มโนมยิทธิ คือหนทางที่"ช่วยส่งเสริม"ให้ท่านสู่นิพพาน

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย sutthida, 4 มีนาคม 2007.

  1. sutthida

    sutthida เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    624
    ค่าพลัง:
    +3,388
    ที่จะกล่าวต่อไปนี้ขอท่านผู้อ่านทั้งหลาย ที่ยังขาดปัญญาและความเข้าในเรื่องของวิชชามโนมยิทธิตามแนวทางของหลวงพ่อพระราชพรหมยานภายใต้คำสอนขององสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ได้เข้าใจถึงความหมายประโยชน์และเจตนารมณ์ในการฝึกวิชชานี้ ทั้งผู้ที่ฝึกใหม่และฝึกมานานแล้วแต่ยังมีอารมณ์"เข้าใจผิดอยู่"อาจจะเพราะเหตุใดไม่ทราบ แต่ก็ขอให้ท่านทั้งหลายทนอ่านกันหน่อยละกันนะคับ

    มโนมยิทธิ แปลว่าฤทธิ์ทางใจผู้ฝึกสามารถสำเร็จสามารถเนรมิตรกายในกายหรือพูดง่ายๆคือถอดจิตไปยังภพภูมิต่างๆได้ สวรรค์ไปได้ นรกไปได้ พรหมโลกไปได้ ถ้าฝึกได้ถึงโคตรภูญาณ การไปนิพพานก็ไม่ใช่เรื่องยาก(ไปได้แต่อยู่ไม่ได้) แต่ทั้งนี้ผู้ฝึกได้จริงๆต้องมีอารมณ์สมถเข้ามาเกี่ยวข้องกล่าวคือ ต้องใช้กำลังของ"ฌาน4" ตั้งต้นก่อนจากนั้นเลื่อนลำดับมาที่อุปจารสมาธิแล้วอธิษฐานขอให้เกิดกาย(กายทิพย์)ซ้อนขึ้นกับกายนี้อีกทีหนึ่งจากนั้นค่อยถอดกายทิพย์ไปท่องเที่ยวยังภพยังที่ต่างๆ แต่ในส่วนที่หวงพ่อสอนนั้นท่านปรับให้ง่ายขึ้นคือใช้อุปจารสมาธิเป็นฐานเลยแล้วขอบารมีพุทธเจ้าสงเคราะห์ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ฝึก ฝึกอยู่ทุกวันนี้จึงใช้แค่อุปจารสมาธิเป็นบาทเป็นฐานและขอบารมีพุทธเจ้าสงเคราะห์ทั้งนั้น สิ่งที่ปรากฏในสมาธิจึงเกิดจากอำนาจพุทธบารมี หรือเรียกง่ายๆว่าพุทธนิมิต สังเกตุง่ายๆตอนสมาทานพระกรรมฐานของหลวงพ่อท่านขออาราธนาบารมีพุทธเจ้าก่อนทั้งนั้น และจากการที่ใช้แค่อุปจารสมาธิเป็นบาทนี้เองการที่อุปทานจะกินใจผู้ฝึกนั้นมีอยู่สูงและความที่เป็นครึ่งกำลังด้วยแล้วเรื่องอุปทานหรือการขาดความมั่นใจจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเกิดขึ้น เพราะคนส่วนใหญ่เชื่อว่าการเห็นของเขาต้องเห็นด้วย"ตาเนื้อ " ซึ่งนั่นผิด ก่อนจะฝึกหลวงพ่อจึงต้องทำความเข้าใจทุกครั้งว่าการเห็นในที่นี้ไม่ใช่ลูกตาเห็นแต่ใช้ใจเห็นแต่ก็มีบางคนที่ไม่เข้าใจซึ่งปรากฎให้เห็นประปราย ณ บอร์ดแห่งนี้ฉะนั้นจึงต้องมีครูเป็นผู้ควบคุมดูแลในเบื้องต้นก่อน โดยครูจะเป็นผู้ถามเพื่อให้ศิษย์เกิดความมั่นใจในสิ่งที่เห็นและเป็นการทดสอบสมาธิจิตของศิษย์มิให้อุปทานเข้ามากินใจ การที่ถามว่าพุทธเจ้านั่งหรือยืน(การเห็น ณ ที่นี้ใช้ใจเห็นและเห็นโดย พุทธนิมิตรจะได้ไม่ต้องมานั่งเถียงกันอีกว่าเห็นได้อย่างไร) พระบาทใส่รองเท้ามั้ย มีชฎารึป่าว พระวรกายสีอะไร ฯ เหล่านี้ล้วนเป้นการทดสอบสมาธิจิตของศิษย์ผู้ฝึกทั้งสิ้น เมื่อเกิดความมั่นใจรู้จักตั้งอารมณ์สมาธิต่อไปก็ขึ้นอยู่กับตัวศิษย์แล้วจะรักษาและใช้ประโยชน์จากวิชาที่ฝึกได้มากน้อยแค่ไหน อุปมาดังวิชาที่เราเรียนกันมาวิชาไหนไม่ได้ใช้ย่อมลืมเป็นธรรมดา เป็นต้นและที่ต้องสังเกตอีกอย่างนึงคือตอนที่จะใช้มโนมยิทธิท่านใช้ให้ศิษย์พิจารณาวิปัสนาญาณก่อนทุกครั้งเพื่อให้ศิษย์มีใจที่สะอาดคือยอมรับสภาพความเป็นจริง ถึงแม้จะสะอาดแค่ชั่วคราวก็ตามอย่างน้อยก็สมารถทำให้ละนิวรณ์และโมหะคือความหลงได้ช่วงหนึ่ง***** เหล่านี้คือความหมายขั้นตอนและรูปแบที่หลวงพ่อทรงสอน แต่ก็มีลูกศิษย์บางคนไม่รู้หรืออาจจะขี้ลืม ผมเลยทบทวนให้ก่อน พอรู้ความหมายแล้วต่อไป จะเป็นประโยชน์ที่เกิดจากวิชชามโนมยิทธิ

