นั่งรอความตายว่าเมื่อไหร่จะมาถึงซะที

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย noum77, 13 สิงหาคม 2013.

  1. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    บอกกันตรงๆเลยนะครับผมทุกวันนี้เบื่อหน่ายกับชีวิตที่เกิดมามาก ก็ไม่ได้ลำบากหรือร่างกายไม่เเข็งเเรง หรือ จน หรอกนะครับ เเต่ไม่มีสังคมเกิดมารู้จักเเต่ปฏิเสธคนอื่น ไม่มีเพื่อนด้วย เเฟนก็ไม่มี น่าเบื่องจริงๆ เเต่ตั้งเเต่หันมาสนใจเรื่องพวกนี้เเล้ว คิดว่าคนเราเนี่ย ไม่มีเหตุผลหรือประโยชน์อะไรที่ต้องเกิดมาในโลกนี้เลย อย่างพวกสัตว์ต่างๆพวกนี้มันยังมีประโยชน์กับโลกนะเเต่คนเนี่ย ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ นั่งดูข่าว ยิง เเฟน กับ เเม่เเฟน ที่ร้านตัดผม ก็ยิ่งคิดได้เลย คนเรานี่ เกิดมาใช้กรรมล้วนๆเลย คือ เจ้าของระบบเค้าจัดสรรค์มาลงให้ใช้กรรมก็ว่าได้ ตอนนี้พยายาททำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจอยู่ครับ น่าเบื่อจริงๆ ชาติหน้าก็คงต้องมาเกิดอีกเเหละ นี่ดีนะครับที่เราเกิดมาเมืองพุทธยังมีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผมสรุปได้ว่าเกิดมาเป็นคนเนี่ย ต้องทำความดีอย่างเดียวเลยจริงๆ ถ้าไปทำอย่างอื่นที่ไม่ใช่ความดี ก็คงออกจากสนามเเข่งหนูนี้ไม่ได้ซะที ตอนนี้ 30 เเล้ว เดากว่าต้องอยู่อีก 10-20 ปีกันเลย
     
  2. mamanalin

    mamanalin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2012
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +146
    เบื่อมากก็เร่งทำความเพียร หมั่นทำสมาธิให้มาก จะได้พ้นทุกข์ในชาตินี้ค่ะ
     
  3. ผ่อนกรรม

    ผ่อนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +400
    เมื่อดูข่าวแล้ว เห็นแล้ว รู้สึกแล้ว อินแล้ว

    ให้ถอยออกมาจากความคิดปรุงแต่งนั้นเสีย

    แล้วอยู่กับปัจจุบันด้วยความไม่ประมาท

    เมื่ออยู่กับปัจจุบันแล้วยังมีลมหายใจอยู่

    แปลว่าเรายังเคลื่อนไหวได้ ยังเลือกทำดีและชั่วได้(อันหลังนี้ไม่ควร)

    เช่นเราเดินไปเจอลูกแมวขี้เรื้อนผอมโซ เราเมตตาให้ข้าว ให้น้ำมันกิน

    เราเห็นมันสุข เราก็สุข เนี่ยนิพพานปัจจุบันถ้าได้ทำบ่อยๆอาจนำไปสู่นิพพาน

    หลังความตายก็ได้เนาะอันนี้ก็ไม่รู้เพราะยังไม่ถึง(อย่าบอกนะว่าไม่รักสัตว์

    เพราะเราก็สัตว์แต่ประเสริฐกว่าแมวนิดนุง)

    จงใช้สติและปัญญาใคร่ครวญพิจารณา ทำความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิ(เห็นตามจริง)

    อย่าให้มิจฉาทิฏฐิ(เห็นตามหลอก)เข้าแทรก เช่น เกิดมาไร้ค่าเกิดมาแล้วก็ตาย

    ความจริงกว่าจะได้เกิดเป็นมนุษย์ที่พร้อมด้วยร่างกาย

    และจิตใจที่สมบูรณ์ ไม่ง่ายเลย จริงๆนะ ^^

    ทำดีต่อไปนะ ถอยมั่ง เดินหน้ามั่ง เหมือนรถแหละ(ชิวไปมั้ยอันนี้)^^
     
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    รอก็ตาย ไม่รอก็ตาย
    จะไปรอทำไม
     
