สัมภเวสี

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 4 มีนาคม 2007.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,025
    สิ่งลี้ลับที่รอการพิสูจน์บนโลกนี้ยังมีอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของ ดวงวิญญาณ ซึ่งมีหลายประเภท สัมภเวสีŽ คือชื่อเรียกดวงวิญญาณอีกประเภทหนึ่งที่ตาย ขณะยังไม่ถึงอายุขัย เป็นวิญญาณตายโหงโดยอาจโดนยิงตาย ถูกทำร้ายร่างกายจนตาย รถคว่ำตาย หรือเป็นโรคระบาดตาย ฯลฯ ผู้ที่ตายด้วยกรณีเหล่านี้ วิญญาณจะไม่ไปไหนและมักวนเวียนอยู่ในสถานที่ที่ตาย สถานที่ที่ฝังร่างตัวอง หรือที่บ้านตัวเอง
    ความตายที่ยังไม่ถึงวาระ ชีวิตหลังความตายของดวงวิญญาณเหล่านี้น่าสงสารมาก เพราะเขาไม่อาจเดินทางไปสู่ภพภูมิตามแรงบุญแรงบาปของเขาได้ ต้องกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน อดอยากหิวโหย
    มีเรื่องราวหนึ่งที่ผู้เขียนเรียบเรียงมาจากหนังสือกฎแห่งกรรมของคุณท.เลียงพิบูลย์ เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ สัมภเวสีŽ ที่เกิด ณ สถานที่หนึ่ง คือ วัดสะแก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี วัดนี้เป็นวัดเก่าแก่ มีอายุกว่า 400 ปี ซึ่งเล่ากันว่าป็นแหล่งรวมวิญญาณในสมัยก่อนที่ขึ้นชื่อว่ามีเยอะและดุมาก จนถึงขนาดต้องทำการปราบโดยจับวิญญาณด้วยการ ล้างป่าช้า จากผู้มีวิชาอาคมในสมัยนั้น ซึ่งเรียกว่า เซียน
    วิธีการขุดศพ ล้างป่าช้า วัดสะแกในสมัยนั้น เล่ากันว่าต้องใช้อาสาสมัครถึง 150 คน โดยมีเซียนมาเป็นผู้ประกอบพิธี 8 คน เซียนแต่ละคนจะแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุด สาเหตุที่ต้องจัดให้มีพิธีล้างป่าช้าที่วัดสะแกในครั้งนั้นก็เพราะวัดนี้เลื่องชื่อว่า ผีดุ ที่สุดในสมัยก่อน ชาวบ้านแถวนั้นถูกผีหลอกอยู่บ่อยครั้ง ภายในวัดเองพระสงฆ์องค์เจ้าก็อยู่อย่างหวาดผวา ร้อนถึงเจ้าอาวาสในขณะนั้นคือ ท่านพระครูถาวรธรรมวินิฐ ต้องติดต่อไปยังสมาคมพุทธมามกะสงเคราะห์การกุศล จาก อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี เพื่อให้มาช่วยทำการล้างป่าช้า
    พิธีกรรม ล้างป่าช้า เป็นพิธีจีนที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นการปลดปล่อยดวงวิญญาณให้ผู้ตายได้ไปสู่สุคติภูมิอย่างแท้จริง ผู้ที่มาประกอบพิธีกรรมและทุกคนที่มาร่วมงานต่างมุ่งทำเพื่อการกุศลอย่างแท้จริง ด้วยใจศรัทธา ไม่เห็นแก่ความเหนื่อยยาก หรือรังเกียจสภาพศพแม้แต่น้อย ซึ่งการล้างป่าช้าที่วัดสะแกครั้งนั้นเกิดขึ้นใน พ.ศ.2511เล่ากันว่าบรรดาเซียนต้องออกแรงต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่มีหลายร้อยดวงอย่างเหนื่อยอ่อนพอดู ท่ามกลางบรรดาพระสงฆ์และชาวบ้านทั้งไกลใกล้มาคอยสังเกตการณ์อยู่มาก
