ศาลพระภูมิไม่ใช่ของพราหมณ์นะ

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย namitta, 7 ตุลาคม 2013.

  1. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    ศาลพระภูมิไม่ใช่ของพราหมณ์นะครับ เดิมแท้ไม่ใช่พราหมณ์เลย
    เดิมมาจากหิ้งไหว้ผี(ผีแต่เดิมคือคำพูดรวมๆเรียกสิ่งลี้ลับต่างๆในธรรมชาติของคนไทเก่า) แล้วมาเป็นศาลไหว้ ทีหลัง พอพราหมณ์เข้ามาก็ดัดแปลงพิธีพราหมณ์เข้ามาเข้ากับการทำศาล แต่เดิมทำง่ายมาก ตั้งศาลได้ปั๊บ เอาอาหารมา จุดธูปเทียน ดอกไม้ไหว้ อาหารพอ แค่นี้ พอพราหมณ์มาก็ใส่ความเชื่อพราหมณ์เข้าไปเป็นพระชัยมงคลลูกเจ้ากรุงพาลี แสดงถึงแนวคิดพราหมณ์ ตั้งศาลตามวันดีตามพราหมณ์ เอาแนวคิดการสร้างเทวาลัยแบบพราหมณ์มาต้องมีมณฑลพิธีสร้างอาณาเขตพลังเทพไว้ จากเดิมคือศิลามงคลวางไว้ประจำทิศประยุกต์มาแค่ไม้มงคล หินอัญมณี หรือยันต์ฝังก้นหลุม สร้างอาณาเขตพลังเทวะไว้ มีเจว็ดคือสัญลักษณ์แทนเทวะไว้ มีการเชิญมาเข้าพิธี เชิญถวายศาล เชิญขึ้นศาล เชิญรับเครื่องสังเวย ขอพร แล้วอัญเชิญท่านกลับ เป็นเสต็ป
    พอพุทธเข้ามา พิธีก็เปลี่ยนไปแต่ยังแฝงกลิ่นอายของพราหมณ์ไว้บ้าง ดึงเอาโอม มนตร์พราหมณ์ออก ใช้นะโม พุทธแทน เอายันต์มณฑลออก เอายันต์อื่นๆมาใส่เช่นยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์จตุโร ดังที่ปรากฎในปัจจุบันแล


    ดังนั้น ความจริงพระภูมิไม่ใช่พราหมณ์ เป็นลัทธิไทนี่หละ ถ้าเป็นพราหมณ์ อินเดียมีแต่ศาลเทวาลัยสำหรับเทวะต่างๆ แต่ไม่มีศาลพระภูมิแบบไทยเลย แต่ปรากฏมีในชนเผ่าไท. ประเทศไทย ลาว สิบสองปันนา พบมาก

    การมีพระภูมิไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ. แต่เป็นแนวคิดคติชนเดิมของเผ่าไท ที่บรรพบุรุษยังเคารพในฟ้าดินและสรรพสิ่งธรรมชาติ
    และขอบคุณที่สิ่งเหล่านั้นเป็นไปอย่างที่ควรเป็น และไม่ทำร้ายพวกเค้า
     
  2. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    สาธุคะ ...

    ..... ได้ความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยคะ สมเหตุสมผลเลยทีเดียว ถือว่าเป็นการผสมผสานอย่างลงตัว ในเรื่องของเจ้าที่ ... มันเหมือนสร้างความอุ่นใจให้กับคนภายในบ้านว่า ยังมีสิ่งศักดิ์ที่ดีคอยคุ้มครองพวกเขา จากอันตรายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ เช่น อมนุษย์ อาถรรพ์ต่าง ๆ ลมเพ ลมพัด ฯ
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันว่าที่อินเดียก็มีคะแต่อยู่ในรูป ไหว้เทพแทน เพราะเคยเดินผ่านตอนไปอินเดีย เป็นศาลคล้ายๆตู้มีบานเปิดเล็กๆ และข้างในมีรูปปั้นเทพเหมือนตุ๊กตามีดอกไม้มีของเส้น ตั้งอยู่ข้างๆบ้านคนนะคะ สรุป มันก็เหมือนกันแหละคะจะผีจะเทพ เทพของอินเดียมากมายก็เป็นผีท้องถิ่น ทำเป็นหิ้งบูชา มันต่างกันตรงไหนละคะเทพที่บูชาในอินเดียมีเป็นแสนๆ ก็อุปโลกเอามาจากผีตามพื้นบ้านท้องถิ่น

    [​IMG]


    https://www.google.nl/search?q=puja...1oGQCg&ved=0CAcQ_AUoAQ&biw=1280&bih=654&dpr=1


