ผม...พระ...และ...สาระยุคก่อน

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย modpong, 8 พฤษภาคม 2010.

  1. punthai

    punthai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    153
    ค่าพลัง:
    +320
    หวังว่า คงได้อ่านบทความจากประสบการณ์จริง จากพี่ในเร็วๆนี้
     
  2. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ..............
    ....หวัดดี..porpek..น้องpunthai..และ..กำธรน้องรัก..
    ...........................
    ...ต่อจากตอนนี่แล้ว....
    ...........................
    ...ไม่ว่า..ปิลันธ์..หรือ..กรุท้ายตลาด..ที่เนื้อ..ไม่เป็นสีขาว..แต่ยังไง..ก็มี..ผงปูนเปลือกหอย..
    ผสมอยู่ในเนื้อ..รวมทั้งมี..น้ำมันตังอิ๊ว..เป็นตัวประสานอยู่ดี...
    ....มวลสารที่ผสม..ความชื้น..อุณหภูมิ..ลักษณะของกรุ..และการวางตัวของพระในกรุ..
    ..เหล่านี้..มีผลต่อลักษณะ..ของ"คราบกรุ"........
    .......สีที่ขาวอมเหลือง..มันๆหน่อย..นั่นก็เพราะมีส่วนของน้ำมันตังอิ้ว..ที่..เตลือบอยู่..เพราะบาง
    ส่วนของน้ำมันตังอิ๊ว..ที่ทำปฎิกิริยาไม่สมบูรณ์..อาจไม่แข็งในตอนนั้น..เมื่อโดนอุณหภูมิที่ร้อน
    ..ก็..ออกมาที่ผิวได้..พร้อมกับการเกิด..แคลเซียมคาร์บอเนต....
    ......สีน้ำตาล...อย่างบางขุนพรหมกรุใหม่..ถ้ากลับไปย้อนอ่านตอนเก่า..ของผม..จะทราบว่า
    ...ดินที่หล่น..ลงไปในยุคที่ตกพระกัน...เมื่อฝนตก..น้ำฝนบางส่วนก็ไหลลงไปในกรุ..น้ำขึ้น...ท่วม
    ใหญ่อย่างปี ๒๔๘๕..นั่นกรุจม..แช่น้ำ..ร่วมเดือน...น้ำมันจะละลายเม็ดดิน...จนเป็นเม็ดละเอียด
    ยิบ..แขวนลอย..อยู่กับน้ำ..กระบวนการเกิด แคลเซียมคาร์บอเนต..ที่เกิดขึ้น..ตลอดเวลา..มันก็จะ
    มีส่วนเม็ดดินที่ละเอียดแขวนลอยอยู่ปนไปกับ..ตัวมันด้วย..ผลก็คือ..ทำให้คราบกรุ..กลายเป็นสี
    น้ำตาล..(ของหลวงปู่โต๊ะ..ก็คงเกิดจาก..ตะกอน..ฝุ่นผง..ที่้ทะยอยลงไปเพิ่ม..ทุกๆปี..ก็เข้าไปปน
    เช่นกัน..ผลจึง..ออกมาคล้ายๆกัน..).....
    ....."คราบกรุ"..ดังกล่าว..มันเกิดขึ้นจากภายใน..ดังนั้น..มันจึง..ยากในการแกะ..และ..แคะออกจาก
    ผิว........และรูปแบบการเกิด..หรือ..ลักษณะมัน...ก็จึงต่างจาก..ของวัดขุนอินด้วย........
    .........................................................
    ...ถ้่าเรามา..สังเกตสีนั้น..วัดขุนอิน...คราบ..จะมีตั้งแต่ขาวหม่นอมเหลือง..เหลืองๆ..เหลืองอมน้ำตาล
    ..ไปจนถึง..น้ำตาลอ่อน...ลักษณะ..เหมือนเป็นผงเล็กๆมาเกาะตัวกันไปตามพื้นผิว...และ..ค่อนข้าง
    ราบเรียบ..หนาเท่าๆกันไปหมด.....
    ........ผมให้กลับย้อนไปถึง..ลูกรังที่ติดเท้าเราตอนเปียก..แล้วรูดเท้า..ให้มันหลุดจากรอง
    เท้าเรา..ในตอนก่อนหน้า..นั้น..มันแห้ง..แล้วเป็นก้อนแข็ง..แต่ที่เห็นมันแห้งนะ..แค่ผิวนอก
    เท่านั้น..ตุณลองเอา..ค้อนไปทุบ..ให้แหลกซิ..แล้วเอามือจับดู...คุณจะรู้ว่ามันแห้งแค่ที่ผิว....
    ...คุณทุบไปเรื่อยๆ..จนป่นละเอียด..เอาไปตากแดด..ให้มันแห้ง...แล้วคุณเอาไอ้ผงลูกรังแห้งๆ
    นั่นนะ..มาพยายามปั้นให้เป็นก้อนกลมๆ(โดยใส่ถุงมือยาง..กันเหงื่อจากนิ้ว)...ดูซิจะทำได้มั้ย.....
    ......ไม่ได้หรอกครับ....มันต้องมีความชื้นเข้ามาประกอบ..อนุภาคจิ๋ว..ของเม็ดดินเหนียว..มันจะ
    ไม่ดูดติดกัน..ถ้าไม่มีความชื้นเข้ามา.....
    ................เช่นกัน..ถ้าเกิดจริง..ตามธรรมชาติ...ขบวนการนี้..ยังไงก็มีความชื้นเข้ามาเกี่ยว...
    ...อย่างในที่ปิด..อย่างด้านในองค์พระนอน...ต่อให้..จุดที่พระอยู่..อยู่สูงแค่ไหน..ความชื้นจากผิว
    ด้านนอก..ยังไง..มันก็ถ่ายผ่าน..อิฐ..และ..ปูนเข้ามาได้....
    ..............ต่อตอนหน้า.....................
     