    มโนยิทธิ ผผู้ที่สำเร็จวิชานี้สามารถได้คุณสมบัติพิเศษ 8ประการคือ
    1.ทิพจักขุญาณ
    2.จุตูปปาตญาณ
    3. เจโตปริยญาณ
    4. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ
    5.อตีตังสญาณ
    6.อนาคตังสญาณ
    7.ปัจจุปปันนังสญาณ
    8.ยถากัมมุตาญาณ
    ทั้งแปดอย่างรวมเรียว่าญาณ 8 หรือเครื่องรู้ 8อย่าง ทั้งมโนมยิทธิและญาณ8อย่างนี้เราเอาไปใช้ทำอะไรบางท่านอาจสงสัย?/
    คำตอบก็คือ เราเอาไว้พิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

    แล้วพิสูจน์อย่าไรละ??
    คำตอบก็คือ เมื่อได้วิชชามโนมยิทธิแล้วสามารถถอดกายในกายไปยังภพยังภูมิต่างๆ เพื่อเป็นการพิสูจน์คำสอนที่ว่าสวรรค์มีจริง นรกมีจริง พรหมโลกมีจริง นิพพานมีจริง อย่างที่พระพุทธเจ้าสอนเพื่อให้หายสงสัย ทั้งนี้จงอย่าลืมว่าความสงสัยคนไม่เหมือนกันคนเรานิสัย อัชฌาสัยในการปฏิบัติไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าจึงต้องแบ่งแนวทางการปฏิบัติเป็น 4 สาย คือ 1.สุขวิปัสโก 2.เตวิชโช 3. ฉฬภิษโญ 4. ปฏิสัมภิทัปปัติโต ตามแต่อัชฌาสัย อย่างมโนมยิทธินี้เป้นของพวกตั้งแต่ เตวิชโชขึ้นไป คือ พวกนี้จะเป็นพวกช่างสงสัยอย่างพวกเราๆนี่ละ พวกนี้ถ้าไม่รู้เองสัมผัสเองหรือเห็นเองไม่ยอมรับเด็ดขาด หรือไม่เชื่อเลยก็ว่าได้ ซึ่งอารมร์เหล่านี้จะเป็น พระอริยเจ้าได้ยาก เพราะยังลังเลสงสัยในคำสอนเป้นสังโยชข้อสอง การบรรลุธรรมก็ยาก พระเดชพระคุณหลวงพ่อ จึงให้ฝึกวิชานี้ขึ้นเพื่อแก้ปัญหาตรงจุดนี้ นี้คือประโยชน์ข้อที่1

    จากนั้นเมื่อฝึกจนคล่องตัวแล้ว ดังที่กล่าวข้างต้น ญาณ8อย่างจะตามมา เรื่องญาณนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อมักกล่าวอยู่เสมอมีไว้ "เพื่อดูใจตนเอง" ดูจิตตนเองสำรวจตนเองไม่ได้ให้เอาไปอวดว่าตนเก่งกว่าเขาวิเศษกว่าเขาหรือเที่ยวไปเป็นหมอดูดูคนอื่น อย่างนี้หลวงพ่อท่านห้ามไว้ ลูกศิษย์ทุกคนน่าจะรู้ดี(ถ้าไม่ลืมหรือแกล้งลืมกันซะก่อน) บางคนสงสัยขึ้นมาอีกแล้วดูอย่างไรละประโยช์ย์จากการดูคืออะไร
    ก็ขอตอบว่า "ดูเอาไว้เพื่อตัดกิเลส" "เพื่อให้เห็นพระสัจธรรมพระพุทธเจ้าเช่น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา" เพื่อให้เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด ซึ่งดังกล่าวสามารถอธิบายได้ดังนี้
    ยกตัวอย่างการที่เราใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ดูย้อนระลึกชาติว่าครั้งนึงเราเคยเป็นอะไร เคยเกิดมาแล้วกี่ชาติ เช่น เคยเกิดเป็นกษัตริย์กี่ชาติ เป็นสุนัขขี้เรื้อนล่ะกี่ชาติ เป็นใส้เดือนละเคยเป็นมั้ย เป็นหญิงสาวละ เป็นเปรตละ สัตว์นรกละ อสูรกายละ เทวดาละ พรหมละฯลฯ เมื่อรู้แล้วเราก้ต้องคิดว่า(ตอนนี้ต้องใช้อารมณ์วิปัสนาณญาณที่ท่านให้พิจารณาก่อนฝึกมาพิจารณา) ตัวเราเองนี้สูงที่สุดของการเกิดเป็นคนคือเป็นกษัตริย์ ก็เป็นมาแล้ว เป็นเทดาหรือพรหมผู้ทรงคุณวิเศษก้เป็นมาแล้ว เดรัจฉานก็เป็นมาแล้ว หรือแม้กระทั้งเปรตและสัตว์นรกก็เป็นมาแล้ว แล้วเรายังต้องการที่จะเกิดทำไมอีกเกิดมาแล้วก็ตายทุกชาติ ถึงแม้เป็นเทวดาพรหม เมื่อถึงเวลาก็ต้องจุติ(จุติ แปลว่า ตาย) ทุกครั้งทุกชาติ เป็นวนๆเวียนๆอย่างนี้มานานเท่าไรแล้ว เป็นทุกข์เพราะการเกิดการตายมาตั้งเท่าไรแล้ว เพราะฉะนั้นชาตินี้เราตอ้งทำให้ถึงที่สุดแห่งพระพุทธศาสนาคือ"ทำพระนิพพานให้แจ้ง"เพื่อเราไม่ต้องการมาเกิดอีก นี้คือตัวอย่างที่1