  5. wisarutt_pon

    wisarutt_pon สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    17
    ค่าพลัง:
    +12
    ไหนๆก็เกิดมาทั้งที
    พยามใช้ชีวิตให้มีความสุขเถอะครับ
     
  6. Deep Blue

    Deep Blue เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    210
    ค่าพลัง:
    +887
    คนที่มีความรู้สึกคล้ายๆ กับคุณ แค่ในเว็บพลังจิตนี่ก็หลายร้อยคนแล้วครับ

    ถ้าเรามีอำนาจการหยั่งรู้ความคิดและความเป็นไป ของทุกๆ ชีวิตบนโลก
    เราจะพบความจริงว่า ผู้คนที่เราพบเห็นในทุกตรอกซอกซอย
    ล้วนเป็นผู้ที่เสแสร้ง แกล้งทำเป็นว่ามีความสุข หัวเราะร่า แต่ในความเป็นจริง หาได้เป็นเช่นนั้นไม่

    ไล่ตั้งแต่เด็กยันหัวหงอก ต่างก็มีความทุกข์เก็บซ่อนเอาไว้ในใจด้วยกันทั้งนั้น
    ตลกคาเฟ่ ที่มายืนแสดงเรียกเสียงฮา เมื่อกลับเข้าบ้าน ปิดประตูห้อง เขายังจะเป็นผู้มีอารมณ์ขันอยู่หรือเปล่า ?

    ตอนที่เราเป็นเด็ก เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองบอกเราว่า มีปัญหาอะไรไม่สบายใจก็ให้บอกมา
    เราบอกท่านหรือไม่ หรือเราเลือกที่จะเก็บปัญหาหลายอย่างเอาไว้ในใจ
    เราเป็นเช่นนี้... และลูกๆ หลานๆ ของเราก็เป็นเช่นนี้ คนทั้งโลกเป็นกันแบบนี้
    เราทุกคนก็แค่สวมหน้ากากแห่งความสุข แต่ข้างในไม่ใช่
     
  7. bank5811

    bank5811 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    126
    ค่าพลัง:
    +236
    แล้วคุณไม่หางานทำละ ถ้ามันน่าเบื่อ "อยู่เฉยๆ=รอวันตาย" ทำงานบ้างก็ดี สลับกับปฏิบัติธรรม มันจะได้ไม่น่าเบื่อ
     
  8. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    คนทุกคนที่เกิดมา มีทั้งต้องรับกรรมและทำกรรมทั้งดำและขาวสลับกันตลอดเวลาไม่มีเว้น..ท่านจขกท ไม่ต่างจากคนอื่นแต่อย่างใดเลย

    ส่วนความเบื่อหน่ายเพราะไม่มีเพื่อนหรือแฟนเป็นเบื่อชั่วคราวที่เกิดจากตัณหาเป็นมูล.. ซึ่งไม่แน่ว่า หากมีเพื่อนหรือแฟน อาจหายเบื่อก็ได้..

    การเกิดเป็นคนนั้นมีประโยชน์สูงสุดกว่าสัตว์อื่นๆ ชนิดเทียบกันไม่ติดทีเดียว ตัวอย่างชัดๆ คือการบังเกิดมีขึ้นของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเกื้อกูลแก่เหล่าสรรพสัตว์ทุกภูมิ ที่แม้พรหมก็ทำไม่ได้เท่า...

    ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้ามีปรกติเกิดในโลก มีอัตภาพเป็น"คน"เท่านั้น...พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ตรัสรู้พบทางพ้นทุกข์ได้ด้วยพระองค์เอง ส่วนคนอื่นๆจะเป็นพรหมเทวดาหรือคน ต้องฟังคำตรัสสอนของพระองค์เท่านั้น ..

    ส ่วนสัตว์เดรัจฉานเกิดด้วยบาปวิบาก แม้มีประโยชน์แก่ใครๆก็ไม่อาจเทียบคนได้เพราะไม่มีปัญญาที่สามารถพาตนพ้นทุกข์อะไรๆได้ในอัตภาพนั้น ทั้งยังดิ้นรนกระเสือกกระสนด้วยความทุกข์แทบตลอดเวลาเมื่อได้เกิดมาเป็นสัตว์ เขาไม่สามารถสร้างบุญกุศลอะไรได้มากนักเพราะจิตเป็นโมหะเป็นส่วนมาก...อย่าได้นึกดีใจในสภาวะนั้นเลย มันน่ากลัว!


    พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องยาก ต้องมีบุญมาก อุปมาเหมือนเต่าตาบอดตัวหนึ่งดำน้ำอยู่ในทะเล ทุกๆ 100 ปี เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่หัวขึ้นมาจากทะเลครั้งหนี่ง ในทะเลก็มีห่วงเล็กๆ ขนาดใหญ่กว่าหัวเต่าหน่อยหนึ่งลอยอยู่ 1 ห่วง โอกาสที่เต่าตาบอดตัวนั้นจะโผล่ขึ้นมา แล้วหัวสวมเข้ากับห่วงพอดียากเพียงใด โอกาสนั้นก็ยังมีมากกว่าการที่เหล่าสรรพสัตว์จะได้มาเกิดเป็นมนุษย์..

    ท่านจขกท พึงพยายามรักษาอัตภาพของตนในเวลานี้ให้ดี ให้คงอยู่เพื่อประพฤติตามหนทางที่พระพุทธเจ้าทรงชี้แนะไว้ดีแล้วเถิด เพราะทางนี้เท่านั้นที่จะเป็นทางปลอดภัย ทั้งในปัจจุบัน และภพต่อๆไป...การเร่งตายนั้นเป็นสภาพจิตที่เป็นไปกับความฟุ้งซ่าน มีโทษมาก สามารถทำร้ายกายให้เสียหายด้วยโรคเครียด ซึมเศร้าฯลฯ..อาจตายได้ด้วยเหตุที่ไม่สมควรเลย..ครั้นตายด้วยสภาพจิตติดลบ ที่จะได้เกิดในอบายเป็นสหายกับสัตว์เดรัจฉานย่อมเป็นไปได้มาก...

    และเมื่อได้ไปเสพส้องสังคมกับสัตว์ในอบายแล้ว ที่จะได้ออกจากสังคมนั้น ยากมากจนแทบเป็นไปไม่ได้พระพุทธองค์ทรงตรัสว่าไม่มีคุกใดใหญ่และออกยากกว่าอบาย เพราะเมื่อไปที่นั่น แล้วโอกาสทำบุญประพฤติศีลเจริญภาวนาย่อมไม่มี ด้วยว่าต้องคอยกระเสือกกระสนหาอาหารและระมัดระวังตนเองไม่ให้เป็นอาหารของสัตว์อื่นตลอดเวลา แม้จะนอนก็ไม่อาจหลับได้นาน เพราะเมื่อใดนิ่ง นาน จะกลายเป็นอาหารของสัตว์อื่นทันที

    ...ถ้าตนไม่มีบุญมโหฬารที่เคยทำไว้ตอนเป็นคนหรือเทวดามาก่อนที่จะหลุดจากอบายนั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะมีได้ ...เหมือนถูกขังลืมในนั้น เกิดตายๆๆๆในอบายแล้วๆเล่าๆไม่น่าสนุกเลย..

    เพราะไม่มีระบบอะไรที่program ให้อะไรๆเป็นไปอย่างที่ท่านจขกท เข้าใจเอง แต่ทั้งหลายที่เกิดเเละเป็นไป เกิดได้ด้วยเหตุปัจจัยที่ประชุมพร้อมไหลเลื่อนไปเรียกว่าวัฏฏะ...ความคิดของท่านจขกท ต่างๆนั้น เกิดจากเหตุปัจจัยเช่นกัน บางคราวก็คิดดี บางทีก็คิดไม่ดี เพราะกระทบอารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ ..เมื่อต้องการคิดถูกเ็ห็นถูกก็พึงน้อมใจส่งใจไปสดับพระธรรมของพระพุทธเจ้าให้มาก..ท่านจะเข้าใจได้ว่า การได้อัตภาพคนนั้นประเสริฐแท้ มีอะไรๆที่เป็นประโยชน์ที่ตนต้องขวนขวายทำอีกมาก พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วนั้น เป็นไปเพื่อประโยชน์ตนเองเป็นสำคัญ...มี๓ประโยชน์คือประโยชน์โลกนี้ ..ประโยชน์โลก..และประโยชน์อย่างยิ่งคือการถึงนิพพานหมดทุกข์โดยสิ้นเชิง..

