ศีลที่หลวงปู่มั่นรักษา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย lionking2512, 7 ตุลาคม 2013.

  1. lionking2512

    lionking2512 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    1,525
    ค่าพลัง:
    +7,632
    ชาวกรุงเทพ
    ได้ทราบว่าท่านรักษาศีลองค์เดียว มิได้รักษาถึง ๒๒๗ องค์ เหมือนพระทั้งหลายที่รักษากันใช้ไหม

    หลวงปู่มั่น
    ใช่ อาตมารักษาเพียงอันเดียว

    ชาวกรุงเทพ
    ที่ท่านรักษาเพียงอันเดียวนั้นคืออะไร

    หลวงปู่มั่น
    คือใจ

    ชาวกรุงเทพ
    ส่วน ๒๒๗ นั้นท่านไม่ได้รักษาหรือ

    หลวงปู่มั่น
    อาตมารักษาใจไม่ให้คิดพูดทำในทางผิด อันเป็นการล่วงเกินข้อห้ามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ จะเป็น ๒๒๗ หรือมากกว่านั้นก็ตาม บรรดาที่เป็นข้อบัญญัติห้าม อาตมาก็เย็นใจว่า ตนมิได้ทำผิดต่อพุทธบัญญัติ ส่วนท่านผู้ใดจะว่าอาตมารักษาศีล ๒๒๗ หรือไม่นั้น สุดแต่ผู้นั้นจะคิดจะพูดเอาตามความคิดของตน เฉพาะอาตมาได้รักษาใจอันเป็นประธานของกายวาจาอย่างเข้มงวดกวดขันตลอดมา นับแต่เริ่มอุปสมบท

    ชาวกรุงเทพ
    การรักษาศีลต้องรักษาใจด้วยหรือ

    หลวงปู่มั่น
    ถ้าไม่รักษาใจจะรักษาอะไรถึงจะเป็นศีลเป็นธรรมที่ดีงามได้ นอกจากคนที่ตายแล้วเท่านั้นจะไม่ต้องรักษาใจแม้กายวาจาก็ไม่จำต้องรักษา แต่ความเป็นเช่นนั้นของคนตายนักปราชญ์ท่านไม่ได้เรียกว่าเขามีศีล เพราะไม่มีเจตนาเป็นเครื่องส่องแสดงออก ถ้าเป็นศิลได้ควรเรียกได้เพียงว่าศีลคนตาย ซึ่งไม่สำเร็จประโยชน์ตามคำเรียกแต่อย่างใด ส่วนอาตมามิใช่คนตายจะรักษาศีลแบบคนตายนั้นไม่ได้ ต้องรักษาใจให้เป็นศีลเป็นธรรมสมกับใจเป็นผู้ทรงไว้ทั้งบุญทั้งบาปอย่างตายตัว

    ชาวกรุงเทพ
    ได้ยินในตำราว่าไว้ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยเรียกว่าศีล จึงเข้าใจว่าการรักษาศีลไม่จำเป็นต้องรักษาใจก็ได้ จึงได้เรียนถามอย่างนั้น

