เพื่อการกุศล ร้อยแปดพันเก้าสายพระอริยะ ธารบุญธารธรรม สร้างมณฑปตาหลวงทองวัดหลักห้ายะลา อายุ108ปี

วันหนึ่งช่วงก่อนงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต วัดหลักห้า เธอมาใส่บาตรใกล้ๆกับสถานีรถไฟยะลา เหลือบไปเห็นป้ายโฆษณาขนาดใหญ่งานวัดหลักห้า ในป้ายมีภาพตาหลวงทอง ถิรจิตโต พร้อมบรรยายอายุว่า 105 ปี ซึ่งผิดเพราะคนทั่วไปรู้ว่าท่านอายุ 106 จะขึ้น 107 ปลายปีนี้ เหมือนจุดประกายความคิด เธอจึงนำเลข 105 ไปแทงหวย แทงตรงๆไม่มีกลับไป 500 บาท บรรดาลูกหลานแทงเพิ่มไปอีกคนละหลายร้อย “เดี๋ยวก็ดีเอง” เหมือนเป็นพรอันประเสริฐ หวยงวดนั้นออก 105 จริงๆ

ตาหลวงมองท่านไม่ชอบให้คนเล่นหวย เล่นการพนัน แต่มีคนที่ศรัทธาท่านมักจะได้โชคลาภจากหวยเสมอๆ คุณหมอจิมมี่ คงเจริญ ศัลยแพทย์มือดีของโรงพยาบาลกรุงเทพ พัทยา เป็นคุณหมอที่ชอบเรื่อง “ขลัง” อีกผู้หนึ่ง คุณหมอศรัทธาตาหลวงทองมากเป็นพิเศษ จึงตามเก็บพระเครื่องของท่านมาตลอด ที่คอจึงแขวนพระเครื่องของตาหลวงหลายองค์ รวมทั้ง “พระเจ้าห้าพระองค์” หมอจิมมี่เล่าว่า หลายครั้งขณะผ่าตัดคนไข้อาการหนัก บางครั้งคิดว่าจะไม่รอดแน่ คุณหมอก็จะภาวนาในใจ ขอบารมีของตาหลวงให้ช่วยคนไข้ด้วย แล้วก็ผ่านพ้นเหตุการณ์วิกฤติไปด้วยดี นั่นเป็นเหตุการณ์ไกลตัวคุณหมอ

 

วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ใกล้ตัว คุณพ่อของคุณหมอป่วยหนักด้วยโรคชรา ด้วยวิสัยของผู้เป็นหมอ ทำให้รู้ว่าคุณพ่อคงอยู่ได้อีกไม่นาน ถ้าคุณพ่อเสียต้องใช้เงินมาก จะด้วยความอยากที่จะ “ลองของ” หรือด้วยศรัทธาผมไม่กล้าถาม คุณหมอจิมมี่จึงอธิษฐานกับ “พระเจ้าห้าพระองค์” ที่แขวนอยู่ที่คอว่า “ระหว่างที่ขับรถไปโรงพยาบาลขอให้เจอคนขายล็อตเตอรรี่ แล้วให้คนขายเข้ามาหาด้วย จะไม่เข้าไปซื้อเองเด็ดขาด” ระหว่างที่ขับรถไปฝนตกพรำๆ แล้วคุณหมอก็พบคนขายล็อตเตอรี่ขี่รถจักรยานสวนทางมาจริงๆ และก็มาเกาะรถที่คุณหมอขับขายให้ด้วย คุณหมอจึงซื้อเลขอายุของคุณพ่อ 81 ปี ซื้อไปหลายใบ หลังจากนั้นไม่กี่วันคุณพ่อก็เสีย แล้วล็อต-เตอรี่ สองตัวล่างก็ออก 81 จริงๆ แม้จะเสียคุณพ่อซึ่งเป็นกฎของ “อนิจจัง” แต่ศรัทธาที่มีต่อตาหลวงก็เพิ่มขึ้นมาอีกหลายขีด

