ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ .....ว.วชิรเมธี

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย KK1234, 2 มกราคม 2011.

  1. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    ปล่อยสัตว์อย่างไรให้ได้บุญ
    ว.วชิรเมธี

    [​IMG]

    การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ เราจะต้องทำด้วยจิตมุ่งเป็นกุศลจริง ๆ

    หมายความว่าเราอยากจะช่วยเหลือเกื้อกูลสัตว์จริง ๆ

    แต่ ว่าถ้าเราเอาสัตว์มาปล่อย แล้วเราก็อธิษฐานว่า "สาธุ ขอให้การปล่อยนี้นะทำให้ฉันอายุยืนหน่อยเถอะ ขอให้ถูกเลขหน่อยเถอะ ขอให้หายซวยหน่อยเถอะ"

    สิ่งนี้ถือว่าไม่เข้าเกณฑ์ เพราะว่าเจตนาไม่เป็นกุศล

    เจตนา เป็นกุศลก็หมายความว่า เราเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แล้วต้องการจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก โดยที่ไม่ได้ร้องผลตอบแทนอะไรเลย

    เมื่อเจตนาเราเป็นกุศลมันจึงจะเป็น บุญ แต่ถ้าเรามีเจตนาเคลือบแฝง เช่นปล่อยเขาเพื่ออยากให้เราดีขึ้น เพื่ออยากให้เราหายทุกข์หายโศก หายซวย อย่างนี้มันไม่ใช่การทำบุญ แต่เป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง อาจจะเป็นการลงทุนทางจิตวิญญาณก็ได้

    เพราะเจตนาของเราจริง ๆ เราไม่ได้ต้องการช่วยเขาหรอกนะ ต้องการช่วยตัวเองต่างหาก แต่ยืมเขามาเป็นเครื่องมือ

    ถ้า ท่านเมตตาจริง ๆ นะ ปล่อยให้นกอยู่บนฟ้า ปล่อยให้ปลาอยู่ในน้ำ นั่นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด ปล่อยให้สัตว์ได้อยู่อย่างสัตว์ นั่นแหละคือการปล่อยนกปล่อยปลาที่แท้จริง.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 มิถุนายน 2011
  2. KK1234

    KK1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    2,401
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,515
    การต่ออายุโดยการปล่อยสัตว์ หรือไถ่ชีวิตสัตว์

    [​IMG]

    การ ต่ออายุโดยการปล่อยสัตว์ หรือไถ่ชีวิตสัตว์ เชื่อกันว่าเป็นการต่ออายุให้ยืนยาวออกไป และมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุข ปราศจากโรคภัยทั้งหลาย ดังคัมภีร์กล่าวไว้ว่า

    ในสมัยพุทธกาลมีสามเณร น้อยองค์หนึ่งชื่อติสสะ อายุ ๗ ปี มาบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักพระสารีบุตรเถระ อัครสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นระยะเวลาหนึ่งปี

    อยู่มาวันหนึ่งพระสารีบุตร สังเกตเห็นลักษณะของสามเณรว่าจะมีอายุได้อีก ๗ วันเท่านั้น ก็จะถึงแก่มรณภาพ ท่านพระสารีบุตรจึงเรียกสามเณรมาบอกถึงความจริงให้ทราบว่า “ตามตำราหมอดูและตำราดูลักษณะ เธอจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน ๗ วัน ดังนั้นให้เธอกลับไปบ้าน ร่ำลาโยมพ่อแม่ และญาติเสีย”

    สามเณรมีความ เศร้าโศกเสียใจมาก ร้องไห้ร่ำไรน่าสงสาร นมัสการลาพระอาจารย์ แล้วเดินทางกลับบ้านด้วยดวงหน้าอันหม่นหมอง ระหว่างทางที่สามเณรผ่านไปนั้น ได้พบปลาน้อยใหญ่ในสระน้ำซึ่งกำลังแห้งเขิน เมื่อสามเณรไปถึง ปลากำลังดิ้นทุรนทุรายเพราะน้ำไม่เพียงพอ