    อตีตังสญาณ ดูย้อนรู้เหตุการณ์ในอดีต ถอยหลังเรื่องของสัตว์ เรื่องของสถานที่ต่าง ๆ จะสามารถรู้ได้หมด ถอยหลังไม่จำกัดวัน ไม่จำกัด เดือน ปี เช่นดูว่าสถานที่ตรงนี้เดี๋ยวนี้เป็นห้างสรรพสินค้ามีผู้คนมากมาย แต่อดีตที่ผ่านมาเช่น 150 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร 30 ปีที่แล้วเป็นอย่างไร หรือ 2500 กว่าปีมาแล้วในสมัยพุทธกาลเป็นอย่างไร เมื่อรู้แล้วก็ต้องมาพิจารณาว่า(ตอนนี้ต้องใช้อารมณ์วิปัสนาณญาณที่ท่านให้พิจารณาก่อนฝึกมาพิจารณา) ว่าสิ่งของทั้งหลายหรือแม้แต่สถานที่แห่งนี้นับวันก็ยิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย เกิดขึ้นตั้งอยู่ สุดท้ายก็ต้องผุพังทลายสลายตัว แล้วก็เกิดขึ้นตั้งอยู่ ดับไป สลายตัว วนเวียนอยู่อย่างนี้ (ตามหลักไตรลักษณ์) ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ถูกจริงๆที่ว่า "สิ่งทั้งหลายในโลกล้วนอยู่ในกฎของไตรลักษณ์ทั้งสิ้น" หรือแม้แต่ตัวเราก็ตามเกิดมาแล้วไม่นานก็ต้องแก่ ต้องตายและสลายตัวเหมือนสิ่งที่เคยเกิดมากับสถานที่แห่งนี้ หนีไปไม่พ้น เหล่านี้ล้วนแต่ให้เกิดทุกขัง คือเป็นทุกข์ทั้งสิน แล้วเราจะทำอย่างไรละเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ ฉะนั้นการเกิดชาตินี้จะเป็นชาติสุดท้ายของเราขึ้นชื่อการเกิดไม่มีอีกสำหรับเราต้องการอย่างเดียวคือ ปฏิบัติให้เข้าถึงพระนิพพานในชาตินี้ นี้คือตัวอย่างที่ 2

    ยถากัมมุตาญาณ เราก็ดี คนอื่นก็ดี สัตว์ก็ดี มนุษย์ก็ดี ที่มีความสุขหรือมีความทุกข์ในปัจจุบันนั้น เพราะกรรมอะไรเป็นเหตุ เมือ่ทราบแล้วเราก็มาพิจารณาว่า การที่สัตว์หรือบุคคลนั้นๆตอ้งเกิดมาทนทุกข์ทรมานหรือมีความสุข ก้เพราะผลของกรรมนั้นๆมาสนองหรือมาบังเอาไว้ เช่นการที่ คนๆนั้นมาด่าเรา ว่าเราให้ได้รับความโกรธ โมโห เราก็ดูว่าชาติก่อนเราทำกรรมอะไรกับเขามา ณ วันนี้เขาถึงมาด่าเราหรือแกล้งเรา หรือ ทำให้เราเจ็บชำน้ำใจ เมื่อญาณปรากฎชัดเราก็จะรู้ว่าเราทำอะไรกับเขามาบ้าง สร้างความเดือดร้อนให้เขามาก่อนเขาต้องทนทุกข์เพราะเรามาก่อน ทำร้ายเขามาก่อน ชาตินี้เขาถึงได้ มาด่าเรา ทำให้เราเจ็บช้ำน้ำใจเมื่อรู้ดังนี้แล้ว อารมณ์ที่เราจะโกรธ ณ ขณะที่เขาด่านั้น ก้จะบรรเท่าลงหรือเบาบางลง ตัวพรหมวิหาร 4 ก็จะเกิดกับจิตกับใจได้ง่ายขึ้นการทรงอารมณ์ธรรมมะก้ง่ายขึ้น สุดท้ายความโกรธก็จะสลายตัว อย่างนี้เป็นต้น
    จากนั้นเมื่อทราบแล้วก็มาใช้วิปัสนาญาณ พิจารณาว่าตัวเราเกิดมาหรือคนอื่นสัตว์อื่นเกิดมาก็ต้องมาเสวยวิบากหรือผลแห่งกรรมที่ทำไว้ตอ้งวนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบสิ้น ต้องมาชดใช้กรรมหรือก่อกรรมขึ้นมาใหม่แล้วชดใช้อย่างนี้ไม่มีจบมีสิ้น มันช่างน่าสลดและน่าเบื่อเสียจิงๆ ฉะนั้นชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายของเราเราจักต้องทำพระนิพพานให้แจ้งในชาตินี้ขึ้นชื่อว่าการเกิดแล้วต้องมารับสุขรับทุกข์จากวิบากของกรรมที่เราได้ทำไว้อย่างนี้เราไม่ต้องการอีกแล้ว เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน
    เป็นตัวอย่างที่ 3

    จากทั้งสามตัวอย่างใหญ่ข้างต้นก็คงพอจะเข้าใจในประโยชน์ของมโนมยิทธญาณ 8 อย่าง(ยกตัวอย่างให้ดูแค่3)กันแล้ว ซึ่งเรือ่งนี้สอนให้ผู้ปฎิบัติรู้ว่า ความรู้ที่เรามีนั้นดีอยู่แล้วเป็นหนทางที่ถูกต้อง อยู่ที่ว่าเราจะรู้จักมันรึป่าว รู้ประโยชน์และวิธิใช้มันมั้ย เปรียบเสมือน มีด ถ้าเรารู้จักใช้มันมันก็เป็นประโยชน์คือช่วยหั่นของ ปอกผลไม้ ทำกับข้าวฯ แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้เอามีดนั้นไปทำร้ายคนหรือแม้แต่ตัวเอง ก็จะทำให้"ฉิบหาย " ถ้าคนที่ฝึกวิชชาของหลวงพ่อที่ให้ไว้ไม่รู้จักจุดประสงค์หรือวิธีใช้ซึ่งนอกจากจะเข้าใจในตัวท่านผิดแล้วยังเป้นการเดินหลงทางคือไกลจากพระนิพพานอีกด้วย เช่นใช้เพื่ออวดคนอื่น เพื่อยึดติดกับอดีตที่เคยเป็น อย่างนี้หลวงพ่อถือว่ายังใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ท่าน ดังที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า "การที่รู้ได้ ๘ อย่างนี้(ญาณ8 ซึ่งเป็นผลจาการฝึกมโนมยิทธิ) เป็นปัจจัยให้ทุกคนตัดมานะการถือตัวถือตนและก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย คือทรัพย์สินต่างๆ เป็นปัจจัยให้บรรลุมรรคผลได้โดยง่าย" หวังว่าท่านทั้งหลายคงจำประโยคเหล่านี้ได้ดี เหล่านี้ผมจึงกล้าบอกว่า มโนมยิทธิ คือหนทางที่"ช่วยส่งเสริม"ให้ท่านสู่นิพพาน ช่วยสงเสริมอริยมรรคมีองค์ 8 ให้สมบูรณ์แจ้งชัด