ในช่วงงานผูกพัทธสีมาฝังลูกนิมิต มีสาธุชนมาร่วมงานบุญกันมากมาย ตาหลวงทองท่านออกมาต้อนรับญาติโยม พร้อมทั้งแจกวัตถุมงคลเป็นพักๆ เนื่องจากท่านเจริญอายุมากแล้ว อากาศร้อนผู้คนรุมล้อมมาก ท่านมักจะเป็นลมเสมอๆ ทางศิษยานุศิษย์จึงให้ท่านพัก จึงมี ท่านพระมหาเกษม หรือหลวงเษม (พระครูเขมวงศานุการ) เจ้าอาวาสวัดนิโรธสังฆาราม กับพระครูศรีธรรมธัช ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดเมืองยะลา ผลัดกันมานั่งแจกวัตถุมงคลแทน พร้อมทั้งประกาศว่า “อย่าเห็นว่าเป็นของแจกฟรี วัตถุมงคลของตาหลวงสามารถป้องกันภัย ในรัศมีหน้า 7 วา หลัง 7 วา”

 

หลวงเษมหรืออาจารย์มหาเกษม ตอนนี้เป็นรองเจ้าคณะจังหวัดยะลาครับท่านเป็นพระสายเขาอ้อในยะลาครับท่านนับถือตาหลวงทองมากจริงๆ....

 

ที่หลวงเษมประกาศไปเช่นนั้น ไม่ใช่เป็นการโฆษณาชวนเชื่อ มาดูเหตุการณ์จริงกัน วันที่ 27 เมษายน ที่ผ่านมา จสอ. ชำนาญ พันธุ์เกตุ ณ พันธ์ จ่าชำนาญท่านขอไม่ให้บอกสังกัด เพื่อความปลอดภัยครับ เพราะญาติพี่น้องของจ่าถูกฆ่าไปหลายคนแล้ว จ่าชำนาญได้ไปตั้งจุดตรวจที่ถนนยะลา-เบตง พร้อมทั้งลูกน้องที่เป็นพลทหารอีก 6 คน จ่าชำนาญเล่า ตามปกติจะแขวนพระเครื่องของตาหลวงชุดใหญ่ เช้าวันที่จะมาเข้าเวรจุดตรวจ สร้อยคอคู่กายขาดตกอยู่ในรถส่วนตัวที่บ้าน เพราะความรีบเร่งที่จะมาเข้าเวรจึงลืม ไม่ได้นำติดตัวมาด้วยทั้งเนื้อทั้งตัวจึงมี “กำไลข้อมือไหมเจ็ดสี รุ่นที่มีตะกรุด” (ที่ท่านผอ.กมล เอกมโนชัย ร่วมสร้างถวาย และนำมาแจกให้กับแฟนศักดิ์สิทธิ์) อยู่ในกระเป๋าเสื้อเพียงอย่างเดียว ส่วนพลทหารลูกแถว ไม่มีของขลังติดตัวกันเลย ไม่ทราบว่าอยู่กันมาได้อย่างไร

 

ระหว่างเข้าเวรเหตุการณ์ทั่วไปปกติ จนมีรถปิ๊คอัพคันหนึ่งแล่นเข้ามาจุดตรวจ ที่กะบะท้ายมี เด็กและผู้หญิงนั่งมาเต็ม เมื่อเห็นมีเด็กกับผู้หญิงการระวังตัว จึงหย่อนยานลง เมื่อรถวิ่งเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้น ปืนอาก้า 2 กระบอก โผล่มาจากกะบะท้ายที่เห็นมีเด็กกับผู้หญิง สาดกระสุนอย่างหูดับตับไหม้ ห่างจากทหารทั้ง 7 ไม่เกิน 10 เมตร แล้วรถก็เร่งเครื่องหนีไป นับปลอกกระสุนในที่เกิดเหตุได้ 27 ปลอก ทหารทั้ง 7 ปลอดภัย นี่กระมังที่หลวงเษมท่านว่า “ป้องกันได้หน้า 7 วา หลัง 7วา”