    การทำประโยชน์ตนนั้นย่อมเกื้อกูลประโยชน์แก่คนรอบข้างรวมทั้งสัตว์อื่นๆด้วยโดยอัตโนมัติ ..เพราะเมื่อใครประพฤติตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ืย่อมไม่มีโอกาสเบียดเบียนใครๆได้เลย ความสงบสันติสุขย่อมบังเกิดในที่ๆผู้มีศีลธรรมอาศัยอยู่...ดังนั้น ท่านจขกท พึงเปลี่ยนความคิดที่ไม่ถูกว่า...

    ..."อย่างพวกสัตว์ต่างๆพวกนี้มันยังมีประโยชน์กับโลกนะเเต่คนเนี่ย ไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ.."


    ให้เป็นความคิดใหม่ว่า ...เพราะได้เกิดมาเป็นคนย่อมทำประโยชน์ต่อตนและผู้อื่นได้อย่างยิ่ง น่าดีใจที่ได้เกิดมาเป็นคนนัก แม้ทุกข์ที่มีในโลก ก็ไม่อาจเทียบเท่าทุกข์ในนรกหรืออบายเลย...นะครับ

    หากท่านไม่มีเพื่อนก็แวะเวียนมาที่นี่เถิด เพื่อนๆใจดีที่นี่มีกำลังใจให้ท่านสู้ต่อไป เพราะทุกท่านล้วนผจญทุกข์ไม่ต่างจากท่านนักหรอก คนที่สุขส่วนเดียว ไม่มาเตร็ดเตร่ในเว็บหรอกครับ เขามีที่อื่นที่น่าชอบใจมากกว่าน่ะครับ..


    ขออนุโมทนากับ.."ตอนนี้พยายาททำบุญด้วยความบริสุทธิ์ใจอยู่ครับ.."อย่างยิ่งครับ ขอบุญรักษาให้ท่านเจริญบริบูรณ์ด้วยโภคะ มีความสุข มีธรรมะประจำใจ พ้นจากความคับแค้นลำบากยากใดๆทั้งปวงด้วยดีโดยพลันครับ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2013
  9. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    คนที่เบื่อ หรืออยากตาย............คือคนที่ไม่มีความสุขหรือ ไม่ประสบความสำเร็จหรือทำอะไรแล้วมันไม่ได้ดังที่คาดวังไว้ เชื่อซิ ถ้าคุณมีความสุขหรือได้ในสิ่งที่ปรารถนาคุณจะไม่อยากตายหรอก ลองไปทบทวนว่ามันขาดอะไรก็ทำ หรอแสวงหาซะ ชีวิตมันจะได้ไม่น่าเบื่อ

    อย่างดิฉันก็อยากตายเหมือนกันนะ ไม่ใช่เบื่อโลกด้วย เพราะโลกนี้จริงๆแล้วสวยงาม มีสถานที่น่าสนใจ ทั่วโลก แต่ที่อยากตายเพราะสิ่งที่หวังไว้มันสาปสูญไปแล้ว และไม่มีอีกแล้วในโลกนี้ ทำให้ชีวิตที่เหลืออยู่มันไม่มีความสุข แต่ถ้าถามว่าถ้าสิ่งนั้นยังมีอยู่ ชีวิตก็ยังมีความสุข ดิฉันก็ไม่อยากตายหรอก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 สิงหาคม 2013
  10. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
    อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต


    ทีฆชาณุสูตร

    [๑๔๔] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ นิคมแห่งชาวโกฬิยะชื่อ กักกรปัตตะ ใกล้เมืองโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตรชื่อทีฆชาณุ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เป็นคฤหัสถ์ยังบริโภคกาม อยู่ครองเรือน นอนเบียดบุตร ใช้จันทน์ในแคว้นกาสี ยังทรงดอก-*ไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ยังยินดีเงินและทองอยู่ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    ขอพระผู้มีพระภาคโปรดแสดงธรรมที่เหมาะแก่ข้าพระองค์ อันจะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบัน เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าเถิด ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร ๔ ประการเป็นไฉน
    คือ อุฏฐานสัมปทา ๑ อารักขสัมปทา ๑ กัลยาณมิตตตา ๑ สมชีวิตา ๑ ฯ
    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อุฏฐานสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน คือ กสิกรรม พาณิชยกรรม โครักขกรรม รับราชการฝ่ายทหาร รับราชการฝ่ายพลเรือน หรือศิลปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่องอันเป็นอุบายในการงานนั้น สามารถจัดทำได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอุฏฐานสัมปทา ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็อารักขสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีโภค-*ทรัพย์ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร สั่งสมด้วยกำลังแขน มีเหงื่อโทรมตัวชอบธรรม ได้มาโดยธรรม เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล
    ด้วยทำไว้ในใจว่า ไฉนหนอ พระราชาไม่พึงบริโภคทรัพย์เหล่านี้ของเรา โจรไม่พึงลัก ไฟไม่พึงไหม้ น้ำไม่พึงพัดไป ทายาทผู้ไม่เป็นที่รักจะไม่พึงลักไป ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าอารักขสัมปทา ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็กัลยาณมิตตตาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สั่งสนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดี เป็นคนหนุ่มหรือคนแก่ ผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา ศึกษาศรัทธาสัมปทาตามผู้ถึง
    พร้อมด้วยศรัทธา ศึกษาศีลสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยศีล ศึกษาจาคสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยจาคะ ศึกษาปัญญาสัมปทาตามผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญา ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่ากัลยาณมิตตตา ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สมชีวิตเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ รู้ทางเจริญ
    ทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก
    ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่าย
    ของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนคนชั่งตราชั่ง
    หรือลูกมือคนชั่งตราชั่ง ยกตราชั่งขึ้นแล้ว ย่อมลดออกเท่านี้ หรือต้องเพิ่ม
    เข้าเท่านี้ ฉันใด กุลบุตรก็ฉันนั้นเหมือนกัน รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่ง
    โภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกรพยัคฆปัชชะ ถ้ากุลบุตรผู้นี้มีรายได้น้อย แต่เลี้ยงชีวิตอย่างโอ่โถงจะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้ใช้โภคทรัพย์เหมือนคนเคี้ยวกินผลมะเดื่อฉะนั้น ก็ถ้ากุลบุตรผู้ที่มีรายได้มาก แต่เลี้ยงชีพอย่างฝืดเคือง จะมีผู้ว่าเขาว่า กุลบุตรผู้นี้จักตายอย่างอนาถา แต่เพราะกุลบุตรผู้นี้รู้ทางเจริญและทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้ฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้ ดูกร
    พยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสมชีวิตา ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเสื่อม
    ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑ เป็นนักเลงการพนัน ๑มีมิตรชั่ว สหายชั่ว เพื่อนชั่ว ๑ ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือนสระน้ำใหญ่มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ทางไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงปิดทางไหลเข้า เปิดทางไหลออกของสระนั้น ฝนก็มิตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการฉะนี้ สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเสื่อมอย่างเดียว ไม่มีความเจริญเลย ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเสื่อม ๔ ประการ คือ เป็นนักเลงหญิง ๑ เป็นนักเลงสุรา ๑ เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรชั่ว สหายชั่วเพื่อนชั่ว ๑ ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้แล้ว ย่อมมีทางเจริญ
    ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลง
    การพนัน ๑ มีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี ๑ ดูกรพยัคฆปัชชะ เปรียบเหมือน
    สระน้ำใหญ่ มีทางไหลเข้า ๔ ทาง ไหลออก ๔ ทาง บุรุษพึงเปิดทางไหลเข้าปิดทางไหลออกของสระนั้น ทั้งฝนก็ตกต้องตามฤดูกาล ด้วยประการฉะนี้ สระน้ำใหญ่นั้นพึงหวังความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม ฉันใด โภคทรัพย์ที่เกิดโดยชอบอย่างนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมมีทางเจริญ ๔ ประการ คือ ไม่เป็นนักเลงหญิง ๑ ไม่เป็นนักเลงสุรา ๑ ไม่เป็นนักเลงการพนัน ๑ มีมิตรดีสหายดี เพื่อนดี ๑ ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในปัจจุบันแก่กุลบุตร ฯ


    ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์
    เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร ธรรม ๔ ประการเป็นไฉน คือ สัทธา-
    *สัมปทา ๑ สีลสัมปทา ๑ จาคสัมปทา ๑ ปัญญาสัมปทา ๑ ฯ



    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็สัทธาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้มีศรัทธาคือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ฯลฯ เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าสัทธาสัมปทา ฯ

    ดูกรพยัคฆปัชชะ สีลสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ เป็นผู้งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าสีลสัมปทา ฯ

    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็จาคสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ มีจิตปราศจากมลทินคือความตระหนี่ อยู่ครองเรือน มีจาคะอันปล่อยแล้ว มีฝ่ามือชุ่มยินดีในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน ดูกรพยัคฆปัชชะนี้เรียกว่าจาคสัมปทา ฯ

    ดูกรพยัคฆปัชชะ ก็ปัญญาสัมปทาเป็นไฉน กุลบุตรในโลกนี้ เป็นผู้มีปัญญา คือ ประกอบด้วยปัญญาที่เห็นความเกิดและความดับ เป็นอริยะ ชำแรกกิเลส ให้ถึงความสิ้นทุกข์โดยชอบ ดูกรพยัคฆปัชชะ นี้เรียกว่าปัญญาสัมปทา
    ดูกรพยัคฆปัชชะ ธรรม ๔ ประการนี้แล ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขในภายหน้าแก่กุลบุตร ฯ


    คนหมั่นในการทำงาน ไม่ประมาท จัดการงานเหมาะสม เลี้ยงชีพพอเหมาะ รักษาทรัพย์ที่หามาได้ มีศรัทธา
    ถึงพร้อมด้วยศีล รู้ถ้อยคำ ปราศจากความตระหนี่ ชำระทางสัมปรายิกประโยชน์เป็นนิตย์ ธรรม ๘ ประการดังกล่าวนี้ ของผู้ครองเรือน ผู้มีศรัทธา อันพระพุทธเจ้าผู้มีพระนาม อันแท้จริงตรัสว่า นำสุขมาให้ในโลกทั้งสอง คือ ประโยชน์ ในปัจจุบันนี้และความสุขในภายหน้า บุญ คือ จาคะนี้ ย่อมเจริญแก่คฤหัสถ์ด้วยประการฉะนี้ ฯ
     
  11. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ระวังเข้าตำราน๊ะครับ.." หายใจทิ้งไปวันๆ "

    นั่งนอนกินสมบัติเก่า..ของใหม่ไม่สร้าง

    จะไม่เผื่อวันหน้าบ้างหรือ?

    ขออนุโมทนาครับที่พูดตรงๆ

    แสดงว่ายังเป็นผู้ที่รักความจริงอยู่.
     
  12. ชายหล่อ

    ชายหล่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2012
    โพสต์:
    99
    ค่าพลัง:
    +184
    ทำตัวให้มีประโยชน์ก็พอแล้วครับ
     
  13. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    สมัยนี้พวกคุณคิดว่ามันง่ายหรอครับผมว่าไม่ง่ายนะเเละการมีครอบครัวเนี่ยมันมีภาระมากมายนะครับ อย่างผมนี่เเค่คิดจะจีบหญิงเนี่ย ลองคิดว่าถ้าไปทำเค้าท้องขึ้นมาเเละมีลูกเเล้วรอมันโตเนี่ย เเละยังไม่รู้ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะมาเกิดหรือเปล่า มีลูกคนนึงเลี้ยงมันไม่ดีมันไปทำเลวไว้เราก็บาปอีก
     
  14. noum77

    noum77 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กันยายน 2010
    โพสต์:
    189
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +620
    อันนี้เเหละครับสัจธรรมเลยก็ว่าได้ หายใจทิ้งไปวันๆ เพราะคนเราทุกคนเกิดมาต้องตายกันอยู่เเล้ว
     
