ถามถึงข้อระวังในการพูดและถาม?

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย yutpichai, 28 กรกฎาคม 2013.

  1. yutpichai

    yutpichai เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    79
    ค่าพลัง:
    +306
    1.การถามลองภูมินี่ถามลักษณะยังไงคับ หรือยกตัวอย่างหน่อยคับ เพราะจะได้ระวังในการถามใคร 2.สิ่งใดบ้างที่ควรระวังในการพูดและถาม 3.เราจะพึงรักษาวจีกรรม4ยังไงคับ
     
  2. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ดูเจตนาตนเองสิครับ ถ้าถามเพื่อต้องการรู้ ถามเพื่อเผื่อแผ่คนอื่น หรือ ถามเพื่ออวดตนว่าตนมีภูมิ หรือ ถามเพื่อลองภูมิ
    แต่พึงระวังว่า การถามเพื่อลองภูมิคนอื่นนั้น เราต้องรู้จักตนเองเสียก่อนว่ามีภูมิรู้เพียงพอที่จะหยั่งคนอื่นได้ว่า เขานั้นมีภูมิสูงกว่าตนหรือเท่าตน หรือต่ำกว่าตน เพื่อประโยชน์ว่า หากเขามีภูมิสูงกว่าตนเราก็จะสามารถคบค้าสมาคมกับเขาให้เขานั้นชี้สอนประสบการณ์ให้เราได้
    หากว่า เขามีภูมิต่ำกว่าเรา ก็เมตตากับเขาได้
    ไม่ใช่ไปลองภูมิเพราะตนมีมานะทิฎฐิ อยากจะรู้ว่าเขาเหนือกว่าเรา ต่ำกว่าเรา เพื่ออวดศักดิ์ดา แบบนั้นเป็นคนต่ำครับ
     
  3. ผ่อนกรรม

    ผ่อนกรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +400
    เมื่อเกิดคำถาม แสดงว่าผู้ถามไม่รู้ ไม่เข้าใจ ในเรื่องที่ตนถาม

    หรืออาจจะรู้อยู่แต่ไม่แน่ใจจึงถาม อันนี้ไม่น่ามีปัญหา

    แต่ถ้ารู้แล้วยังถามพร้อมคิดปรุงแต่งว่า ดูสิจะรู้จริงแค่ไหน

    หรือคอยดูนะตอบผิดมาจะหัวเราะให้สะใจเลย ประมาณนี้

    กรณีหลังอาจเข้าข่ายลองภูมิ(ไม่ควร)

    การถามเมื่อไม่รู้ย่อมถามได้ทุกเรื่องที่ไม่รู้และไม่ใช้วาจา

    หรือคำพูดที่หยาบคายเกินไป

    ยกตัวอย่างการถามตอบอาการของโรคทางกายและใจ

    ++โรคทางกาย สมมติว่าเราเป็นหวัดไปหาหมอซึ่งเราอาจรู้หรือไม่รู้วิธีรักษา

    หากเราไม่รู้วิธีรักษาเราพึงสังเกตอาการให้ละเอียด

    เพื่อไปบอกหมอเวลาหมอถามซึ่งถ้าเราพูดความจริง

    ตรงตามอาการ หมอย่อมวินิจฉัยตรงตามโรค เราก็หายสบายกาย

    แต่หากเราโกหก(ไม่พูดความจริง)นี่มีจริงๆนะ

    โกหกเพราะไม่อยากกินยาโกหกเพราะเหตุต่างๆ

    บางครั้งหมอเก่งๆก็รู้ทันว่าผู้ป่วยโกหกเพราะอะไร

    หมอที่มีเมตตาย่อมหาวิธีทำให้ผู้ป่วยยอมรับการรักษา นี่รักษาด้วยใจนะ

    แต่ถ้าหมอที่รักษาตามอาการไม่ใส่ใจมาก การรักษาอาจไม่ตรงโรคที่เป็นอยู่

    หรืออาจได้โรคเพิ่มจากการโกหก(ไม่พูดตามจริง) โทษหมอไม่ได้นะ

    แต่หากเรารู้(เปรียบเหมือนมีภูมิอยู่)อาการตามจริงและ

    รู้วิธีรักษาว่า เป็นไข้หวัด ต้องได้รับยา ลดน้ำมูก ละลายเสมหะ

    ยาปฏิชีวนะอาจไม่จำเป็นถ้าคอไม่แดง

    หรือที่เรียกว่าต่อมทอลซิลอักเสบ

    เพราะยาปฏิชีวนะ หากใช้ไม่ถูกต้องย่อมมีผลเสียต่อร่างกาย

    รวมทั้งยาอื่นๆด้วย

    การรู้อย่างนี้ย่อมมั่นใจได้ว่าถ้าหมอรักษาตามนี้เราจะหาย

    แต่ถ้ารักษาออกนอกทางเราก็สามารถรู้และปฏิเสธการรักษาได้

    แต่ก็ไม่ใช่รู้อย่างนี้แล้วอวดรู้ไปสั่งหมอว่า หมอครับ/ค่ะ

    หนูเป็นหวัดขอยาลดน้ำมูกหน่อย(ควรบอกแค่อาการ)

