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงคนที่รู้จัก และตัวเองเมื่อตายไปแล้วจะกลายเป็นซอมบี้ พวกเขาไม่กล้ารับหน้าหรือให้การต้อนรับซอมบี้ผู้มาเยือน ไม่ว่าซอมบี้นั้นจะเคยเป็นพ่อ แม่ พี่น้อง หรือ ใครที่เคยรู้จักสนิทสนมด้วยในตอนที่ยังมีชีวิตอยู่

    ในการทำพิธีฝังศพญาติพี่น้องของตน ชาวไฮติมีพิธีกรรมที่เรียกว่า "ทำให้ตายครั้งที่สอง" เพื่อป้องกันมิให้ศพกลับลุกขึ้นมาเป็นซอมบี้

    แม้ แต่คนที่ยากจนไม่มีเงินจะทำพิธีศพญาติของตน ยังต้องไปนำก้อนหินขนาดใหญ่ ๆ มาทับหลุมฝังศพเพื่อป้องกันมิให้ศพญาติที่ฝังไว้ลุกกลับขึ้นมา

    บาง ครั้งญาติผู้ตายต้องผลัดกันนั่งเฝ้าอยู่ปากหลุมศพ เฝ้ากัน 24 ชั่วโมง ทั้งวันทั้งคืนไม่ให้คลาดสายตา เป็นเวลานับเดือน ๆ จนกว่าจะแน่ใจว่าศพในหลุมที่ฝังไว้นั้นเน่าสลายไปหมดแล้ว เพราะกลัวว่าศพอาจคืนชีพเป็นซอมบี้กลับขึ้นมาใหม่นั่นเอง

    ในพิธีฝัง ศพของผู้มีเงินหน่อย จะต้องนำสิ่งของต่าง ๆ เช่นลูกปัดหินหลากสี ด้ายสีต่าง ๆ หลายหลอด พร้อมกับเข็มเย็บผ้าหลายโหล และเมล็ดพืชเล็ก ๆ บางชนิดอีกหลายร้อยหลายพันเม็ดใส่ไว้ในโลงศพของผู้ตายด้วย สิ่งของต่าง ๆ ดังกล่าวจะต้องผ่านพิธีการปลุกเสกลงของเสียก่อนโดยผู้ทรงคุณทางไสยขาว (white magic ) วิชาลึกลับใช้เวทมนต์ในทางที่ดีทำเครื่องรางของขลังป้องกันภัยอันตรายหรือ ปลุกเสกเมตรามหานิยมฯลฯก่อนการปิดปากโลงศพ และฝังกลบไว้ในป่าช้า เชื่อกันว่า ถ้าศพคืนชีพขึ้นมามันจะไม่ลุกออกมาจากโลง เพราะมัวแต่เล่นสิ่งของเหล่านั้นจนเพลินนั้นเอง

    บางครั้งมีการใส่มีด ที่ลงของลงคาถาไว้ในโลงด้วยหลายเล่ม เพื่อว่าศพคืนชีพเกิดเซ็งขึ้นมาเพราะออกจากโลงไม่ได้ จะได้ฆ่าตัวตายเป็นครั้งที่สอง นอนตายอย่างสงบอยู่ในโลงนั้น พิธีกรรมที่หนักข้อขึ้นไปอีกก็ยังมี กล่าวคือ ก่อนปิดฝาโลง จะจัดการตัดคอศพแยกใส่หีบฝังต่างหาก หรือไม่ก็เอหมุดลงคาถาตอกหน้าอกฝังไว้กับโลงเพื่อป้องกันศพคืนชีพเป็นซอมบี้ พวกไฮติไม่นิยมการเผาศพ แต่ก็มีการเผาศพอยู่เหมือนกัน เชื่อว่าการเผาศพมิได้ช่วยป้องกันซอมบี้แต่อย่างใด เพราะมีเรื่องเล่ากันว่า คนตายที่ถูกเผาไปแล้ว บางทียังกลายเป็นซอมบี้ได้ ขณะกำลังเผา ๆ อยู่ดันลุกพรวดพราดออกมาจากโลงก็มี ไอ้ตัวซอมบี้แบบนี้น่ากลัวน่าสยดสยองกว่าซอมบี้ธรรมดา ร่างกายมันดำไหม้เฟอะ เป็นศพพิการแต่ยังเดินได้

    พวกหมอผีวูดู หรือ พวกจอมคาถาอาคมแห่งวูดู บางคนมีลูกสมุน- ซอมบี้ เป็นกองทัพเลยก็มี นับว่าเป็นทาสผีดิบที่สัตย์ซื่อมาก เรื่องราวต่าง ๆ เกี่ยวกับซอมบี้มีปรากฏอยู่ในบันทึกของชาวตะวันตกที่เดินทางไปอยู่ในแถบไฮติ นับตั้งแต่สมัย ล่าอาณานิคมโน้น วิลเลียม ซีบรุ๊ก ผู้จัดการ ฝ่ายผลิตและส่งออกของบริษัท ผลิตน้ำตาลจากอ้อย(Hailian American Sugar Corporation"เคยเขียนบันทึกไว้ว่า "..มีพวกกรรมกรไร่อ้อยหลาย ร้อยคนเป็นคนงานอยู่ในความดูแลของหมอผีวูดู ซึ่งทำหน้าที่คุมคนงานและจัดหาคนงานมาเข้าทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เหมือนมนุษย์จักรกล.. มีอยู่หลายสิบคนที่มีพวกญาติพี่น้องมาขอตัวกลับเพื่อนำไปฆ่าให้ตายเป็นครั้ง ที่สอง .. ทำให้เกิดปัญหามาก เพราะพวกญาติพี่น้องมาพบว่า คนงานบางคนเป็นญาติหรือ คนที่เข่ารู้จักดีซึ่งตายไปแล้ว และกลายเป็นซอมบี้อยู่ในอาณัติคาถาของหมอผีวูดู ใช่ให้มาทำงานเป็นทาสอยู่ในไร่อ้อย…"

    ซอมบี้คือศพเดินได้จริงหรือ !?

    ถ้า เราสังเกตพวกซอมบี้ จะพบว่า พวกซอมบี้มักจะมีท่าทางการเดินเหินไม่เหมือนคนธรรมดา การเดินของซอมบี้จะโยกเยกตัวไปมามากกว่าคนธรรมดา คล้ายกับว่ามันเป็นเครื่องจักรกลที่เดินได้ มันมีสายตาที่เหม่อลอย ดวงตา ที่ปราศจากแวดของชีวิต และยังกล่าวกันว่า ซอมบี้มีเสียงหายใจที่ดัง และมีจังหวะการสูดลมหายใจเข้าออกข้าเร็วต่างกับคนธรรมดา และสูญเสียความทรงจำ

    "เมื่ออ่านพบว่ามันมีลักษณะคล้ายคนติดยาเสพย์ติดอย่างยิ่ง"

    เช่นในกรณีของ "คลาอุส นารุคิส"
    * เรื่องของคลาอุส นารุคิส(Clairvius Narcisse) เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต ในโรงพยาบาลอัลเบอร์โต ชูไบร่า แห่งเฮติ บันทึกบอกไว้ว่าเขาเสียชีวิตลงเมื่อ 2 พฤษภาคม ใน1962 เวลา 1.45 น. และแพทย์สองคนได้ยืนยันแล้วว่าเขาตายจริงๆ......แต่แล้วในปี 18 ปีต่อมา ผู้คนในหมู่บ้านเวสเทเรบ้านเกิดของคลาอุส ต่างแตกตื่น เมื่อพบคลาอุส นารุคิส ออกมาเดินเพ่นพาน เขาเล่าว่าฟื้นขึ้นมาจากความตายและถูกนำตัวไปกระท่อม เพื่อใช้ทำงานร่วมกับซอมบี้ตัวทำไร่อ้อย และเมื่อความจำของเขากลับคืนมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ มีการยืนยันว่าเขาคือคลาอุส นารุคิสจริงๆ
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Piyacheep S.Vatcharobol ได้แชร์ลิงก์
    ประมาณ 1 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]


    คลิกที่ตรงนี้น่ะครับจะมีภาพเคลื่อนไหวให้ชมครับ - > http://science.nasa.gov/media/medialibrary/2013/11/24/ison_encke_nov19_22.gif

    มองดูคลิปความคืบหน้าของไอซอนให้ได้นะครับ เพราะพอเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากขึ้น อิทธิพลของลมสุริยะ พายุสุริยะ มีผลให้หางไอซอนที่ว่ายาวตรง เป๋ไปเป๋มา

    ดาวหางเอ็นเค้ก โดนพายุสุริยะ หัววูบหางหาย ปีนี้ เอ็นเค้ก วกกลับมาช่วยปฏิกิริยาดวงอาทิตย์ขึ้นสูงสุด ไม่เหมือนปี ๒๕๕๐ ที่เอ็นเค้กเคยโคจรผ่านมาแล้ว

    ดังนั้น เข้าใกล้ถึงวันที่ ๒๘ พายุสุริยะที่ออกมาช่วงต้นนั้น รับรองได้ว่า เร็วรุนแรงพร้อมพลังมหาศาล

    และหากไอซอน วกกลับออกมาโดยไม่ระเบิดจากการเข้าใกล้ดวงอาทิตยเพียงไม่ถึง ๑.๒ ล้านกิโลเมตร และรอดจากโซลาแฟร์ได้

    หางที่เป๋ไปเป๋มาในช่วงวกกลับออกจากดวงอาทิตย์ ก็สามารถมีผลมายังโลกได้แม้นจะโคจรกันคนละระนาบ ถือว่ามีอันตรายต่อโลกมากช่วงขาออก โดยเฉพาะช่วงขาออกระหว่าง ๒๑ ธันวาคม ถึง ๒๑ มกราคม

    สำหรับคลิปนี้ดูดีๆนะครับ มันบ่งชัดว่า มีพลังงานบางอย่างนอกจากพายุสุริยะที่เป็นแนวคลื่นกระเพือมพัดหางดาวหางแล้ว เป๋ไปเป๋มาแล้ว ยังจะเห็นภาพพลังงานบางอย่างที่เร็วมาก พุ่งจากมุมขวาบนผ่านไปมุมล่างซ้าย ดูกันดีๆช้าๆให้เห็นชัดๆครับ สำคัญมากนะครับ ว่ามหาพิบัติภัยนั้น เกิดมาจากนอกระบบสุริยะ มีผลให้ระบบสุริยะเปลี่ยนไป และระบบสุริยะทั้งระบบโคจรเข้ามาในพื้นที่ส่วนหนึ่งของจักรวาลทั้งหมด ที่มีอันตรายมากแบบที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน นับแต่ระบบสุริยะเราและโลกอุบัติขึ้นมา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.gif
      0.1.gif
      ขนาดไฟล์:
      4.7 MB
      เปิดดู:
      3,189
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2013
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ความจริงหลังกึ่งพุทธกาล ได้แชร์ รูปภาพ ของ Chemtrail Thailand
    18 ชั่วโมงที่แล้ว

    [​IMG]

    แผนที่จำลองที่สามารถโต้ตอบได้ สำหรับวัดระดับน้ำทะเลหากท่วมทั่วโลก

    Global Sea Level Rise Map - Global Warming & Climate Change Impact

    แผนที่ๆเราจะสามารถกดเลื่อนทดสอบระดับน้ำ และดูได้ว่า พื้นที่ส่วนไหน จะท่วมมากน้อยเท่าไหร่
    ในภาพเมื่อเลื่อนระดับลงไปที่ + 60 ดูผลที่ได้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      86.2 KB
      เปิดดู:
      4,904
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Newsmania

    [​IMG]

    ชายชาวอินเดียพายเรือกลางแม่น้ำยมุนาท่ามกลางฝูงนกอพยพที่บินเต็มทั่วท้องฟ้า @Joke_Jaith
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Wattana Kanbua

    โครงสร้างของพายุหมุนเขตร้อนระดับไต้ฝุ่นหรือเฮอริเคน

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Surviving Earth Changes 2013 and Beyond ได้แชร์ลิงก์ผ่าน Ison Nibiru

    [​IMG]

    ในคลิปนี้ได้มีบอกเส้นผ่าน ศูนย์กลางของ ISON outer coma ประมาณ250,000 กิโลเมตร ซึ่งใหญ่กว่าเส้นผ่านศูนย์กลางของดาวพฤหัสบดี (Jupiter) ที่มีประมาณ 142,984 กิโลเมตร

    THIS, Is Comet ISON! Amazing New Image Of The Inner Coma of ISON!

