อย่าใช้มนต์ไล่ผี(หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)

ในห้อง 'เรื่องผี' ตั้งกระทู้โดย pongio, 7 สิงหาคม 2013.

  1. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    วิชาอาคมทางไสยศาสตร์ เช่น บทกันผี มนต์ไล่ผี มันไม่มี ความหมายอะไรสำหรับภูตผีปีศาจ เช่นอย่างภูตผีปีศาจที่มันเข้ามาสิงคน พวกเป็นผีเข้ามาสิงคนนี่มันเรียนมนต์ไสยศาสตร์จบมาแล้ว มนต์ไล่ผี มนต์ขับผี มันไม่กลัว มนต์ป้องกันมันก็ไม่กลัว มันกลัวแต่ คนผู้ทำความดี บทสวดมนต์ พุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ เมตตา พรหมวิหาร เป็นจุดยืนของการทำความดี เราสวดไปแล้วผีมันไม่กลัว แต่พอได้ยินคำว่า สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ พอมันได้ยิน มันก็นึกว่า อ้อ.. ท่านผู้นี้มาดี ไม่ได้มาร้าย เราไม่ควรเบียดเบียนท่านผู้นี้ แล้วมันก็ไม่เบียดเบียนเรา


    ตัวอย่างที่เคยมีประสบการณ์มา บางทีมีผีเข้าสิงคน เขาเอามาให้หลวงพ่อไล่ พอมาถึงก็


    "หลวงพ่อ ไล่ผีให้หน่อย"


    "เอ้า! เกิดมาไม่เคยเห็นผีสักที จะให้ไปไล่มันอย่างไร"


    เขาบอกว่า "มันเข้าสิงคนน่ะ"


    "อ้าวถ้ามันเข้าสิงคน ไปหาหลวงตาอยู่หลังวัดไป"


    เขาก็พาไปหาหลวงตาองค์นั้น พอไปถึง หลวงตาก็เริ่มต้น สวดคาถาขับไล่ผี พอขึ้นต้น มันสวดจบไปก่อนหมดทุกบท จนกระทั่ง หลวงตาไม่มีมนต์ที่จะท่องแข่งกับมัน มันก็เลยชี้หน้าด่าเอา


    “หมดภูมิแล้วหรือ มีอะไรจะมาท่องแข่งกันอีก”


    ลงผลสุดท้ายมันก็ด่าเอา


    “บวชเป็นพระต้องเรียนธรรมวินัย ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ บวชเป็นพระแล้วมาเรียนมนต์ไสยศาสตร์นี่ ตายไปเป็นผีใหญ่นะ” มันว่า


    “เช่นอย่างข้าพเจ้านี่เคยบวชเรียนเขียนอ่านมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย อาจารย์สอนให้ท่องแต่มนต์ เวลาภาวนาก็ให้ท่องแต่มนต์ จิตมันก็สงบสว่างไปได้เหมือนกัน รู้กระทั่งวันเวลาที่ตัวจะ ตาย พอรู้ว่าตัวจะตาย รีบท่องมนต์เข้าสมาธิ จิตมันสว่างๆๆ ไป พอวิญญาณออกจากร่างแล้วมันมืดมิด มองหาทางไปไม่มี มารู้ตัวเอาต่อเมื่อมาเกิดเป็นผี จึงได้มารู้ว่า อ้อ... ที่เราได้มา เกิดเป็นผีนี่ เพราะโทษที่เรียนมนต์ไสยศาสตร์ มีลูกบอกลูก มีหลานบอกหลาน เมื่อบวชเข้ามาแล้วให้มันเรียนธรรมวินัย ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อย่าไปเรียนเวทมนต์คาถา ถ้าใครขืน ไปยึดมนต์คาถาเป็นสรณะที่พึ่ง ตายไปเกิดเป็นผีใหญ่หมด ที่มานี่ไม่ได้มาร้าย จะมาขออาศัยร่างไปกราบหลวงปู่พุธ สมัยเป็นคนได้เคยขโมยของท่าน จะไปให้ท่านอโหสิกรรมให้” มันว่า


    ทีนี้หลังจากที่หลวงตาไล่มันไม่ออก เขาก็พามันย้อนกลับไป หาหลวงพ่อที่กุฏิ พอไปมันก็ไปนอนพังพาบอยู่ต่อหน้า หลวงพ่อก็เทศน์ให้มันฟัง