    สำหรับคนที่บอกกับตัวเองว่า เป็นลูกหลวงพ่อ เป็นศิษย์ท่านไม่ว่ารุ่นเล็ก กลาง ใหญ่ จิ๋ว ก็ควรจะทำความเข้าใจและจดจำเอาไว้ถึงแนวทางที่"พ่อสอน"
    แต่สำหรับคนที่อ้างตัวว่า เป็นลูกหลวงพ่อ เป็นศิษย์หลวงพ่อแต่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์อันนี้ ถือว่าคนๆนั้นหรือท่านผู้นั้นแย่มาก น่าจะโทตัวเองมากกว่าที่ศึกษาไม่ดี ปฏิบัติไม่ได้เรื่องแม้แต่วัตถุประสงค์หลักในการสอนของหลวงพ่อก็ไม่เข้าใจ ถึงทำให้หลงทางปฏิบัติตั้งนานแล้วไม่เห็นผล คุณต้องโทษที่ตัวคุณเองถึงจะถูก และการที่บอกว่าลูกไม่จำเป็นตอ้งฟังคำสอนพ่อถ้าเจอคำสอนที่ถูกต้องและถูกทางตามพระไตรปิฎก อย่างนี้ผมก็ว่าหลวงพ่อท่านไม่เคยหวงศิษย์เลยคนไหนชอบแบบไหนปฏิบัติได้ตามสบาย แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคำสอนท่านไม่ถูกต้อง(ตามพระไตรปิฏก) เอาง่ายๆพวกท่านจำกันได้มั้ยคับว่า "ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนนั้นเปรียบเสมือนใบไม้ในกำมือของท่าน ส่วนความรู้ของพระองค์ท่านเปรียบเสมือนใบไม้ในป่า" ส่วนที่อยู่ในกำมือคือธรรมที่ช่วยให้ละกิเลศนั่นก็คือ 84000 พระธรรมขันธ์ ซึ่งในนั้นมีการกล่าวถึงมโนมยิทธิด้วยและในสมัยพุทธกาลก็ได้ทรงยกย่องพระจูฬปันถก ว่าเป็นเลิศในมโนมยิทธิก็ย่อมเป็นเครื่องยืนยันได้ว่าพระองค์ทรงสอนวิชานี้จริง และก็เป็น 1ใน 84000 พระธรรมขันธ์พระมีปรากฎในพระไตรปิฎก ย่อมต้องแสดงว่าเป็นเครื่องช่วยตัดกิเลสได้จริงอย่างมิต้องสงสัย ถ้าแค่นี้ท่านทั้งหลายที่ชอบอ้างพระไตรปิฏกไม่รู้ ผมก็ว่าอย่าเอามาอ้างเลยคับเสียเวลาแล้วก็อย่าอ้างด้วยว่าเป็นลูกของ"พ่อ" เพราะลูกที่ดีต้องปฏิบัติตามคำสอนเมือ่คำสอนนั้นเป็นทางที่ถูกที่ควรตามหลักความเป็นจริง ทั้งหมดนี้ผมไม่ได้ว่าใครนะคับผมเพียงกล่าวตามความเป็นจริงเท่านั้น ท่านทั้งหลายก็เลือกตามปฏิบัติตามแต่ความถนัด จริต และอัจฌาสัย ก็แล้วกันนะคับ ส่วนตัวผมเองก็ยังต้องปฎิบัติอีกมากเช่นกัน
    สุดท้ายนี้ก็จะขอกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับลูกหลาน หรือลูกศิษย์ หรือคนที่มีศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าและหลวงพ่อ หรือคนอื่นๆ อย่างไรก็แล้วแต่ ขอให้ท่านทั้งหลายเข้าใจถึงหลักธรรมะให้มากๆปฏิบัติให้มากๆถ้าไม่เข้าใจครูบาอาจารย์มีอยู่หันไปถามท่านซักนิด หนังสือหลวงพ่อมีอยู่ เปิดอ่านซักนิดทำความเข้าใจให้มากซักหน่อบ จากนั้นนำมาปฏิบัติแล้วทำกิเลศให้สิ้นจากนั้นนิพพานจะแจ้งประจักษ์แก่ใจท่านเอง ความสงสัยในองค์พระรัตนตรัยจะไม่เกิดกับใจท่านอีกต่อไปชาติ ภพจะไม่เกิดอีก

    ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองพระปัจเจกพุทธเจ้าพระธรรมและพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมามีหลวงพ่อปานและหลวงพ่อฤาษีฯเป็นที่สุดหากทั้งหมดที่ลูกได้ทำลงไปนี้เป้นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะไม่ควร ตัวลูกก็ขอรับกรรมนั้นแต่เพียงผู้เดียวไม่เกี่ยวกับผู้ใดกับทั้งขออวยพรทุกท่านให้สมดังใจขอลูกหลานหลวงพ่อทั้งหลาย(รวมทั้งข้าพเจ้า)บารมีได้บำเพ็ญเพียรมาจงรวมตัวกันเป็นแรงหนุนสงเสริมและเป็นกำลังใจให้ท่านทั้งหลายปฏิบัติตนเพื่อเข้าสู่นิพพานในชาติปัจจุบันนี้เทอญ
    นิพพานปรมังสุขัง
    อนุโมทนา