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MLXArWXiQEo&feature=player_embedded]THIS, Is Comet ISON! Amazing New Image Of The Inner Coma of ISON! - YouTube[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=MLXArWXiQEo]THIS, Is Comet ISON! Amazing New Image Of The Inner Coma of ISON! - YouTube[/ame]
     
  7. อริยะบาป

    อริยะบาป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +121
    ในห้วงคำนึง...

    ขอขอบคุณกระทู้นี้ ที่มีเรื่องราวอันเป็นประโยชน์ต่อ สมองแก่ๆ ของผม
    รวมทั้งกระทู้อื่นๆไม่ว่า วิทยาศาสตร์ ไสยศาสตร์ ความเชื่อ ในนิมิต หรือคิดขึ้นเอง
    ทั้งหมดนี้ ผมขอขอบคุณมากๆ เพราะทำให้สมองแก่ๆ ของผม มีชีวิตชีวามากมาย
    ผมนับถือและขอแสดงความคารวะ ในความเอื้อเฟื้อข้อมูล เข้ามาพิมพ์
    เอาลิ้งค์มาแชร์ เอารูปมาให้ดู เล่าเรื่องให้อ่าน ขอบคุณจริงๆ

    ผมไม่สนใจหรอกว่า สุดท้ายแล้ว...เรื่องราวนั้นๆ มันจะจริงไม่จริง เกิดไม่เกิด
    หลอกไม่หลอก งมงายไม่งมงาย เพราะผลลัพธ์ ของเรื่องนั้นๆ ไม่สำคัญเท่า น้ำใจที่เอื้อเฟื้อมาให้อ่านให้ศึกษา

    ผมคิดว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงจริงๆ... ก็คงไม่มีใครรู้วันเวลาเป๊ะๆ หรอก
    ใครผิดใครถูก ใครจริงใครหลอก แต่สุดท้าย เรารับกรรมนั้นเท่าๆ กัน

    ทุกวันนี้ มีแต่ด่ากัน ดูหมิ่นกัน เอ็งผิดข้าถูก มึงโง่กูฉลาด
    ความสวยงามของจิตใจที่ให้กัน...มันเหลือน้อยจริงๆ
    มองโลก และคนอื่นให้สวยงามกว่านี้...ดีกว่า

    ไม่มีอะไรครับผมไม่มีความรู้ด้านภัยพิบัติมาแชร์หรอกครับ
    อย่างดีก็แค่เอาลิ้งค์เรื่องอื่นมาแชร์ เพื่ออยากให้ทุกคนผ่อนคลาย

    ขอเสนอ ความงดงามของจิตใจที่อาจหลงลืมหรือมองข้ามไป



    ปลอบโยน (ครั้งสุดท้ายที่คุณเคยทำนานแค่ไหนแล้ว)

    <iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/VpMdJSRMI9w" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ห่วงใย (เราอาจหลงลืมใครไปบ้างหรือเปล่า)

    <iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/E2B2r5VfEqk" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ทุ่มเท (คนที่ลงทุนกับคุณแบบขาดทุนย่อยยัน แต่สุขใจ)

    <iframe width="560" height="315" src="//www.youtube.com/embed/Ndgkq8TxEQQ" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>


    ห่างไกล (ความรัก ห่วงใย ระยะทาง)

    <iframe width="420" height="315" src="//www.youtube.com/embed/XlKqVLgqFaE" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>
     
  8. iamprateep

    iamprateep เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    448
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,685
    สาธุ อ่านแล้วเข้าถึงกำลังใจเลยครับ
    น้ำใจมีมากเท่าไรยิ่งดีครับ ส่วนน้ำข้างนอกเช่นน้ำท่วมนั้น เป็นเรื่องออกไปจากตัวมากแล้ว ก็พิจารณากันตามเหตุตามผล
    ส่วนน้ำใจนี่เป็นสื่อกลาง ที่แสดงตนอย่างเด่นชัดของ"มนุษย์ผู้ประเสริฐ" ... ยิ่งมีมากยิ่งผาสุข ยิ่งสงบ และยิ่งสดใส

    ขอขอบพระคุณข้อความดีๆ หาอ่านไม่ได้ง่ายนักแล้วครับ อ่านจนถึงใจแล้วมีความสบายใจจริงๆ


    ... "รักกันใว้เถิด" ...

    ... ^^ ...
     
  9. เสาวนีย์ วรสิริ

    เสาวนีย์ วรสิริ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +366
    ขอบคุณทุกๆคนที่เอาความรู้มาแบ่งปันกัน อย่างเต็มเหนี่ยว คุณสุกิจ พี่ปิยชีพและทุกคนมีความรู้มากมายเก่งจริงมากๆด้วยขอชื่นชม และขอบคุณในความมีน้ำใจที่แบ่งปันให้เพื่อนๆๆร่วมชะตากรรมเดียวกันได้ทราบและมองสถานะการณ์ออก ทำให้มีโอกาสช่วยชีวิตคนได้มากทีเดียว เป็นบูญใหญ่มหาศาลจริงๆๆค่ะ ขอให้คุณและเพื่อนๆๆทุกคนในเวปนี้ มีความสุข คิดสิ่งใดสมดังปรารถนาในทุกประการ ให้ถึงพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ แม้นไม่ถึงพระนิพพานเพียงใดขอความไม่มีจงอย่าบังเกิดแก่ทุกคน ขอบารมีพระพุทธเจ้าและพระอริยสงค์เจ้าทุกพระองค์ คุ้มครองเพื่อนๆทุกคนและครอบครัวท่านทั้งหลายให้ปลอดภัยและมีความสุขค่ะ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Guide to Safely Viewing Comet ISON on Perihelion Day, November 28 แนวทางการดูดาวหาง ISON อย่างปลอดภัยในวันที่ดาวหางเข้าใกล้ดวงอทิตย์ที่สุด
    by BOB KING on NOVEMBER 25, 2013

    [​IMG]

    The day of truth is fast approaching. Will Comet ISON’s sungrazing ways spark it to brilliance or break it to bits? How bright will the comet become? Studying the latest images from NASA’s STEREO Ahead sun-watching spacecraft, it’s obvious that ISON remains healthy and intact. The most recent pictures taken from the ground confirm that no major breakup has occurred. Assuming that ISON doesn’t crumble apart on Nov. 28, when it passes just 730,000 miles (1.2 million km) from the sun, it could brighten to -4 magnitude or better in the hours leading up to and after the moment of perihelion at 12:24:57 p.m. CST (18:24:57 UT).

    [​IMG]

    For comparison, the planet Venus hovers around -4 magnitude and is routinely visible visible with the naked eye in broad daylight if you know exactly where to look. For the sake of establishing a baseline, let’s imagine that ISON will match Venus in magnitude during its crack-the-whip fling around the sun. Naturally, this would put the comet within range of naked eye visibility smack in the middle of the day. Well, maybe. ISON presents us with a little problem. While it may grow bright enough to view in daylight, it will be very close to the sun on perihelion day. Not only will it be difficult to tease from the solar glare, but with the sun only a degree or two away, there’s a real danger you could damage your eyes if you stray too close.

    [​IMG]

    During the early morning hours of the 28th, ISON will lie approximately 2.5 degrees from the sun’s limb or edge. At the time of perihelion that separation narrows to less than 1/2 degree or one solar diameter. This is likely when the comet will shine brightest, but with the sun so close, it will be next to impossible to spot it with naked eye or binoculars at that time. A carefully-aimed telescope might pick it up, but observers who attempt this must use extreme caution that sunlight not enter the field of view. Come sunset, the distance widens again to a somewhat more comfortable 2.5 degrees.

    Once, when following Venus as a crescent through inferior conjunction, I dared track it within 2.5 degrees of the sun. THAT was almost too close for comfort. I had to avert my vision from a brilliant wedge of internally reflected sunlight along one side of the view and wear sunglasses to temper the brilliance of the “safe zone” where Venus appeared.. Red and polarizing filters can help reduce glare and increase contrast for near-sun viewing of comets and planets.

    [​IMG]

    In mid-January 2007, Comet C/2006 P1 McNaught had a similar close brush with the sun and peaked around magnitude -5. For several days around perihelion on Jan. 12 it was plainly visible with the naked eye in broad daylight. I spotted it 5.6 degrees from the sun at magnitude -3.5 (twice as faint as Venus) at 10 a.m. on Jan. 13 and 5 degrees from the sun the following day when I estimated its magnitude at -4.5. While close, 5 degrees is a much more comfortable distance for comet and inner planet viewing.

    [​IMG]

    Whether naked eye, binocular or telescope, the favorite method for finding Comet McNaught in 2007 remains the best for Comet ISON in 2013. Block out the sun by placing something with a crisp edge in its way. Power poles, buildings, roof gables, church steeples and even clouds make ideal sun filters. They effectively remove the sun and allow you to look as close as is safe. Safety is critical here – never look directly at the sun. The damage to your retina will be swift and painless. No comet is worth losing your precious sense of sight. I’ve been asked if you can simply hold an appropriate solar filter over your eye to dim the sun. Yes you can, but the filter will also completely block your view of the much, much fainter comet. Use the filter instead to dim the sun so you can hunt nearby for the comet.

    [​IMG]

    Since ISON will be 2.5 degrees from the sun in the early morning and again just before sunset, those might be the best times to find it. Compared to the hour or two around perihelion, the glare will be less though ISON will likely be a little fainter. You can use the diagram above, suitable for mid-northern latitudes, to know in what direction from the sun to look for the comet. If ISON becomes at least as bright as Venus and your sky is deep blue and haze-free, you might just see it on Thursday before sitting down to that Thanksgiving turkey dinner. But of course much depends upon the comet.