  15. สีลสิกขา

    สีลสิกขา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    1,271
    ค่าพลัง:
    +7,137
    ที่เราสมมุติเรียกว่าตายนั้น เป็นแต่เพียงธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ปรับความสมดุลเท่านั้นเอง ความสมดุลของธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ คือการดำรงอยู่อย่างเป็นสุขของชีวิต ถ้าธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ขาดความสมดุล ชีวิตก็เป็นทุกข์เพราะความเจ็บป่วย คือความไม่สมดุลของธาตุทั้ง ๔ ขันธ์ทั้ง ๕ (ขันธ์ ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ)

    ความจริงแล้ว คนเราเมื่อถึงจุดหนึ่งก็ควรปล่อยให้ธรรมชาิติเยียวยาดีกว่า ไม่ควรฝืนธรรมชาติ วินาทีธาตุขันธ์แยกจากกัน ก็จะเป็นความสงบสุขมากกว่าทุกข์ เพราะไม่ได้ถูกบีบบังคับ เพราะชีวิตมาจากธรรมชาติ จำเป็นต้องใช้ธรรมชาติเยียวยา การเข้าใจระบบการทำงานของธรรมชาติต้องทำใจให้อยู่เหนืออารมณ์ มองโลกตามความเป็นจริง เมื่อเข้าใจธรรมชาติ ก็เข้าถึงสัจธรรม และการกล้าเผชิญความจริงของชีวิตเท่านั้นที่จะช่วยรักษาเยียวยาคราวที่ทุกข์สัมผัสใจ โอกาสตรงนี้ทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะหรือฐานะใด เพียงแต่ใครจะเริ่มต้นเรียนรู้ก่อนใครเท่านั้นเอง

    มนุษย์เราควรปล่อยให้ตัวชีวิตเป็นอิสระก่อนสิ้นลมจะดีกว่า เพื่อธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ ปรับสภาพเข้าหากันได้ลงตัว ให้จบลงอย่างเป็นสุข ธรรมชาติไม่เคยทำร้ายใคร ไม่เคยก่อทุกข์ให้ใคร การฝืนและการไม่พิจารณาทุกสิ่งตามความเป็นจริงต่างหากทำให้เกิดทุกข์ ความยิ่งใหญ่ของชีวิต อยู่ที่ได้รับอิสรภาพตามลำดับ เป็นอิสระทั้งกายและใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสสอนเรื่องวิมุติ ความหลุดพ้น นั่นคืออิสรภาพนั่นเอง เพราะหลุดพ้นจากบ่วงจึงเป็นอิสระ แล้วอะไรคือบ่วงคล้องชีวิต

    ความจริงนั้น ไม่มีอะไรเลยจริงๆ ที่เข้าไปยึดถึือแล้วไม่ทำให้เราเจ็บตัวแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม แปลว่าถึงจุดหนึ่งต้องไม่คิดแบกหามยึดมั่นมาก เพราะไม่มีอะไรเป็นของเราจริงๆ แม้สิ่งที่เรามีกรรมสิทธิ์วันนี้ สุดท้ายก็มิใช่ของเรา สิ่งที่เรารักที่สุดก็มิอาจอยู่กับเราได้ เพราะสุดท้ายปลายทางเราต้องจากสิ่งนั้นไป ทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไว้ให้กับคนข้างหลังดูแล..ชีวิตเป็นของน้อยอย่างนี้..

    สิ่งสำคัญยิ่งใหญ่ในชีวิตคือทำจิตของตนให้ผ่องใส และจงระวังความคิดของตนเพราะความคิดของตนจะกลายเป็นความประพฤติของตนเอง จงระวังความประพฤติของตนเพราะความประพฤติของตนจะกลายเป็นความเคยชินของตนเอง จงระวังความเคยชินของตน เพราะความเคยชินของตนจะกลายเป็นอุปนิสัยของตนเอง จงระวังอุปนิสัยของตน เพราะอุปนิสัยของตนจะกำหนดชะตากรรมของตนเองชั่วชีวิต
     