  3. เหลิมม

    เหลิมม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +313

    ชัดเจนครับ ลักษณะคราบกรุขุนอินฯ เป็นอย่างที่ว่าจริง
     
  4. porpek

    porpek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +4,273
    ที่จริงผมเลือกข้างแล้ว แต่เปิดใจ เปิดใจ รับฟังการวิเคราะห์ข้อมูล ขอบคุณครับ
     
  5. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .......
    ขอบคุณครับที่บอกมา....นับว่า...เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว
    ....คนเราจะพัฒนาตัวเองได้..ต้องรับฟังข้อมูล..ทุกแบบ
    ..ทั้งดี..และ..ไม่ดี....สมัยผมทำงาน...ผมเป็นคนที่ยอม
    หักไม่ยอมงอ...แต่ผม..พร้อมที่จะเผชิญหน้า..และยอมรับ
    ว่า..ใครเกลียดเรา..ใครไม่ชอบเรา...ไม่ว่า..ผมจะไปอยู่ที่
    ไหน..ทำงานที่ไหน..ผมมีศัตรูมาก..แต่ผมไม่เคยที่จะหนี...
    ..ผมถือว่า..มีศัตรูเยอะยิ่งดี...เพราะตัวเอง..ทำอะไรยิ่งต้องรอบคอบ..
    ถ้าพลาด..จะเป็นจุดอ่อน..ให้เขามาเล่นงานเราได้..
    ..ใครให้ข้อมูล..อะไรมา..ผมเก็บหมด..และยิ้มรับ..ผล
    การกระทำ..ของตัวเอง...แต่..เดินหน้าต่อ..และ..ไม่ย้อนกลับ
    ไปมองข้างหลัง.......
    ........เป็นตัวของตัวเอง..ดีที่สุดครับ..อย่าหลอกตัวเอง..
    ..ต้องฝึกแยกแยะ...ความเชื่อ..ส่วนนึง..เมื่อเราเชื่อจึงเกิดพลัง..
    มันมาพร้อมกับ..ความศรัทธา....ถ้าเรามั่นใจแล้ว..ก็เดินหน้าต่อไป
    .....จงอย่าแคลงใจในสิ่งที่เชื่อ..เพราะ..จะทำให้..พลังลดลง..
    ........ยืนรับฟัง...เหตุผล..ต่างๆไว้..อย่างมั่นคง..แล้วเก็บข้อมูล..
    ไว้อีกที่..อย่าให้ปนกัน..เพราะถ้าปนกันเมื่อไหร่..ความทุกข์จะตามมา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กันยายน 2013
  6. เฉียวฟง

    เฉียวฟง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    1,190
    ค่าพลัง:
    +4,913