สำหรับกำไลไหมข้อมือ 7 สี นั้น เป็น วัตถุมงคล ที่นับว่าเป็น ขวัญใจ ของคนในพื้นที่เพราะใช้กันทั้งไทยพุทธ ไทยมุสลิม ส่วนใหญ่นั้นจะใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อกัน ไม่ใส่ไว้ที่ข้อมือให้เป็นที่สะดุดตา มีพี่น้องมุสลิมบางคนใช้คาดที่ต้นแขน เหมือนผ้าประเจียดนักมวย เมื่อใส่เสื้อแขนเสื้อจะบังไว้ไม่ให้ใครเห็น มีหลายๆคนอยากให้ทำแบบใส่ตะกรุดอีก เรื่องเขียนตะกรุดนั้นไม่ยาก แต่ที่ยากคือต้องเอาตะกรุดไปม้วนกับเชือกครับ ผมไม่มีกำลังงานพอที่จะช่วย จึงส่งไปแบบธรรมดา

 

เมื่อเอ่ยถึงตะกรุด มีหลายท่านอยากให้ทำ “ตะกรุดเบิกฟ้า” อีก ผมได้แต่ปฏิเสธไป เพราะอยากหยุดที่ 5,000 ดอก ปล่อยให้เป็นอมตะไป ทราบจากพรรคพวกที่บันนังสตา กับธารโตว่ามีประสบการณ์มาก ในวันเสาร์ห้าเมื่อเดือนมีนาคม ผมได้ส่งไปถวาย 2,000 ดอก รวมกับที่ส่งไปก่อนหน้านี้อีก 1,000 ดอก หลังเสาร์ห้าก็มีคนเข้าไปขอตะกรุดรุ่นเสาร์ห้ากัน ตาหลวงทองท่านว่า “จะเสาร์ห้าหรือไม่ใช่เสาร์ห้า เสกเหมือนกัน คาถาบทเดียวกัน” คนที่เข้าไปขอ “จะเอาเสาร์ห้าครับ” ตาหลวงทอง “พุทธคุณเหมือนกัน” คนขอ “จะเอาเสาร์ห้า” ตาหลวงท่านคงรำคาญ หยิบกล่องใส่ตะกรุดเอามาเทรวมกัน แล้วเอามือคน คนที่จะเอาเสาร์ห้าตาค้างไป ถ้าเป็นคนที่ช่างสังเกตตะกรุดเบิกฟ้ารุ่นเสาร์ห้า จะมีโค็ด เลข 5 อาราบิค อยู่ด้านขวามือ และอักษรขอม “อุ” อยู่ด้านซ้ายมือ

ผมได้รับคำข้อร้องจากหลวงนัน พระผู้ช่วยตาหลวงทองและท่านอรุณ ให้ช่วยประชาสัมพันธ์ สำหรับท่านที่มีจดหมายไปขอบูชาวัตถุมงคลของตาหลวงทอง ที่วัดหลักห้าว่า ทางวัดไม่สะดวกที่จะจัดส่งทางไปรษณีย์ครับ เพราะต้องเข้ามาในเมืองไกล ทางวัดไม่มีพาหนะ ถ้าจะเข้ามาในเมืองต้องมีทหารคุ้มกันมาด้วย ซึ่งไม่สะดวกและขณะนี้ทางวัดไม่มีวัตถุมงคลเหลือด้วยครับ อีกประการท่านที่จะเข้าไปนมัสการตาหลวงทองที่วัด เนื่องจากท่านเจริญด้วยอายุกาล 106 ปี จะขึ้น 107 ปีแล้ว และท่านเคยเป็นโรคหัวใจโตด้วย จึงต้องให้ท่านพักผ่อนมากๆ จะได้อยู่เป็นมิ่งขวัญให้แก่พวกเรานานๆ ขอความกรุณาให้ไปก่อนเพลช่วงหนึ่ง และช่วงบ่าย 16.00 -17.00 น.อีกช่วง เคยมีบางคนไปเอาตอนมืดค่ำวัดปิดประตูแล้ว ซึ่งตัวท่านเองจะไม่ปลอดภัย ในช่วงสถานการณ์เช่นนี้

 