    หลวงปู่มั่น
    ที่ว่ารักษากายวาจาให้เรียบร้อยนั้นก็ถูก แต่กายวาจาจะเรียบร้อยเป็นศีลได้นั้นต้นเหตุมาจากอะไร ถ้าไม่เป็นมาจากใจผู้เป็นนายคอยบังคับกายวาจาให้เป็นไปในทางที่ถูก เมื่อเป็นมาจากใจ ใจจะควรปฏิบัติอย่างไรต่อตัวเองบ้าง จึงจะควรเป็นผู้ควบคุมกายวาจาให้เป็นศีลเป็นธรรมที่น่าอบอุ่นแก่ตัวเอง และน่าเคารพเลื่อมใสแก่ผู้อื่นได้ ไม่เพียงแต่ศีลธรรมที่จำเป็นต้องอาศัยใจเป็นผู้คอบควบคุมรักษาเลย แม้กิจการอื่น ๆ จำต้องอาศัยใจเป็นผู้ควบคุมดูแลโดยดี การงานนั้น ๆ จึงจะเป็นที่เรียบร้อยไม่ผิดพลาดและทรงคุณภาพโดยสมบูรณ์ตามชนิดของมัน การรักษาโรคเขายังค้นหาสมุฏฐานของมัน จะควรรักษาอย่างไรจึงจะหายได้เท่าที่ควร ไม่เป็นโรคเรื้อรังต่อไป การรักษาศีลธรรมไม่มีใจเป็นตัวประธานพาให้เป็นไป ผลก็คือความเป็นผู้มีศีลด่างพร้อย ศีลขาดศีลทะลุ ความเป็นผู้มีธรรมที่น่าสลดสังเวช ธรรมพาอยู่ธรรมพาไปอย่างไม่มีจุดหมาย ธรรมบอ ธรรมบ้า ธรรมแตก ซึ่งล้วนเป็นจุดที่ศาสนาจะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วยอย่างแยกไม่ออก ไม่เป็นศีลธรรมอันน่าอบอุ่นแก่ผู้รักษา และไม่น่าเลื่อมใสแก่ผู้อื่นที่มีส่วนเกี่ยวข้องบ้างเลย อาตมาไม่ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก บวชแล้วอาจารย์พาเที่ยวและอยู่ตามป่าตามเขา เรียนธรรมก็เรียนไปกับต้นไม้ใบหญ้า แม่น้ำลำธาร หินผาหน้าถ้ำ เรียนไปกับเสียงนกเสียงกา เสียงสัตว์ป่าชนิดต่าง ๆ ตามทัศนียภามที่มีอยู่ตามธรรมชาติของมันอย่างนั้นเอง ไม่ค่อยได้เรียนในคัมภีร์ใบลานพอจะมีความรู้สแตกฉานทางศีลธรรมการตอบปัญหาจึงเป็นไปตามนิสัยของผู้ศึกษาธรรมเถื่อน ๆ รู้สึกจนปัญญาที่ไม่สามารถค้นหาธรรมที่ไพเราะเหมาะสมมาอธิบายให้ท่านผู้สนใจฟังอย่างภูมิใจได้

    ชาวกรุงเทพ
    คำว่าศีลได้แก่สภาพเช่นไร และอะไรเป็นเป็นศีลอย่างแท้จริง

    หลวงปู่มั่น
    ความคิดในแง่ต่าง ๆ อันเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรคิดหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกายวาจาใจให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษาในลักษณะดังกล่าวมาชื่อว่ามีสภาพปกติไม่คะนองทางกายวาจาใจให้เป็นกิริยาที่น่าเกลียด นอกจากความปกติดีงามทางกายวาจาใจของผู้มีศีลว่าเป็นศีลเป็นธรรมแล้ว ก็ยากจะเรียกให้ถูกได้ว่าอะไรเป็นศีลเป็นธรรมที่แท้จริง เพราะศีลกับผู้รักษาศีลแยกกันได้ยาก ไม่เหมือนตัวบ้านเรือนกับเจ้าของบ้านเรือนซึ่งเป็นคนละอย่าง ที่พอจะแยกกันออกได้ไม่ยากนัก ว่านั่นคือตัวบ้าน และนั่นคือเจ้าของบ้าน ส่วนศีลกับคนจะแยกจากกันอย่างนั้นเป็นการลำบากเฉพาะอาตมาแล้วแยกไม่ได้ แม้แต่ผลคือความเย็นใจที่เกิดจากการรักษาศีลก็แยกไม่ออก ถ้าแยกออกได้ศีลก็อาจหลายเป็นสินค้ามีเกลื่อนตลาดไปนานแล้ว และอาจจะมีโจรมาแอบขโมยศีลธรรมไปขายจนหมดเกลี้ยงจากตัวไปหลายรายแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้ศีลธรรมก็จะกลายเป็นสาเหตุก่อความเดือดร้อนแก่เจ้าของเช่นเดียวกับสมบัติอื่น ๆ ทำให้พุทธศาสนิกชนเกิดความเอือมระอาที่จะแสวงหาศีลธรรมกัน เพราะได้มาก็ไม่ปลอดภัย ดังนั้น ความไม่รู้ว่า "อะไรเป็นศิลอย่างแท้จริง" จึงเป็นอุบายวิธีหลึกภัยอันอาจเกิดแก่ศีล และผู้มีศีลได้ทางหนึ่งอย่างแยบยลและเย็นใจ อาตมาจึงไม่คิดอยากแยกศีลออกจากตัวแม้แยกได้ เพราะระวังภัยยาก แยกไม่ได้อย่างนี้รู้สึกว่าอยู่สบาย ไปไหนมาไหนและอยู่ที่ใดไม่ต้องเป็นห่วงว่าศีลจะหาย ตัวจะตายจากศีล และกลับมาเป็นผีเฝ้ากองศีลเช่นเดียวกับคนเป็นห่วงสมบัติ ตายแล้วกลับมาเป็นผีเฝ้าทรัพย์ ไม่มีวันไปผุดไปเกิดได้ฉะนั้น.

