ตอบข้อสงสัยทุกเรื่องเกี่ยวกับพุทธภูมิ

ตอบข้อสงสัยทุกเรื่องเกี่ยวกับพุทธภูมิ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัย

หรือแนวทางในการปฏิบัติของแต่ละบุคคล สำหรับท่านที่สนใจ

 

สาธุ ขออนุโมทนา

ถามได้หมดทุกเรื่องที่สงสัยใช่ไหมครับ

 

ได้ แต่ให้ใช้ปัญญา ประกอบด้วย

 

จะเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์วัดปัญญาในการถามของผู้สงสัย

เพราะแต่ละคน(ท่าน) ย่อมมีปัญญาบารมีอบรมสั่งสมมาไม่เท่ากัน

ทำให้คำถามต่างๆนั้น ย่อมมีความหลากหลาย ตามภูมิชั้นปัญญาและตามจริตของผู้ถาม

rat_wting

 

ไม่ได้วัดปัญญาของผู้ถาม แต่ตอบข้อสงสัยของผู้ถาม ที่ต้องการถาม

และจะตอบตามที่เรารู้

ดังนั้น ในคำถามจะบอก ภูมิชั้นปัญญาและจริตของผู้ถามเอง

ส่วนคำตอบ ก็จะเหมาะสมกับผู้ถาม

 

..... ขอรบกวนถามหน่อยนะครับ คืออยากจะทราบว่า จะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นอนิยตะโพธิสัตว์หรือนิยตะโพธิสัตว์ครับ

 

ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกับ คำว่า

อนิยตโพธิสัตว์ กับ นิยตะโพธิสัตว์

อนิยตโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้แรกปรารถนาพุทธภูมิ

ที่ยังมีบุญญาธิสมภารไม่มาก แต่มีจิตใจเลื่อมใสในพระโพธิญาณ แต่ยังไม่

แน่หรือยังไม่เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณที่จะได้ตรัสรู้ อุบัติเป็นพระสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล

นิยตะโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ

ที่มีบุญญาธิสมภารในระดับหนึ่ง มีจิตใจเลื่อมใสในพระโพธิญาณ

เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณที่จะได้ตรัสรู้ อุบัติเป็นพระสัมมา

สัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล จากการ ได้รับพุทธพยากรณฺ์

จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่อุบัติมาในอดีต


จะรู้ได้ยังไงว่าเราเป็นอนิยตะโพธิสัตว์หรือนิยตะโพธิสัตว์

ความแตกต่าง ย่อมบอกได้ทั้งใน โลกมนุษย์ และโลกสวรรค์

นิยตโพธิสัตว์ ที่เที่ยงแท้ ต่อพระโพธิญาณ

ย่อมรู้ บุญ รู้บาป รู้กาลอันควร ลักษณะ จะแสดงออกมา

ทั้งทางร่างกายและจิตใจ

ทางร่างกายนั้น จะแสดงถึง ลักษณะที่ครบอาการ ๓๒ และราย

ละเอียดอื่นๆ ตามบุญญาภิสมภารของผู้นั้น

ทางจิตใจนั้น สภาวะธรรมเต็มที่จะอยู่ในระดับ อรหัตมรรค

ในกรณีที่ บุญบารมี อยู่ในเกณฑ์ ที่จะได้รับพุทธพยากรณ์

ถ้าเปลี่ยนใจไม่บำเพ็ญบารมีต่อ ก็จะ ตัดความปรารถนา

เข้าสู่ ภูมิของสาวกภูมิ

หรือ ปัจเจกพุทธภูมิ ตามบุญญาภิสมภาร ที่บำเพ็ญมา


ในกรณีของผู้ถาม จะให้ข้อคิดว่า

อันธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ที่ได้เคยรับพุทธพยากรณ์แล้ว

ย่อมจะต้องมีสิ่งที่พิเศษ กว่าบุคคลทั่วๆไป

ทั้งในด้านทางโลกและทางธรรม ในกรณีที่ได้รู้ตัวว่า

ตนเองได้ตั้งใจปรารถนาพระโพธิญาณ และได้ปฏิบัติกรรมฐานได้ในระดับ

ที่สามารถ ถอดจิต หรือ ถอดกายทิพย์ได้ จะต้อง ได้พบครูอาจารย์

ทางโลกทิพย์ หรือ พระอรหันต์ หรือ พระโพธิสัตว์ หรือ

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาสอนหรือ แนะนำ ในการปฏิบัติ

หรือ ในอีกกรณี คือ จะต้องได้เจอ พระโพธิสัตว์ ที่ได้มาเกิดในโลก

มนุษย์มีบารมีที่สูงกว่า และมีโอกาสได้พบได้เจอมาแนะนำ

ในแนวทางปฏิบัติ

มาแนะนำ นี้คือจุดสังเกต

ในกรณีที่ยังไม่สามารถมี ฤทธิ์ ทางอภิญญาญาณ

เมื่อ เหตุและ ปัจจัย พร้อม ทุกอย่าง จะมาให้ได้รู้ ได้เข้าใจด้วยตนเอง

นั่นคือ เมื่อถึงเวลาแล้วจะรู้เอง และจะรู้แนวทางของตัวเราเอง

ถ้ารู้เห็นในนิมิตความฝันยังไม่ได้ ต้องนิมิตในสมาธิเท่านั้น

สำหรับการปรารถนาพระโพธิญาณ

หรือจะอาจ

รู้ได้ด้วย อธิษฐาน ให้ได้รู้ ไม่ช้าไม่นานจะมีเหตุให้ได้รู้

แต่มีจุดสังเกตง่ายๆ เลย

ถ้าจิตใจมองถึงประโยชน์ส่วนรวมเมื่อไร นั่นแล

พุทธภูมิที่เป็น นิยตโพธิสัตว์ พวกนี้เงียบ ทำเงียบๆ อยู่เบื้องหลัง

ยิ่งบารมีมากๆ ยิ่งเงียบ แต่ทำงานอยู่ ทั้งทางโลกและทางธรรม

 