    สามเณรน้อยติสสะได้เห็นดัง นั้น ก็ได้รำพึงในใจว่า เออ ! อันตัวเรานี้ก็จะมรณภาพภายใน ๗ วัน เช่นเดียวกับปลาทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าไม่มีน้ำ ฉะนั้นก่อนที่เราจะมรณภาพ เราขอได้โปรดสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ให้รอดพ้นจากความตายดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นแล้ว ก็ได้เอาปลาน้อยใหญ่ทั้งหลายใส่ในบาตรของตน แล้วนำไปปล่อยที่แม่น้ำใหญ่ให้พ้นจากความตาย ระหว่างทางพบอีเก้งลูกกวาง ถูกแร้วของนายพราน สามเณรก็ปล่อยอีเก้งอีก

    เมื่อสามเณรน้อยติสสะเดิน ทางมาถึงบ้านแล้ว ก็ได้เล่าเรื่องที่ตนจะถึงแก่มรณภาพอีก ๗ วันให้พ่อแม่และญาติพี่น้องฟัง เมื่อเขาเหล่านั้นได้ทราบเรื่องราวแล้ว ต่างคนต่างก็มีความเศร้าโศกเสียใจ ต่างก็สงสารสามเณรน้อยผู้นั้นเป็นยิ่งนัก แล้วเขาทุกคนก็รอคอยวันที่สามเณรน้อยติสสะจะมรณภาพด้วยดวงใจที่แสนเศร้า

    เลย กำหนดหนึ่งวันสองวันตามลำดับ จนล่วงกำหนดไป ๗ วัน สามเณรก็ยังไม่ตาย กลับมีผิวพรรณผ่องใสยิ่งขึ้น ญาติจึงบอกให้สามเณรกลับไปหาพระสารีบุตรเถระ เมื่อสามเณรเดินทางไปถึง พระสารีบุตรมีความประหลาดใจ ถึงกับจะเผาตำราทิ้ง สามเณรติสสะจึงกราบเรียนให้ทราบเกี่ยวกับการนำปลาไปปล่อยในน้ำ และปล่อยอีเก้งจากแร้วของนายพราน

    พระสารีบุตรจึงกล่าวว่าการกระทำของ สามเณรน้อยติสสะนี้ เป็นกุศลกรรมที่ยังให้เห็นเป็นพลังให้พ้นจากหายนะ คือความเสื่อมความตาย และยังมีชีวิตยิ่งยืนนานอีกต่อไป.

    ข้อควรรู้ในการทำบุญปล่อยสัตว์

    การปล่อยปลา ควรจะซื้อปลาจากตลาดสด เช่น ปลาหมอ ปลาช่อน ปลาดุก ฯลฯ เพราะปลาเหล่านี้จะต้องถูกฆ่าอย่างแน่นอน

    การปล่อยเต่า เต่านั้นไม่สามารถจะอยู่ได้ในน้ำไหลและมีคลื่นแรง ธรรมชาติของเต่าจะต้องอยู่ในน้ำนิ่งและมีที่แห้งให้เขาสามารถขึ้นมาพักผ่อนได้

    การปล่อยปลาไหลและกบ ธรรมชาติของปลาไหลจะอยู่ตามคูคลอง หนอง บึง ที่เป็นดิน ขุดรูเป็นที่อยู่ กบก็ต้องขุดรูอยู่ตามท้องนา

    ผู้ ที่ต้องการสร้างกุศลโดยการปล่อยสัตว์ ควรจะพิจารณาด้วยว่าสัตว์นั้น ๆ จะมีชีวิตรอดอยู่ได้หรือไม่ ในสถานที่ที่ตั้งใจจะนำไปปล่อยนั้นด้วย.

    BlogGang.com : : thammakittakon -
     
  3. Mr.Chote Sudhi

    Mr.Chote Sudhi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +128
    ปล่อยปลาที่หน้าวัด ระวังปลาเล็กจะถูกปลาใหญ่กิน

    ผมขอเสริมนิดเดียวครับ คือผมเคยไปปล่อยปลา
    ที่ท่าน้ำวัดเทวราชกุญชร กับทั้งเคยเห็นที่แพท่าน้ำ
    วัดระฆัง ที่ทั้งสองแห่งเป็นที่อภัยทาน จะมีปลา
    ตัวโตๆ เต็มไปหมด คนก็เอาอาหารมาให้มาก
    ถ้าท่านปล่อยลูกปลาเล็กๆลงไปตรงนั้น คิดเอาเอง
    นะครับว่า ปลาเล็กๆเหล่านั้นคงถูกปลาใหญ่กลืนกิน
    จึงขอเรียนเพื่อเรียกสติที่อาจลืมตรงนี้ด้วยครับ
     