    ที่มา จากกระทู้ของคุณมงกุฎเพชร เว็บไซต์คนเมืองบัว

    ที่นำมาเผยแพร่เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝึกมโนมยิทธิค่ะ เอเอก็เคยไปฝึกที่บ้านสายลม กับที่วัดท่าซุงมาเหมือนกันค่ะ ชาวพุทธเหมือนกัน นับถือพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน อย่ามาทะเลาะกันเองเลยค่ะ จะฝึกมโน หรือสติปัฏฐาน ก็เพื่อความหลุดพ้นเหมือนกัน เดี๋ยวดีไม่ดีกลายเป็นปรามาสพระรัตนตรัยจะบาปกันเปล่าๆค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 2 กันยายน 2013
  2. joni_buddhist

    joni_buddhist Legal returns ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2005
    โพสต์:
    13,555
    กระทู้เรื่องเด่น:
    203
    ค่าพลัง:
    +63,440
    ผมเองเห็นด้วยกับบทความที่เขียนครับเพราะมโนยิทธิเป็นวิชาที่มีแน่นอนครับในอาการวัตราสูตรยังกล่าวไว้เลย แต่มีพระบางรูปเรียนปริยัติไม่เคยศึกษากัมมัฏฐาน40กำลังกล่าวติเตียนวิชาของสมเด็จพระมิ่งมงกุฏน่าจะคัดลอกให้อ่านกันเยอะๆนะ
     
  3. พระยาเดโชชัยมือศึก

    พระยาเดโชชัยมือศึก สินธพอมรินทร์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2005
    โพสต์:
    2,742
    ค่าพลัง:
    +12,024
    ผมว่าเป็นทางตรงที่จะไปพระนิพพาน แต่อาจจะต้องมีการปฎิบัติอย่างมุ่งมั่น
    เรื่อง ศีล สำคัญมาก ศีลบริสุทธิ์ ไหม พรหมจรรย์ ก็ต้องมี ถ้าจะไปพระนิพพาน และต้องรู้ว่าอารมณ์พระนิพพานเป็นอย่างไร ก็คือจะนั่ง จะนอนกรรมฐานแบบไหน ถึงจะเป็นการพบอารมณ์พระนิพพาน ช่วงแรกๆที่ผมนั่ง ผมก็นั่งแล้วก็พิจารณาไป ก็มีแว๊ปๆเข้ามาถามว่า จะนั่งอย่างนี้ไปกี่ปีกี่ชาติหล่ะ จิตก็ผุดมาพูดว่า นั่งแล้วถึงอารมณ์พระนิพพาน เป็นไง ก็ได้คำตอบแล้ว ก็คือวิธีการดูจิต แล้วค่อยๆ เอาพันธนาการ ต่างๆ ออกไปจากจิต จนเรารู้ว่า จิตเรามันสบายๆ ไม่มีภาระใด มาทำให้จิตเราหนัก หรือเป็นกังวล สุดท้ายแล้ว มักจะเหลือแต่คำว่า หน้าที่ ซึ่งเป็นหน้าที่ ที่เราต้องทำจนกว่าจะหมดหน้าที่ ในทางโลก แต่เราจะไม่พะวงใดๆ หรือเอาภาระหน้าที่นี้มาทำให้จิตเราเศร้าหมอง หรือต้องมีห่วงใดๆกับการงาน พอจิตเราไม่มีพันธนาการแล้ว เราก็ใช้มโนมยิทธิได้อย่างเต็มที่ เอาจิตไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ตามที่เราเคยเห็นท่านในการฝึกครั้งแรกๆ
    หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับพี่น้องลูกหลานได้บ้างนะ
     
  4. Specialized

    Specialized ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    22,156
    กระทู้เรื่องเด่น:
    23
    ค่าพลัง:
    +83,352
    ครับ .. ส่วนตัวผมกำลังพึ่งเคยฝึกมโนมยิทธิ ครึ่งกำลังมา เมื่อวันที่ 4 - 8 มี.ค. นี้เองครับ พึ่งรู้ว่ามันเป็นยังไง แล้ววันนี้ลองมาค้นคว้าข้อมูลเพิ่มก็ได้รับประโยชน์ดีครับ ขอบคุณครับ
     
  5. aroonoldman

    aroonoldman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    147
    ค่าพลัง:
    +462
    โมทนครับ ชัดเจนแจ่มแจ้ง ส่วนเรื่องอุปทานหลวงพ่อบอกให้ทิ้งอารมณ์เดิมไปก่อน
     
  6. ชนะ สิริไพโรจน์

    ชนะ สิริไพโรจน์ ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,891
    กระทู้เรื่องเด่น:
    14
    ค่าพลัง:
    +35,260
    สาธุ ขออนุโมทนาเป็นอย่างสูงครับ

    เชิญแวะอ่านธรรมะของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง ที่
    เฟสบุ๊ค ศูนย์พุทธศรัทธา
    และร่วมกันแบ่งปันธรรมะของหลวงพ่อฯ ไปยังกระดานของท่านเพื่อเป็นธรรมทาน

    เว็บทางนิพพาน เว็บไซด์ เผยแพร่ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น<O:p
    ที่รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน<O:p
    ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่www.tangnipparn.com<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com[​IMG]ขอเชิญแวะเยี่ยมชมและโมทนาบุญเว็บศูนย์พุทธศรัทธา

    [​IMG]</O:p>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  7. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    สาธุครับ... เพิ่มให้อีกนิดในเรื่องมโนยิทธิ ตามคำสอนอาจารย์ "เมื่อได้พบครูบาอาจารย์ที่ไม่ใช่มนุษย์แล้ว ให้สอบถามแนวทางที่เราจะปฏิบัติได้รวดเร็ว และนำเอาทางที่ท่านแนะนำนั้นมาปฏิบัติจะทำให้เราไปได้รวดเร็ว"