    [​IMG]


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2013
  4. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517

    ขอบคุณความรู้ของคุณดัชเชส แสดงว่าอินเดียก็มีแล้วเอามาประยุกต์กับทางไท
    แต่ของอินเดียคล้ายๆกับตี่จูเอี้ยของจีนเลย รึว่าที่จริงแล้วคือเทพหรือผีท้องถิ่นเป็นวัฒนธรรมเดียวกันเหมือนการกินข้าว ทำนา
     
  5. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    ของจีนก็มี
     
  6. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    จีนเนี้ยตัวได้รับอิทธิพลจาก พราหมณ์ ของอินเดียเลยคะ เพราะเค้านับถือ มหายาน และมีเทพมาก แบบของอินเดีย อย่าง เจ้าแม่กวนอิมก็คือ พระนางตาราขาว ....... พวก อินเดียกึ่งเนปาล นี้บูชาเทพ อย่างนึงเป็นสาวแขกแต่ใส่ชุดข่าวแบบเจ้าแม่วนอิมด้วยคะ ชื่ออะไรจำไมได้ แต่ขี่ดอกบัว และ มีชื่อ ปัทมานำหน้า ตามประวัตินางเป็นเจ้าหญงที่มีญาณวิเศษรักษาคน ในสมัยนั้นบางคนก็หาว่านางเป็น แม่มด แม่มดของอินเดียนี้จะมีคำว่า ราฑา ผสมอยู่ ดิฉันว่าตี๋จู่เอี๊ยของจีนน่าจะดัดแปลงมาจาก หิ้ง บูชามัณดีร์ pujamandir ของอินเดียเพราะทรงคล้ายกันมาก อีกประการอินเดียมีศาสตร์เรื่องหวงจ๋ยด้วยคะเรียกวาสตู
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2013
  7. wanakonth

    wanakonth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,154
    ค่าพลัง:
    +5,776
    ดูๆทางจีนไม่น่าจะใช่การรับวัฒนธรรมจากอินเดียซะเท่าไหร่นะครับท่าน เพราะลัทธิดั้งเดิมก็มีอยู่แล้ว
     
  8. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    เอาพราหมณ์ของอินเดียไปประยุคไงคะ ดูเจ้าแม่กวนอิม ทำไมมีมือตั้งหลายมือแบบ พระแม่ อุมา พระแม่ ลักษมีฯ ชุดแต่งกายก็เหมือนชุดสาวแขกอิหร่าน มากกว่าชุดจีน อิทธิพลอิหร่านในอินเดีย ซึงเข้ามาหลายสมัย ปล่อยผมยาว มีผ้าคลุมหัว และ เซอร์เคล็ตคล้องที่ หน้าผาก แบบ สตรีชั้นสูง ของ ยุโรป ยุคกลาง ไบเซนไทต์ และ อาณาจักรเปอร์เซียหลายสมัย


    มีคนรู้จักดิฉันซึ่งมี สมาธิ เคยเห็นเจ้าแม่กวนอิม ยังบอก ท่านสวยมาก ไม่เหมือนคนจีน ขาวชมพู ตัวสูง หน้ารูปรีๆแบบ รูปปั้นหรือภาพวาดนั้นแหละ แต่หน้าตางามกว่ามาก เหมือนสไตน์ ผู้หญิงไทยที่เป็นนางงาม คือ บอกไม่ได้ว่าชาติอะไร แต่สวยได้สัดส่วนกว่าคนเอเชียทั่วไป เป๊ เหมือนมีเชื้อฝรั่ง
     
  9. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    ประมาณตามที่เล่าๆมาครับ..
    อืมๆ.ขอแก้ไขหน่อย.เพิ่มเติม.แม้จะพอรู้บ้าง
    การบูชาเริ่มต้นจากผีก่อน ไม่นับการบูชาสิ่ง
    อื่นๆ.แล้วก็ไต่ระดับขึ้น
    มาตามระดับบุญบารมี.และฤิทธิ์ จนถึง
    ระดับผู้มีปัญญาสูงสุดก็ตาม.แต่ยังงงอยู่ว่า
    ของทางจีนทำไมวางที่พื้น..และก็ส่วนตัว
    ยังไม่เคยเจอสัมพะเวสีที่มีเชื้อสายจีน
    ในบ้านเราเลย.น่าคิดเหมือนกัน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2013
  10. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042