  4. พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท

    พระอาจารย์ณัฐนนท์ สิรินันโท เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    649
    ค่าพลัง:
    +1,323

    ******************************


    ที่ท่านอาจารย์กล่าวมานั้นมันก็ถูกอยู่เหมือนกันครับท่ายอาจารย์ แต่มันก็ไม่สำคัญอะไรหรอกครับที่ว่าปล่อยสัตว์ที่มันจะต้องตาย ให้รอดตาย แต่หมายเพื่อหช้วยตัวเอง

    ( มันสำคัญตรงที่ว่าสัตว์ที่มันจะต้องตาย แล้วช้วยให้มันไม่ต้องตายได้ก็เป็นการสมควรแล้วหละครับ )

    มันก็ไม่ถูกอยู่ตรงที่ว่า เจตนาอย่างที่อาจารย์ว่า นั้นหละครับ แต่ก็อย่าไปเอาอะไรให้มันลึกซึ้งเกินไปเลย สำหรับบุคคลทั่วๆไปเลยนะครับ

    เอาแข็มๆกับผู้ที่เป็นปราชญ์ ที่ต้องการศึกษาแบบแยบคาย จึงจะเหมาะกว่าครับ

    ส่วนที่ท่านอาจารย์กล่าวว่าเป็นการช่วยเขาเพื่อช้วยตัวเองมันก็ถูกแหละครับ แต่การที่เขาอฐิธานว่าขอผลบุญ คือกุศล หรือ ประโยชน์ที่เขาจะได้รับ คือ ความสุข ความปลอดภัย ที่จะมีมาถึงตัวเขาในวันหน้า หรือ ในวันนี้ที่เขามีความประสงส์ที่จะให้บังเกิดผลต่อตัวเขาเองโดยฉับพลันเดียวนั้นเลยมันก็ไม่แปลกหลอกครับ เหตุเพราะว่า ผลของบุญ คือ ความสุข และ กุศล คือ ประโยชน์ที่จะได้รับ

    มันก็ต้องตกเป็นของเขาทั้งหลาย อยู่เป็นแม้นมันที่เดียว จะเป็นเมื้อนี้ หรือ เมื้อนั้น เขาก็ได้รับผลแห่งการกระทำของเขาอย่แล้ว เพราะฉะนั้น เขาจะมีใจช่วยสัตว์ เพื่อให้รอดพ้นจากภัย คือ ความตาย โดยไม่ได้หวังผลอะไรจากการกระทำ นั้นๆ เลยก็ตามที่ แต่ ผลวิบาก ก็ต้องตกเป็นของเขาอยู่เองโดยชอบธรรมอยู่แล้วหละครับ..เพราะฉะนั้น ถ้าเขาจะอฐิธาน ขอพร ขอบุญกุศลที่เขาได้บำเพ็ญให้เป็นไปแล้วในวันนี้จงปรากฎ แก่ เขาในเร็ววันนี้ก็ไม่เห็นว่าจะ เป็นความผิดอะไรเลย ..ใช้ไหมครับ.

    เหมือนอย่างว่าเขาทำงานเป็นลูกจ้างเขาและ ในวันนี้ เขามีความประสงส์ที่จะเบิกทรัพย์ ที่เขาต้องได้รับในอนาคต ตอนสิ้นเดือนเอามาใช้ในวันนี้ จะถือว่ามี ความผิดก็หาไม่ แต่ถือว่าเป็นความชอบธรรมที่เขาสามารถที่จะทำได้ เหตุเพราะเขาได้มาทำงานตามกำหนดที่นายจ้างวางไว้ เป็ที่เรียบร้อยแล้ว นายจ้างจึงไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่จ้ายค่าจ้างที่เขาพึงจะต้องรับในวันสิ้นเดือน หรือ เรียกว่าในอนาคต แต่ เลื่อนมารับเสียก่อนในวันนี้ ก่อนที่จะถึงสิ้นเดือน เขาย่อมทำได้โดยชอบธรรม แนๆ นั้นแลฯ......
    สรุปว่า.....