    “เจ้าเป็นวิญญาณภูตผีปีศาจร้าย เข้ามาสิงกายมนุษย์ ทำให้จิตใจเขาไม่เป็นปกติ ไม่เป็นอันทำมาหาเลี้ยงชีพ เจ้ากำลังสร้างบาป จะลงนรกนะ เจ้าเป็นผีใหญ่มันก็ทุกข์ทรมานพอแรงแล้ว ยังอุตส่าห์จะมาสร้างบาปสร้างกรรมลงนรกอีก มันก็ยิ่งจะหนักเข้าไปอีก หรือว่าเจ้าทำผิดอะไรต่อข้า ข้าอโหสิกรรมให้หมด ไม่ให้เจ้าเป็นบาปเป็นกรรม บุญกุศลสิ่งใดที่ข้าบำเพ็ญมาด้วยกาย วาจา จิต ตั้งแต่เล็กจนแก่ ข้าขอประมวลมาอุทิศให้เจ้าเป็นผู้มีส่วน เจ้าจงอนุโมทนาบุญกับข้า แล้วไปเกิดดีถึงสุขเสีย”


    ขาดคำ ผีออกทันที พอผีออก เจ้านั่นก็ลุกปุ๊ปปั๊บเดินหนีไป เลย ไอ้เราก็อดที่จะนึกตามหลังไม่ได้ว่า อ้อ! มิน่า มันไม่รู้จักกราบพระกราบเจ้า ดังนั้น ผีจึงได้เข้าสิงมัน


    อันนี้เป็นประสบการณ์ที่ได้ประสบมา เพราะฉะนั้น ใครเอา มนต์มาให้ ว่ามนต์นี้กันผีกันปอบอะไร อย่าไปสนใจ บทอิติปิโส สวากขาโต สุปฏิปันโน พรหมวิหาร นี่แหละ เป็นคาถากันผีกันปอบได้อย่างดี ถ้าเรายึดมั่นในบทสวดมนต์นี้อย่างแน่วแน่ เวลามีผีเข้าสิงคน เราไปเทศน์ให้มันฟังอย่างที่หลวงพ่อเทศน์ให้ผีมันฟัง แล้วมันก็จะออก แต่ว่าอย่าลืมให้ส่วนบุญส่วนกุศลเขา
     
  2. pongio

    pongio เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 พฤษภาคม 2013
    โพสต์:
    843
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +6,851
    วิธีการใช้พระคาถามหาจักรพรรดิในการแผ่บุญส่งวิญญาณ