    บทความนี้โดนใจอย่างแรงครับ...คุณอา เก็บไว้เตือนสติได้อย่างดีมากครับ ^_^
     
  7. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .......
    ...หวัดดี..เฉียวฟง หลานรัก..รู้สึกดี..เพราะมันเกิดประโยชน์..
    .................................
    ..................
    ......บางคนนึกว่า..สีแบบที่ออกเข้มๆ..นะ..อาจเป็นผงอิฐ..ที่มันร่วงลงมา...
    .....ผมบอกได้เลยว่า..ยากครับ....การทำอิฐสมัยอยุธยา..ต่อมาถึงต้นยุครัตนโกสิทร์..ใช้วิธีการอย่างดี
    ..อิฐที่ก่อไว้เปลือยๆ...ผิวยังไม่กร่อนเลย(..ไม่ใช่อิฐมอญยุคนี้..)...คุณดู..แค่ที่..ป้อมพระกาฬ..
    ..ป้อมมพระสุเมร..ในกรุงเทพ..หรือ..ที่เศษกำแพงเมืองชั้นกลาง..ที่อยู่ริมถนนหน้าวัดบวรฯ...
    (ติดกับ..คลองบางลำภู(คลองโอ่งอ่าง)คูเมืองชั้นกลาง)...เอามือไปรูดดูได้..รับรองว่า..ไม่มีผงติดมือ
    ...ปัญหาคือ..มันไม่ได้มีภาพ..ให้เห็นว่า..พระวางอยู่แบบไหน..สภาพที่บรรจุเป็นยังไง..
    (..ไม่ทราบว่า..เป็นเจตนาไม่ให้เห็นรึเปล่า)........
    ....ก็ต้อง..สันนิษฐานเอาเอง...ถ้าเป็นไปได้..อย่างแรกคือ...
    .....๑. ผงละอองปูนที่ฉาบ..หรือ..ที่ก่อ..ร่วงลงมา(ตัวนี้..เป็นไปได้สูง..เพราะ..เห็นคำให้การว่า..
    คราบมีความแข็ง..พอควร..)
    .....๒. ผงฝุ่นที่เกิดจาการกร่อนตามธรรมชาติ..ของผนังด้านใน...เป็นแบบ..ค่อยเป็นค่อยไป..
    ..เพราะอากาศด้านใน..ก็มี..คาร์บอนไดอ๊อกไซด์..เป็นหลัก...ซึ่งสีอาจ..เป็นขาวหม่นๆ..หรือ..เทา
    ..หรือ..น้ำตาล...
    .....๓. ถ้ามีการฉาบผิวผนัง..แล้วทาสีทับ..ก็ผงสี..ที่ค่อยๆกร่อน...ก็ทยอยตกลงมาด้วย....
    ...........สิ่งเหล่านี้...จึงอาจเป็นที่มาของมวลสารหลัก..ของคราบที่เกิดขึ้นได้..แต่ยังไง..
    ....๔. แป้งโรยพิมพ์(สำหรับโรยไว้กันพระติดกับพิมพ์..เวลาถอดพระออก)..กรณีนี้...ถ้าตอนทำ
    โรยค่อนข้างหนาไป(ไม่ชำนาญ)..ก็จะมีแป้งส่วนที่เหลือ..คงค้างเป็นฝุ่นขาวๆบางติดผิว..
    ด้านหน้า..อย่างชัดเจน...
    ...มันก็ต้องผ่านอีกขบวนการนึง.................
    ........เมื่อสิ่งต่างๆที่มีโอกาส..ค่อยๆตกลงมาเรื่อยๆ....ความชื้น(H2O)..มี..มันก็จถูกสิ่งที่ปกคลุมพระ
    อยู่ดูดซับเข้าไป..ขณะเดียวกัน..คาร์บอนไดอ๊อกไซด์..ก็สัมผัส..และถูกดูดซับ..เข้าไปเช่นกัน...
    ..ปูนหอย..แคลเซียมอ๊กไซด์..ก็ปะปนอยู่ในฝุ่นผง..เหล่านั้น.....
    .....ขบวนการปฏิกิริยาก็ค่อยๆเกิดขึ้น...เกิด..แคลเซียมคาร์บอเนต..ก็ค่อยๆเข้ายึดเกาะ..มวลสารต่างๆ
    ..เข้าไว้ด้วยกัน.............
    .......แต่ท่านอาจสงสัยว่า...แล้ว..ตัวมันเองก็น่าจะเกิด.."คราบกรุ"ด้วยนะ....ถูกต้องครับ..
    ....ควรมีแต่จะบางมาก...และจะไม่พัฒนาต่อ..เพราะ..ไอ้พวกฝุ่นทั้งหลาย..มันแย่งความชื้น..
    ..และ คาร์บอนไดอ๊อกไซด์..ไปทำปฏิกิริยาก่อน...โอกาศพัฒนาจะหนาขึ้น..ไม่มี..เพราะมันหุ้ม
    ไว้...แล้วถ้าแป้งรองพิมพ์หนา..."คราบกรุ"..ในกรณีนี้ก็จะเกิดน้อยตามไปด้วย....และ..ยิ่ง
    ...ทำให้"คราบฝุ่น"นี้..ล่อนออกจากผิวได้ง่ายด้วย.....
    .........นี่เราพูดถึงว่า..ถ้ามีโอกาศเกิดขึ้นตามธรรมชาติจริง...น่าจะเกิด..จากทำนองนี้....
    ....ไม่ใช่..เราจะต้องมามองด้านเดียว...พอไม่เหมือนไอ้ที่ตัวเองคุ้น..ก็ตีเหมา..เขาไปหมด
    .........อย่างที่พบของพระครูเอง...เรื่องโถพลู...ผมได้ไปอ่านแล้วขำ...มีคนไปเขียน..ทำนองว่า
    ...เอ้..ไอ้โถพลูแบบนี้..เขาสั่งเขามาจากจีน..สมัย..รัชกาลที่๕..ไม่ใช่เหรอ...แล้วมันจะทันรึเปล่า
    ................ขอโทษ..นี่แสดงว่า..ไม่รู้เรื่องเลย....โถพลูแบบนี้...คนไทยเรียกโถพลู...เพราะเอามา
    หมักใบพลูกินกับหมาก....ในเมืองจีน..มันคือ..โถธรรมดานี่เอง..พูดง่ายๆ..ของกระจอก...
    ...ดินที่ใช้ทำก็เป็นดินธรรมดา..ออกสีส้มๆ...เคลือบก็ธรรมดา.....
    จะเห็นว่า..ด้านในก็ไม่เคลือบ..เป็นโถสารพัดประโยชน์..ชาวบ้านจีนธรรมดา..หาเช้ากินค่ำ
    ..เขาก็มีกันทั้งนั้น...แล้วมันก็เข้ามาตั้งแต่อยุธยาแล้ว..เพราะมากับครัวจีน..หรือ..คนจีนที่อพยพมา
    ทั้งครอบครัว..เป็นของใช้ธรรมดา...ของราคาถูก.เข้าต่อเนื่องมาถึงยุค.รัชกาลที่๓..เราค้าขายจีน
    เยอะ..ครัวจีนก็เข้ามามาก...คนไทย..ไปเห็นเข้า..ก็อาจขอซื้อแลกเปลี่ยนกันถูก..เห็นทรงมันดี..
    เหมาะสำหรับ..ใส่พลู....ก็แค่นั้น....ในสมัยรัชกาลที่๔..ที่ ๕ ..ไม่ได้มีราคาอะไร...คนมีฐานะหน่อย
    ในยุคนั้น..เขาก็ใช้โถเคลือบมีฝาแบบกังไส..ที่เคลือบทั้งนอกทั้งในกัน..ทั้งนั้น..อันนี้ละมีราคา
    (..ที่มีลายดอกไม้..ลายมังกร).....ถ้าเข้าใจผิด..ก็เข้าใจซะใหม่ด้วย.....
    ...........ต่อตอนหน้า.................
     