    .... อันนี้ขอตอบตามที่หนูเคยค้นข้อมูลมาได้ และ ขออธิบายแบบบ้าน ๆ นะคะ ... มันเป็นเหมือนสถานที่คล้ายศาลเจ้าแต่เล็กกว่ามีขอบเขตจำกัดเฉพาะ เจ้าที่ไม่ได้อาศัยอยุ่ในศาลจริง ๆ หรอกนะคะ เป็นเหมือนบ้านพักรับรองเฉย ๆ เทพเจ้าที่ดูแลตี่จู้เอี๊ยะมี 5 องค์ พี่น้อง เวลาไหว้ต้องมีเครื่องเซ่นบูชาที่ศาล และไหว้ประตูสองข้างด้วย เพราะเป็นที่เทพไปสถิตย์รักษา

    .... ตี่จู้เอี๊ยะ ความหมายของตี่จู้เอี๊ยะ *** ตี่ หมายถึง ดิน *** จู้ หมายถึง เจ้า หรือ ง่าย ๆ ศาลของเทวดาระดับ " ภุมเทวดา " นั้นเอง

    .... เพราะคนจีนส่วนมากให้ความสำคัญกับเรื่องของธาตุทั้ง 5 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทอง ( เหล็ก ) เชื่อว่าทุกสรรพสิ่งประกอบไปด้วนธาตุต้น และ เปรียบศาลตี่จู้เอี๊ยะ คือ ธาตุ ไฟ ... และที่ต้องวางบนพื้นดินก้เพื่อให้สามารถดูดเอาพลังงานจากพื้นดินมาเพื่อให้เกิดพลัง ... เพราะดินสนับสนุนไฟ ไม่ใช่ธาตุพิฆาตกัน และตี่จู้เอี๊ยะที่ถุกต้องต้องทำด้วยไม้ทาสีแดงเท่านั้น


    ... แต่สมัยใหม่จะใช้ " หินอ่อน " ทำเพราะสวย และ คิดว่าเป็นธาตุดิน ซึ้งถือว่าไม่เป็นมงคลเพราะคนจีนมักสลักชื่อคนตายบนแผ่นหินอ่อนมากกว่า และ หินอ่อนยังมีคุณสมบัติเป็น อิม คือ ความเย็น นิ่ง ซึ่งจะทำให้ศาลซึ่งเป็นธาตุไฟพลังด้อยลงไป แต่คนสมัยใหม่ไม่ค่อยถือเรื่องแบบนี้ และ เห็นว่าสวย หรู ดูดี เข้ากับบ้านสมัยใหม่ และ ซินแสบางคนก็การตลาดมากเกินไป ทั้งที่ในความจริงศาสตร์ของมันกลับให้ความสำคัญในเรื่องสมดุลของธรรมชาติ และ สมดุลธาตุ
     
  11. namitta

    namitta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    1,061
    ค่าพลัง:
    +3,517
    ทางเหนือมีการตั้ง ไม้ปัก แล้วเอาแผ่นไม้วาง ตั้งดอกไม้ สวยดอก ธูปเทียนไหว้ เค้าเรียกว่าไหว้เจ้าที่ อันนี้เป็นวัฒนธรรมคนล้านนาแต่ก่อน.

    ถ้าจะเอาไทเดิมๆ ไม่ผสมพราหมณ์จริง ต้องลัทธิบูชาแถน เป็นผีฟ้าสูงสุดเป็นผู้สร้างสรรพสิ่ง เป็นผู้สร้างมนุษย์ มีปู่สังกะสา ย่าสังกะสีหรือปู่เยอย่าเยอเป็นมนุษย์คู่แรกของโลก นับถือก่อนพุทธและพราหมณ์มามากกว่า 3000 ปี ในแถบอุษาคเณย์

    ลองดูที่ http://www.sujitwongthes.com/suvarnabhumi/wp-content/uploads/2012/12/08-seamusic-appendix-2.pdf



    เผ่าไทเดิมเชื่อว่าชนชาติตนเองมาจากเมืองแถนคือดาวใหญ่อยู่บนฟ้า ไต่ลงมาทางเครือเขากาด. เมื่อเครือเขากาดถูกตัดเลยติดต่อกับเมืองแถนบ่ได้

    คำว่า"16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน "เป็นคำพูดมาจากลัทธิเก่าของไทโบราณ นะ สมัยที่ยังนับถือ แถน กันอยู่

    ในหนังสือ"ตำนานต้นผีไทย"เขียนโดย ธัมมทัตโตภิกขุ พ ณ ประมวญมารค กล่าวถึง "๑๖ ชั้นฟ้า ๑๕ ชั้นดินไว้ว่า "๑๖ ชั้นฟ้า ไล่จากชั้นบนสุดลงมา คือ

    ชั้น ๑๖ สรวงสางฟ้า ต้นผีฟ้า (เทพสูงสุดของชนเผ่าไท) ขุนสรวง ขุนนางสาง (เทียบกับชั้นอาภัสรพรหมในพุทธศาสนา)...