    [​IMG]

    Don’t fret if it’s cloudy. Head over to the Solar and Heliospheric (SOHO) website. There you’ll have a ringside seat Nov. 27-30 as Comet ISON makes its death-defying turn around the sun. Thereafter it will appear risk-free in the morning sky with what we hope will be a beautiful tail.

    Read more: Guide to Safely Viewing Comet ISON on Perihelion Day, November 28
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      47.2 KB
      เปิดดู:
      1,489
    • 0.2.jpg
      0.2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      36.2 KB
      เปิดดู:
      1,489
    • 0.3.jpg
      0.3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34.1 KB
      เปิดดู:
      1,489
    • 0.4.jpg
      0.4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      35.7 KB
      เปิดดู:
      1,451
    • 0.5.jpg
      0.5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      34 KB
      เปิดดู:
      1,415
    • 0.6.jpg
      0.6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      40.5 KB
      เปิดดู:
      1,469
    • 0.7.jpg
      0.7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.2 KB
      เปิดดู:
      1,466
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ผมว่าเราคงสงสัยกันอยู่ว่าวันขอบคุณพระเจ้าของประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นยังไง ทำไมดาวหาง ISON ต้องไปกลับตัวหันออกจากดวงอาทิตย์ในวันนั้นด้วย การกำหนดวันขอบคุณพระเจ้าของอเมริกามีอะไรมากกว่าสิ่งที่เราท่านทั้งหลายรับทราบหรือเปล่า ผมสงสัยน่ะครับ

    [​IMG]

    วันขอบคุณพระเจ้า (Thanksgiving Day)

    ……….ในประเทศอเมริกา ทุกวันพฤหัสบดีที่ 4 ของเดือนพฤศจิกายน จะเป็นวันขอบคุณพระเจ้าซึ่งชาวอเมริกันจะฉลองขอบคุณ สรรเสริญพระเจ้าที่อวยพระพรพวกเขาทั้งหลายให้มีความสุขทั้งกายและ ใจตลอดปีที่ผ่านมา และนับเป็นวันสำคัญสำหรับ ครอบครัวที่จะอยู่พร้อมหน้ากัน ทุกคนเพื่อรับประทานอาหารเย็น รวมทั้งพูดคุยถึงสิ่งที่ ต้องการขอบคุณพระเจ้า

    ……….ตามความเป็นจริงแล้ว วันขอบคุณพระเจ้านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์เลย แต่เป็นวันที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ของ การอพยพตั้งถิ่นฐานครั้งแรก ในอเมริกาในปี ค.ศ. 1620 เริ่มจากชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งซึ่งเรียกตนเองว่า พิวริแทน (Puritans) นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนท์ ต้องการปรับเปลี่ยนรูปแบบ ศาสนาในประเทศอังกฤษซึ่งในยุคนั้นเป็นนิกาย เชิร์ชออฟอิงแลนด์ (Church of England) ให้เป็นไปตามความเชื่อ เน้นความเรียบง่ายไม่หรูหรา ผลปรากฏว่าพวกพิวริแทน ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้.จนในที่สุดได้ตัดสินใจ ตั้งศาสนจักรเป็นของตนเองเป็นเหตุให้เหล่าขุนนางอังกฤษไม่พอใจและเริ่มทำร้าย ประหัตประหารพวกพิวริแทนจนพวกเขาต้องหนีไปอยู่ ที่ประเทศฮอลแลนด์ซึ่งยังได้รับปัญหาอีกจากการถูกข่มเหงรังแก สืบเนื่องมาจากศาสนา นอกจากนี้พวกเขา ยังรู้สึกเสียใจที่ลูกหลานไม่พูดภาษาอังกฤษ แต่ไปพูดภาษาดัทช์แทน ทำให้พวกเขาคิด ย้ายถิ่นฐานอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้พวกเขานึกถึงการย้ายถิ่นฐานไปยังดินแดนที่ไม่มี ผู้ใดสามารถมายับยั้งหรือขัดขวางการนับถือ ศาสนาตามความเชื่อแะความศรัทธาของพวกเขา จึงตัดสินใจเดินทางกลับประเทศอังกฤษ จากนั้นกลุ่มพิวริแทน พร้อมกับผู้โดยสาร อื่น ๆ ทั้งชายหญิงและเด็กจำนวน 102 คน บนเรือเมย์ลาวเวอร์ (Mayflower) ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่โลกใหม่และพวกพิวริแทน เริ่มเรียกตัวเองว่าพิลกริม (Pilgrims) เนื่องมาจากการท่องหาดินแดนแห่งเสรีภาพทางศาสนานี้

    ………..ระหว่างการเดินทางโดยเรือในเดือนกันยายนเป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดสำหรับการแล่นเรือข้ามมหาสมุทร อย่างไรก็ตามระหว่าง การเดินทางมีผู้เสียชีวิตเพียง 1 คนเท่านั้น และมีทารกแรกเกิด 1 คน ฉะนั้นจำนวนผู้โดยสารบนเรือยังคงมีจำนวนเท่าเดิม หลังจาก ใช้เวลาแล่นเรือประมาณ 65 วัน เรือเมย์ฟลาวเวอร์ มาจอดเทียบท่าที่ พรอวินซ์ทาวน์ฮาร์เบอร์ (Provincetown Harbor) ซึ่งอยู่ในปลายแหลมเคพคอด (Cape Cod) มลรัฐแมซซาชูเสท

    ………..ผู้นำกลุ่มพิวรีแทนทั้งหลายทราบดีว่า เพื่อการอยู่รอดในสังคมทุกๆ สังคมจำเป็นต้องมีกฎระเบียบสำหรับความประพฤติ อันเหมาะสม ดังนั้นผู้ชายประมาณ 41 คนที่อยู่บนเรือเมย์ฟลาวเวอร์ประชุมเลือกผู้ว่าการรัฐคนแรก (The first governor) และเซ็นสัญญาเมย์ฟลาวเวอร์ (The Mayflower Compact) ซึ่งเป็นข้อตกลงทางการข้อแรกสำหรับการปกครอง
    ตนเองในประเทศอเมริกา หลังจากกลุ่มพิลกริมได้ใช้ชีวิตบนเรือประมาณ 1 เดือนและส่งผู้ชายกลุ่มเล็กกลุ่มหนึ่งออกไปสำรวจชายฝั่งอ่าวเคพคอด และเมืองพลีมัธ (Plymouth)

    ………..พวกผู้ช่วยได้พบท่าเรือแห่งหนึ่งซึ่งมีทรัพยากรสมบูรณ์มากเหมาะต่อการเพาะปลูกและการประมงจึงกลับไปที่เรือรายงานสิ่งที่ พวกเขาได้ค้นพบ อีก 2-3 วัน ต่อมาพวกพิลกริมแล่นเรือเมย์ฟลาวเวอร์ข้ามอ่าวเคพคอดไปยังท่าเรือพลีมัธ

    และลงเรือเล็กมาเทียบที่ชายฝั่ง บนหินก้อนใหญ่ ก้อนหนึ่ง ในภายหลังหินก้อนนี้ได้รับการเรียกขานว่า หินพลีมัธ (Plymouth Rock) ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการตั้งถิ่นฐาน ถาวรครั้งที่สองของชาวอังกฤษในอเมริกา

    ………..เมื่อเวลาผ่านไปเข้าสู่ฤดูหนาว (Winter) พวกพิลกริมต้องเผชิญกับการต่อสู้ภัยธรรมชาติ ซึ่งยากที่จะรับมือได้เนื่องจาก ไม่คุ้นเคยและไม่ได้รับการฝึกฝนทนกับความหนาวเย็น การใช้ชีวิตในป่าดงพงไพรอันเต็มไปด้วยโรคต่าง ๆ การทำงานหนัก ตลอดจนอาหารมีไม่เพียงพอ พวกเขาจึงได้รับความทุกข์ทรมานอย่างมากจนถูกคร่าชีวิตไปกว่าครึ่งหนึ่ง เมื่อสิ้นสุดฤดูหนาว จำนวนผู้รอดชีวิตเหลืออยู่แค่ 50 คนเท่านั้น ในเช้าวันหนึ่งของฤดูใบไม้ผลิอันเป็นฤดูกาลถัดจากฤดูหนาว

    ชายชาวอินเดียนแดงคน หนึ่งเดินเข้ามาในหมู่บ้านเล็ก ๆ ของพลีมัธ และแนะนำตัวเองอย่างเป็นมิตรซึ่งในเวลาต่อมาเขาได้นำหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ชื่อแมสซาซอยท์ (Massasoit) นำของกำนัลต่างๆ มามอบให้พวกพิลกริม และยังเสนอความช่วยเหลืออีกด้วย โดยสมาชิกในเผ่าของแมสซาซอยท์ได้สอนวิธีการล่าสัตว์ จับปลาและปลูกพืชให้กับพวกพิลกริม

    นอกจากนี้ยังสอนวิธีการใช้ปลา เป็นปุ๋ยสำหรับปลูกข้าวโพด (Corn) ฟักทอง (Pumpkins) และถั่ว (Beans)มีผลให้พวกพิลกริมสามารถเก็บเกี่ยว พืชผลได้อย่างดีมาก

    ………..ผู้ว่าการวิลเลี่ยม แบรดฟอร์ด (William Bradford) เจริญรอยตามแบบแผนประเพณีเก่าแก่ที่เคยปฏิบัติกันมา ได้กำหนดวันเพื่อขอบคุณพระเจ้าในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 1621 และยังได้ใช้โอกาสทางศาสนานี้สร้างสายสัมพันธ์ อันดีงามระหว่างพวกพิลกริม และเพื่อนบ้านชาวอินเดียนแดงเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ผู้ว่าการวิลเลี่ยมจึงเชื้อเชิญหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง

    นายแมสซาซอยท์ และผู้กล้าของเขาให้มาร่วมงานสังสรรค์การเฉลิมฉลองวันขอบคุณพระเจ้านี้ ซึ่งพวกอินเดียนแดงรับคำเชิญ ด้วยความยินดี และส่งเนื้อกวางมาร่วมงานเลี้ยง ชายฉกรรจ์พิลกริมทั้งหลายจึงออกไปล่าสัตว์ และกลับมายังที่พักพร้อมกับไก่งวง (Turkey) เป็ด ห่าน ปลาค้อด กวาง และสัตว์ป่าอื่นๆ ส่วนผู้หญิงเตรียมอาหารอร่อยๆ ซึ่งทำมาจากข้าวโพด ลูกเเครนเบอรี่ (Cranberry) ผลสควอช (Squash) และฟักทอง

    ………..อาหารมื้อเย็นสำหรับขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกเสร็จเรียบร้อยและถูกนำมาเสริฟนอกบ้าน รวมทั้งกองไฟกองใหญ่ที่ก่อขึ้น เพื่อให้ผู้จัด (Hosts) และแขกผู้มาเยือน (Guests) รู้สึกอบอุ่นถึงแม้ว่าเป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงก็ตามรวมจำนวน
    ของผู้มาร่วมงานเลี้ยงขอบคุณพระเจ้าครั้งแรกประมาณ 90 คน และการฉลองนี้ใช้เวลานานถึง 3 วัน ในวันแรกของงานเลี้ยง พวกอินเดียนแดงใช้เวลาหมดไปกับการกิน ส่วนวันที่สองและสามพวกเขาใช้เวลาต่อสู้แบบมวยปล้ำ วิ่งแข่ง ร้องเพลงและเต้นรำกับ คนหนุ่มสาวในอาณานิคมพลีมัธนับเป็นงานเลี้ยงที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

    ………..ประเพณีการฉลองวันขอบคุณพระเจ้าของคนอเมริกันในยุคปัจจุบันมีที่มาจากการฉลองวันขอบคุณพระเจ้า ครั้งแรกดังกล่าว ดังนั้นอาหารหลักบนโต๊ะอาหารในวันนี้ซึ่งถือเป็นอาหารประจำเทศกาลขอบคุณพระเจ้าจะมีไก่งวงอบยัดไส้ (Roast turkey with stuffing) ผลสควอช ขนมปังข้าวโพด (Corn bread) และซอสแครนเบอร์รี่ (Cranberry sauce) พายฟักทอง (Pumpkin pie) เช่นเดียวกับอาหารที่หาและเก็บเกี่ยวได้ ในยุคสมัยนั้น
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      63.6 KB
      เปิดดู:
      2,434
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Kaokala Fc
    7 ชั่วโมงที่แล้ว
    ...ภัยใกล้ตัว นอนคุยโทรศัพท์ขณะชาร์ตแบตเตอรี่ !!