  8. กำธร นครปฐม

    กำธร นครปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    2,756
    ค่าพลัง:
    +7,202
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมาก ขอบคุณครับพี่
     
  9. เหลิมม

    เหลิมม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    82
    ค่าพลัง:
    +313
    ความแตกต่างระหว่างข้อเขียนของพี่ กับที่อื่น ๆ (ไม่ขอระบุพาดพิง แต่หลายท่านพบเห็นได้บ่อยในหลาย ๆ ที่)

    คือ
    เนื้อหาของพี่ เป็นเหตุ เป็นผล ชัดเจน มีที่มาที่ไป ตามหลักกระบวนการวิทยาศาสตร์ ทดลองได้ ใครทำตาม ก็ได้ผลตาม

    แต่ของที่อื่น ออกแนวไสยศาสตร์ อภินิหาร คุณวิเศษซะเกินพอดี
    เรื่องคราบในองค์พระ แคลเซียม บอกว่าเป็นปาฏิหารย์ เนื้องอก ออกไปทางแนวพระธาตุ อภินิหารไปเลย จนระยะหลังเห็นหลายคนกลายเป็นให้ความสำคัญกับอะไรแนวนี้ไปกันเยอะ
     
  10. เขมทัต

    เขมทัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ตอนแรกว่าจะรอถามอาหลังจบซีรีส์นี้ แต่ถามเลยดีกว่า

    ที่ผมเริ่มจะงุนงง กรุนี้ที่เล่นมันมีแบบพิมพ์ชาวบ้าน กับพิมพ์วัด ด้วยน่ะครับอา

    แล้วที่ผมมีคือพิมพ์ชาวบ้านเนี่ย คราบปูน (ผมขอเรียกว่าคราบปูน ดูแล้วเหมือนกว่า) จะไม่ค่อยมีเหมือนพิมพ์วัด (ที่ทางวัดนำออกมาให้บูชา) ที่เคยเห็นมาบางองค์ไม่มีคราบที่ว่านี้เลย องค์ของผมก็แทบมองไม่เห็นคราบ