    ขั้นตอนและพิธีการเมื่อเริ่มจะทำการขุดศพนั้นทางวัดจะต้องจัดโต๊ะหมู่บูชาเพื่อทำพิธีอัญเชิญ คณะกรรมการที่ทำการขุดศพก็จะจัดของบูชา อันมีผลไม้ 9 อย่าง น้ำ ข้าวสาร ธูปเทียน ที่สำคัญคือจะมีธง กระบี่ อาญาสิทธิ์ และอาวุธโบราณ ซึ่งเป็นอาวุธชนิดหนึ่งมีลักษณะกลมๆมีหนามแหลมรอบลำตัว เรียกกันว่า หนามทุเรียนŽ นอกจากนั้นก็มีโต๊ะไม้ขาพับและถ่างออกได้ มีกระด้งขนาดกลาง และมีไม้สองง่ามสำหรับถือขนาดศอกเศษ ซึ่งทำจากไม้ต้นหลิว ถือเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์
    และเมื่อเริ่มพิธีเซียน 8 คน ซึ่งแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีขาวทั้งชุดก็จะไปยืนล้อมวงกัน เซียน 2 คนจะถือไม้รูปตัว V และมีร่างทรง 2 คน ใช้มือจับไม้ศักดิ์สิทธิ์คนละข้างและสวดมนต์พร้อมกันประมาณ 20 นาที ไม้ที่ถือก็จะหมนุไปรอบกระด้งซึ่งผู้ถือจะฝืนไม่ได้ เขาบอกว่าต้องปล่อยไปตามแรงกำลังของสิ่งลี้ลับ หรือวิญญาณที่สิงอยู่ในไม้ จากนั้นเซียนจะเอาพู่กันเสียบตรงช่องรูปปลายไม้ศักดิ์สิทธิ์ แล้วจุ่มลงไปในหมึกสีแดง แล้วทำการเขียนยันต์ลงในผ้าแดงผืนเล็กจำนวนมาก เสร็จแล้วจะนำผ้ายันต์เหล่านี้ไปแจกอาสาสมัครทุกคนเพื่อเป็นสิริมงคล
    ช่วงระหว่างทำพิธีเซียนจะไม่พูดแต่จะใช้วิธีเขียนแทนการพูด ซึ่งก็ทำให้รู้ว่าบริเวณวัดสะแกในสมัยนั้นมีวิญญาณชายและหญิงอยู่มากมายถึง 624 ดวง เป็นชาย 312 นอกนั้นเป็นวิญญาณผู้หญิงและเด็ก สำหรับจุดที่ฝังศพอยู่ตรงไหนบ้างนั้นแม้แต่ท่านเจ้าอาวาส ซึ่งบวชที่วัดนี้มาตั้งแต่เป็นเณร ก็ยังไม่ทราบ ซึ่งก็เป็นเรื่องประหลาดว่าทำไมเซียนเหล่านั้นจึงรู้ เพราะเล่ากันว่า บรรดาเซียนที่ถือไม้ศักดิ์สิทธิ์ต่างพากันวิ่งตรงไปหน้าวัด ซึ่งไม่ใช่ทางไปป่าช้า และไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าที่ตรงนั้นจะมีศพฝังอยู่ข้างใต้ แต่ละจุดที่มีศพฝังอยู่ไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็จะหยุดและชี้ลงไป บรรดาผู้ติดตามจะเอาธงแดงปักไว้ เซียนที่ตามมาก็จะเอาข้าวสารซัดลงไปอีก และอีกคนก็จะพรมน้ำมนต์ โดยเซียนจะบอกด้วยว่าศพตรงนี้เป็นหญิงหรือชาย จากนั้นบรรดาอาสาสมัครที่วิ่งตามกันมาก็จะใช้อุปกรณ์ลงมือขุดทันที ซึ่งน่าอัศจรรย์มากที่ทุกจุดที่เซียนชี้นั้นมีศพอยู่จริงๆ แล้วเวลาขุดศพ เขาก็จะแยกกระดูกกับกะโหลกไว้ไม่ให้ปะปนกัน
    เล่ากันว่าระหว่างการทำพิธีนั้น บรรดาเซียนต้องต่อสู้กับอำนาจลึกลับบางอย่างที่มองไม่เห็นด้วย ซึ่งว่ากันว่าเป็นวิญญาณเจ้าถิ่นที่วัดสะแก ทำให้ชาวบ้านและบรรดาพระสงฆ์ที่มองดูอยู่ต้องพากันตื่นเต้นตกใจ ที่เห็นเซียนบางท่านเซไปเซมา หน้าหงายคล้ายถูกชก ทั้งๆที่มองไม่เห็นคู่ต่อสู้ ชาวบ้านหลายคนยืนดูด้วยความประหลาดใจชนิดที่ไม่เคยพบเห็นอะไรที่มหัศจรรย์แบบนี้มาก่อน จนในที่สุดเซียนทำท่าอ่อนแรงจะพ่ายแพ้ ส่งเสียงร้องดังลั่นวัดเพื่อขอความช่วยเหลือ และทันใดนั้นเองก็มีชายจีนอาสาสมัครผู้หนึ่งซึ่งมาช่วยขุดศพ เมื่อได้ยินเสียงร้องของเซียน ชายผู้นั้นก็มีปฏิกิริยาเปลี่ยนไปทันที คล้ายกับมีวิญญาณมาสิงร่าง เขารีบวิ่งเข้าไปช่วยโดยเอามีดเชือดลิ้นป้ายเลือดและเขียนยันต์ตามเสาไฟฟ้าของวัด พร้อมออกคำสั่งให้รีบนำอาวุธ หนามทุเรียน มาให้ จากนั้นก็แสดงท่ารำอาวุธหวดซ้ายป่ายขวา ใช้หนามทุเรียนตีตามลำตัวของตัวเองอย่างแรงโดยไม่รู้สึกเจ็บ