    การสวดภาวนา “พระคาถามหาจักรพรรดิ” ก็คือการโน้มเอากำลังบุญบารมีอันสว่างไสวแห่งพระเจ้าจักรพรรดิทั้งทางโลกและทางธรรมคือพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระมหาจักรพรรดิทุกๆพระองค์ และเทพพรหมทั้งหลาย มาใช้นั่นเอง โดยมีจุดที่พลังงานจะเดินทางผ่านอยู่ ๓ จุดใหญ่ๆได้แก่ พลังงานแห่งพระมหาจักรพรรดิ ผู้สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ และผีที่รับพลังงานของพระคาถามหาจักรพรรดิ โดยเมื่อครั้งใดที่เราสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ตัวเราก็จะเป็นสื่อกลางของพลังงานนั่นคือ พลังงานแห่งพระมหาจักรพรรดิจะถูกโน้มลงมาสู่ตัวเรา จากนั้นเราจึงแผ่พลังงานนั้นไปยังผีต่างๆที่เราต้องการจัดการ เมื่อผีเห็นแสงบุญอันสว่างไสวจากการที่เราสวดพระคาถามหาจักรพรรดิรวมบุญบารมีลงมานั้น เขาก็จะเข้ามาหาและมาอนุโมทนาบุญกับเรา เพื่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีมีความสุขต่อไปได้ เปรียบได้กับการที่เราไปต่อแสงไฟมาจากเทียนเล่มใหญ่คือแสงบุญแห่งพระรัตนตรัย เมื่อเทียนของเรามีไฟสว่างไสวแล้ว เราก็นำเทียนนั้นยื่นให้ผีทั้งหลายมาต่อแสงไฟจากเทียนของเราต่อไป เพื่อให้เทียนของเขามีแสงไฟสว่างไสวเกิดขึ้นกับตัวเองต่อไป นั่นคือเราทำหน้าที่เป็นเหมือนสื่อกลางในการนำบุญใหญ่มาแผ่ให้เหล่าผีทั้งหลายได้อนุโมทนาบุญเพื่อจะได้ไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไปนั่นเอง โดยมีขั้นตอนในการโน้มนำเอากำลังแห่งพระมหาจักรพรรดิมาใช้ดังนี้
    ๑. หมั่นสวดภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิอยู่เสมอ - กระแสพลังงานแห่งพระมหาจักรพรรดินั้น เป็นพลังงานบุญแห่งพระรัตนตรัยซึ่งมีกำลังสูงส่งและมีกระแสละเอียดลึกซึ้งมาก เราซึ่งทำหน้าที่เป็นสื่อกลางจึงต้องมีจิตที่มีกำลังและละเอียดลึกซึ้งเพียงพอด้วย จึงจะสามารถโน้มนำเอากำลังบุญแห่งพระมหาจักรพรรดิมาใช้ได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นหลวงตาม้าจึงเน้นย้ำอยู่เสมอว่า ถ้าจะใช้พระคาถานี้ให้ได้ผล ต้องหมั่นนำพระคาถามาท่องบ่นภาวนาอยู่เสมอทุกเวลาทุกโอกาสที่จะทำได้ กินข้าวก็ภาวนา เข้าห้องน้ำก็ภาวนา นั่งรถเมล์ก็ภาวนา นอนหลับก็ภาวนาไปจนหลับ โดยให้ภาวนาอย่างเบาๆสบายๆพอดีๆ ไม่ต้องตั้งใจจนเกร็งหรือเครียดกับการภาวนามากเกินไป จิตจะได้เบาสบายละเอียดลึกซึ้งเป็นสมาธิอยู่ในกระแสแห่งพระมหาจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลา และสามารถจูนเอากระแสพลังงานแห่งพระมหาจักรพรรดิมาใช้ได้อย่างเต็มที่ทุกที่ทุกเวลา
    ๒. หมั่นดูภาพพระพุทธรูป หรือหลวงปู่ทวด หรือหลวงปู่ดู่ ให้ติดใจ – นอกจากการหมั่นสวดพระคาถามหาจักรพรรดิอย่างสม่ำเสมอแล้ว การจะใช้พระคาถาให้ได้ผลจะต้องหมั่นดูภาพพระพุทธรูป หรือหลวงปู่ทวด หรือหลวงปู่ดู่ ก็ได้ ตามแต่ที่รู้สึกว่ากำหนดเห็นภาพใดได้ง่ายและชัดเจนที่สุด ควบคู่ไปกับการภาวนาพระคาถาด้วย เพราะพระคาถานี้เป็นพระคาถาที่โน้มนำบุญบารมีแห่ง “พระรัตนตรัย” มาใช้ โดยเป็นพระคาถาที่ “หลวงปู่ดู่” ซึ่งมีความผูกพันเกี่ยวข้องกับ “หลวงปู่ทวด” อย่างใกล้ชิดเป็นผู้แต่งขึ้น ดังนั้นถ้ากำหนดภาพพระหรือหลวงปู่ประกอบไปกับการสวดภาวนาด้วย ก็จะทำให้จิตจูนสื่อกับต้นทางของพลังงานของพระคาถาได้ง่ายและชัดเจนมากขึ้น โดยสังเกตได้ง่ายๆว่า ยิ่งภาวนาแล้วภาพพระหรือหลวงปู่ สว่างสดใสชัดเจนในจิตเรามากเท่าใด เราก็ยิ่งโน้มนำกำลังบุญบารมีของพระคาถามาใช้ได้มากขึ้นเท่านั้น