    รบกวนคุณอาช่วยขยายความประเด็นนี้ด้วยนะครับ

    เดี๋ยวผมจะลองอัพรูปให้ดูครับ
     
  11. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .........
    ...ขอบคุณ..ที่มาเล่าเรื่องนี้..ความจริงก็..อยากจะทำความเข้าใจ..ให้หลายท่าน..ทราบมานานแล้ว...แต่ต้องอธิบายยาว...ก็โชคดี..ที่พี่..ตอบ..ปัญหาส่วนนี้...และปูเรื่องไปพอสมควรแล้ว...
    ....พระผง...เริ่มตั้งแต่หลังปี..ประมาณ ๒๕๒๐..เทคโนโลยี..การผลิต...เริ่มค่อยๆเลิกใช้..น้ำมันตังอิ๊วลงเป็นลำดับ...จนหมดไป..ในที่สุด...ดังนั้น...ตัวที่ประสานเนื้อ..และทำให้..แข็ง..จึงเป็นหน้าที่..ของปูนเป็นหลัก...ทำให้ปริมาณปูนที่ใช้..มากขึ้น....
    .....เมื่อปูนมากขึ้น...สิ่งที่ตามมา..ก็คือ...แคลเซียม..มากขึ้นด้วย...
    ....ถ้าคุณมีพระผงรุ่นเก่าๆ..ที่แจกตามงานศพ..หรือ..กฐินก็ได้...ลองดมดู...ว่ามีกลิ่นหืนๆ..ของน้ำมันตังอิ๊วรึเปล่า...มา ๑ องค์
    (..แต่ต้องดูว่า..ไม่มีฉาบ..หรือ..เคลือบผิว..)
    ..แล้วเอาพระผง..ยุคปัจจุบัน..ที่เนื่อเนียนๆ..แต่ต้องเลือกที่..ไม่มีฉาบหรือ..เคลือบผิว...
    ....ตักน้ำมา ๑ ขัน...แล้ว...เอาพระทั้งสององค์..ลงไปแช่..
    ...เอามือจับพระ..จุ่มคาไว้ก่อน...แล้วสังเกต..คุณจะเห็นได้เลยว่า...จะมีพรายฟองอากาศ..ผุดออกมา..จากพระใหม่มากกว่า...แล้วคุณก็..เอาเหรียญ ๑๐ บาท..มาวางทับพระไว้..กันลอย..ทิ้งไว้สักประมาณ ๑๐นาที...
    ....แล้วเอาพระขึ้นมาตรวจดู...คุณจะเห็นได้เลยว่า..
    ...พระใหม่..จะดูดน้ำเข้าไปมากกว่า..
    (..ถ้าไม่อยากทำแบบนั้น..ก็ใช้วิธี..เอาพระวางไว้..ค่อยๆหยดน้ำ..ลงบนเนื้อพระ..ให้..น้ำอยู่เป็นก้อน..แล้วทิ้งไว้...พระใหม่จะซับน้ำลงไป..ในเนื้อ..ได้เร็วกว่า...)
    .....นั่นก็เพราะ..เนื้อพระรุ่นเก่าแน่นกว่า..เพราะ..มันมีน้ำมันตังอิ๊ว..ผสมอยู่..พระรุ่นใหม่จะมีความพรุนกว่า..
    ....คือนอกจากมันจะดูดซับความชื้นได้มากกว่า..แถมยังมีปริมาณ แคลเซียม..จากเนื้อปูนมากกว่า....
    ...ผลก็คือ...ทำให้เกิด...แคลเซียมคาร์บอเนต..ผุดออกมาจากองค์พระ..ได้ง่ายกว่า..และเร็วกว่า....
    .........ต่อให้คุณเลี่ยมปิด..แต่ถ้าวันที่ไปเลี่ยม..ฝนตกฉ่ำ..อากาศชื้น...พระคุณที่อยู่ในกรอบพลาสติกกันน้ำ..มันก็อมความชื้นไว้ได้(สำหรับ
    ..กรณี.พระที่ไม่ได้เคลือบ..หรือ..ฉาบผิวไว้)...คุณเอามาห้อย..รับรองว่า..ไม่นาน..บางองค์ไม่ถึงปี..ก็เริ่มงอกแล้ว..(ช่างบางคนฉลาดหน่อย..เขาจะเอาพระ..ไปอังไฟไล่ความชื้น..ก่อนใสน้ำยาเชื่อม..เตือนไว้เวลา..เอาพระไปเลี่ยมแล้วเรานั่งดูอยู่ด้วย..ถ้าช่างมันไม่ทำ..ก็อย่าลืมเตือนด้วย..
    ..ถ้าไม่อยากให้..พระธาตุเสด็จ)
    ........................
    ...ผมก็ไม่ใช่ว่า..ทุกอย่างที่เกี่ยวกับพี่..อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์..ทั้งหมดหรอก...ก็อย่างที่พี่ตกต้นไม้มาร่วม ๖ เมตร..แล้วไม่เป้นอะไรเลย..ลุกขึ้นไปตัดต้นไม้ต้นเดิม..ต่อได้ทันที..อย่างที่เคยเล่าไปแล้ว..นั้นอย่างนึง...
    ...แต่ก่อนหน้านั้น..ร่วมยี่สิบปี...มันเกิดมาทีนึงแล้ว..ขั้นตอนไม่เยอะ..ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ..แล้ววันหลัง..พี่จะเล่าให้ฟัง..แต่ไม่แน่ใจว่าเคยเล่า..รึเปล่า..แต่ถ้าเคยเล่า..ก้คงเล่าหยาบๆ..เล่าใหม่ก็จะละเอียดขึ้น
     
  12. โจหงอย

    โจหงอย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    21
    ค่าพลัง:
    +128
    .......โจหงอยขอน้อมคารวะอาจารย์มดจากใจจริง.........
    .......นับถือ นับถือ......
    บทความดีๆอย่างนี้ ขอบอก.....เอาอีก เอาอีก เอาอีก......
     