    ฝ่ายวิญญาณเจ้าถิ่นเมื่อเจอฤทธิ์เซียนองค์ใหม่ก็พากันถอยหนี ซึ่งเซียนองค์นี้ถือว่าเป็นเซียนองค์ใหญ่ มีฤทธิ์อำนาจมาก หากไม่เกิดเหตุการณ์คับขันจริงๆแล้วจะไม่มาปรากฏ และเมื่อปราบวิญญาณเจ้าถิ่นได้ บรรดาเซียนก็วิ่งกันขวักไขว่เหมือนไล่จับดวงวิญญาณ จากนั้นก็พากันมาล้อมต้นประดู่ใหญ่หลังโบสถ์และเริ่มสวดคาถา เซียนองค์ใหญ่ก็เอากระบี่แทงไปในโพรงต้นประดู่หลายครั้ง เพราะวิญญาณทั้งหลายได้ยอมแพ้พากันหลบหนีเข้าไปอยู่ในต้นไม้ เสร็จแล้วบรรดาเซียนก็ช่วยกันเผากระดาษเงิน กระดาษทองให้เป็นการขออโหสิกรรม ไม่จองเวรกันอีกต่อไป แล้วจึงทำการเรียกวิญญาณทั้งหมดให้ออกจากวัดไป
    ความศักดิ์สิทธิ์และแม่นยำของ เซียน ที่มาทำพิธีในวัดสะแกครั้งนั้น ยังเป็นที่ประจักษ์แก่กรรมการท่านหนึ่งของวัดสะแกในสมัยนั้นคือ เรือเอก มานิต อรุณมิตร (ยศขณะนั้น) ซึ่งเดิมท่านเป็นคน อ.สามโคก แต่ไปศึกษาเล่าเรียนจนจบในกรุงเทพฯ และเข้ารับราชการทหาร จึงไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลานาน วันนั้นท่านได้มาอยู่ในเหตุการณ์ล้างป่าช้าด้วย เนื่องจากพ่อของท่านก็ถูกฝังอยู่ในบริเวณวัด แต่ไม่รู้ว่าเป็นบริเวณใด เพราะผ่านมาหลายสิบปีแล้ว ท่านจึงทดลองถามเซียนโดยไม่ได้บอกชื่อพ่อของท่าน ปรากฏว่าเซียนชี้ไปทันทีโดยบอกว่าฝังอยู่ระหว่างต้นข่อย ที่นั่นมีวิญญาณอยู่ 4 ดวง คือ นายสมบูรณ์ นายจันทร์ นายสี และนายเพื่อน ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าวิญญาณทั้งหลายคือนายเพื่อน ส่วนวิญญาณอีก 3 ดวงนั้นเป็นวิญญาณที่คอยรับใช้นายเพื่อน
    เมื่อเรือเอกมานิตได้ยินชื่อ นายเพื่อน ก็สะดุ้ง เพราะเป็นชื่อพ่อของท่านเอง และสมัยก่อนท่านก็เป็นคนที่มีชื่อเสียงในตำบลนี้ เป็นที่รู้จักไปทั่ว ส่วนชื่อวิญญาณคนอื่นๆเมื่อไปถามผู้ใหญ่รุ่นเก่าๆ ก็ปรากฏว่ามีอยู่จริงๆ เช่นกัน จึงเป็นการยืนยันได้ว่าวิญญาณและโลกวิญญาณนั้นมีอยู่จริง ถึงตายไปนานแล้วก็ยังคงอยู่ และไม่ไปไหน ดังนั้น พวกเราผู้เป็นลูกหลานที่ยังมีชีวิตอยู่ สมควรแล้วที่จะทำบุญ กรวดน้ำ อุทิศส่วนกุศลไปให้พ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย ของเรา ทุกครั้งที่มีโอกาสเพราะโลกหลังความตายดวงวิญญาณทุกดวงอยู่ได้ด้วย บุญกุศล เท่านั้น



    http://www.yingthai-mag.com/detail.asp?ytcolumnid=3490&ytissueid=745&ytcolcatid=7&ytauthorid=46
     
  2. naf06

    naf06 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    577
    ค่าพลัง:
    +2,227
    [​IMG]
     
  3. Mangpoawhite

    Mangpoawhite Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    31
    ค่าพลัง:
    +25
    [​IMG]
     

แชร์หน้านี้

Loading...