  16. พูน

    พูน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    595
    ค่าพลัง:
    +2,479
    คำตอบนี้ เลยครับ ท่าน จขกท.
    "ดูคนพวกนี้สิ ทำไมถึงทำตัวกันแบบนี้ได้โอกาส ได้อัตภาพของมนุษย์ กลับไม่ใช่เวลาน้อยนิดให้เปนประโยนช์ น่าเสียดายโอกาส อัตภาพในการเกิดเปนมนุษย์ ครบอาการสามสิบสองยิ่ง - เสียงลอยตามลมมาอย่าคิดไรมากนะ ^^"
     
  17. mahamettayai

    mahamettayai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    1,199
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +10,670
    ส่วนตัวคิดว่า เอ้อตายก็ดี จะได้หายเหนื่อยกับภาระหน้าที่ หายเหนื่อยกับการต้องแบกสังขาร (ชั่วคราว)

    อยู่ก็ดี จะได้ปฏิบัติหน้าที่/สะสางเรื่องที่คั่งค้างที่มีอยู่ให้เสร็จสิ้นไป แล้วก็ยังมีโอกาสสร้างบุญกุศลต่อไปเรื่อยๆ

    จะอยากอยู่หรืออยากตาย จะรอหรือไม่รอ ยังไงซักวันก็ต้องตายอยู่ดี

    อนุโมทนาสาธุกับทุกๆ ท่าน ที่เข้ามาให้ธรรมะเป็นทานค่ะ ^^
     
  18. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ไม่ง่ายครับที่จะมีความคิดที่จะหลุดจากห่วง

    ความรู้สึกของคำว่าอิสระไม่ใช่จะหาได้ง่าย

    คำว่าเจ้าบ่าว..กับ..เยี่ยงทาส..มันก็ไอ้คือๆกัน

    แหละครับ..เอาเวลาไปหาที่ปฏิบัติดีกว่าไหมครับ

    โอกาศทองไม่ใช่จะหาได้ง่ายๆครับ..อนุโมทนาครับ.
     
  19. sirigul

    sirigul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +2,515
    คุณแสงเทียนคะ ที่คุณคิดอะ ตอนนี้อายุสามสิบ เดาว่าต้องอยู่อีก สิบยี่สิบปีแน่ๆๆ นี่คุณประมาทหรือเปล่าคะ เราอาจจะตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ได้ อย่าเดาไปไกลเลยคะ คำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าคือ " จงอย่าประมาท " ฉะนั้นจงเร่งสร้างบุญกุศลให้ตัวเองด่วนเลย ถึงคราวตายจริง จะได้ไม่ต้องมัวรอให้ใครอุทิศส่วนบุญให้ ไปที่ดีๆๆได้เลย ไม่อยากเกิดอีก ก็แค่เวลาทำบุญไรก็อธิฐานในใจชาตินี้ชาติสุดท้าย เราจะตามหลวงพ่อไป หลวงพ่อรออยู่ ว่าแต่ไม่อยากเกิดอีกแน่นะ
     
  20. kantinanna

    kantinanna เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    191
    ค่าพลัง:
    +1,819
    มีความรู้สึกเบื่อการเวียนว่าย ตายเกิด บ่อยมาก เหมือนกันค่ะ เกือบตลอดเวลาเลย ยิ่งเวลาเราไม่สบายยิ่งเบื่อ กลัวการเกิด เกิดมาก็เห็นทุกข์ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรทุกข์ นักหนา ..อาการรื่นเริง สนุกสนานเฮฮามันไม่มีเลย มันเฉยๆ เห็นใครๆเขาเที่ยวสนุกสนาน.. ผิดศีล ผิดในธรรมก็ยิ่งรู้สึกเบื่อ บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำใม ไม่เอ็นจอยอะไรกับใครเลย.. แต่จะมีความสุขอิ่มเอิบใจมาก เมื่อได้เข้าวัดฟังธรรม ...เอ..หรือว่าเราแก่แล้ว ซะงั้น! แต่ความคิดแบบนี้เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว..เกิดมาเพื่อใช้กรรมให้หมดๆไป หมั่นสร้างสมบารมีเอาไว้ แอบหวังลึกๆว่าชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้าย สาธุ แต่ไม่รู้ว่าจะทำได้หรือเปล่า บอกตัวเองเสมอมา ว่า สู้ๆ..
     

แชร์หน้านี้

Loading...