    ชั้น ๑๕ แถนเทียนฟ้า ขุนแถน (ผีฟ้าพญาแถน)

    ชั้น ๑๔ แผนเมืองฟ้า หรือ แผนดวงฟ้า

    ชั้น ๑๓ เมืองแมนฟ้า ขุนแมนเมืองฟ้า

    ชั้น ๑๒ ร่วงเมืองฟ้า ขุนร่วงเมืองฟ้า หรือ จ้าวพ่อนารายณ์ จ้าวแม่ทับทิม

    ชั้นที่ ๑๑ สันซื่อฟ้า ขุนสันแสงฟ้า ขุนหญิงยาซื่อฟ้า (ย่าซื้อนาง)

    ชั้นที่ ๑๐ ลายขวัญฟ้า ขุนลายเรืองฟ้า จ้าวแม่โพสพ เป็นเทพปกครองสูงสุดของชั้นนี้

    ชั้นที่ ๙ อินขวัญฟ้า ขุนอิน(พระอินทร์) จ้าวแม่กวักทองมา พระขวัญเมือง (เจ้าแม่นางกวักที่ถูกเชิญมารำแม่ศรี)

    ชั้นที่ ๘ ฟ้าสรวง หรือ ฟ้าสูง ๑ ขุนตะวันร่วงฟ้า (พระเสื้อเมือง)

    ชั้น ๗ ฟ้าหนหาว หรือ ฟ้าสูง ๒ เทียบกับท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ ทิศ ขุนออก หรือ ขุนทิศตะวันออก(เป็นที่มาของสมัญญานามที่ใช้เรียกขุนนาง ว่า "ออกขุน,ออกญา"ท้าวธตรฐ) เพศวัยรุ่นแต่งตัวเป็นกุมารไว้ผมจุกมีปิ่นเพชรสีต่างๆ (กุมารทอง?) ฯลฯ

    ชั้นที่ ๖ ใต้ฟ้าสรวง ขุนขวัญเมืองสูง เป็นเทพผู้ปกครองชั้นนี้ เทพชั้นนี้มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มีทุกชนชั้นวรรณะ พระ เณร ชีอุบาสก อุบาสิกา ผู้ใหญ่ และเด็ก เทียบกับชั้นอากาสัฏฐเทวดา(ผีฟ้า)

    ชั้นที่ ๕ จ้าวฟ้าเมือง ขุนคุ้มเมือง ขุนหญิงร่มสีเมือง(จ้าวแม่ร่ม(เย็น)ศรีเมือง?)

    ชั้นที่ ๔ จ้าวถิ่นที่ หรือ เจ้าที่ ขุนถิ่นที่ ขุนหญิงสีพราย หรือ เจ้าแม่จอมขวัญ เทียบกับ ภุมเทวตา หรือพระภูมิ มีชื่อแยกไปตามประเภทของสถานที่ คือ ๑ พระชัยมงคล ๒ พระนครราช ๓ เทเพนทร์ ๔ พระชัยศพณ์ ๕ พระคนธรรพ์ ๖ พระธรรมโหรา ๗ พระเทวเถร ๘ ธรรมิกราช ๙ พระธาตุธรณ์ พระภูมิเทวี(เจ้าแม่)มี ๙ องค์เช่นกัน คือ ๑ แม่เอื้อยอารี ๒ แม่ศรีอร่าม ๓ แม่งามกาหลง ๔ แม่จงคะวดี ๕ แม่มีบุญญา(หรือ แม่ย่าซื้อ เทพธิดาที่คุ้มครองเด็กทารก) ๖ แม่มาเลี้ยงรื่น (แม่เลี้ยง) ๗ แม่ชื่นขวัญมา ๘ แม่พาขวัญใจ ๙ แม่ใสเชิญขวัญ และชั้นนี้ยังแบ่งแยกชื่อตามสถานที่คือ จ้าวทุ่ง จ้าวท่า จ้าวป่า(วนปติเทพ อรัญญาณีเทวี) จ้าวเขา (ปัพพตเทพ ปารพตีเทวี) จ้าวที่ จ้าวทาง จ้าวเรือก จ้าวไร่ จ้าวนา

    ชั้นที่ ๓ จ้าวไม้ (รุกขเทพ รุกขมินีเทวี) ที่นับถือกันมากคือ จ้าวพ่อโพ จ้าวพ่อไทร (พระโพเทพารักษ์ พระไทรเทพารักษ์) จ้าวแม่ตะเคียน จ้าวแม่ตานี หรือนางตานี จ้าวแม่ไทรทอง