    ขอความเจริญในธรรมองค์สมเด็จพระประทีปแก้ว จงมีแด่ทุกๆท่านครับ
     
  8. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,850
    แต่ถ้าเราไม่รู้จักใช้เอามีดนั้นไปทำร้ายคนหรือแม้แต่ตัวเอง ก็จะทำให้"ฉิบหาย " ถ้าคนที่ฝึกวิชชาของหลวงพ่อที่ให้ไว้ไม่รู้จักจุดประสงค์หรือวิธีใช้ซึ่งนอกจากจะเข้าใจในตัวท่านผิดแล้วยังเป้นการเดินหลงทางคือไกลจากพระนิพพานอีกด้วย เช่นใช้เพื่ออวดคนอื่น เพื่อยึดติดกับอดีตที่เคยเป็น อย่างนี้หลวงพ่อถือว่ายังใช้ไม่ได้ ไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ท่าน ดังที่หลวงพ่อเคยกล่าวไว้ว่า "การที่รู้ได้ ๘ อย่างนี้(ญาณ8 ซึ่งเป็นผลจาการฝึกมโนมยิทธิ) เป็นปัจจัยให้ทุกคนตัดมานะการถือตัวถือตนและก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นในร่างกาย คือทรัพย์สินต่างๆ เป็นปัจจัยให้บรรลุมรรคผลได้โดยง่าย" หวังว่าท่านทั้งหลายคงจำประโยคเหล่านี้ได้ดี

    ยกตัวอย่างการใช้มโนยิทธิผิดวัตถุประสงค์


    ทีนี้มาถึงเรื่อง โลกันตมหานรก หรือนรกขุมที่ ๙ ซึ่งเป็นนรกขุมพิเศษ ซึ่งนักปฏิบัติธรรมด้วยความประมาท มีโอกาสลงได้ง่าย ๆ เหมือนกัน หากไม่เชื่อและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งและคำสอนของพระพุทธองค์ นรกขุม ๑ ถึง ๘ ล้วนถูกทรมานด้วยความร้อนทั้งสิ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ (รายละเอียดให้ศึกษาได้ในไตรภูมิ) ส่วนขุมพิเศษที่ ๙ นี้ กลับถูกทรมานด้วยความเย็นจัด บวกกับหาแสงสว่างไม่ได้เลย ทั้งมืดทั้งเย็นจัด ชนิดความเย็นของขั้วโลกเหนือและใต้เทียบไม่ได้ (ที่ขั้วโลกยังมีแสงสว่าง และยังมีฤดูร้อนให้พืชงอกงามได้)
    สาเหตุที่ต้องลงมีดังนี้
    ๑. ปากเชื่อว่ามีนรก แต่ใจบางอารมณ์คิดว่ามี บางอารมณ์สงสัยว่าอาจจะไม่มี คือ ยังสงสัยหรือเชื่อไม่จริง เช่น มาฝึกมโนมยิทธิโดยใช้ฤทธิ์ทางใจ ขอบารมีของพระองค์ ขอเมตตาให้ได้เห็นนรก และได้ไปเที่ยวชมนรกทั้ง ๘ ขุม และไปขุมพิเศษขุมที่ ๙ ด้วย เมื่อกลับมาแล้วยังสงสัยอยู่ ซึ่งเท่ากับปรามาสพระรัตนตรัยโดยตรงทางใจ หรือมโนกรรม หรือหลงตัวเองว่าตนเองสามารถหนีนรกได้ เพราะไปเที่ยวสวรรค์ เที่ยวพระนิพพานได้ แต่ลืมไปว่าไปได้เพราะบารมีจากพระพุทธองค์ หรือพระอรหันต์ท่านก่อนทั้งสิ้น ภาพที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่เป็นพุทธนิมิตหรือธรรมนิมิตเท่านั้น ขณะที่เห็นนั้นเป็นของจริง แต่เมื่อลงมาแล้วไม่จริง เพราะลงมาแล้วอารมณ์โลภะ-ราคะ, โทสะ, โมหะ ก็ยังมีอยู่เป็นปกติ ทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า "ธรรมของตถาคตจริงในปัจจุบันเท่านั้น" แดนพระนิพพานหรือแดนที่ไม่มีอายุ จึงไม่มีหมดอายุ แดนที่ไม่มีเวลาจึงไม่หมดเวลา เป็นแดนบริสุทธิ์จากสมมุติทั้งปวง คือ หมดทั้งกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ผู้ประมาทในธรรมจิตเป็นมิจฉาทิฎฐิ คิดว่าตนเองพ้นนรกแล้วอย่างถาวร จึงทำความผิด ทำความชั่ว ทั้ง ๆ ที่รู้ ขอยกตัวอย่าง ๒ ราย
    รายที่ ๑ เป็นแม่ชี
    รู้อยู่แก่ใจว่าตนเองมิใช่พระ แต่ก็รับสังฆทาน แล้วเอาทั้งวัตถุและเงินของที่เขามาถวายเป็นสังฆทานไปใช้จ่ายตามที่ตนเองเห็นว่าสมควร ทำไปทั้ง ๆ ที่รู้ เพราะความหลงคิดว่าตนเองเป็นพระอริยเจ้าพ้นนรกแล้ว จะทำอะไรก็ทำได้ มโนมยิทธิของตนแจ่มใสจะไปพระนิพพานเมื่อใดก็ได้ ผลพอตายหรือขันธ์ ๕ พัง จิตก็ตรงไปโลกันตมหานรกทันที โดยไม่ผ่านสำนักพระยายม ใครอยากทราบก็ไปถามลุงพุฒท่านดู (เจ้าพระยายมราช) หรือถามพระพุทธเจ้าโดยตรง
    รายที่ ๒ เป็นนักวิชาการ