    [​IMG]

    25 พ.ย. นอนทับโทรศัพท์ขณะชาร์จแบต ถูกไฟดูดดับ

    นายพิสิษฐ ช่างเหล็ก อายุ 28 ปี สภาพนอนคว่ำหน้า ลำตัวทับโทรศัพท์ ในมือซ้ายถือโทรศัพท์ไอโฟน 4 เอส เสียบเข้ากับสายชาร์ตแบตเตอร์รี่ ที่เสียบกับปลั๊กไฟ สภาพศพหน้าอกมีรอยไหม้เกรียม เนื้อตัวแดงไม่สวมเสื้อ สวมกางเกงขาสั้นสีแดง นอนอยู่บนพื้นปูนในห้อง

    สอบสวนนายเชี่ยว ช่างเหล็ก อายุ 52 ปี บิดาผู้ตาย เล่าว่า ตอนเช้าเข้ามาปลุกลูกชายที่นอนอยู่ในห้อง เพราะลูกชายเป็นคนตัวใหญ่ ขี้ร้อน ไม่ชอบสวมเสื้อและจะนอนกับพื้นปูนประจำ เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 24 พ.ย. ที่ผ่านมา ลูกชายได้นอนคุยโทรศัพท์ขณะชาร์ตแบตเตอรี่ และได้ยินเสียงลูกชายร้องคิดว่านอนละเมอจึงไม่ได้สนใจ เพราะลูกชายนั้นมักจะนอนละเมออยู่เป็นประจำ พอรุ่งเช้าเห็นลูกชายนอนคว่ำหน้าอยู่ จึงได้ตะโกนเรียกแต่ไม่ตอบรับ เมื่อเข้ามาจับตัว ก็ถูกไฟฟ้าดูด จึงรีบไปชักปลั๊กสายแบตเตอรี่ที่เสียบกับโทรศัพท์ออก และพลิกหงายร่างลูกชายขึ้นมา ก็เห็นรอยไหม้เกรียมตรงหน้าอก คาดว่าน่าจะถูกไฟดูดมาจากปลั๊กไฟสายแบตเตอรี่ ที่เสียบกับโทรศัพท์มือถือ อย่างไรก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง

    นอนทับโทรศัพท์ขณะชาร์จแบต ถูกไฟดูดดับ | เดลินิวส์ - อ่านความจริงอ่านเดลินิวส์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      33 KB
      เปิดดู:
      2,293
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    โหรฟันธง ลักษณ์ เรขานิเทศ • 30 ตุลาคม เวลา 11:43 น. บริเวณ Bangkok •
    • ดวงกรุงรัตนโกสินทร์ 21เมษายน2325เวลาเช้าหกโมงห้าสิบสี่นาที ลัคนาดวงเมืองราศีเมษ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าให้นำเสาหลักเมืองลงสู่ก้นหลุม หลักแห่งชาตาเมืองก่อกำเนิดแต่บัดนั้น อายุกรุงรัตนโกสินทร์232ปีย่าง หากนับถึงปีปัจจุบัน ดวงเมืองมีดาวอาทิตย์กุมลัคนาดวงเมือง ปรัชญาทางโหราศาสตร์"ยศศักดิ์อัครฐานให้ทายอาทิตย์ อาทิตย์คือองค์มหากษัตรา พระราชาคือความสง่าแห่งแคว้น"เมืองกรุงรัตนโกสินทร์เรืองรุ่งรอดปลอดภัย จำเริญมาด้วยมหาบารมีแห่งกษัตรา เป็นไปตามชาตาเมืองในพื้นเดิม ยุคใดๆ พ.ศ.ใดๆท่ีมีอำนาจการเมือง บุคคลทางการเมืองมาใช้อำนาจแห่งพระมหากษัตริย์ท่ียึดมาแย่งมาชิงมา ตั้งแต่24มิ.ย.2475 บ้านเมืองเป็นเป็นประชาธิปไตยแต่คนไทยมัวหมอง ตรอมตรม คนท่ีกระทำการครั้งนั้นหลังจากนั้นมีชีวิตวิปโยค ไม่มีแผ่นดินอยู่ ตายอย่างโดดเดี่ยว ทรมาน ยามใดอำนาจท่ีแย่งมาชิงมาใช้ประโยชน์หาประโยชน์ทำลายล้างไม่เทิดพระเกียรติองค์กษัตริย์แลราชวงศ์ทั้งทางกายวาจาใจ ต่อหน้าและลับหลัง ชีวิตก็ผุๆพังๆหาดีไม่ได้ เมืองก็ร้อนเป็นไฟ ผู้คนก็แตกสามัคคี ดวงเมืองวางไว้ให้พระมหากษัตริย์เป็น"ธรรมมิกราช" ราชการงานใดๆ ถูกต้องเป็นธรรมคิดถึงนึกถึงอำนาจที่กำลังใช้นี้เคยเป็น "พระราชอำนาจแห่งองค์กษัตรา"แต่เชื่อเถิดคนที่ขึ้นมามีอำนาจและใช้อำนาจ มักจะหลงอำนาจลืมว่าอำนาจนี้เคยเป็นของใคร และสุดท้ายคิดว่า สิ่งที่ทุกคนเคารพนับถือ คือตรายางประทับความถูกต้อง ตามระบบ หรือริดรอนพระราชอำนาจผ่านเพียงคำว่าประชาธิปไตย ใช้มติเอกฉันท์โดยไม่สนใจดวงใจดวงจิตดวงวิญญานแห่งสรรพมงคลแห่งเมืองตามดวงเมืองที่เรืองรุ่งมาหลายสมัย ก็ถึงคราวบรรลัย เพราะอำนาจนี้เคยเป็นพระราชอำนาจเเห่งมหากษัตราตามชาตาเมืองในพื้นเดิม สิ่งใดๆไม่ใช่ของของเรา ใช่คือหลง สมบัติผลัดกันชม หากสมบัตินั้นมีฐานแห่งการเกิดเป็นของผู้ใดท่านใดย่อมมีดวงวิญญาน ดวงพระวิญญาน และเทพยดา พิทักษ์รักษา บ้านเมืองเรา กรุงรัตนโกสินทร์มีดวงชาตาเมืองด้วยรากฐานอย่างนี้" ยอดไผ่ท่ีลืมต้น ตนท่ีลืมตัว"สุดท้ายจะพังทลาย ฝากไว้ให้ท่านที่ศึกษาโหราศาสตร์และท่านที่สนใจในชาตาบ้านเมืองให้เข้าใจครับ

    [​IMG]

    เสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ (ตั้งอยู่ในศาลหลักเมือง ริมถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร) ได้รับการสถาปนา 2 ครั้ง

    ครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก “ได้ตั้งพิธียกเสาหลักเมือง วันอาทิตย์ขึ้น 10 ค่ำ เดือน 6 ปีขาล จัตวาศก จุลศักราช 1144 ตรงกับวันที่ 21 เมษายน พุทธศักราช 2325 ...ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ สูงประมาณ 108 นิ้ว ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 29 ½ นิ้ว ฐานเป็นแท่นกว้าง เส้นผ่านศูนย์กลาง 69 ½ นิ้ว ปลายเสาหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุดวงชะตากรุงรัตนโกสินทร์ ตัวศาลเป็นศาลาเครื่องไม้มุงกระเบื้อง

    ถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หลักเมืองเดิมชำรุด ประกอบกับทรงตรวจดวงพระชาตาของพระองค์ ซึ่งสถิตอยู่ ณ ราศีกัณย์ เป็นอริแก่ลัคนาดวงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ จึงทรงแก้เคล็ดดวงเมือง โดยโปรดให้ขุดเสาหลักเมืองเดิมขึ้นจัดทำเสาหลักเมืองใหม่และทรงบรรจุดวงพระชะตาเสียใหม่ ณ วันอาทิตย์ เดือน 1 แรม 9 ค่ำ จุลศักราช 1214 ตรงกับวันที่ 5 พฤศจิกายน พุทธศักราช 2395 เป็นพระฤกษ์บรรจุดวงพระชาตาพระนครลงในแผ่นทองคำหนัก 1 บาท แผ่กว้าง 5 นิ้ว ทำพิธีจารึกในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม แล้วพระยาโหราธิบดีอัญเชิญมาบรรจุที่หลักเมือง ส่วนตัวศาลซ่อมแปลงเป็นมณฑปจัตุรมุขยอดปรางค์”

    (พระราชพิธีสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี, สำนักวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร, เอนก สีหามาตย์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม เอื้อเฟื้อข้อมูล 17 เม.ย. 56)

    เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดฯ ให้โหรผูกชะตาเมืองกรุงเทพฯ ที่จะสร้างขึ้นใหม่นั้น โหรหลวงได้ทูลเกล้าฯ ถวายดวงเมือง 2 แบบคือดวงเมืองแบบหนึ่ง บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรือง ไม่มีเหตุวุ่นวาย แต่ทว่าจะต้องมีอยู่ระยะหนึ่ง ที่ประเทศไทยต้องตกเป็นเมืองขึ้นของต่างชาติ ส่วนอีกดวงเมืองหนึ่งนั้น ประเทศไทยจะมีแต่เรื่องยุ่งวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด แต่ทว่าจะสามารถรักษาเอกราชได้ตลอดไป

    พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเลือกดวงเมืองตามแบบหลัง เพราะพระองค์คงจะทรงเห็นว่าการที่จะต้องตกไปเป็นเมืองขึ้นของชาติอื่นนั้น แม้บ้านเมืองจะเจริญรุ่งเรืองแค่ไหนก็ไม่มีความหมายอันใด เมื่อสิ้นความเป็นไทย