    ชั้นที่ ๒ จ้าวพราย (เรียกรวมๆ) ครูเวทย์มนตร์ ครูหมอยาสมุนไพร ครูดนตรีศิลปะการแสดงต่างๆ เทพชั้นสูงต่างๆที่กล่าวมาข้างต้นอวตารลงมาปรากฎรูปในนามของเทพที่เรานับถือ เช่น ขุนสรวง มาในชื่อ พ่อมด (พ่อหมอ รูปชายเปลือยที่เรียกกันว่า "ไอ้งั่ง"เป็นตัวแทนมนุษย์เพศชายคนแรกที่จุติมาจากอาภัสรพรหม) ขุนนางสาง มาในชื่อ แม่มด หรือ แม่มดลูก(รูปหญิงเปลือยที่เรียกกันว่า"อีเป๋อ"เป็นตัวแทนมนุษย์เพศหยิงคนแรกที่จุติมาจากอาภัสรพรหม ขุนลายสันฟ้า มาในนาม พระร่วง หรือ พ่อเลี้ยง แม่ยาซื่อ มาในชื่อ แม่ซื้อ จ้าวพ่อนา แม่โพสพขุนลายสันฟ้า (อวตาร) มาในชื่อจ้าวพ่อนา แม่โพสพ (อวตาร)มาในชื่อ พระโพสพ ขุนอิน(พระอินทร์) และนางกวัก มาในชื่อ พ่อสิน แม่ศรี คือ จ้าวโชคลาภ ถ้าเป็นชายเรียกว่า จ้าวพราย หรือ ปู่จ้าวสมิงพราย ถ้าเป็นหญิงเรียกว่า แม่ทรง

    ชั้นที่ ๑ ของ ๑๖ ชั้นฟ้า คือ จ้าวเรือน หรือที่รู้จักกันในนาม "ผีบ้านผีเรือน" นั่นเอง

    ๑๕ ชั้นดิน

    ชั้น ๐ หล้าแหล่งไทย คือ พื้นดิน โลก ที่เราอาสัยอยู่นี่เอง

    ชั้นที่ ๑ ผีคน คือ ศพเน่าแล้วมีกลิ่นเหม็นเน่า คนป่าที่ไมีนุ่งผ้า คนชั่วช้าเลวทราม

    ชั้นที่ ๒ เบื้อ เยี่ยว ส่ำ (สัตว์ดิรัจฉาน ดังคำที่พูดกันติกปากว่า"ส่ำสัตว์ทั้งหลาย"แต่ในที่นี้หมายถึง สัตว์หิมพานต์ เช่น คชสีห์ กินนร ) เบื้อ คือ คนที่ตัวเล็กกว่าคนปกติธรรมดาทั่วไป ไม่มีลูกสะบ้าเข่า อาศัยอยู่ในถ้ำลึกเข้าไปในป่าดงดิบ ที่เพชรบุรีเรียกว่า"เยี่ยว" อาจเป็นชาวลับแลที่อยู่อีกมิติหนึ่งก็ได้

    ชั้นที่ ๓ ผีพราย ผีตระฉัน(เซ็นเซอร์)ลกะ เช่น ผีกะสือ ผีกะหัง ผีปอบ ผีโพลง ฯลฯ

    ชั้นที่ ๔ ผีเปรต

    ชั้นที่ ๕ ผีร้าย ผีดุที่เที่ยวหลอกผู้คนให้หวาดกลัว เจ้ากรรมนายเวร ที่ตามอาฆาตจองล้างจองผลาญคนที่เคยทำร้ายเขาเมื่อชาติที่แล้ว

    ชั้นที่ ๖ ผีบอง มี่รูปร่างเหมือนคน ถ้าสัตว์ตายก็มีรูปร่างเหมือนสัตว์ชนิดนั้นๆ แต่มีรูปร่างอัปลักษณ์ เช่นตกกระ มีลาย เช่นลายกลากเกลื้อน มีปุ่ม เช่นหูดต่างๆ มีรูปร่างบิดเบี้ยว เช่น คางเบี้ยว หลังงองุ้ม กลิ่นเหม็นสาบสาง คล้ายกับคำว่า "สัมภเวสี"ในความเข้าใจของคนทั่วไป เป็นวิญญาณเร่ร่อน ที่มีบุญไม่ถึงสวรรค์ มีบาปไม่ถึงนรก ไม่พอที่จะเกิดเป็นคน อาจเรียกได้ว่า"บุญไม่ทำ (บาป)กรรมไม่สร้าง"ก็ได้