    ทำไมรู้อย่างนี้แล้วจึงยังต้องพึ่งหมอเพราะอาการของ

    โรคหลาย ๆ โรคมีอาการคล้ายกันนะสิ

    ไหนจะอุปทานอีกเป็นแค่หวัดเล็กน้อย น้ำหนักลดเพราะกินอาหารได้น้อย

    กลับคิดว่านี่เราเป็นเอดส์ซะล่ะมั้ง น่าน แค่คิดไปเองอย่างนี้ก็มีสิทธิ์

    ทรุดโทรมก่อนรู้ความจริงนะ นี่เรียกว่าทางกาย

    ++โรคทางจิตใจ ก็เช่นกัน เรารักษาด้วยการปฏิบัติธรรม

    โดยเฝ้าสังเกตสภาวะธรรมหรืออาการของจิตนั่นเอง

    หมอก็เปรียบได้กับครูบาอาจารย์ ผู้มีภูมิธรรม

    ใช้ธรรมะ(เหมือนตัวยา)รักษาหรือที่เรียกว่าธรรมโอสถ

    หากเราบอกอาการของจิตตามจริงโดยละเอียด

    ผู้รู้ย่อมแนะนำได้ตรงและถูกต้องตามจริง

    และรักษาอาการได้ตรง เช่นรู้ว่าเรามากด้วยกามราคะ

    ก็จะได้ อสุภะ กายคตาสติไปรักษา

    แต่การปฏิบัติจะมีบางเรื่องที่แตกต่างจากโรคทางกาย

    นั่นคือสัมผัสพิเศษอย่างเห็นโอปติกะ(หรือที่ชาวบ้านเรียกผี)

    ได้ยินเสียงโอปติกะ หากเราเห็นจริง ผู้มีภูมิซักแล้วใช่

    ก็อาจบอกว่าคุณได้อภิญญาตรงตามจริง

    แต่ถ้าไม่ได้พูดความจริงคุณมีความเสี่ยงในการปฏิบัติผิดทาง

    ซึ่งมีโทษเช่นกันแต่ถ้าผู้มีภูมิธรรมลึกซึ้งและเมตตาธรรมสูง

    ก็สามารถช่วยแก้ได้ ลองเปรียบเทียบดูค่ะ

    สรุปไม่ควรถาม – ตอบ ด้วยความคะนองนึกสนุกเป็นเท็จ

    แต่ควรถาม - ตอบ ด้วยวาจาจริง คำจริง

    ส่วนวจีกรรม ๔ ควรศึกษาหลักธรรมตัวนี้ และสังเกต

    วาจาของพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฏกพระองค์กล่าวคำจริง

    และไพเราะ ปัญญาในวาจานั้น แม้ผู้ฟังยังถึงบรรลุธรรม

    แล้วเอามาปรับใช้กับกับภาษาปัจจุบัน(ทำได้แค่ไหนดีแค่นั้น)

    เป็นสัมมาวาจา หนึ่งในองค์มรรค ๘ หมวดศีล สาธุ

    หวังว่าจะพอมีประโยชน์บ้างค่ะ หนึ่งความเห็นมีประโยชน์ซักประโยคก็ยังดี ^___^







    วจีกรรม๔ ตามลิ้งค์ค่ะ^^

    http://www.dhammahome.com/front/audio/show.php?id=3588
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2013
  4. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ๑ คำถามลองภูมิกับไม่ลองภูมิ คำถามภาษาไม่ต่างกัน แต่เจตนาต่างกัน
    ๒ การพูดนั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า ไม่พูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นที่รักที่พอใจ
    ถ้าสิ่งนั้นเป็นประโยชน์ แต่ไม่เป็นที่รักที่พอใจ ต้องเลือกเวลาพูด(กาลเทศะ)
    ถ้าสิ่งนั้นมีประโยชน์และเป็นที่รักที่พอใจ ก็พูดได้
    ๓ พูดให้น้อย คิดก่อนพูดตามข้อ๒
     
  5. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ปัญหาที่ ๓ ถามลองปัญญา


    พระเจ้ามิลินตรัสถามขึ้นอีกว่า ข้าแต่พระนาคเสน

    บรรพชามีประโยชน์อย่างไร? อะไรคืจุดมุ่งหมาย

    สูงสุดในการบรรพชาของพระผู้เป็นเจ้า ?