    ที่ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล แล้วไม่ได้หวังไม่ปรารถนาอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็นบุญ หรือ เป็นบาป เห็นจะมีก็แต่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าพระอรหันต์เท่านั้นหละครับที่ทำบุญ ทำทาน ทำกุศล แล้วไม่ปรารถนาบุญกุศล หรือผลแห่งบุญนั้นๆ ส่วนเรื่องบาปนั้นเป็นอันว่าท่านลอยบาปเสียแล้ว ...ก็เอวัง

    .ส่วนนอกจากนี้แล้วยังมีความปรารถนาทั้งนั้นหละครับท่านอาจารย์..ไม่ปรารถนามนุษย์ ก็ ปรารถนาสววรค์ ไม่ปรารถนาสววรค์ ก็ ปรารถนาพรหม หรือไม่ก็นิพพาน ครับ

    อาศัยความอยาก มาละความอยากครับ

    เหมือนอยากขึ้นรถ แล้วเดินไปขึ้นรถ แต่พอขึ้นรถแล้วความอยากขึ้นรถก็หายไป ฉะนั้นหละครับ...งแต่รถมันก็ไปของมันเองโดยไม่ต้องสั่งครับ เพราะว่ามันต้องไปของมันอยู่แล้วครับโดยปกติ...สาธุครับท่านอาจารย์
     
  5. ชัชวาล เพ่งวรรธนะ

    ชัชวาล เพ่งวรรธนะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    843
    ค่าพลัง:
    +4,120
    นักปราชญ์ย่อมชี้สิ่งใดเป็นกุศล สิ่งใดไม่เป็นกุศล ที่พระคุณเจ้า ว. วชิรเมธี แสดงธรรมมาชอบแล้วครับ
    ส่วนเรื่องเปลือก เรื่องแก่น ในทานนั้น ผู้เบื้องต้นย่อมเข้าใจในความหมายของคำว่าบุญเสียก่อน

    บุญคือการชำระจิตให้สะอาด ไม่มัวหมอง
    พุทธศาสนาสอนให้คลายออกจากกิเลส ดังนั้นการที่พระคุณเจ้าจะมาสอนให้เรา
    ติดในการทำบุญเพื่อสะสมกิเลส ก็ไม่ใช่ฐานะที่ควรทำ

    เปลือกในบุญเบื้องต้นคือการสละออกในวัตถุ บุญกิริยาวัตถุ๑o เน้นที่เรื่องจิตเป็นสำคัญเพื่อการก้าวถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา

    จริงอยู่เบื้องต้นก็ต้องมีบ้างในกิเลส ในความอยากที่จะได้บุญ ได้กุศล ได้ความดี ในภพนี้ ในภพหน้า เพียงแต่ว่า
    ถ้ามีแต่ผู้ที่สอนแต่เปลือกโดยไม่ชี้สิ่งถูก สิ่งผิดอยู่แล้ว
    ก็เท่ากับสอนให้คนไปติดแต่กิเลสแห่งโลภะจิตอันเป็นความเศร้าหมอง

    ดังนั้น นักปราชญ์ก็ดี กัลยาณมิตรทั้งหลายก็ดี ควรแล้วที่ไม่มาประจบ ควรแล้วที่จะชี้ทางอันประเสริฐ
    ควรแล้วที่จะแนะนำว่า การทำบุญควรกระทำด้วยความเกื้อกูล ด้วยใจสุจริต(บุญ)เพื่อมาลบล้างใจทุจริต(บาป)

    เอากิเลสเพื่อมาลบกิเลส เอาอยากมาลบอยาก ตรงนี้ งงครับ
    พระพุทธองค์ตรัสว่า..เราไม่พักอยู่(โลก) เราไม่เพียรอยู่(สวรรค์) จึงข้ามโอฆะ

    การสอนให้คนติดในกามคุณ๕(ความคับแคบในสิ่งหยาบ)ก็เหมือนสอนคนให้เป็นคนคับแคบ
    สอนให้หวังแต่เฉพาะหน้า เอาแต่ประโยชน์ เป็นการเก็งกำไร การค้า การลงทุน การหยิบยืม
    มันมิเท่ากับสอนให้คนทำสิ่งใดก็ต้องมีผลตอบแทนกระนั้นหรือครับ(กิเลส)

    ขอพึงพิจารณา...
    ทบทวนข้อเขียนเสมอเพราะถ้ามีท่านใดเชื่อในสิ่งที่เราชี้แนะแต่เป็นทางผิดที่ติดตาย
    หมุนวนแต่อวิชชา ตัณหา อุปทาน ย่อมก็ให้เกิดวิบากอกุศลกรรมตามมาไม่รู้จบครับ
     