    ๓. นำพระเครื่องกำลังจักรพรรดิมากำไว้ในมือ – สำหรับคนทั่วๆไปที่ยังวุ่นวายอยู่ในกิจการต่างๆทางโลกอยู่มาก การสวดพระคาถาและกำหนดภาพพระให้เบาสบายเป็นสมาธิอาจจะทำได้ไม่เต็มที่มากนัก เพราะจิตยังมีความฟุ้งซ่านห่วงกังวลอยู่มาก หลวงปู่ดู่เลยได้สร้างพระเครื่องจากผงมหาจักพรรดิขึ้นมาแจกให้ลูกศิษย์ลูกหาทั้งหลายได้นำไปกำไว้ในมือเวลาสวดมนต์หรือทำสมาธิ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับลูกศิษย์ในการปฏิบัติธรรมและเป็นเครื่องช่วยในการกำหนดจิตถึงพระได้ง่ายขึ้น เพราะมีพระเครื่องซึ่งเป็นสิ่งที่มีรูปธรรมอยู่ในมือให้ได้สัมผัสและมองเห็นด้วยไม่ใช่แค่นึกภาพพระและสวดภาวนาในใจเฉยๆ ดังนั้นหากสามารถหาพระเครื่องกำลังจักรพรรดิมาห้อยคอหรือกำไว้ในมือขณะสวดภาวนาพระคาถาไปด้วย ก็จะช่วยให้จิตนึกถึงพระได้ง่ายขึ้น จิตฟุ้งซ่านน้อยลง เป็นสมาธิเบาสบายได้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้จิตเราสามารถจูนเข้าไปโน้มนำเอาพลังงานของพระมหาจักรพรรดิมาใช้ได้ง่ายขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ดี พระเครื่องของหลวงปู่ดู่ขณะนี้มีราคาสูงมากแล้ว และหาของแท้ได้ยาก ดังนั้นหากไม่สามารถหาพระเครื่องของหลวงปู่ดู่ได้ ก็สามารถนำพระเครื่องกำลังจักรพรรดิที่หลวงตาม้าที่สร้างขึ้นจากผงมหาจักรพรรดิและปลุกเสกด้วยพระคาถามหาจักรพรรดิของหลวงปู่มาใช้แทนกันได้
    ๔. เมื่อต้องการจะแผ่บุญ ให้ตั้งจิตนึกถึงภาพพระ มือกำพระเครื่องไว้ และสวดภาวนาพระคาถามหาจักรพรรดิไปด้วย ให้สวดภาวนาไปเรื่อยๆจนกว่าจิตจะรู้สึกเบาสบาย และเห็นภาพพระที่กำหนดไว้ในใจสว่างไสวชัดเจน แล้วตั้งจิตอาราธนาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ให้ท่านมาช่วยรวมพลังงานบุญอันมากมายมหาศาลของพระคาถามหาจักพรรดิให้ เพราะท่านเป็นมหาโพธิสัตว์ที่มีบุญบารมีมาก พลังงานทั้งหมดของท่านเป็นไปเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ทั่วสามแดนโลกธาตุโดยตรง กระแสพลังงานของท่านจึงสามารถช่วยรวมบุญทั้งปวงเพื่อแผ่ไปช่วยเหลือภพภูมิทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์พร้อม แต่อาจมีผู้กังวลว่า เราเป็นคนธรรมดา จะสามารถอาราธนาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ มาช่วยรวมบุญให้เราได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้หลวงตาได้อธิบายไว้ว่า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ผู้มากด้วยเมตตา ตั้งปณิธานช่วยสัตว์โลกทั้งปวงให้พ้นจากทุกข์ ดังนั้นสิ่งใดที่เป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ภพภูมิทั้งหลายแล้ว ท่านจะเมตตามาช่วยเหลือทำให้อย่างแน่นอน
    ๕. ตั้งจิตบอกผีในภพภูมิทั้งหลาย ให้มาร่วมอนุโมทนาในบุญอันไม่มีประมาณนี้ ซึ่งการบอกนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะผีบางตนสมัยมีชีวิตไม่เคยทำบุญสร้างกุศล ตายไปแล้วก็เป็นผีที่ไม่รู้จักบุญกุศล เมื่อเขาเห็นแสง ก็จะไม่เข้าใจว่าคืออะไร ไม่รู้ว่าจะรับบุญนั้นอย่างไร เราจึงต้องตั้งจิตบอกเขาให้รู้ว่านี่คือแสงแห่งบุญ ขอให้มารับและอนุโมทนาในบุญอันมากมายอย่างไม่มีประมาณนี้