ช่วงต้นปีนั้นน้องสาวของตาหลวงทองได้จากโลกนี้ไปด้วยโรคชรา สำหรับตาหลวงนั้นท่านละนิวรณ์ได้แล้ว ท่านจึงไม่ได้มีความเสียใจอะไร ท่านได้ปลงสังขารให้น้องๆของท่าน สิ่งที่พวกเราผู้เป็นศิษย์ห่วงคือสุขภาพของท่าน เมื่องานพุทธาภิเษก จตุคาม รามเทพ ของวัดเมืองยะลา ตาหลวงทองท่านรับนิมนต์เป็นประธานจุดเทียนชัย เมื่อกลับวัดท่านก็เป็นลม จึงเป็นเหตุหนึ่งที่ทางศิษย์ไม่อยากให้ท่านรับกิจนิมนต์นอกวัด ท่านอรุณได้เคยนิมนต์ ขอให้ตาหลวงทอง อยู่กับลูกหลานนานๆ ท่านก็ยกมือขึ้นสาธุรับ พร้อมกับบอกว่า “ตราบใดที่เหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่สงบ ท่านยังไม่ไปไหน นี่ เป็นห่วง” ท่านมักจะเรียกตัวเองว่า “นี่” กับศิษย์ที่ท่านสนิท

จากบารมีธรรมของตาหลวงทอง ถิรจิตโตที่ได้สร้างสมมาแต่ครั้งเป็นฆราวาส บารมีทานที่ท่านมีต่อทุกผู้นามไม่เลือกว่าจะเป็นไทยพุทธหรือไทยมุสลิม วัตถุมงคลของท่านได้ช่วยชีวิตของผู้คนไว้มากมายโดยเฉพาะคนเมืองยะลา ท่านอรุณจึงคิดที่จะสร้างรูปเหมือนหล่อโลหะขนาดเท่าองค์จริงของท่าน ซึ่งการสร้างรูปหล่อนั้นมักจะสร้างกันเมื่อครูบาอาจารย์ท่านละสังขารไปแล้ว คราวนี้จะสร้างกันตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เพื่อเป็นการแสดงมุทิตาจิตต่อท่าน ให้ท่านรับรู้ โดยได้ไปขออนุญาตจากท่าน ตาหลวงทองก็ยินดีให้สร้าง

 

ไหมห้าสีท่านมีความเป็นอย่างไรและแหวนกันงูของท่านขลังเพียงไหนโปรดติดตาม....ขอบอกบุญไว้ด้วยนะครับ...ช่วยทางวัดด้วยครับ สาธุ

 

คุณกฤชเคยเล่าว่า...การจะสร้างหรือการจะทำอะไรขึ้นสักอย่างนั้นต้องมีค่าใช้จ่าย ครั้งนี้ก็เหมือนกันท่านอรุณได้ปรึกษากับตาหลวงทองและท่านได้แนะนำให้ทำ “ตะกรุดมหาราช (แม่ธาตุใหญ่)” ครูบาอาจารย์ทางสายเมืองนครศรีธรรมราช เล่าต่อกันมาว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้รับตะกรุดนี้จากพระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ของเมืองนครศรีธรรมราช เมื่อครั้งที่พระองค์ท่านเสด็จลงมาปราบเจ้าพระยานครฯ และตั้งแต่นั้นมาพระองค์ได้นำตะกรุดนี้ติดพระองค์ในการออกราชการศึกสงครามตลอดมา โดยที่ไม่เคยต้องศัสตราวุธของศัตรูเลยสักครั้ง จวบจนเสด็จออกผนวกไปจำพรรษาที่วัดเขาขุนพนม อ.พรหมคีรี จ.นครศรีธรรมราช ส่วนการที่พระเจ้าตากสินมหาราช ต้องปืนที่พระชงฆ์เบื้องซ้ายเมื่อครั้งที่ขึ้นไปปราบก๊กเจ้าพระยาพิษณุโลกครั้งแรก ตอนนั้นยังไม่ได้ตะกรุดมหาราชนี้มาครับ

 