    …แน่นอนว่าลูกหลานเหลนในวันนี้ต้องมีเห็นต่าง…
    แม้พบแล้วก็ตามว่าเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์อยู่ไม่น้อย ที่ในสมัยในรัชกาลที่ 4-5 นั้น บ้านเมืองต่างๆ โดยรอบประเทศไทย ไม่ว่าลาว เขมร พม่า มลายู ต่างตกเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสและอังกฤษจนหมดสิ้น แม้แต่ประเทศใหญ่อย่างอินเดีย ก็ยังตกเป็นของอังกฤษ มีแต่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียวเท่านั้นที่รักษาเอกราช คงความเป็นไทยมาตลอด
    รูปลักษณ์ของเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ นั้น เสาเดิมจะเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีใครเคยเห็น เพราะเหตุว่าได้มีการเปลี่ยนเสาหลักเมืองกรุงเทพฯ เมื่อสมัยรัชกาลที่ 4 เสาหลักเมืองที่เปลี่ยนใหม่ ทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์ต้นใหญ่ มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 30 นิ้ว สูง 108 นิ้ว ตรงปลายเสาทำเป็นรูปหัวเม็ดทรงมัณฑ์ บรรจุดวงชะตาของกรุงเทพฯ ไว้ภายในดังเดิม
    แต่สิ่งที่ไม่เป็นเช่นเดิมดังพิธีพราหมณ์ในอินเดียคือความเชื่อที่ว่า เพื่อให้หลักเมืองศักดิ์สิทธิ์และเฮี้ยน มักจะมีการนำคนมาฝังทั้งเป็นพร้อมกับการตั้งเสาหลักเมืองด้วย (เหมือนกับประเพณีบูชายันต์ของศาสนาพราหมณ์ในอดีต ที่ให้ฆ่าสัตว์เป็นๆ 10 ชนิด มี เด็กผู้ชาย เด็กผู้หญิง ช้าง ม้า ฯลฯ บูชายันต์ ซึ่งพระพุทธศาสนาสอนให้เลิกพิธีแบบนี้ ดังปรากฏในชาดกอยู่หลายเรื่อง ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร ตั้งอยู่บริเวณมุมด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ของท้องสนามหลวง ตรงข้ามพระบรมมหาราชวัง ถนนหลักเมือง แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

    มีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องพิธียกหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ครั้งแรก

    “..กระทำพิธีตามตำรา พระราชพิธีนครสถาน อันเป็นตำราที่กล่าวถึงการฝังหลักเมืองโดยเฉพาะ ในตำรากล่าวว่า ให้เอาไม้ไชยพฤกษ์มาทำเสาหลักเมืองเอาไม้แก่นประดับนอก ...ภายในไว้เป็นช่องสำหรับเป็นที่บรรจุดวงพระชันษาพระนคร

    หลังจากที่ได้ทำพิธีต่างๆ เรียบร้อยแล้ว เมื่อใกล้จะถึงเวลาพระฤกษ์ พระโหราฯ กล่าวโศลกบูชาฤกษ์ แล้วพระมหาราชครูอ่านกระแสพระบรมราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งในพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิต ลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไป เริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจจิม และอุดร จากนั้นก็นำแผ่นศิลาลงยันต์สำหรับรองรับวางบนก้อนดินทั้ง 4 นั้น ส่วนภายในก้นหลุมทำการตกแต่งอย่างเรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ มีใบไม้อันเป็นมงคลครบ 8 ประการโปรยปรายแก้วนพรัตน์เรียงรายภายในก้นหลุมนั้น” (ส. พลายน้อย (นามแฝง) เล่าเรื่องบางกอก พิมพ์ครั้งที่ห้า กรุงเทพ: รวมสาสน์, 2535 อ้างเอกสารข้างต้น)

    “เสาพระหลักเมืององค์ปัจจุบันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงบรรจุดวงเมืองไว้ พร้อมทั้งตกแต่ง เทพารักษ์ โดยปิดทองใหม่ทั้ง 5 องค์ คือ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าพ่อหอกลอง เจ้าพ่อเจตคุปต์” (พระราชพิธีสมโภชหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี, อ้างแล้ว)

    เสาหลักเมืองกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อแรกสร้าง 21 เมษายน 2325 มาบัดนี้มีอายุ 231 ปี ตามโบราณราชประเพณีมีพิธีบวงสรวงพระเทพารักษ์ ณ ศาลหลักเมือง เพื่อเป็นสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่พระมหานครรัตนโกสินทร์สืบไป

    เกร็ดประวัติดวงเมืองกรุงเทพ

    เมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ.2325 เป็นวันที่ถือว่าเป็นวันเกิดของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งการทำพิธีวางฤกษ์อย่างใหญ่โตตามพิธีสร้างเมืองสำหรับท้าวพระยามหากษัตริย์ วันนั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ซึ่งทรงเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วยมหาสมณะชีพราหมณ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของชนชาติไทยได้เข้ามาร่วมทำพิธีกันเป็นเวลา 4 วัน 4 คืน

    ตามประเพณีของการสร้างเมืองนั้น มีคำบอกกล่าวกันมาว่าที่หลุมฝังเสาหลักเมืองนั้นจะต้องฆ่าคนที่มีชื่อตามโฉลก คือ อิน, จัน, มั่น, คง เพื่อทำหน้าที่รักษาเมืองให้มีความรุ่งเรืองมั่นคง แต่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้นไม่มีคนที่มีชีวิตถูกนำไปสังเวยไว้ในหลุมตามที่เล่าลือกัน เป็นแต่มี งูเล็ก 4 ตัว ไปนอนฝังตัวอยู่ก้นหลุมโดยไม่มีใครเห็น จนกระทั่งหย่อนเสาลงไปในหลุม และถึงเวลากลบเสาแล้วจึงปรากฏว่างูเล็กทั้ง 4 ตัวนั้นเลื้อยอยู่ที่ก้นหลุม และโดยไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ เพราะพิธีการต่างๆ ได้กระทำเสร็จสิ้นลงไปแล้ว ก็จำเป็นต้องกลบดินลงไปจนไม่คำนึงถึงงูทั้ง 4 ตัวนั้นอีกต่อไป

    แต่ทั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ขุนโหรและผู้รู้ทั้งสมณะชีพราหมณ์ทั้งหมดก็ได้เห็นได้รู้กันว่า นั่นเป็นเรื่องอาถรรพณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อบอกกล่าวว่าจะต้องมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับบ้านเมืองอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น แต่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ไม่มีใครรู้ แม้แต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ก็ไม่อาจจะทำนายได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น?

    แต่เรื่องราวในวันนั้นได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารที่มีชื่อว่า จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี มีข้อความว่า

    "ณ วันอาทิตย์ เดือน 7 ขึ้น 1 ค่ำ ปีระกาเอกศก เวลาบ่าย 3 โมง 6 บาท อสุนีบาติพาดสายตกติดหน้าบันมุขเด็จเบื้องทิศอุดร ไหม้ตลอดทรงบนปราสาท ปลายหักฟาดลงพระปรัสซ้ายเป็นสองซ้ำลงซุ้มพระทวารแต่เฉพาะไหม้

    พระโองการตรัสว่า เราได้ยกพระไตรปิฎก เทวาให้โอกาสแก่เรา ต่อเสียเมืองจึงเสียปราสาท ด้วยชะตาเมืองคอดกิ่วใน 7 ปี 7 เดือน เสร็จสิ้นพระเคราะห์เมือง จะถาวรลำดับกษัตริย์ถึง 150 ปี"

    คนไทยทุกคนหรือส่วนมาก จะเคยได้ยินคำว่าดวงเมืองหรือดวงชะตาเมืองกันมาแต่อาจจะไม่เคยสนใจความสำคัญของดวงเมืองที่พูดกันนั้นว่า มันมีความสำคัญเพียงไร บางคนอาจจะมองว่าเป็นเรื่องความเพ้อฝันหรืองมงายไปก็ได้

    แต่สำหรับผู้ปกครองประเทศของไทย เฉพาะพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นต้นมา จนกระทั่งถึงพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ได้ดวงชะตาเมื่อที่ว่านี้มาเป็นประโยชน์ในการบริหารและการปกครองประเทศไม่มากก็น้อย ทุกพระองค์ทรงใช้มาทั้งนั้น

    ดวงชะตาเมืองที่ผูกขึ้นตามวันเวลาในวันนั้น ได้เป็นเครื่องมือชี้ทางให้พระองค์ดำเนินการปกครองบ้านเมืองมาตลอด เฉพาะในรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกพร้อมด้วยสมณะชีพราหมณ์จำนวนมากร่วมชุมนุมวางฤกษ์ดวงเมืองและฝังเสาหลักเมืองนั้น พระองค์ได้ประสบการณ์สองประการก็คือในขณะที่พราหมณ์ปุโรหิต และสมณะชีพราหมณ์นั่งล้อมกันทั้งปะรำบริเวณที่จะฝังเสาหลักเมืองและขุดหลุมเอาผ้าปูก้นหลุมพร้อมด้วยสรรพเวทย์มหายันต์รองไว้อย่างเรียบร้อยเห็นกันอยู่ทุกตัวคน เมื่อเอาเสาหลักเมืองที่ทำด้วยไม้กัลปพฤกษ์ลงไปนั้น ก็ปรากฏว่างูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนอยู่ และต้องฝังทั้งเป็นลงไป ทั้งพระองค์และผู้รู้ในสมัยนั้นเกิดความเป็นห่วงกังวลว่า อะไรจะเกิดขึ้นแก่บ้านเมืองต่อไปอีก หลังจากที่สงครามเก้าทัพของพม่าที่มาประชิดบ้านเมืองอยู่ ไม่ได้ถือว่าการลงไปนอนตายในหลุมหลักเมืองของงูทั้งสี่ตัวนั้น เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ถือว่ามันเป็นอาถรรพณ์ที่บอกกล่าวว่าจะต้องมีเหตุการณ์ร้ายแก่บ้านเมืองแน่นอน!