ไม่มีท่านใดถามเลยหรือ นอกจากท่านธัมมะสามี
งั้นผมขอถาม เริ่มเลยนะครับ

1. ทำไมเจ้าของกระทู้จึงใช้ชื่อ "สุดที่รัก2"
2. ชื่อ "สุดที่รัก2" มีความหมาย หรือ นัยยะ อย่างไร
3. ทำไมต้องเป็นสุดที่รัก2 เป็นสุดที่รัก1 ไม่ได้หรือ

 

1. เจ้าของกระทู้ เป็นเพศบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์
2. ถ้าเป็นบรรพชิต หรือพระภิกษุสงฆ์ สอบได้นักธรรม และเปรียญธรรมชั้นไหน
3. ได้เคยศึกษาพระพุทธศาสนาในมหาวิทยาลัยสงฆ์หรือไม่ และได้รับปริญญาบัตรในสาขาวิชาใด
4. เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่ในมหาวิทยาลัยสงฆ์หรือไม่

 

1. เพราะชอบชื่อนี้ "สุดที่รัก2"

2. เพราะสมัครใช้ชื่อ สุดที่รัก แล้ว ลืมรหัส (และตอนที่สมัคร

ระบบมีปัญหาอยู่) ความหมายมีอยู่ พิจารณาเอาเอง

3. เพราะ สุดที่รัก กับ สุดที่รัก1 มันอันเดียวกัน เลยเลือกใช้ สุดที่รัก2

 

1. เจ้าของกระทู้ ศึกษาค้นคว้า และปฏิบัติธรรมมาเป็นเวลากี่ปี
2. เจ้าของกระทู้ปฏิบัติธรรมอย่างไร ถูกจริตแนวไหน บริกรรมอย่างไร
3. เจ้าของกระทู้ ปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่

 

1.เป็นคฤหัสถ์

2.จบปริญญาตรั

3.-

4.-

 

1.ถ้าจะเอาแบบเนื้อๆเน้นๆ 1 ปี วันละ 1 ชม.

2.เราปฏิบัติเอง มีครูอาจารย์มาสอน

3. เราถึงจุดที่ว่า ตรัสรู้ก็ได้ ไม่ตรัสรู้ก็ได้

 

ขอแปล และเดา(มั่ว)
ปฏิบัติมานานหลายภพหลายชาติ ชาตินี้ก็ปฎิบัติมาหลายปี แต่จะมาจริงๆจังๆเป็นเนื้อเป็นหนังแบบเห็นผล ก็แค่ 1 ปี ปฏิบัติเองบ้าง มีครูอาจารย์ในป่าบ้าง ในเมืองบ้าง(เหาะ)มาสอน

และเคยปรารถนาพุทธภูมิ ชาตินี้จะลาก็ได้ ไม่ลาก็ได้

สาธุ ๆ ๆ

 

ขอโทษน่ะครับ ในข้อที่ ๓ ว่าตรัสรู้ก็ได้ ไม่ตรัสรู้ก็ได้ หมายความว่าอย่างไรครับ ช่วยขยายความให้หน่อยครับ ไม่เข้าใจความหมายตรงนี้

ขอพระคุณเป็นอย่างสูงที่มาตอบข้อสงสัยให้ เข้าใจ

 

1. ธรรมอะไร เป็นบ่อเกิด พระโพธิสัตว์
2. พระโพธิสัตว์ควรมีธรรมอะไร อยู่ในใจ
3. เมตตา กับ วิริยะ ธรรมข้อไหนมีกำลังเกื้อกูลพระโพธิสัตว์ได้มากกว่า

 

คุณสุดที่รัก ยังมีความกลัวเหลืออยู่ไหม

 

ตรัสรู้ ก็ได้ ไม่ตรัสรู้ก็ได้ หมายถึงว่า อันธรรมดาของ

พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมจะมุุ่งหมาย

ที่จะตรัสรู้ในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติเป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

พระองค์หนึ่งในโลกธาตุ

เพื่อมาช่วยเหลือ หรือ ชี้ทางให้สรพสัตว์ทั้งหลาย

แต่เราได้แจ้งในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้แล้ว

และหมดสงสัยในธรรมทั้งปวงนั้นแล้ว

เราจึงกล่าวว่า

"ตรัสรู้ ก็ได้ ไม่ตรัสรู้ก็ได้"

 

1. ธรรม ที่เป็นบ่อเกิด พระโพธิสัตว์ ตือ เมตตา

2. พระโพธิสัตว์ควรมีเมตตาธรรม อยู่ในใจ

3. เมตตาธรรม มีกำลังเกื้อกูลพระโพธิสัตว์ได้มากกว่า

 

"...กลัว ฉันกลัวไปหมดทุกสิ่ง

กลัว ฉันกลัวเธอ จะทิ้งขว้าง..."

เพลงของ มนต์สิทธิ์ คำสร้อย


ความกลัวเกิดจากอะไร?

เมื่อเรารู้จักความกลัว และ หาสาเหตุ

ของความกล้วได้

และ แก้เหตุความกลัวนั้นได้

เราจึงไม่มีความกลัว

คนที่มีความกลัว นั่นคือ เขาไม่รู้จักความกลัว หาสาเหตุความกลัวไม่ได้

และแก้เหตุแห่งความกลัวไม่ได้ เขาจึงมีความกลัว