  6. จันทโค

    จันทโค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1,866
    ค่าพลัง:
    +35,603
    สาธุ ครับหลวงพี่
    ที่หลวงพี่อธิบายมานั้น มันคนละประเด็นกับที่พระอาจารย์ว. ท่านเทศน์แล้วนะครับ
    หลวงพี่ลองอ่านดูใหม่นะครับ ผมอ่านข้อความของหลวงพี่หลายรอบแล้ว ก็ยังคงคนละประเด็นเลยนะครับ
    พระอาจารย์ว. ท่านเทศน์ได้ชอบแล้วนะครับ สาธุๆๆๆๆๆๆๆ
     
  7. ร้อนแรง

    ร้อนแรง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    212
    ค่าพลัง:
    +716
    การปปล่อยสัตว์(ปล่อยนก+ปล่อยปลา เต่า หรือสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ ทั้งหลาย นั้นผมว่าดีไปหมดนะครับ ที่สำคัญ หรือหัวใจในการปล่อยสัตว์ หลวงพ่อฤาษีฯ ท่านได้กรุณาบอกมาว่าอย่างนี้นะครับ เอาง่ายๆสั้นได้ใจความครับ**ท่านว่า**ขอเจ้าจงปรอดภัย และจงมีความสุข**เท่านี้พอนะครับควบคลุมหมดเลยครับ...ข้อปลีกย่อยทั้งหลายกรุณาอย่าเอามาเป็นประเด็นเลยครับ อนุโมทนาที่โพสมาทุกท่านครับ
     
  8. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ปล่อย ด้วยความ รู้สึก " ป ล่ อ ย "...
    ปล่อยไป.. ปล่อยให้เขาได้พ้นทุกข์ มีสุข..
    ปล่อยด้วยอภัย อภัยด้วย... ปล่อย...
    อ่อออ ที่อยู่ใน ปล่อย เขาจึงเรียกว่า เขตอภัยทาน.. นี่เอง
    อภัยให้ตัวเอง ก็ปล่อยให้ตัวเองเป็นอิสระ.. ปล่อยด้วยใจที่รู้สึกในปล่อย..
    เหมือนปล่อย ให้ตัวเอง เป็นอิสระ ด้วยเช่นกัน ...
     
  9. พลรัฐ

    พลรัฐ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    610
    ค่าพลัง:
    +1,111
    ..ทำเถอะ ทำดี มีกฎของกรรมควบคุมอยู่ ทำดี ได้ดี (ผลมันดี) หากมีเจตนาที่ตรงจุดก็เป็นกำไรพิเศษ...

    ..ไม่ว่าจะปล่อยเพื่ออะไร ก่อนปล่อย ขณะปล่อย หลังจากปล่อย(เป็นอิสระ) ผลย่อมดี มากน้อย ช้าเร็ว แตกต่างกันไปตามกำลังใจ กำลังสติปัญญา เจตนา...
     
  10. gaiou419

    gaiou419 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +716
    ที่บางความคิดบอกว่า ใครๆทำบุญทำกุศลโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
    เห็นจะมีแต่พระอริยเจ้าเท่านั้น ดิฉันเห็นจะไม่จริงเสมอไปค่ะ
    ในโลกนี้ยังมีผู้คนอีกมากมาย ที่มีความสุขกับการเห็นผู้อื่นมีความสุข
    และให้ทาน ช่วยชีวิต สัตว์โลก โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน เมื่อทำไปแล้ว
    เกิดปิติยินดีมีความสุขเอง คนที่มีจริตนิสัยแบบนี้ ติดมาเป็นประจำแทบทุก
    ภพทุกชาตินั้น มีอยู่แน่นอน
    การเอาตัวเองเป็นมาตรวัตรผู้อื่น แล้วเหมาเอาว่าคนทั้งโลกต้องเป็นเหมือนตน
    เห็นจะไม่ใช่สิ่งที่ถูกสักเท่าไหร่
     