    พระเถระตอบว่า บรรพชาของอามภาพนั้น เป็นประโยชน์

    เพื่อการดับทุกข์ให้สิ้นไป แล้วมิให้ทุกข์อื่นบังเกิดขึ้นได้

    อีกประการหนึ่ง บรรพชาย่อมให้สำเร็จแก่เทพยาดา

    และมนุษย์ทั้งหลาย



    สนทนาอย่างบัณฑิตหรืออย่างโจร ?


    พระเจ้ากรุงสาคลนคร ได้ฟังพระนาคเสนได้เฉยปัญหา

    อย่างกระจ่างเเจ้ง ก็มิได้มีทางที่จะซักไซร้จึงได้

    หันเหถามปัญหาอื่นอีกว่า



    ข้าแต่พระนาคเสน พระผู้เป็นเจ้าจะสนทนากับโยม

    ต่อไปได้หรือไม่?



    พระนาคเสนตอบว่า ถ้ามหาบพิตจะสนทนาตามเยี่ยงอย่าง

    บัฌฑิต อาตมภาพก็จะสนทนากับมหาบพิตได้

    ถ้ามหาบพิตจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างพระราชา

    อาตมาก็จะสนทนาด้วยไม่ได้



    บัณฑิตทั้งหลายสนทนากันอย่างไร ?


    ธรรมดาว่าบัณฑิตที่สนทนากัน

    - ย่อมเจรจาข่มขี่กันได้

    - เเก้ตัวได้

    - รับได้

    - ปฏิเสธได้

    - ผูกได้

    - แก้ได้

    บัณฑิตทั้งหลายไม่โกรธ บัณฑิตทั้งหลาย

    สนทนากันอย่างนี้แหละมหาบพิต



    ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้าพระราชาสนทนากันอย่างไร ?



    ขอถวายพระพร พระราชาทั้งหลายทรงรับสั่ง

    สิ่งใดสิ่งหนึ่งลงไปแล้ว ผู้ใดไม่ทำตามก็ทรงรับสั่ง

    ให้ลงโทษผู้นั้นทันที พระราชาทั้งหลายสนทนา

    กันอย่างนี้แหละมหาบพิต



    ข้าแต่พระคุณเจ้า โยมจะสนทนาตามเยี่ยงอย่างบัณฑิต

    จะไม่สนทนาตามเยี่ยงอย่างของพระราชา ขอพระผู้เป็นเจ้า

    จงเบาใจเถิด พระผู้เป็นเจ้าสนทนากับภิษุณี หรือสามเณร

    อุบาสก คนรักษาอารามฉันใด ขอจงสนทนากับโยมฉันนั้น

    อย่ากลัวเลย



    ดีแล้วมหาบพิต พระเถระแสดงความยินดีอย่างนี้แล้ว


    พระราชา จึงครัสต่อไปว่าข้าแต่พระนาคเสน โยมจะถาม

    พระผู้เป็นเจ้า


    เชิญถามเถิดมหาบพิต

    โยมถามแล้วพระผู้เป็เจ้า


    อาตมภาพแก้แล้วมหาบพิต

    พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร ?

    ก็มหาบพิตตรัสถามว่าอย่างไร ?


    (พระเจ้ามิลินไต่ถามปัญหาเช่นนี้ หวังจะลองปัญญา

    พระนาคเสนว่า จะเขลาหรือฉลาด ยั่งยืนอยู่ไม่ครั่นคร้าม

    หรือประการใดเท่านั้น) ในวันแรกนี้พระเจ้ามิลินตรัสถาม

    ปัญหา ๓ ข้อคือ

    - ถามชื่อ ๑

    - ถามพรรษา ๑

    - ถามเพื่อทดลองสติปัญญาของพระเถระ ๑.
     
  6. Jmind

    Jmind เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 เมษายน 2010
    โพสต์:
    606
    ค่าพลัง:
    +756
    ใครแต่งวะ นาคเสนกับมิลิน นิยายชัดๆ
    ท่าทาง นาคเสน นี่แอ๊คท่าวางภูมิ เจรจายอกย้อนเป็นอิคิวซังเลยหวะ
     
  7. อภิมาร

    อภิมาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    711
    ค่าพลัง:
    +2,154


    ฟังอนุโมทนากถา..เขาบอกว่าสายของหลวงพ่อพรหมยาน..จ้า

    มี่พระตั้งหลายรูป กับโยมตั้งหลายคน ลองหาโหลดได้ที่

    ฟังธรรมดอดคอม แบบอ่าน..น๊ะจ๊ะ.
     

แชร์หน้านี้

Loading...