    หลังจากเรียกประชุมชีบานาสงฆ์และผู้รู้ขบคิดกัน ก็ไม่มีใครสามารถจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่กี่วันก็เกิดฟ้าผ่าลงที่ยอดปราสาทพระที่นั่งอมรินทร์วินิจฉัยขึ้นมา ทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงทำนายออกมาได้ว่าบ้านเมืองในระยะนั้นจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นร้ายแรง แต่อีก 150 ปีข้างหน้ากรุงเทพฯตามดวงชะตาเมืองมันก็จะเปลี่ยนจากระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นอย่างอื่น ซึ่งพระองค์ทรงรับสั่งว่า "จะถาวรลำดับกษัตริย์ไปอีก 150" ซึ่งต่อมาเมื่อถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ก็มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ซึ่งเป็นความแม่นยำและถูกต้องอย่างไม่น่าเชื่อของคนไทยโบราณ ซึ่งเมื่อเทียบกับคนทุกวันนี้ก็คือคนที่ไม่มีการศึกษา ไม่ได้เป็นประเทศหรือพูดภาษาต่างประเทศไม่ได้ อย่างที่เรายึดถือกันอยู่ในทุกวันนี้ว่าคนพวกนี้เท่านั้นที่จะเป็นคนมีความรู้และมีการศึกษาตามคติของคนไทยยุคปัจจุบัน เช่นเดียวกับในสมัยรัชกาลที่ 6 เมื่อจะเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยจะต้องตัดสินใจถือโอกาสนี้หาทางแก้ไขปัญหาเอกราชและอธิปไตยอันเนื่องมาจากสัญญาถูกบังคับให้ต้องยอมรับตั้งแต่สมัย ร.ศ.112 โดยการสร้างอำนาจต่อรองขึ้นกับสัมพันธมิตร ไทยจะต้องส่งทหารเข้าไปร่วมรบกับสัมพันธมิตร เพราะยังไงก็ทรงเชื่อว่าสัมพันธมิตรจะประสบชัยชนะไทยก็ต้องมีส่วนร่วมในชัยชนะนั้นด้วย เมื่อสงครามสงบ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงรีบเสนอแก้ไขกฎหมายทาสระหว่างไทยกับประเทศตะวันตกที่ทำให้ประเทศไทยตกเป็นทาสของประเทศตะวันตกทันที

    หลายต่อหลายวันที่ทรงตัดสินพระทัยและจะประกาศวันส่งทหารไทยไปฝรั่งเศส นักโหราศาสตร์ชั้นนำตั้งแต่พระยาโหราธิบดีลงมาจนถึงคุณพระคุณหลวงหลายท่านถูกกับตัวไว้ในวังไม่ให้ออกมาข้างนอก เพราะเกรงว่าข่าวที่ไทยจะส่งทหารไปช่วยสัมพันธมิตรจะทำให้เสียการได้

    ก็ดวงเมืองนี้แหละที่พระองค์ทรงให้กรมโหรสมัยนั้นหาฤกษ์ยามและพิจารณาตัดสินใจว่าจะต้องอ้าขาผวาปีกถึงขนาดนั้นหรือไม่ จากดวงชะตาเมืองดวงนี้?

    เฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 4 ดวงเมืองได้มีโอกาสใช้มากที่สุดเกือบทุกด้าน เฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับดินน้ำลมไฟที่จะมีผลดีและผลร้ายที่จะเกิดขึ้นแก่ประชาชนและบ้านเมือง เฉพาะการโคจรของดวงดาวต่างๆ ตามฤดูกาลที่จะมีผลต่อพืชพันธุ์ธัญญาหารในบ้านเมือง

    ดวงชะตาเมืองที่ได้มีการฝังหลักเมืองในวันที่ 21 เมษายน 2325 เต็มไปด้วยบรรยากาศของอิทธิและอาถรรพณ์หลายประการ เฉพาะอย่างยิ่งที่คนโบราณเชื่อกันก็คือ ทั้ง 4 มุมเมืองนั้น ถูกฝังอาถรรพณ์สรรพเวทย์มหายันต์ไว้ทั้งสี่ทิศเพื่อป้องกันศัตรูและเสนียดจัญไร อันตราย และคนชั่วที่จะเข้ามาก่อกวนให้เกิดเป็นภัยต่อบ้านเมือง ไม่ว่าจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ประการใด

    ในสมัยก่อนนั้น คนโบราณทุกคนจะต้องมีคาถาอาคมและของขลังติดตัวกันทุกคน เฉพาะผู้เชี่ยวชาญในเวทมนตร์คาถาที่จะเสกเป่าหรือทำพิธีอะไรแสวงหาประโยชน์นั้น เชื่อกันว่ามีจริงๆ แต่คนเหล่านี้ถ้าเข้ามาในบริเวณกรุงเทพฯแล้ว ไม่ว่าจะมุมไหนใน 4 มุมนั้น เวทมนตร์คาถาที่ว่าขลังและมีอิทธิฤทธิ์ จะสูญสิ้นไปทันที

    ดวงชะตาเมืองไทยได้บอกให้คนที่สนใจเชื่อถือในความศักดิ์สิทธิ์และอาถรรพณ์มาตลอดเวลา 200 กว่าปีที่ผ่านมา ทั้งคำสาปแช่งและอาถรรพณ์นานาประการ ยังคงมีความสำคัญอยู่ และยังน่าจะเชื่อกันได้ต่อไปว่าอาถรรพณ์และความศักดิ์สิทธิ์ที่โบราณได้ปลุกเสกไว้ทั้งสี่มุมเมืองนั้น น่าจะยังมีความสำคัญอยู่แน่

    เฉพาะอย่างยิ่ง คนชั่วที่มีชีวิตอยู่ด้วยความทุจริตคิดมิชอบต่อบ้านเมืองอย่างใดอย่างหนึ่ง แม้แต่การคอรัปชั่นกินบ้านกินเมืองกันอย่างอึกทึกครึกโครมทุกวันนี้ ก็ไม่น่าจะสวัสดีมีชัยกันไปได้อย่างวัฒนาถาวรไปนานนัก เพราะเมื่อนำดวงดาวที่มีอยู่ในดวงชะตาเดิมเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2325 และดาวจรที่โคจรอย่างน่าดูอยู่ทุกวันนี้มาดูกัน

    เกร็ดประวัติดวงเมืองกรุงเทพ - myhora.com


    @ ตำนาน อิน จัน มั่น คง
    ศาลหลักเมืองกลายเป็นหนึ่งในโปรแกรมทัวร์ วัด-วังที่ขึ้นหน้าขึ้นตาในวันนี้
    มีเรื่องสืบกันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โบราณถือว่าพิธีสร้างพระนครหรือสร้างบ้าน สร้างเมือง ต้องฝังอาถรรพณ์ 4 ประตูเมือง ต้องฝังเสาหลักเมือง

    การฝังเสาหลักเมืองและเสามหาปราสาทต้องเอาคนที่มีชีวิตทั้งเป็น ลงฝังในหลุม เพื่อให้เป็นผู้เฝ้าทวารมหาปราสาทบ้านเมือง ป้องกันอริราชศัตรูมิให้มีโรคภัย ไข้เจ็บเกิดแก่เจ้าฟ้ามหากษัตริย์ผู้ครองนครบ้านเมือง ในการทำพิธีกรรมดังกล่าว ต้องเอาคนที่ชื่อ อิน จัน มั่น คง มาฝังลงหลุม จึงจะศักดิ์สิทธิ์และขณะที่นายนครวัฒเที่ยวเรียกชื่อ อิน จัน มั่น คง ไปนั้น ใครโชคร้ายขานรับขึ้นมาก็จะถูกนำตัวไปฝังในหลุม หลุมเสาหลักเมืองนั้น จะผูกเสาคานใหญ่ชักขึ้นเหนือหลุมนั้นในระดับสูงพอสมควร โยงไว้ด้วยเส้นเชือกสองเส้นหัวท้ายให้เสาหรือซุงนั้นแขวนอยู่ตามทางนอนเหมือนอย่างลูกหีบ

    ครั้นถึงวันกำหนดที่จะกระทำการอันทารุณนี้ ก็เลี้ยงดูผู้เคราะห์ร้ายให้อิ่มหนำสำราญแล้ว แห่แหนนำไปที่หลุมนั้น พระเจ้าแผ่นดินมีรับสั่งให้บุคคลทั้งสามนั้นเฝ้าประตูเมืองไว้ด้วย และให้เร่งแจ้งข่าวให้รู้กันทั่ว เมื่อคนมาชุมนุนกันเขาก็ตัดเชือกปล่อยให้เสาหรือซุงหล่น ลงมาบนศีรษะผู้เคราะห์ร้ายผู้ตกเป็นเหยื่อของการถือโชคถือลางนั้น บี้แบนอยู่ในหลุม
    คนไทยเชื่อว่าผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้จะกลายสภาพเป็นอารักษ์จำพวกที่เรียกว่า ผีราษฎร คนสามัญบางคนก็กระทำการฆาตกรรมแก่ทาสของตนในทำนองเดียวกันนี้ เพื่อใช้ให้เป็นผีเฝ้าขุมทรัพย์ที่ตนฝังซ่อนไว้ ตัวอย่าง การสร้างราชธานีใหม่ของพม่า
    เมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมจึงมีกำแพงกันสี่ด้าน แต่ละด้านมีประตูเมือง 3 ประตู รวมเป็น 12 ประตูด้วยกัน

    การฝังอาถรรพณ์ก็เป็นคนเป็นล้วนๆ ถึง 52 คน ฝังตามประตูเมืองประตูละ 3 คน 12 ประตูก็เป็นทั้งหมด 36 คน และเฉพาะใต้พระที่นั่งในท้องพระโรงต้องฝังถึง 4 คน และคนที่ถูกฝังทั้งเป็นเพื่อเป็นผีคอยรักษาเมืองและพระราชวังนั้นต้องเลือกให้ได้ลักษณะตามที่โหรพราหมณ์กำหนด ไม่ใช้นักโทษที่ต้องโทษประหาร แต่จะเป็นคนที่อยู่ในวัยต่างๆ กัน มีตั้งแต่คนมีอายุจนถึงเด็กทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทุกคนต้องมีฐานะดีเป็นที่ยกย่องในกลุ่มชน และต้องเกิดตามที่โหรกำหนด ถ้าเป็นชายต้องไม่มีรอยสัก ผู้หญิงต้องไม่เจาะหู เมื่อสั่งเสียร่ำราญาติพี่น้องแล้วก็จะถูกนำตัวไปลงหลุมญาติพี่น้องก็จะได้รับพระทานรางวัล

    ดวงเมืองไทยมีคำสาปแช่ง-ระวังความฉิบหาย
    โดย ยอดรัก ตวันรอน

    “พระโหรา กล่าวโศลกบูชาฤกษ์และพระมหาราชครูอ่านกระแสพระราชโองการตั้งพระมหานคร ขุนโหรเริ่มประกอบพิธีกล่าวอุทิศเทพสังหรณ์ อัญเชิญก้อนดินซึ่งพลีมาแต่ทิศทั้ง 4 แห่งพระนคร กระทำให้เป็นก้อนกลมดุจลูกนิมิตลงสู่ก้นหลุมเป็นลำดับกันไปเริ่มแต่ทิศบูรพา ทักษิณ ปัจฉิมและอุดร จากนั้นนำแผ่นศิลาเลขยันต์สำหรับรับรองหลักวางลงบนก้อนดินทั้ง 4 ก้อนนั้น ส่วนภายในก้นหลุมนั้นเล่าก็ได้ตกแต่งไว้เรียบร้อย กรุด้วยผ้าขาวสะอาดบริสุทธิ์ ดาษไปด้วยใบไม้อันเป็นมงคล 9 ประการ โปรยปรายแก้วนพรัตน์ไว้เรียงรายโดยรอบขอบปริมณฑลภายในก้นหลุมนั้น”