  11. boontar

    boontar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    2,717
    ค่าพลัง:
    +5,514
    .......................................................................
    เห็นด้วยครับ
    เมื่อก่อนผมอยู่มีนบุรี บ่อยครั้งจะจอดรถเก็บเต่าที่กำลังเดินข้ามถนน (รถอื่นจะทับ) นับสิบสิบตัว เลี้ยวรถไปปล่อยที่วัดติดคลองที่ห่างไกลจากถนน(จนต้องมีกะละมังใส่เต่าก่อนปล่อยไว้ในรถ)
    ไม่เคยต้องคิดอยากได้อะไรมาตอบแทน
    วางเต่าไว้ข้างคลอง เต่าเค้าจะเลือกเองตามธรรมชาติว่าจะลงกอหญ้าหรือโดดลงน้ำ ไม่ต้องไปเลือกแทนเค้า
     
  12. meamanee

    meamanee Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2011
    โพสต์:
    42
    ค่าพลัง:
    +41
    เห็นด้วยกับ คุณ geiou419 สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็มีและเป็นอยู่ เราไม่ควรเอาตัวเราเป็นมาตรฐานในการตัดสินว่าใครถูกหรือใครผิด เพียงเพราะว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ตรงกับมาตรฐาน หรือจริตของเรา ท่านอาจารย์มิตซูโอะเคยเล่าว่า ที่วัดมีตุ๊กแก บางคนเกลียดตุ๊กแก กลัวตุ๊กแก แต่บางคนกลับรักตุ๊กแก ซึ่งความจริงแล้ว ตุ๊กแกมันก็อยู่ของมันอย่างนั้น มันก็ใช้ชีวิตของมันไปตามประสาตุ๊กแก ไม่ได้ทำเพื่อให้ใครรักหรือใครเกลียด แต่เราก็ไปรักหรือไปเกลียดมันเอง

    ถ้าเรามองทุกอย่างด้วยใจเป็นกลางอย่างที่พระพุทธองค์เคยกล่าวว่า มันเป็นเช่นนั้นเอง พวกเราก็คงทุกข์น้อยลงด้วยการยอมรับสิ่งต่างๆอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่อย่างที่เราอยากให้มันเป็น
     
  13. Piagk3

    Piagk3 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +1,222
    เพียงเรารักษาศีลข้อ ที่1 คือ ปานาติบาต เว้นขาดจาการเอาชีวิตเพื่อน สัตว์ผู้ร่วมโลก ก็เป็น อัพยาปัชาทาน มหาทานอันยิ่งใหญ่ แล้ว ไม่ต้องไป ปล่อยนก ปล่อยปลา ให้วุ่นวาย
     
  14. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    เป็นศีล ไม่ได้เป็นทานเลยด้วยซ้ำ
     
  15. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    รักษาศีลข้อ1ด้วย ปล่อยสัตว์ด้วย ได้บุญแรงค่ะ
     
  16. GhostHead

    GhostHead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    1,010
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ใครที่ทำบุญแล้วอธิษฐานขอพรต่างๆ เค้าไม่ผิดนะครับ เพราะว่าเป็นอธิษฐานบารมี เหมือนกับการยิงปืนสไนเปอร์ ที่ระยะทางเท่ากัน ปืนเหมือนกัน แต่คนหนึ่งเล็งผ่านกล้องเทเลสโคปกะอีกคน ไม่ได้ใช้ ถามว่า ใครจะยิงโดนเป้า ครับ