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงผูกพันกับเมืองนครศรีธรรมราชมาก เมื่อครั้งที่ทรงสร้างบ้านแปลงเมือง กรุงธนบุรี ขึ้นมาใหม่ ได้ทรงเชิญนักปราชญ์ราชบัณฑิต พระเถระชั้นผู้ใหญ่ ชาวเมืองนครฯ ขึ้นมาช่วยชำระประวัติศาสตร์ และพระไตรปิฎก ที่ถูกทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงฯครั้งที่ 2 และที่เมืองนครฯได้มีข้าราชบริพารชาวเมืองตากได้ลงไปตั้งรกราก เป็นจำนวนมาก เช่นที่อำเภอปากพนัง จึงไม่น่าเป็นที่สงสัยว่าทำไมชาวเมืองนครศรีธรรมราชถึงมีความจงรักภักดีต่อองค์พระเจ้าตากสินแม้ในปัจจุบัน

 

ตามตำราที่เล่าขานต่อกันมาว่า อานุภาพของตะกรุดมหาราชนี้ ท่วมหลังช้าง เป็นมหาอุด หนุนดวงชะตา กันผี กันคุณไสย์ คุณคน กันเสนียดจัญไร ดีในทางโชคลาภ และความเจริญก้าวหน้า ตามตำราบอกว่า ผู้ที่มีวาสนาเท่านั้น จึงจะมีโอกาสได้พบตะกรุดนี้ ผู้ที่จะใช้ตะกรุดนี้ให้ได้ผลต้องมีคุณธรรม โดยเฉพาะศีลข้อ 3 บางกระแสบอกว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ทรงใช้ตะกรุดนี้ ผมไม่ขอยืนยันครับ

การลงตะกรุดมหาราชนี้ ลงด้วย นะ โม พุท ธา ยะ แล้วลงธาตุ นะ มะ พะ ธะ หนุนธาตุด้วย จะ พะ กะ สะ ฯ แล้วลง นะมหาอุด หรือ นะ นอโม ปิดท้ายด้วยหัวใจมหาราช ฯ แบ่งกันเขียน กับท่านอรุณ ส่วนทางผมให้อาจารย์สมชาย เย็นสำราญ เป็นผู้ลงตะกรุด ส่วนผมในช่วงนั้นต้องเขียนผง “ เก้ายอด เก้าจอม” จึงไม่มีเวลาทำตะกรุด ได้แต่เป็นผู้ม้วน และร่วมสวดพระไตรสรณคมน์ดังนี้ อิติปิโส 108 คาบ นะโมพุทธายะ 108 คาบ อิสวาสุฯเดินหน้าถอยหลัง 108 คาบ พุทธะสังมิ ฯ 108 คาบ มะอะอุ 108 คาบ เดินธาตุ หนุนธาตุ นะมะพะธะ,จะภะกะสะ 108 คาบ ส่วนการเสกอธิษฐานจิต ตาหลวงท่านทำให้สองอังคาร สองเสาร์ในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา วันอื่นๆท่านสวดพุทธคุณอัดให้ จึงแน่ใจในความ “ขลัง” ได้

 

เมื่อคุณอรุณเข้าไปรับตะกรุดได้แบ่งถวายให้ตาหลวงทองท่านไว้แจกจำนวนหนึ่ง รวมทั้งตะกรุดเงินด้วย ตะกรุดเนื้ออื่นท่านรับไว้หมดเว้นตะกรุดเงินท่านไม่ยอมรับ

 

กราบ กราบ กราบตาหลวงทองครับ

 

การได้เกิดเป็นมนุษย์เป็นเกิดยาก พระพุทธเจ้าท่านว่า..ตาหลวงท่านสัมผัสรู้ท่านจึงเมตตาต่อชีวิตมนุษย์ด้วยอย่างที่สุด ตะกรุดทุกชนิดของตาหลวงล้วนจารมือว่าสูตรลงอักขระเป็นญาณบารมีไม่มีปั๊มท่านเสกท่านภาวนาถึงเกิดขลังแรงมากๆ....