    ขณะที่ได้พระฤกษ์ พระโหราย่ำฆ้องบอกกำหนดพระฤกษ์ ชีพราหมณ์เป่ามหาสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ เจ้าพนักงานประโคมดุริยางค์แตรสังข์และพิณพาทย์ เจ้าหน้าที่ประจำยิงปืนใหญ่เป็นมหาพิชัยฤกษ์ เริ่มพระราชพิธีอัญเชิญเสาหลักเมืองลงสู่หลุม โดยวางไว้บนแผ่นศิลายันต์ ทันทีนั่นเอง ก็เกิดปรากฏการณ์เป็นมหัศจรรย์ขึ้น โดยปรากฏว่ามีงูตัวเล็กๆ 4 ตัว ปาฏิหาริย์ลงไปอยู่ในหลุมนั้น และก็บังเอิญบันดาลให้ทุกคนที่ไปร่วมชุมนุมประกอบพิธีอยู่ ณ ที่นั่น ได้เห็นงูในขณะที่เคลื่อนเสาหลักเมืองนั้นลงไปในหลุมเสียแล้ว ซึ่งเมื่อก่อนที่จะยกเสาลงสู่หลุมนั้น หาปรากฏว่ามีงู 4 ตัวดังกล่าวนั้นไม่ และก็หมดโอกาสที่จะแก้ไขประการใดๆ ได้ทั้งสิ้น เพราะเมื่อตอนที่เห็นงูนั้น เป็นขณะที่เสาได้เคลื่อนลงหลุมแล้ว จึงจำเป็นจะต้องปล่อยให้เลยตามเลยไป โดยปล่อยให้เสาลงไปในหลุมและกลบดินให้แน่น ทำให้งูทั้ 4 ตัวนั้น ต้องตายอยู่ภายในก้มหลุมนั่นเอง

    เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในขณะที่ฝังเสาหลักเมืองนี้ ได้ยังพระวิตกให้แก่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ เป็นอันมาก ทรงเรียกประชุมเหล่าเสวกามาตย์ราชบัณฑิตปุโรหิตาจารย์ พระราชาคณะและบรรดาผู้รู้ทั้งปวงมาร่วมประชุมวิจารณ์ถึงเหตุการณ์ที่บังเกิดขึ้นครั้งนี้ว่า จะเป็นมงคลนิมิตหรืออวมงคลนิมิต บรรดาผู้รู้ทั้งปวงต่างก็ให้ความเห็นสอดคล้องต้องกันว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้จัดว่าอยู่ในจำพวกอวมงคลนิมิต แต่ก็ไม่สามารถจะชี้ลงไปได้ว่า ผลจะปรากฏออกมาในทำนองใด นอกจากจะลงความเห็นว่างูเล็กทั้ง 4 นั่นแหละ จะเป็นมูลเหตุนำความอวมงคลให้แก่บ้านเมือง

    แต่ก็เกิดเหตุการณ์ที่ถือว่าเป็นการบอกกล่าวของเทพยดาฟ้าดินขึ้นมาในระยะนั้น โดยเกิดฟ้าผ่าไฟไหม้พระที่นั่งอมรินทร์มหาปราสาท ทำให้ทรงพระราชวินิจฉัยออกมาว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์เมือง โดยที่เทพยดาบันดาลให้เกิดฟ้าผ่าจนไฟไหม้พระมหาปราสาท ตามธรรมดาต้องเสียเมืองก่อนจึงจะเสียพระมหาปราสาท คราวนี้ได้เสียพระมหาประสาทไปแล้วเท่ากับเสียเมืองไป เพราะเหตุที่ชะตากรุงเทพมหานครในระยะเริ่มตั้งแต่ฝังเสาหลักเมืองมานั้น ชะตาเมืองอยู่ในเกณฑ์ร้ายถึง 7 ปี 7 เดือน เป็นอันเสร็จสิ้นพระเคราะห์เมืองไป และจะถาวรลำดับกษัตริย์ไป 150 ปี (เทพย์ สาริกบุตร “โหราศาสตร์ในวรรณคดี”)

    คนไทยทุกคนที่อยู่ในกรุงเทพฯ หรือเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ก็คงจะได้พบได้เห็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก เป็นประธานในการทำพิธีฝังตามคัมภีร์ของคนไทยที่ชื่อว่า คัมภีร์พระนครฐาน แต่สำหรับคนธรรมดาสามัญทั่วไป หรือเฉพาะคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ นับจำนวนล้านๆ คน อาจจะไม่เคยทราบว่าการทำพิธีฝังเสาหลักเมืองในวันนั้น เป็นเรื่องไม่ธรรมดาพิลึกพิลั่นและมีเหตุการณ์อันประหลาดมหัศจรรย์มากมายเพียงใด หรือคนโบราณเขาได้ทำกันอย่างไร และมีอะไรประกอบขึ้นมาบ้างก่อนที่จะมาเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ จึงสามารถทำให้พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายทายทักออกมาได้ว่า นับตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2325 เป็นต้นไป ระบอบการปกครองของไทยจะต้องเปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปเป็นประชาธิปไตยอย่างที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ และยิ่งไปกว่านั้น การเปลี่ยนแปลงในวันทำเสาหลักเมืองนั้น ทุกคนที่ร่วมชุมนุมทำพิธีเหล่านั้น ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ และบรรดาชีบานาสงฆ์ฐานันดรสูงสุดของประเทศ ได้เห็นเป็นประจักษ์พยานว่า มันมีสิ่งบอกเหตุว่าจะต้องเกิดขึ้น เพราะในหลุมลึกที่ฝังเสาหลักเมืองที่กรองก้นหลุมไว้ด้วยผ้าขาวและสรรพคาถาอาคมและสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายนั้น เมื่อเวลานำเสาลงหลุมเสร็จและกำลังจะกลบด้วยดินตามปกตินั้น ทุกคนก็ได้เห็นว่ามีงูเล็ก 4 ตัวลงไปนอนเล่นอยู่ในหลุม โดยที่ไม่มีทางแก้ไขอะไรได้ นอกจากถมให้ตายลงไป และงูตัวนั้น โบราณหรือกษัตริย์ของกรุงรัตนโกสินทร์ทรงทราบว่า มันบอกถึงการสิ้นสุดของระบอบราชาธิปไตยของคนไทย ว่าการสิ้นสุดของระบอบนั้นจะเกิดจากการถือกำเนิดของเชื้อพระวงศ์ 4 พระองค์ของกรุงรัตนโกสินทร์ และเหตุการณ์ก็เป็นจริงเพราะว่าจากวันนั้นมาถึงวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นวันที่ครบ 150 ปี จากวันที่ฝังเสาหลักเมืองและการตายของงูทั้ง 5 ตัวนั้นเหมือนกับนัด

    ในระยะนั้น เจ้านาย 4 พระองค์เป็นผู้รับผิดชอบกิจการของบ้านเมือง ทั้งฝ่ายนอกฝ่ายในคือ
    (1) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
    (2) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิจ
    (3) กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน
    (4) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงเพชรบุรีราชสิรินทร
    ซึ่งทุกพระองค์ทรงมีพระราชสมภพในปีเดียวกันทั้ง 4 พระองค์คือ ปีมะเส็งซึ่งหมายถึง งูเล็กหรืองูทั้ง 4 ตัวที่ตายอยู่ในหลุมฝังเสาหลักเมืองวันนั้น

    ดวงชะตาเมืองที่จัดทำขึ้นวันนั้น มันมีอาถรรพ์และมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนไทยโบราณ และมันแสดงให้เห็นเป็นประการแรกที่พิสูจน์ได้

    สมัยเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์ หรือคนโบราณรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิดหรือจะสิ้นอายุ 150 อายุพระนครตามที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงให้คำทำนายไว้นั้น ตามประเพณีไทยก็ต้องไปทำบุญแก้เคล็ดหรือสะเดาะเคราะห์ไว้ก่อน เพราะฉะนั้นเจ้าฟ้าทั้ง 4 พระองค์นี้ก็ได้ร่วมกันสร้างตึกขึ้นหลังหนึ่งที่เรียกว่า ตึกสี่มะเส็ง ที่บริเวณโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์หรือที่สถานเสาวภาทุกวันนี้

    การที่จะคาดหมายว่าอะไรจะเกิดขึ้นอย่างไรของคนโบราณอย่างที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงทำนายไว้นั้น ความจริงไม่เพียงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเท่านั้น แต่ตามประเพณีก็จะดูกันจากดวงชะตาเมือง ซึ่งโหรไทยหรือนักศึกษาโหราศาสตร์ไทยทุกคนก็จะรู้กันดีว่าเอาอะไรมาทำนายทายทักกันอย่างไร

    อย่างไรก็ตาม เรื่องของขนบประเพณีในการสร้างบ้านสร้างเมืองหรือหลักการสร้างบ้านสร้างเมืองตามพิธีนครฐานนั้น เต็มไปด้วยกฎเกณฑ์ร้อยแปดที่จะต้องการสองประการคือ (1) จะต้องมีอาถรรพ์หรือคำสาปแช่งนานาประการที่จะป้องกันเสนียดจัญไรหรืออันตรายทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นแก่บ้านเมือง ผู้ใดที่ไม่หวังดีหรือได้กระทำความชั่วให้เกิดเหตุร้ายแก่บ้านเมืองจะต้องวินาศฉิบหายไป อริราชศัตรูหรือผู้ไม่หวังดีต่อบ้านเมืองที่กระทำการอันเป็นโทษต่อบ้านเมืองนั้น จงแพ้ภัยแก่ตัวเองและจะประสบความวินาศฉิบหายไป (2) ให้ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ไม่ให้ผู้คนอดอยากและได้รับเวรภัยใดๆ ให้ประสบแต่ความสมบูรณ์พูนสุขทั้งบ้านเมือง ทั้ง 4 มุมเมืองของกรุงเทพมหานครนั้น คนโบราณเล่ากันต่อไปว่าได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้งทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออกและตะวันตก เพื่อป้องกันคนชั่วและคนที่มีความประสงค์ร้ายต่อบ้านเมืองอย่าได้มีโอกาสเข้ามาพ้นจากมุมที่ท่านฝังอาถรรพ์เหล่านั้นไว้เป็นอันขาด

    ว่ากันว่าคนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางคาถาอาคมหรือเครื่องลางของขลังแน่นขนาดไหนก็ตาม เพียงแต่เดินผ่านมุมเมืองทั้งสี่มุมใดมุมหนึ่งเข้ามา ท่านก็ว่าวิชาอาคมทั้งปวงก็จะเสื่อมหมด ไม่ว่าจะชื่อเณรแอหรืออาจารย์กู้และหลวงตาจันทร์ก็เถอะ ดีไม่ดีติดคุกเอาง่ายๆ ในชีวิตจะหมดสิริมงคลทำมาหากินไม่ขึ้นเอาทีเดียว ที่มีการบอกกล่าวกันว่า ได้มีการฝังอาถรรพ์ไว้ทั้ง 4 มุมเมืองในวันนั้น ก็เป็นเพียงรับรู้และบอกเล่ากันมา แต่ความจริงที่ทำอย่างแน่นอนก็คือ การอัญเชิญท้าวจตุโลกบาลทั้ง 4 เข้ามาประกอบพิธีด้วย ท่านว่า “และให้ปลูกโรงศาลโรงพิธีขึ้นใกล้ๆ กับหลุมที่จะขุด เพื่อจะปักเสาหลักเมืองนั้น ตั้งศาลจตุโลกบาลทั้ง 4 ทิศขึ้น 4 ศาล” ซึ่งอาจจะเป็นการฝังอาถรรพ์ทั้ง 4 มุมเมืองที่บอกกล่าวกันมาก็ได้

    เช่นเดียวกับเจ้าขุนมูลนายหรือผู้ปกครองบ้านเมืองที่คิดว่าตัวเองคือพระเจ้าที่อยากจะทำอะไรตามใจตัวเองก็ทำได้นั้น ก็ไม่เคยมีใครประสบความสำเร็จ นอกจากความวิบัติฉิบหายน้อยมากตามกรรมตามเวรของแต่ละคน ก็ได้พิสูจน์กันมาแล้วเป็นลำดับ เฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา ดูเหมือนจะอยู่จะตายพร้อมกับเสียงสาปแช่งของผู้คนไม่มากก็น้อย หรือเอากันว่าโอกาสที่จะตายดีกันอย่างสามัญชนกันนั้น มีน้อยคนทีเดียว!