    ชั้นที่ ๗ ผีขุนยม หรือ พระยายมราช มัจจุราช ยมบาล

    ชั้น ๘ ผีทุ (อาจมาจาก ทุศีล ทุรชน ทุรกรรม) ผีที่มีรูปร่างเหมือนคนทั่วไป พระ เณร ชี อุบาสก อุบาสิกา ชาย หญิง ทุกวัย มีน้ำเลือด น้ำเหลืองไหลออกจากตัว มีไฟตามตัว กรรมจากการประพฤติชั่วต่างๆ การโกหก หลอกลวง คดโกง ลักเล็กขโมยน้อย เห็นแก่ได้เบียดบังเอาประโยชน์เข้าตัวโดยมิชอบ

    ชั้นที่ ๙ ผีบัน (หรือ บั่น คือ ปาณาติบาต)

    ชั้นที่ ๑๐ ผีบัด (หรือหาย คือ อทินนาทาน) มีอวัยวะไม่ครบ เช่น แขน,ขากุดด้วน ตามกรรมที่ทำผิด

    ชั้นที่ ๑๑ ผีบอด (กาเมสุมิจฉาจาร ความรักทำให้คนตาบอด)

    ชั้นที่ ๑๒ ผีใบ้ (มุสาวาท)

    ชั้นที่ ๑๓ ผีบ้า (สุราเมรยมัชชปมาท)

    ชั้นที่ ๑๔ ผีบ่ง กรรมที่ไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ มือใหญ่เท่าใบตาล

    ชั้นที่ ๑๕ ผีบึ้ง พวกสัตว์นรกในโลกันตนรก มีมิจฉาทิฏฐิ มืดสนิทไม่มีแสงสว่างใดๆลอดเข้ามาได้เลยแม้แต่เท่ารูเข็ม



    ชั้นจ้าวทั้งหลายนี่เองที่ชอบมีศาล เดิมก็ชอบตั้งศาลจ้าวพ่อจ้าวแม่เป็นศาลประจำเผ่าอยู่แล้ว และมีแม่หญิงเป็นคนทรงจ้าว เพื่อชี้นำเผ่าอยู่เสมอๆ จนมีลัทธิเพศชายเป็นใหญ่ต่อมา นั่นเองครับ
     
  12. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    จุดนี้คล้ายกับพวกลัทธิชามาร์น ที่มาจากทางเอเชียกลาง มองโกลเลีย และชนเผ่าอินเดียนแดงเลยคะ ทำให้เห็นว่า คนไทยบางส่วนเป็นพวกที่มีเชื้อสายมาจากทางนั้น คือ เอเชียกลาง พวกนี้กลายเป็นชาวล้านนา ทางเหนือของไทยและ โครตรบูรณ์ ทางอีสาน



    คนไทยมีหลายเผ่ามากคะ เรียกว่าชาวล้านนากับ อีสานก็อาณาจักรโคตรบูรณ์ จะบอกว่า ไทยแท้ๆคือพวกทางล้านนาอย่างเดียวก็ไม่ถูกคะ บางคนก็ฝั่ง อาณาจักรคูบัว ทางตะวันตก หรือ คนใต้ก็ ศรีวิชัย บางคนก็ไม่ได้มีเชื้อสายอยู่ย้านนี้เลยมาจากต่างประเทศ อย่างพวก แขกจาม แขก ปัตตานี แขกเปอร์เซีย ชาไทย ซิกดิ์ เป็นต้นคะ
     
  13. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,040
    อืม..อ่านดูมีเหตุผลดีนะ..แหมๆ..มีธาตุเหล็กด้วยเอาเสริมเลือดหรือ ๕๕๕
     
  14. Kalina

    Kalina เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    931
    ค่าพลัง:
    +4,042
    ..... อีสานก็มีเยอะคะ สมัยก่อนก็มีนับถือ " ผีฟ้า" ซึ่งคล้าย ๆ กับคนเหนือหลายอย่างเหมือนกัน นับถือ ผีบรรพบุรุษ ฯลฯ

    .. ส่วนมากจะนับผู้สืบทอด " นางเทียม " หรือ " คนทรงผีฟ้า " จากสายเลือดฝ่ายแม่เป็นหลัก ... ส่วนใครจะเป็นผู้ถูกเลือกให้สืบทอดต่อนั้น ... ผีฟ้าจะเป็นคนเลือกเอง ... ในจำนวนลูกหลานที่สืบสายเลือดฝั่งแม่เป็นหลัก ... ในที่นี้ คำว่า ผีฟ้า ก็ คือ เทวดา นั้นเอง ..