    ๖. เมื่อบอกให้ผีรับรู้แล้ว ก็ให้สวดบทสัพเพฯคือ “สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง อรหันตานัญจะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ” เพื่อแผ่บุญที่รวมมาทั้งหมดนั้นไปให้เขา ซึ่งเดิมทีเป็นบทที่หลวงปู่ดู่สอนไว้เพื่ออาราธนาบารมีแห่งพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์เข้ามาคุ้มครองตัวเรา และหลวงตาม้าได้นำมาฝึกฝนพิจารณาจนพบว่า ในเมื่อเราใช้คาถาสัพเพฯบทนี้โน้มนำบุญบารมีพระเข้ามาคุ้มครองตัวเราได้ เราก็สามารถใช้คาถาสัพเพฯบทนี้โน้มนำบุญบารมีพระซึ่งมีมากมายมหาศาลแผ่ไปให้ผีและดวงวิญญาณทั้งหลายได้อนุโมทนาในบุญกุศลอันมากมายอย่างไม่มีประมาณนั้นได้เช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้ผีเหล่านั้นได้รับกระแสแห่งบุญกุศลจากพระรัตนตรัยได้โดยตรงและเต็มที่กว่าการแผ่เมตตาทั่วๆไป หากใครมีตาทิพย์ตาในดีๆจะเห็นได้เลยครับว่า เวลาสวดแผ่เมตตาทั่วๆไปจะมีแสงบุญกระจายออกไปรอบๆตัวเราเป็นแสงสว่างๆนวลๆเย็นๆตา แล้วผีก็ต้องเข้ามาอนุโมทนาบุญเอาเอง แต่ถ้าใช้บทสัพเพฯแล้ว จะเห็นแสงสว่างที่กำลังมหาศาลเหมือนสปอตไลท์ซักพันดวง โดยมีภาพพระพุทธเจ้าหรือหลวงปู่ทวดหลวงปู่ดู่นำหน้าแสงนั้น พุ่งตรงออกจากตัวเราไปหาผีที่เราต้องการแผ่บุญให้โดยตรง ซึ่งจะช่วยให้ผีทั้งหลายมีโอกาสรับรู้ในบุญที่เราแผ่ไปให้ได้ง่ายขึ้นและสามารถอนุโมทนาบุญอันมหาศาลนั้นได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และหากผีตนนั้นมีกรรมหนักบดบังมาก แสงแห่งบุญจากพระคาถามหาจักรพรรดิที่สัพเพฯไปโดยมีพระนำหน้านี้ ก็จะช่วยให้สามารถทะลุทะลวงความมืดมัวจากกรรรมที่ปกคลุมเขาอยู่เข้าไปได้ ให้เขาได้มีโอกาสเห็นแสงบุญและอนุโมทนาบุญได้ง่ายขึ้นด้วย แต่ผีบางตนที่มีความแค้นอาฆาตมาก หรือมีกรรมหนักๆ หลวงตาเคยเล่าว่าบางทีท่านต้องไปสวดจักรพรรดิและสัพเพฯอยู่หลายรอบเหมือนกันกว่าจะยอมรับบุญและไปเกิดในภพภูมิที่ดีต่อไป
    ๗. ในการแผ่บุญนั้น เราต้องบอกให้เขามาคอยตามอนุโมทนาในบุญแห่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ รวมทั้งบุญที่เราได้ทำเสมอๆด้วย เพราะแม้เขาจะไปสู่สุคติภูมิแล้ว แต่นั่นเกิดจากบุญเพียงชั่วขณะที่ได้จากการอนุโมทนาบุญในตอนนั้น ถ้าบุญนี้หมดลง เขาก็ต้องไปเกิดตามกรรมของเขาต่อไป ซึ่งอาจเป็นนรกหรือภพภูมิที่ทุกข์ทรมานกว่าเดิมก็เป็นได้ ดังนั้นเราจึงต้องบอกให้เขามาตามอนุโมทนาบุญกับเราด้วยเสมอ เขาจะได้สามารถทำบุญประคองตนให้อยู่ในสุคติภูมิไปได้เรื่อยๆ และหากประคองตนไปได้จนถึงยุคของพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปคือ “พระศรีอาริยเมตไตรย์” เขาอาจจะมีโอกาสลงมาเกิดมาฟังธรรมะจากท่าน จนบรรลุเป็นพระอรหันต์ได้ในที่สุด ซึ่งเมื่อบรรลุนิพพานแล้ว กรรมทั้งปวงย่อมกลายเป็นอโหสิกรรม ไม่สามารถตามให้ผลกับเขาได้อีกต่อไป
     
  3. Loveyous

    Loveyous เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +102
    สายทำบุญ .... มีด้วยเหรอคับ ????
     
  4. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    พระบ้านก็สายปฏิบัติ
     

แชร์หน้านี้

Loading...