  13. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ...เอาอย่างงี้....
    ...เราต้องมาตั้ง..สมมุติฐานก่อนว่า...กรณีที่จะอธิบายต่อไปนี้..คือ...พระที่..ลงกรุจริง..ก่อน...ถ้าไม่ตั้งไว้อย่างนี้..ก็ไม่ต้องอธิบายเลย...
    ...ไม่ว่าที่ออกมาจากองค์พระ..ซึ่งอาว่า..น่าจะเรียกว่าพิมพ์ชาวบ้านมั้ง(..ประเมินดู..ต้องใช้คำว่า..ประเมิน..เพราะเราใช้หลักการเข้าประกอบ...ถ้าใช้คำว่า.."เดา"...นี่คือเลือกแบบไม่มีหลักการ..จำไว้ใช้ในชีวิตจริงด้วย..เวลาที่จะพูดกับคนอื่น..มันจะออกมา..เท่ห์..และ..ดูดี)
    ...เอาว่า..ตอนนี้..ลงกรุจริงทั้งคู่....
    อย่างที่..อาเล่าไปเรื่อง..การเกิดคราบ..น่าจะนึกออก...
    ...พระ..จำนวนมาก..ที่ซ้อนอยู่ด้านล่าง..มันก็จะได้รับฝุ่นผง..อย่างที่ว่า..นี่ค่อยๆน้อยลง..ตามลำดับชั้นความลึกที่ซ้อนทับกันอยู่..พระที่อยู่ด้านบน..ก็จะได้รับมากที่สุด..มันก็จะเป็นตัวบัง..ฝุ่นผงที่จะทำให้เกิดคราบดังกล่าว..ให้..เหลือลงไปข้างล่าง..น้อยลง..เหมือนกับ..บ้านอยู่ใกล้ที่เขาทำการก่อสร้าง....
    ....นอกตัวบ้าน..ขี้ฝุ่นปูนเพียบ..เข้ามา..ในบ้านน้อยลงหน่อย...
    .......แล้วใน..ห้องนอน..ก็น้อยลงอีก..ก้ทำนองนั้น..นั่นแหละ..
    .............................
    .....คราวนี้...ถ้าของวัดเยอะ...ก็อาจจะมาจาก..จำนวนพระที่ออกมา...น้อยกว่า...พระที่ซ้อนทับกัน..จำนวนน้อยชั้นกว่า...(..แต่ถ้ามี..แค่โถเดียว..แล้ว ๒๙๐๐ องค์..นี่เลิกคุยเลย..)...ทำให้สัดส่วน..พระที่มีคราบเลยมากกว่า...
    ....และเนื่องจาก..อยู่กันคนละสภาพ..ของพระอยู่ใต้เจดีย์
    ...ของชาวบ้าน..อยู่ใต้องค์พระ..ที่เจดีย์ด้านในอาจทำไว้..ไม่ดี..ก็เลย..ทำให้ขี้ผง..เศษผงโน่นนี่..ตกลงมาเยอะกว่า....
    .................................................
    ....อย่าลืมนะ...ที่อาอธิบายไปนี่..อยู่ในสมมุติฐานว่า..เป็นพระที่ลงกรุ..มานานแล้ว..และ..การเกิดคราบเกิดโดย..ธรรมชาติ.....
    .....แต่ไม่ได้บอกว่า...พระนะ...จริงรึเปล่า..ลงกรุจริงรึเปล่า..หรือ..ทำคราบกันขึ้นมาเอง...เพราะนั่นมันอีกสมมุติฐาน..นึง..
     
  14. MasterTest

    MasterTest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    625
    ค่าพลัง:
    +1,031
    สวัสดีครับคุณครู _/\_
    ติดตามอ่านอยู่ตลอดนะครับ ^__^

    เรื่องทุเรียน-กำมะถัน กับเรื่องการปิดทองนี่ ผมใช้ตามที่คุณครูสอนไว้บ่อยมากเลยครับ
    (ล่าสุดก็เพิ่งปิดทองพระผงตามสไตล์คุณครูไปอีก 2 องค์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมานี่เองครับ สะดวก+รวดเร็ว+ประหยัด+ได้ผลดี) ขอขอบพระคุณคุณครูอีกครั้งด้วยนะครับ _/\_
     
  15. เขมทัต

    เขมทัต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2007
    โพสต์:
    623
    ค่าพลัง:
    +2,252
    ขอบคุณครับ ตอนนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจมาก รออ่านของอาตอนต่อไปดีกว่า :cool:
     
  16. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ....ดีมาก..และ..ขอบคุณที่มาแจ้งให้ทราบ....
    ..ตอนนี้..ครูก็..ยอมรับเป็น..ลูกศิษย์ตัวจริง..เพิ่มอีก ๑ คน..
    ..ทำไปเรื่อยๆ..แล้วก็..หัดพลิกแพลง..หารูปแบบที่ถนัด..
    ..จะได้พัฒนาฝีมือ..และ..สมอง...
    ...นี่ละสิ่งที่..ต้องการ..อ่านไป..ทำความเข้าใจ...
    เรียนรู้..และ..ทดลองทำ..แล้วสังเกต..พิจารณา
    ...ปรับปรุงแก้ไข..ลองใหม่..ปรับใหม่..ไปเรื่อยๆ...
    ....ยอดเยี่ยม..ครูขอคาราวะ
     
  17. porpek

    porpek เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มกราคม 2010
    โพสต์:
    1,680
    ค่าพลัง:
    +4,273
    แล้วพระสมเด็จกรุบางขุนพรหม เจดีย์เล็ก ยุคเดียวกันกับ เจดีย์ใหญ่ไหมครับ?
     
  18. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ......
    ...ยืนยัน...คนละยุค..คนละวาระ..และน่าจะไม่ใช่สมเด็จโตสร้างด้วย..แต่อาจมีผงผสม...หลังกว่าครับ
    (..สมเด็จโตท่านสร้างพระวัดบางขุนพรหมได้ไม่กี่ปี..ท่านก็เสียแล้ว..)
     