    ... แต่รู้สึกในรายละเอียดปลีกย่อยจะมีความแตกต่างกันไป ประมาณนี้แหละค
     
  15. wanakonth

    wanakonth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,154
    ค่าพลัง:
    +5,776
    จริงๆทางจีนควรจะเป็นอิทธิพลจากความเชื่อดั้งเดิมและลัทธิเต๋ามากกว่าพรามหณ์นะ เพราะมาจากการนับถือผี นับถือธรรมชาติ แล้วพัฒนามาเรื่อยๆ อย่าลัทธิเต๋าอะครับ เทพต่างๆก็สถาปนาโดยลัทธิเต๋าซะส่วนใหญ่ซึ่งไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับพราหมณ์นะครับ เพราะเต๋าเน้นที่ธรรมชาติ ตามที่คุยกับท่านผู้รู้มานะครับ ส่วนเรื่องหลายๆเทพหลายๆพระกรนี่มันเป็นส่วนที่มีกันมานานแล้วเหมือนกันเพราะการสถาปนาเทพทางนั้นอะครับ อย่างเจ้าแม่โต้วหมู่หยวนจวินนี่ดูๆไปคล้ายๆพระพรหมแต่ว่าไม่ใช่นะครับ เป็นการสถาปนาจากวรรณกรรม พงศาวดารจีน
     
  16. ฮกหลงขงเบ้ง

    ฮกหลงขงเบ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,143
    ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า จีนมีสองจำพวกคือ จีนพุทธมหายาน และจีนเต๋า
    จีนพุทธมหายาน นับถือศาสนาพุทธที่รับมาจากอินเดียอีกที พระโพธิสัตว์กวนอิมรับมาจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หลักฐานคือรูปหล่อสำริดสมัยศรีวิชัย ที่นครศรีธรรมราช ด้วยลักษณะที่เหมือนกันของพระโพธิสัตว์ทั้งยังปรากฎพระสูตรของพระโพธิสัตว์กวนอิมในพระสูตรมหายานทั้งอินเดียและมหายานจีน ชื่อ พระสูตรว่ามหากรุณาธารณีสูตร ยืนยันได้ชัดเจนว่าเป็นพระองค์เดียวกัน ส่วนพระนางตาราขาวนั้นจะเสด็จมาจากใดก็ไม่ทราบได้ ส่วนตี่จู้เอี้ยของจีนนั้นเกิดมาจากชาวบ้านที่ต้องการจะบูชาเทพ ในอดีตนั้นชายชราที่เป็นที่เคารพนับถือชื่อจางฝูเต๋อได้ประกอบคุณงามความดี ครั้นสิ้นลมประชาชนทั้งหลายต่างศรัทธาเคารพนับถือ อีกทั้งฮ่องเต้(โอรสสวรรค์)ก็ทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพผู้รักษาที่ ศาลเจ้าจีนสังเกตลวดลายมังกรที่เกิดจากตำนานจีนที่ ผนวกสัตว์ทั้ง 9 อย่างเกิดเป็นมังกร อีกทั้งลวดลายผลไม้หรือดอกไม้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นของจีนไม่เห็นจะรับมาจากอินเดียแต่ประการใด จะรูปทรงคล้ายอินเดียหรืออะไรก็ตาม ลองสังเกตบ้านคนสิครับ ไม่ว่าจะบ้านจีน บ้านไทย บ้านแขก บ้านฝรั่ง ก็มีเสา มีหลังคา มีประตู หน้าต่างเมือนกันทั้งนั้น ทั่งๆที่ตั้งแต่โบราณก็ไม่ได้มีใครมาจำของใครไปทำเลยซักนิด ลองพิจารณาดีๆก่อนนะครับ จึงจะวิเคราะห์ออกมา
     