    ที่มา : "ประวัติท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตโต"
    โดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
     
  2. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    อนุโมทนา สาธุค่ะ
    จริงดังที่หลวงปู่มั่นท่านสั่งสอนไว้ ทุกสิ่งทุกอย่าง ย่อมมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขออธิบายเสริมครับ

    พระสาวกบางท่านก็ ที่เป็นครูอาจารย์กระผม บางท่านก็รักษาเพียง4ข้อ หรือที่เรียกว่า
    ปาริสุทธิศีล4ก็มีครับ

    ซึ่งหมายถึง ความประพฤติบริสุทธิ์ที่จัดเป็นศีล มีสี่ข้อ ได้แก่
    1.ปาฏิโมกขสังวรศีล หมายถึง ศีลคือความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ เว้นจากข้อห้าม และทำตามข้ออนุญาต ตลอดจนประพฤติเคร่งครัดในสิกขาบท (คือ ศีลและมารยาทที่มีอยู่ในพระไตรปิฎกนั่นเอง)
    2.อินทรียสังวรศีล หมายถึง ศีลคือความสำรวมอินทรีย์6 ระวังไม่ให้บาปอกุศลธรรมเกิดขึ้นได้ ในขณะที่รับรู้อินทรีย์ทั้งหก คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
    3.อาชีวปาริสุทธิศีล หมายถึง ศีลคือความบริสุทธิ์แห่งอาชีวะ เลี้ยงชีพในทางที่ชอบธรรม
    4.ปัจจัยสันนิสิตศีล หมายถึง ศีลที่เกี่ยวกับปัจจัยสี่ คือ การพิจารณาใช้สอยปัจจัย ให้เป็นไปตามประโยชน์ที่แท้ของสิ่งนั้น ไม่บริโภคด้วยตัณหา เช่น ไม่บริโภคด้วยความอยากรับประทาน ไม่บริโภคด้วยความอยากอยากใช้สอย

    พอได้อ่านดูก็ครอบคลุมทั้งหมดยิ่งกว่าศีล227ข้ออีกครับ สาธุ
     
  4. ละโลก

    ละโลก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +654
    มีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นประธาน ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ กราบหลวงปู่ อุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ กับเจ้าของกระทู้ ครับ
     
  5. ศิษปู่ใหญ่

    ศิษปู่ใหญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    4,593
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +19,295
    อนุโมทนาครับ เคยได้ยินมาเหมือนกันครับ จาตุปาริสุทธิศีล ถ้าจำไม่ผิดได้ยินท่านพูดครับ
     
  6. ลุงมหา๑

    ลุงมหา๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +3,937
    การปฏิบัติแบบธรรมยุติ

    ขออนุญาตครับ

    การปฏิบัติแบบ ลัดที่สุดแบบธรรมยุติคือ

    การปฏิบัติสมาธิภาวนา หายใจเข้า ภาวนาว่า "พุทธ" หายใจออก ภาวนาว่า "โธ"
    เป็นการสะสมกำลังสติ กำลังสมาธิ เมื่อกำลังสติ กำลังสมาธิสมบูรณ์ดีแล้ว
    ก็ให้ฝึกสติ ฝึกมหาสติ ต่อ คือ การฝึกการรู้ตัวทุกอิริยาบถ
    เมื่อผ่านการรู้ตัวทุกอิริยาบถ ครบถ้วนตลอดเวลาที่ยังตื่นอยู่(ยกเว้นเวลานอนหลับ)