  19. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    ...นี่เพราะไปเล่นพระมีปัญหา..มันก็เลยมีปัญหาในการตอบ...
    ..ก็งง..ที่อ่านไม่เข้าใจ...
    ...เราลองเอา..ขนมปังมาสัก ๒๐๐แผ่น..เกลี่ยวางลง..ในกลามังซักผ้า..
    ...ขนมปังมัน..น่าจะซ้อนกันสัก ๕ ชั้นได้...
    .....แล้วเอาแป้ง...มาใส่ตะแกรงร่อนแป้ง...ค่อยๆร่อน..กระจายไปให้ทั่ว..
    ....แป้ง..มันตกจากข้างบน...
    .....ไอ้แผ่นอยู่ข้างบน..แป้ง..มันก็ติดมาก..เหลือกระเส็นกระสาย..ลง..มาตามช่องว่างแต่ละชั้น..น้อยลง..เรื่อยๆ..จนถึงขนมปังชั้นล่างสุด..ชั้น ๕..ก็ติดไม่เยอะ....ก็เช่นเดียว..กัน..ไอ้ผงที่ทำให้เกิดคราบมันเป็น..ผงหนัก..มันก็ค่อยๆร่วงจากชั้นบนลงมา..แบบเดียวกัน....
    ....คราวนี้...ถ้าพระไม่เยอะ..จำนวนชั้นก็น้อยลง...โอกาศที่มันติดคราบก็มากกว่า..ก็เท่านั้นเอง......
    .......แต่ถ้าติดคราบ..ทุกองค์..ทั้ง ๒ ที่..นี่ยิ่งมีโอกาศเป็นของทำขึ้น
    มากเข้าไปใหญ่..โอกาศเกิดเป็นธรรมชาติ..ลดลงอีก...
    ....โอกาศเกิด..แทบจะเป็นไปไม่ได้คือ.....
    .........น้ำท่วมกรุ..อย่างรวดเร็ว..ทำให้คราบผง..กระจายไปทุกชั้น..
    ...แล้วแห้งอย่างรวดเร็ว...ไม่งั้นคราวนี้..คราบกรุจริงๆจะเกิด..
    แล้วพระ..จะติดกัน..หมดอย่าง..บางขุนพรหม...
    .....ยิ่งของพระครู..ยิ่งไม่มีทางเกิด..เพราะถ้าน้ำท่วม..น้ำจะระบายไม่ได้
    เพราะ..พระอยู่ในโถก้นปิด...กว่าน้ำจะระเหย..พระก็จะติดกันหมด..
    .......นี่พยายาม..จะ..หากรณี..ให้มันพอจะเป็นไปได้ที่สุดแล้วนะ
    .........จำไว้คราวหลังอย่าเล่นพระมีปัญหา....
     