    ในสมัยพุทธกาลก็มีตัวอย่างให้เห็นนะครับ ว่าการทำบุญแต่ขาดการอธิษฐานผลเป็นอย่างไร

    ทำบุญขาดอธิษฐาน
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
    “หลวงพ่อคะ การทำบุญทุกอย่าง แต่ไม่ได้ปรารถนาอะไรเลย … จะได้ไหมคะ…?”
    ได้โยม ทำไมจะไม่ได้ คือถ้าไม่ตั้งมโนปณิธานปรารถนา บุญมันก็ต้องเป็นบุญ แต่ว่าอานิสงส์เบื้องปลายมันไม่เหมือนกัน
    “เป็นไงคะ…?”
    การปรารถนาจัดเป็นอธิษฐานบารมีนะ ตั้งใจว่าการทำบุญอย่างนี้เพื่อผลอะไร อย่างที่ไม่ปรารถนาพุทธภูมิ ไม่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ปรารถนาเป็นอัครสาวก แต่ปรารถนาเพื่อการหมดกิเลส ก็ชื่อว่ายังปรารถนาอยู่
    “ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ เล่าคะ…?”
    ถ้าหากว่าทำเฉย ๆ ไม่ปรารถนาอะไรเลย ตัวอย่างก็มีท่าน อาฬวีเศรษฐี
    คือว่าท่านอาฬวีเศรษฐีพ่อท่านเป็นมหาเศรษฐี พอพ่อท่านตายลงท่านก็เป็นเศรษฐีแทน
    เศรษฐีสมัยนั้นพระราชาต้องแต่งตั้ง แล้ว ต่อมาพวกขี้เมา ก็ชวนกินเหล้าเมายา ในที่สุดทรัพย์สินก็หมดไป จนกระทั่งกลายเป็นขอทาน
    วันหนึ่งพระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระสงฆ์เสด็จไปที่เมืองอาฬวี เห็นอาฬวีเศรษฐีนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนชาวบ้าน พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์
    พระพุทธเจ้าตามปกติจะไม่แย้มพระโอษฐ์ ถ้ายิ้มแล้วต้องมีเรื่อง
    พระอานนท์จึงทูลถามว่า
    “พระองค์ยิ้มด้วยเรื่องอะไร พระพุทธเจ้าข้า…?”
    พระพุทธเจ้าถามว่า
    “อานนท์ เธอเห็นอาฬวีเศรษฐีไหม…?”
    พระอานนท์มองไปมองมาไม่เห็น เห็นแต่ขอทาน พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ขอทานนั่นแหล่ะคืออาฬวีเศรษฐี
    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า
    ถ้าอาฬวีเศรษฐีสมัยเมื่อเป็นเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์ของเราเพียงจบเดียวจะได้บรรลุพระอนาคามี
    เมื่อเงินน้อยลงมาเป็นอนุเศรษฐี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระสกิทาคามี
    เมื่อมีฐานะเป็นคหบดี ถ้าฟังเทศน์จากเราเพียงจบเดียวจะได้เป็นพระโสดาบัน
    แต่ว่านี่อาฬวีเศรษฐีเป็นขอทานเสียแล้ว เราเทสน์จึงไม่มีผล
    ตอนนี้พระอานนท์ทูลถามว่า
    “ตามธรรมดาคนจะบรรลุมรรคผล องค์สมเด็จพระทศพล เคยตรัสว่าจะตายก่อนก็ยังไม่ได้ ต้องบรรลุมรรคผลก่อนนี่ พระพุทธเจ้าข้า…?”
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    “นั่นเขามี อธิษฐานบารมี”
    เป็นอันว่าอาฬวีเศรษฐี ไม่มีอธิษฐานบารมีใช่ไหมโยม
    “ใช่ค่ะ”
    คนจะได้ดี เลยไม่ได้ดี ต่อไปอธิษฐานเสียนะ.

    ที่มา เว็บเสบียงธรรม.com

    เจริญในธรรมครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ถ้าหากมีคนถามกระผมเรื่องการให้ทานชีวิตสัตว์กระผมจะแนะนำว่า
    การให้ทานชีวิตสัตว์นั้นเป็นบุญกุศลที่สำคัญอย่างหนึ่ง แต่มีระดับความมากน้อยไม่เท่ากัน ตามเจตนาดังนี้

    1หากให้ทานชีวิตสัตว์ แต่ไม่ได้เจตนาช่วยชีวิตเขา แต่เจตนาเพื่อตนเองมีความสุข ก็ได้บุญน้อย แต่ผลบุญที่ช่วยให้สัตว์รอดพ้นความตาย ก็ยังให้ผล วิบากกรรมส่วนนี้แม้เราไม่ขอแต่เมื่อเราทำเหตุไว้แล้ว มันก็จะให้ผลของมันเองคือเราจะมีอายุยืนขึ้นของมันเอง

    2 หากเรามีเจตนาช่วยชีวิตเขา แล้ว ปราถนาให้เขารอดพ้นความตาย พร้อมทั้งเราก็ปราถนาให้ชีวิตเรามีความสุข การอธิฐานเช่นนี้ก็จะทำให้เรามีชีวิตยืนยาวและมีความสุขสมปราถนา

    3 หากเรามีเจตนาช่วยชีวิตเขาปราถนาให้เขารอดพ้นจากความเจ็บความตาย เพียงอย่างเดียว ผลบุญก็จะบังเกิดแก่เราคือจะทำให้เรามีอายุยืนและมีความสุข แต่กำลังบุญที่เกิดมีกำลังมากมีแสงสว่างมากเพราะจิตปราถนาช่วยสรรพสัตว์เท่านั้น ไม่มีเครื่องผูกมัดอื่นใดในตัณหาที่ตนอยากได้อยากมีเพื่อตนเอง