 

สาธุบุญครับ...ตาหลวงท่านทำของคุ้มชีวิตช่วยเหลือคนท่านแจกไปเป็นล้านชิ้นแล้วครับทั้งผ้ายันต์ ทั้งเหรียญ ทั้งแหวนกันงู สีผึ้ง ไหมห้าสี ตะกรุด ไซมหาลาภ รูปถ่าย ตะกรุดคาดเอว น้ำมันหอมเสก ล็อกเก็ต สติ๊กเกอร์ ท่านแจกอย่างเดียวพระว่านพระผงแจกไม่มีให้บูชาหรอกครับ....แต่ตอนนี้มีราคาเสียแล้วขอบอกให้ทราบครับ...

 

พอดีเมื่อ2-3วันมานี้ ได้ไปพบกับท่านผู้มีความรู้เรื่องพระเครื่องที่ดีมากคนหนึ่งคือ อาจารย์พระครูปลัดปราโมทย์วัดโพธิ์ บางระมาด(บุตรหลวงพ่อบุญมาก) ท่านอธิบายว่าเมฆพัดเมฆสิทธิ์เป็นธาตุกายสิทธิ์อย่างหนึ่ง คล้ายๆเหล็กไหล สีสรรก็ดำคล้ายๆกัน มีคุณภาพวิเศษคล้ายๆกัน ผู้ทำได้เสกขลังต้องเป็นพระอาจารย์ขั้นพระอริยเจ้าที่มีอภิญญาอย่างหลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า ใช้ทำพระเครื่อง เช่นหลวงพ่อเงิน เป็นต้น......มีอีกธาตุหนึ่งที่เป็นกายสิทธิ์เหมือนกันท่านบอกว่า คือ เมฆสิทธิ์ ผมเองก็เพิ่งเคยได้ยินทั้ง2ชื่อนี้ เมฆสิทธิ์จะมีส่วนผสมของทองคำด้วย คุณภาพหรือลักษณะภายนอกก็คล้ายๆเมฆพัดนั่นแหละครับ.......ท่านเชื่อหรือตาหลวงทองสำเร็จธาตุท่านหุงปรอท เสกเมฆพัด เสกเมฆสิทธิ์ขลังมากครับ ...ปรอทเม็ดนั้นท่านเสกและมอบให้หลานท่านชื่อดำไปแล้ว

 

ในภาคใต้เท่าที่ทราบพระเครื่องหรือเครื่องรางของขลังที่สร้างหรือทำด้วยเมฆพัตรนั้นหายาก มีน้อยราย เท่าที่มีวัดดอนศาลา อ. ควนขนุน จ. พัทลุง เคยสร้างสมัยท่านอาจารย์เอียดสมัยสงครามมหาเอชียบูรพาเพื่อแจกทหารและประชาชนทั่วไปองค์เล็กมาก สองหน้า ด้านหนึ่งปิดตามีห้านิ้ว อีกด้านหนึ่งมีสามนิ้ว หล่อเป็นช่อ สีออกดำ น้ำเงิน แวววาว ตัดก้านที่ก้นพระ ไม่แต่ง ถ้าถูกน้ำหรือเหงื่อสีวาวน้ำเงินประการรุ้ง พ.ต.ท. วิจิตร นาครภัฏ อดีตสารวัตร สภ.อ.ป่าบอน อ. ป่าบอน จ. พัทลุง ศิษย์เอก พล.ต.ต. ขุนพันธรักษ์ราชเดชเล่าให้ฟังว่าทำยากมาก เน้นคงกระพันและมหาอุดล้วนๆ ท่านอาจารย์เอียดปลุกเสกจนเคลื่อนไหวได้จึงแจกให้ศิษยานุศิษย์รับไปใช้ป้องกันตัว

 

ทางคณะศิษย์ สาธุ บุญ กับคุณเกียรติศักดิ์ด้วยนะครับ!!!

 

เพิ่งเข้ามาจะพยายามอัพเดทกระทู้ให้มากเท่าที่จะกระทำได้ครับ....ท่านที่อยู่ยะลาสามารถร่วมบุญที่วัดหลักห้า ยะลา ได้เลยครับ....