  17. ฮกหลงขงเบ้ง

    ฮกหลงขงเบ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,143
    ขออนุญาตหักล้างความเชื่ออย่างผิดๆ ขอไม่เกรงใจนะครับ เพราะขัดใจอย่างร้ายเหลือ ตี่จู้เอี้ยเป็นตำแหน่ง ตี่ แปลว่า ดิน จู้ แปลว่า เจ้าของ เอี้ย หมายถึง ผู้เป็นที่เคารพ ตำนานนั้นท่านนั้นมีที่มาจากเรื่องของพ่อบ้านที่เชื่อจางฝูเต๋อ บางก็ว่ามาจากชื่อเจ้าเมืองที่ชาวบ้านรักใคร่ จึงได้พากันยกย่องและเซ่นไหว้
    อีกอย่างตี่จู้เอี้ยคือธาตุดิน ไม่ใช่ธาตุไฟ ในอดีตและปัจจุบันก็สร้างศาลจากไม้และทาสีแดง ตั้งติดกับดิน ก็เพื่อว่าให้ดินก่อกำเนิดไฟ ทาสีแดงคือธาตุไฟอย่างไรหละครับ ตามหลักโหราศาสตร์จีนการเสริมธาตุนั้นจะต้องเสริมด้วยธาตุก่อกำเนิดครับไม่ใช่เสริมด้วยธาตุนั้นไปเลย ไม่ทราบว่าเคยเรียนโหราศาสตร์จีนมาบ้างหรือเปล่านะ ดินกำเนิดทอง ทองกำเนิดน้ำ น้ำกำเนิดไม้ ไม้กำเนิดไฟ ไฟกำเนิดดิน เวียนเป็นวัฏจักร การสร้างศาลจากหินอ่อนก็ไม่ผิด เพราะหินอ่อนนั้นเรียกว่าเป็นธาตุดินแข็ง ยิ่งดินแข็งกำเนิดทองยิ่งเป็นความหมายมงคล แต่ด้วยความยากจนในอดีตจึงไม่อาจสร้างด้วยหินอ่อนได้ ข้อนี้ต้องพิจารณาถึงที่มาและความหมายจึงจะชี้ขาดได้ ไม่ใช่ว่าอันนี้ไม่ได้ อันนี้ไม่ถูก ศาสตร์จีนพัฒนามาหลายพันปีผ่านกาลเวลาที่ถูกหล่อหลอมด้วยหลักการและเหตุผล จะมาสรุปรวบยอดเอาเลยโดยไม่ดูถึงแก่นและรากนั้นไม่ได้
     
  18. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    แม้แต่จีนลัทธิเต๋าก็ได้อิทธิพลมาจาก โซโรเอสเทรียน และ พราหมณ์ของอินเดียคะ มีหนังสือ นักวิชาการอินเดียเขียน เรื่อง อิทธิพลเปอร์เซียในศาสนาพุทธ เดี๋ยวถ้าว่างๆจะหาลิงค์ให้ดู
     
  19. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 ตุลาคม 2013
  20. ฮกหลงขงเบ้ง

    ฮกหลงขงเบ้ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    587
    ค่าพลัง:
    +3,143
    มีเหตุผลดีครับ มีการอ้างอิงทั้งหลักวิชาการและนักวิชาการ น่าเชื่อถือครับ ถ้ามองในมุมอินเดียหรือมุมอื่น แต่ตัวผมเองนั้นถือพรตเป็นนักพรตเต๋า ที่อารามไป๋หยุนกวน ปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน ตั้งแต่อายุ 17 ปี จนบัดนี้ล่วงได้ 58 ปีแล้ว เรียกว่าศึกษาเต๋ามาเกือบจะทั้งชีวิต หลักคำสอนต่างๆนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่สมัย(ราชวงศ์ซาง)ที่พุทธยังไ่ม่ทันเข้ามาจีน ไม่มีแขกเข้ามาที่จีน ยุคโบราณขนาดนั้นเรื่องอิทธิพลแขกว่าไม่มีแน่ อีกทั้งเหล่าเทพยดาทั้งหลายแทบจะทุกองค์มีตัวตนจริงเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ทั้งนั้น ก็ขอพูดในฐานะนักพรตเต๋าแก่ๆไว้เท่านี้ เรื่องแขกเราไม่รู้ แต่เรารู้เรื่องเต๋าของเราเอง โปรดอย่าให้คนนอกมาเอาหรือเหมารวมว่าเต๋าลอกใครมาเลย ถ้าเป็นส่วนของมหายานก็ว่าไปอย่าง เพราะนั้นเป็นของพุทธ การถกกันเรื่องคำสอนและการตีความเป็นเรื่องนานาจิตตัง แต่การพูดในเรื่องที่มานั้นเป็นความจริง ไว้ถ้าพวกผู้รู้ทั้งหลายเข้ามาศึกษาเต๋าอย่างแท้จริง ได้เป็นถึงอนุศาสนาจารย์เต๋าก่อนแล้วบอกว่าเต๋ารับมาจากอินเดียถึงจะน่าฟังหน่อย ไม่ใช่รู้มากเรื่องแขกแต่ไม่แตกฉานเต๋าก็มาเหมาไปแบบนี้ไม่ควร คุณจะรู้ว่ามะนาวเปรี้ยวเหมือนส้มก็ควรจะชิมทั้งมะนาวและทั้งส้มเสียก่อน ไม่ใช่เคยกินแต่มะนาว แล้วเห็นส้มมันกลมๆเหมือนกัน สีคล้ายๆกัน ต้นคล้ายๆกัน ก็มาเหมาว่ามันคล้ายกันแล้วเปรี้ยวเหมือนกัน
    ขอฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ แล้วลองพิจารณาดู
     

แชร์หน้านี้

Loading...