    ท่านที่ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ ก็คือที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า

    "การรักษาศีลที่ใจ" หรือ "การรักษาศีลขั้นละเอียด"

    เพราะเมื่อเรามีสติ รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาแล้ว

    "สติ-สัมปชัญญะ" จะเตือนใจอยู่ตลอดเวลาว่า อะไรถูกอะไรผิด ถูกอย่างไร ผิดอย่างไร

    ผู้ปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ จะมีความเย็นกายเย็นใจตลอดเวลา บางท่านสามารถเดินบนพื้นที่ร้อนได้ โดยไม่รู้สึกร้อนอะไรเลย

    ขอโมทนาบุญ ขออนุโมทนาบุญ

    ลุงมหา
     
  7. vitsavakron

    vitsavakron Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +47
    หลวงปู่ท่านใช้กายรักษาใจได้นั้นประเสริฐสุดแล้วส่วนวาจาแล้วแต่ท่านจะพูดหรือไม่ผมขออนุโมทนา สาธุครับและขออธิบายดังนี้ครับ เพศฆราวาสตั้งแต่เกิดจนตายใจจะบังคับกายอยากได้นั่นอยากได้นี่อยากเรียนอยากมีเพื่อนอยากมีแฟนอยากมีผัวอยากมีเมียอยากมีลูกอยากมีบ้านอยากมีรถอยากมีเงิน อยากได้ยศอยากมีชื่อเสียง สารพัดอยาก ทำให้วาจานั้นต้องโกหก หลอกลวง เพ้อเจ้อ ส่วนเพศบรรพชิตนั้นกายจะบังคับใจบวชแล้วต้องสำรวมรักษาศีล การนั่งสมาธิภาวนาก็คือกายจะต้องควบคุมหรือบังคับใจให้นิ่งไม่ให้ใจอยากได้นั่นอยากได้นี่ตัดขาดแล้วซึ่งกิเลสตัณหา เมื่อทำได้แล้วใจจะเป็นใหญ่กว่ากายไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาวไม่ห่วงการแก่การเจ็บการตาย รูปรสกลิ่นเสียงอารมย์ตัดขาดหมด ส่วนพระที่บวชแล้วยังตัดใจไม่ขาดจากเพศฆราวาสใจจะยังอยากได้อยากมีอยู่ เช่นอยากมียศอยากเป็นเจ้าอาวาสอยากมีเงินอยากเป็นท่านพระครูอยากมีรถเก็ง เสกเป่าสักยันต์ดูดวงไบ้หวยให้ญาติโยมทำบุญกับตนมากๆ กายก็ไม่อยู่เป็นสุข วาจาโกหกหลอกลวงอวดว่าตนสำเร็จอรหันต์ เพระว่าไม่เคยนั่งสมาธิภาวนาเลย ไม่รู้ว่าตนเกิดมาทำไมบวชพระไปเพื่ออะไร ศีล227ข้อ พระพุทธเจ้าสรุปแล้วมี3อย่างคือ ให้สำรวม กาย วาจา ใจ หลวงปู่มั่นท่านใช้กาย นั่งสมาธิภาวนาจนบังคับใจได้แล้ว ใจก็เลยกลับมาบังคับควบคุมกายกับวาจาให้อยู่ในศีลในธรรมนี้คือศีลที่หลวงปู่ปฏิบัต ขอกราบอนุโมทนาสาธุครับ
     
  8. FunTime

    FunTime Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กันยายน 2012
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +54
    ข้อความของสมาชิกท่านบน ผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่าไม่เหมาะสมเป็นเรื่องเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับหัวข้อกระทู้แม้แต่น้อย ขอความกรุณาช่วยแก้ไข ด้วยจักเป็นพระคุณอย่างมากครับ
     
  9. k201

    k201 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    87
    ค่าพลัง:
    +364
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ tjs

    เคยได้ยินได้ฟังเช่นกันครับ ละเอียดกว่าศีล 227อีก สาธุ อนุโมทามิ :cool:
     

แชร์หน้านี้

Loading...