    ตัวอย่างคณะผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ซึ่งคนสำคัญๆ ล้วนแต่ดื่มน้ำพระพิพัฒน์สัตยากันมาแล้วทั้งนั้น และเมื่อปฏิวัติแล้วก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษ แล้วทุกคนก็แตกกระสานซ่านเซ็นกันไปเกือบทุกคน เท่านั้นยังไม่พอ ยังพยายามติดตามจองล้างจองผลาญกันอย่างไม่ลืมหูลืมตาเอาด้วย ไม่ว่าเป็นพระยาทรงสุรเดช พระยาศรสิทธิสงครามและคนอื่นๆ แม้แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามเอง ทุกคนใช้ชีวิตสุดท้ายด้วยความทุกข์ยากและตายไม่ดีกันทั้งนั้น แม้แต่หลวงประดิษฐ์มนูธรรม แม้ว่าจะทำบุญกุศลและสร้างเกียรติยศให้แก่บ้านเมืองเพียงไร ก็ไม่มีโอกาสได้ตายอย่างรัฐบุรุษของชาติ แต่ตายนอกประเทศที่ตนเองกอบกู้มันเอาไว้ และที่ร้ายที่สุดก็คือ ความแตกแยกชนิดเอากาวอะไรทาก็ไม่ยอมติด นั่นคือความอาถรรพ์ของดวงชะตาเมือง แต่ก็จะต้องระวังอาถรรพ์และคำสาปแช่งของโบราณนั้นไว้บ้างก็ดี เพราะเสาหลักเมืองยังอยู่ อาถรรพ์และเสียงสาปแช่งจะไม่ไปไหนเสีย ถ้าหากเกิดความสกปรกหรือผิดพลาดอะไรขึ้นมา เจอพิษงูเล็กชุดนี้แน่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่เคยไว้หน้าใครหรอก ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออยู่ในตำแหน่งขนาดไหน!
    ที่มา : น.ส.พ. ผู้จัดการ ลงวันศุกร์ที่ 4 ต.ค.2545
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 0.1.jpg
      0.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.4 KB
      เปิดดู:
      2,867
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,663
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Yellowstone trembles again - new earthquake swarm underway เยลโล่สโตนสั่นอีกครั้ง - กำลังอยู่ระหว่างการเกิดแผ่นดินไหวเป็นระลอก

    [​IMG]

    Posted by Adonai on November 24, 2013 in categories Editors' picks, Seismic activity, Volcanoes

    A new earthquake swarm is currently underway at Yellowstone National Park, USA. According to the earthquake list of University of Utah,
    ได้เกิดแผ่นดินไหวเป็นระลอก(ชุดๆ) ในช่วงเวลานี้ ณ สวนสาธารณะแห่งชาติเยลโล่สโตน

    a new series of relatively stronger earthquakes started on November 23, 2013. แผ่นดินไหวชุดใหม่นี้คีอนข้างรุนแรงกว่าชุดแผ่นดินไหวที่เกิดในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2556

    Almost all of them are located approximately 19 km (12 miles) NNE of West Yellowstone, MT.
    Most noticeable earthquakes are M 3.3 that struck on November 23 at 20:47 UTC (13:47 local time) and M 3.1 that struck on November 24 at 07:18 UTC (00:18 local time).
    Keep in mind that we are still 7 days before the new YVO monthly update report when more data will be available.

    [​IMG]
    Image credit: UUSS

    Below is the list pf earthquakes recorded by University of Utah Seismograph Stations for the last week (November 24, 2013, at 14:00 UTC - past 168 hours). Times are local (MST or MDT), for UTC time add 7 hours. Most recent earthquakes are at the top of the list. Click on the word "map" or "MAP" to see a map view.

    MAP 3.1 2013/11/24 00:18:35 44.820N 111.022W 11.5 19 km (12 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    map 2.9 2013/11/23 16:03:06 44.823N 111.024W 11.7 19 km (12 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    map 2.2 2013/11/23 15:25:44 44.819N 111.022W 11.2 19 km (12 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    MAP 3.3 2013/11/23 13:47:35 44.822N 111.025W 11.9 19 km (12 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    map 2.6 2013/11/23 13:38:12 44.815N 111.021W 11.9 18 km (11 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    map 2.8 2013/11/23 13:23:48 44.814N 111.018W 11.4 18 km (11 mi) NNE of West Yellowstone, MT
    map 2.7 2013/11/23 07:15:09 45.691N 112.006W 10.6 17 km (11 mi) W of Harrison, MT
    map 0.9 2013/11/22 04:08:08 44.529N 112.813W 4.7 21 km (13 mi) SW of Lima, MT
    map 1.5 2013/11/21 23:08:54 38.151N 112.527W 1.9 17 km (11 mi) SE of Beaver, UT
    map 1.2 2013/11/21 09:49:50 38.964N 111.384W 3.1 13 km ( 8 mi) WNW of Emery, UT
    map 1.4 2013/11/21 08:31:43 44.764N 111.094W 14.2 11 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 0.8 2013/11/21 01:21:44 39.681N 111.544W -0.8 10 km ( 6 mi) NE of Fountain Green, UT
    map 0.6 2013/11/21 01:04:22 44.766N 111.084W 10.6 12 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 1.2 2013/11/20 23:15:12 44.839N 111.493W 5.7 36 km (23 mi) WNW of West Yellowstone, MT
    map 1.2 2013/11/20 20:30:30 44.629N 110.343W 7.5 54 km (33 mi) SW of Cooke City-Silver Gate, MT
    map 1.2 2013/11/20 16:03:48 38.515N 111.908W 7.5 2 km ( 1 mi) WNW of Koosharem, UT
    map 1.8 2013/11/20 13:22:58 45.894N 111.293W 2.7 5 km ( 3 mi) NE of Manhattan, MT
    map 1.8 2013/11/20 13:17:03 36.940N 113.629W 2.9 18 km (11 mi) SSW of St. George, UT
    map 2.1 2013/11/20 11:36:43 42.926N 111.142W 1.1 12 km ( 7 mi) W of Thayne, WY
    map 1.7 2013/11/20 11:00:00 39.002N 111.344W 1.7 12 km ( 7 mi) NW of Emery, UT
    map 1.6 2013/11/20 10:59:59 39.001N 111.341W -0.4 12 km ( 7 mi) NW of Emery, UT
    map 2.6 2013/11/19 19:32:33 44.856N 111.487W 4.6 37 km (23 mi) NW of West Yellowstone, MT
    map 0.7 2013/11/19 19:02:01 44.832N 110.702W 3.7 23 km (14 mi) S of Gardiner, MT
    map 0.6 2013/11/19 17:31:18 44.753N 111.005W 9.9 13 km ( 8 mi) NE of West Yellowstone, MT
    map 2.2 2013/11/19 17:27:58 44.827N 110.698W 4.8 23 km (14 mi) S of Gardiner, MT
    map 1.5 2013/11/19 17:27:49 44.762N 111.089W 10.2 11 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 2.2 2013/11/19 17:27:00 44.835N 110.689W 6.2 22 km (14 mi) S of Gardiner, MT
    map 0.9 2013/11/19 16:32:41 44.765N 111.085W 10.2 12 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 1.3 2013/11/19 15:18:38 44.766N 111.081W 10.7 12 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 1.5 2013/11/19 09:12:07 44.762N 111.090W 10.6 11 km ( 7 mi) N of West Yellowstone, MT
    map 1.0 2013/11/19 02:25:56 38.962N 111.405W 3.6 14 km ( 9 mi) WNW of Emery, UT
    map 1.1 2013/11/19 01:58:56 45.307N 112.600W 11.5 11 km ( 7 mi) NNE of Dillon, MT
    map 2.2 2013/11/19 00:48:49 44.573N 114.291W 12.4 9 km ( 6 mi) NNW of Challis, ID
    map 1.2 2013/11/18 21:55:32 38.959N 111.386W 8.6 13 km ( 8 mi) WNW of Emery, UT
    map 1.4 2013/11/18 21:48:54 38.957N 111.402W 2.5 14 km ( 9 mi) WNW of Emery, UT
    map 1.0 2013/11/18 16:24:35 44.662N 111.876W 13.0 41 km (26 mi) NE of Spencer, ID
    map 2.0 2013/11/18 13:35:07 38.962N 111.418W 2.8 15 km ( 9 mi) WNW of Emery, UT
    map 1.7 2013/11/18 01:41:48 39.313N 111.962W 10.2 14 km ( 8 mi) NW of Fayette, UT
    map 0.9 2013/11/17 19:41:25 39.301N 111.953W 12.7 12 km ( 7 mi) NW of Fayette, UT
    map 1.6 2013/11/17 15:34:42 44.238N 110.793W 4.9 44 km (27 mi) ENE of Warm River, ID
    map 1.1 2013/11/17 07:56:20 39.305N 111.932W 13.6 11 km ( 7 mi) NW of Fayette, UT

    http://thewatchers.adorraeli.com/20...trembles-again-new-earthquake-swarm-underway/
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    *** งูเล็กสี่ตัว ****

    โดนลองใจ...
    ดูผลว่า....จะใช้เมตตา หรือ ใช้ความเชื่อ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    ๑. หยุดพิธีกรรม
    ๒. ช่วยชีวิตผู้ตกยากให้พ้นทุกข์
    ๓. อย่าให้บ้านเมืองปนเปื้อนบาปกรรม

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    สัจจะ คือ ความจริง
    พิธีกรรม คือ ความเชื่อ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    พระพุทธเจ้า เสด็จหนีเข้าป่าออกผนวช
    ให้สัจจะต่อตนเอง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. marine24

    marine24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    2,223
    ค่าพลัง:
    +15,633
    คืนนี้คาดว่าจะเหตุการณ์รุนแรงการสลายการชุมนุมบริเวณในกระทรวงการคลัง ถ.สามเสน พญาไท กทม. เตรียมเครื่องมือสื่อสาร ยานพาหนะให้พร้อม หลีกเลี่ยงพื้นที่ดังกล่าว
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,696
    ค่าพลัง:
    +51,932
    เมื่อทำได้ จึงเสด็จเข้าเมือง
    เพื่อโปรดญาติพี่น้อง

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...