  20. modpong

    modpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,609
    ค่าพลัง:
    +17,933
    .......
    ...หวัดดี..กำธรน้องรัก..และ..โจหงอย....
    ........................................
    ...ต่อจากตอนที่แล้ว...
    ...........................
    .....ความจริงแล้ว..ผมว่าโถพลู...ที่ใส่พระ..ถ้าสมเด็จมาปลุกเสกให้จริง...โถแบบนี้..มันไม่สมกับ
    พระ...ควรเป็นโถพลูแบบเคลือบดินขาวกังไส(เคลือบ..นอกและใน)..แล้วโถพลูแบบนี้มีฝาในตัว
    ด้วย...ในสมัยร.๔..ต่อ..ร.๕..ผมว่าตามวัด..พระตามวัดมีระดับ..และอย่างเจ้าอาวาส..นี่ก็น่าจะใช้
    โถแบบนี้แล้ว..หรือไม่ก็ขอบริจากๆ.คหบดี..ข้าราชการใหญ่ๆ..ของจังหวัด..ก็คงหาได้ไม่ยาก....
    ........กลับมาที่..คราบบนพระ..ต่อ....วิธีพิสูจน์ง่ายสุด..คือถ้าใครมีพระนี้..ที่ยังไม่แกะคราบออก..
    ...คุณก็..แกะเอาคราบใส่ถุงพลาสติกใส่ยา..แล้วไปที่มหาวิทยาลัย..ที่เขามีคณะวิทยาศาสตร์...
    ...ส่งให้..ไปตรวจ..ว่า..มันประกอบด้วยอะไรบ้าง...ไม่แพงครับ..เชื่อถือได้....
    ........ถ้ามันมีแต่..ของที่มาจากธรรมชาติ..และ..มี..องค์ประกอบแบบที่ผมว่า..ก็มั่นใจว่า...
    เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ..ได้.....แต่....
    ......มันก็ไม่ได้..หมายความว่า..เป็นพระที่สมเด็จสร้าง...หรือ..เก่าเท่านั้น...เพราะจากการคาดการณ์
    ของผม..คราบแบบนี้..ใช้เวลาแค่สัก สามสิบสี่สิบปี..ก็เกิดขึ้นได้แล้ว....
    ..........ปัญหาจริงๆ...มันไม่ได้เกิด..จากองค์พระ..หรือ..คราบอะไร....ปัญหามันเกิดจากการ
    พยายาม..จะ..ยัดเยียดให้เป็น...พระที่สมเด็จท่านปลุกเสก...โดยไร้หลักฐานวัตถุ..การจดบันทึก
    นั่นคือ..ประเด็นใหญ่..การจะอ้างแค่..ประวัติว่า..ท่านเคยมาพักที่นี่..บ่อยๆ...มันไม่พอ..หรือจะมา
    ช่วยซ่อมแซมองค์พระ..ก็ไม่ได้หมายความว่า...ท่านจะต้องเอาพระท่านมาใส่.....
    ........ถ้าอ้างประเด็นนี้...ก็ยิ่งตกเลย..เพราะถ้าจะเอาใส่...ท่านก็คงเอาพระที่ท่านทำจากวัดระฆัง
    มาใส่..น่าจะสมเหตุสมผลกว่า...ถ้าเป็นแบบนี้...พระที่พบจากพิมพ์..ก็มั่นใจได้เลย..ว่า..ไม่ได้
    มาจากท่านแน่...เป็นการแกะขึ้นมาเฉพาะ..ถ้าใครจะอ้างว่า..ทีพระวัดเกษทำไมมีพิมพ์ที่แตก
    ต่างได้...อันนี้คนละเรื่องเลย...นั่น..พระพุทธรูปของท่าน...ท่านเอาพระท่านไปใส่..นั่นตามวัตถุ
    ประสงค์ที่ท่านตั้งใจไว้แต่แรก..และเป็นส่วนตัวของท่าน....
    ......แต่วัดขุนอิน..นี่ไม่เกี่ยว...และคงไม่สำคัญ..ขนาดท่านต้องไปแกะพิมพ์ใหม่..เพื่อมาทำพระ
    จำนวนไม่มากนัก...
    ......ถ้าบอกว่า..ทางวัดแกะพิมพ์ขึ้น...ทำเป็นพระเสร็จแล้ว...พอสมเด็จท่านเสด็จมาพักที่วัด..
    ก็เลยขอความเมตตาจากท่าน..ปลุกเสกให้...อันนี้ยังสมเหตุสมผล..กว่า.....
    .......จะให้ดูดีขึ้น..ขอแบ่งผงจากท่านมาผสมด้วย...ตอนทำเป็นพระ....เออก็ยังดู..ดี......
    .................เพราะถ้ามารูปแบบจัดเต็ม..แบบอาจารย์รังสรรค์นี่..มันยากครับที่จะยอมรับ....
    ไอ้ที่สำคัญ..ที่สุด..ก็คือ..ไอ้ที่ผมบอกไปแล้ว.....คือ..หลักฐานวัตถุ..บันทึก..มีมั้ย....
    ................ส่วนเรื่อง..มาจับพลัง..หรือ..นั่งทางใน..ดูแล้วว่า..ของท่านแน่..นั้น..ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
    ...เพราะใช้อ้าง..ในสังคมพระเครื่องสากลไม่ได้อยู่แล้ว......
    .....แล้วอย่าลืมว่า...ช่วงที่แตกออกมา..สี่-ห้าปีแรก..นั้น..เขาก็เล่นซื้อขายกัน..ในหลักพัน..ยังพอมี
    คนยอมรับ...พอมากระแสผลักดันแรง...ซื้อขายกันเอง..เป็นหลักหมื่น..แล้วแถมทางวัดเอง..
    เอาที่พบเอง...มาจอยด้วย...ตอนที่กระแสผลักดันในกลุ่ม..ทำขึ้นไปถึงหลักหมื่นนั้น...ก็เลย
    กลายเป็นผลร้าย...และเรื่องมันก็ต้องเข้าไปถึงสมาคมฯ..เพราะการผลักดัน..จะให้เป็นไปอย่าง
    ที่คิด..ให้ยอมรับกัน..โดนให้สมาคมเขาออกใบรับรองให้..(เคยมีประกวดกัน..ก่อนหน้านั้น...
    แต่..ไม่อยู่ในนามสมาคมพระเครื่อง..ออกใบรับรองกันเอง..มันก็เลยไม่มีปัญหา)
    ............ผมมามองในกรณี..เป็นพระแท้..อยู่ในองค์พระจริง...มีการปลุกเสก...เก่าพอควร....
    ....ก็ถือว่า..การตลาดผิดพลาด..ถ้าอยากอัพราคาขึ้น...ก็ไม่ยาก..เอาไปแจก..ตำรวจ..ทหาร..สาม
    ชายแดนใต้...เพราะปะทะบ่อย..เกิดรอดจริงเข้า..ต่อให้ห้อยพระหลายองค์ก็ยังอ้างได้...อัดเงิน
    ให้สื่อลงตลอดต่อเนื่อง..เดี๋ยวราคาก็ขึ้นไปเอง...เพียงแต่..มันไม่ขึ้นมากอย่างที่คิด..และไม่เร็ว
    แบบที่ใช้..แรงสนับสนุนจากการอ้างอิง..ดังกล่าว...ถ้าทำอย่างว่า..และไม่ต้องระบุว่าเป็นสมเด็จโต
    ปลุกเสก...เวลาประกวด..อย่างนี้..สมาคมก็คงต้องออกใบรับรองให้ได้.....
    ................ต่อตอนหน้า..............
     

แชร์หน้านี้

Loading...