    มีความรู้ทางปริยัติดี เคยบวชเรียนในวัดมีชื่อเสียง ซึ่งมีการสอนปริยัติธรรม และเชื่อเรื่องมีนรก มีสวรรค์ มีพระนิพพาน ตายแล้วไม่สูญ รายนี้จึงรู้ แต่ก็รู้แบบปริยัติ คือ รู้ไม่จริง ความสงสัยยังมีอยู่ในใจเป็นธรรมดา
    ตอนที่ยังเป็นฆราวาส เห็นแก่สินจ้างรางวัล จึงออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีตามที่ต่าง ๆ ทั้งในกรุงและต่างจังหวัด ขอเล่าย่อ ๆ ว่า ทุกครั้งที่เขาไปโจมตีด้วยข้อความที่เป็นเท็จ แม้แต่ในชนบทตามหมู่บ้านในป่า-ในเขา ก็จะมีประชาชนที่นั่นคัดค้านโต้เถียงด้วยเหตุผลอันชอบแทนหลวงพ่อท่าน จนนักวิชาการผู้นี้หน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่สำเร็จก็เงียบไปสักพักหนึ่ง คราวนี้ไปบวชเป็นนักบวช จากวัดที่มีชื่อเสียงนั่นแหละ แล้วออกโจมตีหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงอีก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ (สหรัฐอเมริกา ที่รัฐ L.A) ก็ไม่มีผลอีกตามเคย ทั้ง ๆที่เอาผ้าเหลืองบังหน้า คิดว่าจะไม่มีฆราวาสกล้าขัดแย้ง แต่ก็มีฆราวาสขึ้นพูดขัดแย้งด้วยเหตุผลอันชอบ จนหน้าแตกกลับมาทุกครั้ง เมื่อไม่มีผลก็สึกจากนักบวชออกมาเป็นฆราวาส วันหนึ่งขับรถยนต์ส่วนตัวไปต่างจังหวัด กรรมที่ตนเองเป็นผู้ทำไว้หนักมาก เพราะทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ในขณะที่ครองผ้าเหลืองเป็นนักบวช โทษจึงเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่าทวีคูณ รถพลิกคว่ำหลายตลบ ตนเองคอหักชนิดจับคอหมุนได้ หมายความว่า ร่างกายหรือขันธ์ ๕ แตกดับหรือตายทันทีในขณะอุบัติเหตุ คนไปบวชเป็นพระแล้วไม่สนใจเรื่องศีล ไม่รักษาพระวินัยให้ครบ ๒๒๗ ข้อ เพราะขาดหิริโอตตัปปะ คือ ไม่ละอายในความชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของความชั่วแล้ว ก็เป็นแบบท่านเทวทัตทุกราย ให้สังเกตศีลของพระเกือบทุกข้อ หรือทุกข้อมีต้นเหตุจากขาดหิริโอตตัปปะทั้งสิ้น (ปาจิตตีย์ แปลว่า จิตเป็นบาป) รายนี้ก็เช่นกัน ไปบวชเป็นพระ แต่ไม่สนใจศีลหรือพระวินัย บวชเท่าไหร่ก็ไม่เป็นพระ โทษก็ลงอเวจีมหานรกอยู่แล้วเป็นธรรมดา แต่ที่เลยไปอีก ๑ ขุม เป็นโลกันตมหานรกนั้น เพราะเขาทำชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ (จุดนี้ พระพุทธองค์เป็นผู้ตรัสเมื่อมีผู้ถามพระองค์ท่าน)
    สรุปว่า ทั้ง ๒ รายนี้มีเหตุมาจากการทำความชั่วทั้ง ๆ ที่รู้ทั้งคู่
    ๒. มีจิตยินดีด้วย เมื่อเห็นหรือรู้ว่าบุคคลลงนรกขุมที่ ๙ (โลกันตมหานรก) หรือมีอารมณ์สะใจเมื่อทราบข่าว หรือจิตไปเห็น อาทิสมานกายของเขาลงนรกขุมที่ ๙ จิตเกิดอุปาทาน ไปยึดมั่นถือมั่นกรรมชั่วของผู้อื่นมาเก็บไว้ที่ใจของตน จึงเท่ากับยินดีด้วย หรือสะใจหรือพอใจในกรรมชั่วนั้น ๆ ชนิดไม่ยอมลืม เพราะพบใครก็จะเล่าให้เขาฟังกลัวจะลืม ยิ่งเล่ามากเท่าใด จิตยิ่งยึดมั่นมากเพียงนั้น จนที่สุดกลายเป็นฌาน หรือจิตชินต่อกรรมชั่วนั้น ๆ เกิดขันธ์ ๕ พัง หรือตายตอนนั้น จิตซึ่งมีสภาวะรู้และเร็ว เมื่อเราป้อนข้อมูลใดไว้ให้ จิตเขารู้จนชินแล้ว เมื่อกายแตกตายหรือพัง จิตก็จะเร็วไปตามนั้น เพราะจิตไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก โดยไม่ผ่านสำนักพระยายม นี่เป็นจุดสำคัญที่ข้าพเจ้าต้องการจะเน้นให้ผู้อ่านจดจำให้ดี ๆ จะได้ไม่ประมาทในธรรมข้อนี้ พลาดเมื่อไหร่สามารถจะลงขุมที่ ๙ ได้แบบสบาย ๆ เพราะชอบนิทาปสังสา หรือนินทาสโมสร ชอบตำหนิกรรมชั่วของผู้อื่น ซึ่งก็เท่ากับยินดีด้วยเมื่อเห็นทราบว่าผู้อื่นกระทำชั่ว หรือทำผิดศีล-ผิดพระวินัย เท่ากับขาดกรรมบถ ๑๐ หมวดวาจา ๔ ด้วย (คือ ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ, ไม่พูดส่อเสียดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องที่ไร้ประโยชน์หาสาระอะไรมิได้) ในกรณีนี้ผิด ๒ ข้อหลัง หากท่านผู้อ่านต้องการทราบรายละเอียดให้มากกว่านี้ กรุณาไปอ่านเรื่อง "รำลึกถึงหลวงปู่บุดดา ถาวโร พระอริยเจ้าผู้ไม่เกิดไม่ตายตลอดกาล" ในหน้าแรกแล้วท่านจะเข้าใจได้ดีขึ้น
    ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างบุคคลท่านหนึ่ง เป็นหญิงไปเห็นกรรมชั่วของนักวิชาการ ซึ่งเป็นผู้ชายที่ลงนรกขุมที่ ๙ (ส่วนรายแรกลงนรกขุมที่ ๙ เป็นผู้หญิง ซึ่งเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษี และได้มโนมยิทธิแจ่มใส แต่ไม่สนใจเรื่องศีล จึงเท่ากับดูถูกแม่ของ ตนเอง ดูถูกพระธรรม หรือดูถูกพระพุทธเจ้านั่นเอง) รายนี้ท่านก็ผู้หญิง ได้มโนมยิทธิ แจ่มใสมาก ชนิดเห็นภาพสว่างเหมือนพระอาทิตย์ตอนเที่ยงทุกครั้ง แม้จะเป็นกลางคืนเดือนมืดก็ตาม เธอเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอสงสัยจังว่าทำไมคนอื่นจึงเห็นได้ไม่ชัด ส่วนตัวเธอสว่างเหมือนตอนเที่ยงทุกครั้งไป รายนี้พอทราบข่าวว่ารายที่ ๒ ซึ่งเป็นชาย เกิดอุบัติเหตุรถคว่ำคอหักตาย เธอก็ใช้มโนมยิทธิตามดูกรรมของเขา ก็พบว่าเขาลงไปอยู่ขุมที่ ๙ เธอก็ติดตามไปขุมที่ ๙ ยืนอยู่ปากขุมนรกนั้น แล้วตะโกนว่า“สะใจจริงโว๊ย ๆ” สาเหตุเพราะบุคคลผู้นี้ชอบนินทาว่าร้ายอาจารย์ของเธอ (หลวงพ่อฤๅษี วัดท่าซุง) เธอพบใครก็จะเล่าเรื่องที่เธอไปพบ ให้เขาฟังทุกคน เพราะกลัวจะลืม แต่เธอโชคดีที่ไปเล่าให้หลวงพ่อท่านฟัง หลวงพ่อท่านก็เมตตาตักเตือนเธอว่า “ระวังให้ดี เวลาตายจะไปอยู่กับเขาด้วย” เตือนเพียงเท่านี้ เธอเป็นผู้มีปัญญาจึงคิดออกว่าอารมณ์สะใจ คือ อารมณ์ยินดีด้วยกับกรรมชั่วของผู้อื่น หากเล่าให้ผู้อื่นฟังซ้ำ ๆ เท่ากับเป็นการบังคับให้จิตเก็บความชั่วของผู้อื่นมาไว้ที่จิตของเรา ทำบ่อย ๆ จิตก็จะชินกับความชั่วนั้น ๆ ที่สุดจิตเลยชินกับกรรมชั่วนั้น ๆ จิตเลยเป็นฌานสมาบัติในความชั่วนั้น ๆ เวลากายพังหรือตาย จิตที่รู้อะไรเป็นฌานสมาบัติ จิตก็จะเร็วไปตามนั้น เพราะจิตไม่มีเวลา เป็นอกาลิโก จึงมีผลไปอยู่กับเขาผู้นั้นเป็นอัตโนมัติ
    ข้าพเจ้าเองเพียงแค่คิดถึงเรื่องนี้ก็ยังรู้สึกเสียว ๆ อยู่ กลัวจะได้ไปปีนหน้าผาร่วมกับเขาโดยไม่มีแสงสว่าง คือ มืดสนิทแล้วหนาวสุด ๆ ด้วย นี่แหละคือจุดอันตรายที่สุดในการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา อ่านแล้วกรุณาคิดตามด้วยเหตุผล จะได้เกิดปัญญา การรู้ด้วยจิตของตนเองจึงจะเป็นของจริง เพราะผู้อื่นมาบอกให้รู้ว่า ๑๐๐ ครั้ง ๑,๐๐๐ ครั้ง ก็สู้เรารู้ด้วยจิตตนเองครั้งเดียวไม่ได้ เมื่ออ่านและเข้าใจดีแล้วจงพยายามระวังสังวรกาย-วาจา-ใจของตนให้ดี ๆ เลิกนิสัยนินทาผู้อื่น, เลิกนิสัยชอบพูดแต่กรรมชั่วของผู้อื่น (เลิกพูดถึงบุคคลที่ ๓) โดยเจตนาเพื่อจะส่อเสียดเขา เอาความชั่วของผู้อื่นมาประจานโดยเจตนาชั่ว แต่กลับไม่เห็นความชั่วของตนเอง เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตตนเอง เบียดเบียนจิตตนเอง เพราะจิตหยาบเกินไป จึงไม่เข้าใจเรื่องเมตตา ความรักในพระพุทธศาสนา พระองค์ทรงสอนให้รักตัวเราก่อนเป็นประการแรก (ตัวเราจริง ๆ คือจิต หรือ อาทิสมานกาย ซึ่งมาอาศัยขันธ์ ๕ หรือร่างกายอยู่ชั่วคราว ดังนั้น ร่างกายก็คือผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา) หากมีปัญญาทางพุทธศาสนา ซึ่งหมายถึงปัญญาที่เกิดจากสมาธิ ซึ่งตั้งมั่นอยู่บนศีลอันบริสุทธิ์ ซึ่งต่างกับปัญญาทางโลกอันเกิดจากสมาธิ ซึ่งไม่มีศีลเป็นเครื่องรองรับ หากท่านเข้าใจธรรมจุดนี้ ก็จะทราบได้ว่าอารมณ์สะใจ คือ อารมณ์พอใจหรือยินดีด้วย กับความชั่วของผู้อื่นนั่นเอง หลวงพ่อฤๅษีท่านชอบพูดว่า เป็นอารมณ์เก็บขี้ หมายถึงชอบเก็บแต่ของเหม็น ๆ ของไม่ดีหรือกรรมชั่ว (กายกรรม-วจีกรรม-มโนกรรม) ของผู้อื่นมาไว้กับจิตของตน ของดี ๆ ของหอม ๆ ไม่เอา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2013
  9. Pehda

    Pehda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    67
    ค่าพลัง:
    +227
    เพราะแบบนี้
    ถึงต้องนึกถึงภาพพระให้จิตมันชินใช่มั้ยครับ
    :)
     
  10. Chang_oncb

    Chang_oncb ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    12,276
    ค่าพลัง:
    +80,027
    [​IMG]
     
  11. จิตวโร

    จิตวโร Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    30
    ค่าพลัง:
    +64
    ขออนุโมธนาครับ

    ธรรมใดที่หลวงพ่อบรรลุ
    ขอลูกจงบรรลุถงในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...