    4 หากเราให้ทานชีวิตสัตว์แบบไม่เลือกไม่จำเพาะเจาะจง ไม่แบ่งแยก คือจิตดีงามมาก ช่วยทุกสรรพสัตว์ ตรงนี้อานิสงค์มีกำลังบุญมากมายนัก ยังผลให้ผู้นั้นมีอายุยืนยาว มีผู้คนให้ความเคารพนับถือ มีผู้คนให้ความช่วยเหลือ มีความสุขไม่ตกยากหรืออับจนครับ

    ดังนั้นเราไม่ควรกล่าวว่าการให้ทานชีวิตสัตว์ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้เพราะเจตนาต่างกันอย่างนั้นอย่างนี้
    แต่เราควรกล่าวว่า หากเจตนาแบบนี้จะดีแค่นี้ หากทำแบบนี้จะดียิ่งๆขึ้นไปอย่างนี้และที่สุดคือควรแนะนำอย่างไรให้เขารู้ว่าควรทำอย่างนี้แบบนี้จึงดีที่สุดครับ

    อีกนิดอย่าลืมว่า ผู้ทำทานต้องมีศีล และสิ่งที่เกี่ยวข้องด้วยทานก็ต้องบริสุทธิ์ด้วยนะครับ
    และประการสุดท้าย ท่านให้ทานชีวิตสัตว์แล้วควรพิจารณาต่ออีกว่า ต้องช่วยให้สัตว์เหล่านั้นมีชีวิตต่อไปได้อย่างผาสุขสมบูรณ์ด้วยครับไม่ใช่ให้สัตว์เหล่านั้นไปเจอชะตากรรมใหม่ที่ทุกขทรมานนะครับ หากทำได้ครบทุกประการ ทานบารมีข้อนี้ของท่านก็มีกุศลมากมหาศาลเลยครับ เหมือนที่กระผมทำมาเป็นกิจวัตรหลายปีแล้วเป็นปกติครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2013
  18. ketsila

    ketsila Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +88
    ทำไปเถอะครับบุญกุศลความดีต่างๆมัวไปคิดอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ต้องทำกันพอดี ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย ผลบุญได้มากน้อยอยู่ที่ศรัทธา เจตนา และเนื้อนาบุญ
     
  19. น้องจุ๊บ

    น้องจุ๊บ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    603
    ค่าพลัง:
    +1,303
    เป็นคนใจอ่อน สงสารจับใจ เห็นอะไรสภาพไม่ดี ไม่ว่าคนหรือสัตว์ต้องเข้าไปช่วยเหลือ เท่าที่จะช่วยพวกเค้าได้อย่างเต็มที่ ตามกำลังความสามารถที่้มีอยุ่ของเรา
    ราศีเมถุน อ่านเจอในคำทำนาย เสน่ห์ของชาวราศีนี้สงสารเพื่อนมนุษย์ไม่ดูว่าชนชั้นสูงหรือต่ำเพียงใด คงจะจริงเพราะตรงกับอุปนิสัยเรา
    หลายครั้งที่ปล่อยสัตว์ ช่วยชีวิตสัตว์ จะไม่อธิษฐาน จิตนั้นเมตตาสงสาร ต้องการช่วยชีวิตเค้าให้พ้นจากภาวะเลวร้ายฉับพลันในขณะนั้น
    ไม่ว่าซื้อสัตว์ไปปล่อย หรือไปเจอโดยบังเอิญ บนท้องถนนหมู่บ้าน (จะเจอบ่อย พวกปลา เต่า ) จะช่วยนำพวกเค้าให้ไปอยู่ในที่มีชีวิตยืนยาวต่อไปได้อีก

    ท่านอาจารย์ ว.วชิรเมธี ท่านเทศน์ได้ชอบแล้ว "เราเห็นเขาตกทุกข์ได้ยาก แล้วต้องการจะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก โดยที่ไม่ได้ร้องผลตอบแทนอะไรเลย"เป็นการช่วยที่ประเสริฐศรี สาธุ สาธุ สาธุ ค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 18 พฤศจิกายน 2013

แชร์หน้านี้

Loading...