ปรึกษาปัญหาสารพัดโรค ด้วยหลักการแพทย์แผนไทย / วิธีฝึกและใช้พลัง(ปราณยาม)ในการรักษาโรค

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 25 มกราคม 2008.

  1. ampkoampko

    ampkoampko สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 กรกฎาคม 2013
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +13
    ปรึกษาปัญหาสารพัดโรค ด้วยหลักการแพทย์แผนไท

    มันช่วยได้จริงเหรอค่ะ โรคบางโรค ก็ไม่รุนแรก แต่หาหมอมาหลายที่ก็ไม่หาย
     
  2. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    อาการคล้ายปลอกเส้นเอ็น อับเสก
    อย่าปล่อยไว้ รีบร้กษาด่วน ครับ

    เก็บไว้ นาน จะรักษายากขึ้น ครับ

    หากจะติดต่อ อ.สุวิ ให้โทรไปปรึกษา โดยตรงเลย รวดเร็วดี ครับ
     
  3. กะทิจันทร์

    กะทิจันทร์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    155
    ค่าพลัง:
    +569
    ขอคำแนะนำเรื่องเหาด้วยค่ะ. มีลูกสาวสองคน คนโตผมดกยาว ติดเหาเรื่อย. ไม่อยากฆ่าหรือทำร้ายเลย มีวิธีแนะนำแก้ไขและป้องกันใดๆบ้างค่ะ.
     
  4. บุษบรรณ

    บุษบรรณ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มกราคม 2010
    โพสต์:
    2,212
    ค่าพลัง:
    +8,603
    สวัสดีค่ะมีบุญมาให้ร่วมอนุโมทนากันนะคะ
    -ร่วมบริจาคเงินจำนวน 2,000บาทกับกลุ่มทดแทนแผ่นดินซื้อเสบียงให้ทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
    -ทอดผ้าป่าหาเงินสร้างโบสถ์วัดหนองสำโรง สุพรรณบุรี 500บาท
    -ทำบุญไถ่ชีวิตโค 1,000บาท
    -ทำบุญปล่อยปลาและใส่บาตร 200บาท
    -ถวายข้าวสารเลี้ยงพระและเด็กจำนวน 10 กระสอบ แชมพู 1,200ซอง ผงซักฟอก 300ซองวัดโบสถ์วรดิษฐ์
    -ถวายสังฆทาน พระปางสมาธิ หน้าตัก 9นิ้ว ผ้าไตร หนังสือสวดมนต์ ยา ฯ
    เชิญร่วมอนุโมทนาบุญกันนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กรกฎาคม 2013
  5. 45111127

    45111127 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    8
    ค่าพลัง:
    +7
    เรียนท่านอาจารย์หมอสุวิ
    แม่ผมเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง ALS
    โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

    จากชื่อโรคข้างต้น เชื่อว่าหลายคนคงไม่คุ้นกับชื่อโรคนี้มาก่อน แต่เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน มีการปรากฏชื่อโรคนี้บนหน้าหนังสือพิมพ์ และก็มีการถามไถ่กันมาพอสมควรว่าโรคดังกล่าวนี้คืออะไร ..ฉะนั้น ตามไปดูกันว่าลักษณะของโรคนี้เป็นอย่างไรบ้าง

    โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสคืออะไร

    คำว่า ALS ย่อมาจาก Amyotrophic Lateral Sclerosis โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส ไม่ใช่โรคของกล้ามเนื้อโดยตรง แต่เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง แล้วส่งผลทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงเนื่องจากขาดเซลล์ประสาทนำคำสั่งมาควบคุม ซึ่งเซลล์เหล่านี้มีอยู่ในไขสันหลังและสมอง โดยที่เซลล์ประสาทนำคำสั่งเหล่านี้ค่อย ๆ เกิดการเสื่อมและตายไปในที่สุด และเนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอสเป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “โรคของเซลล์ประสาทนำคำสั่ง (motor neuron disease; MND) หรือ โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม” ในประเทศสหรัฐอเมริกาจะรู้จักโรคนี้ในชื่อของโรค ลู-เก-ริก (Lou Gehrig Disease) ซึ่งตั้งชื่อโรคตามชื่อนักเบสบอลที่มีชื่อเสียงที่เป็นโรคนี้ในปี ค.ศ. 1930





    สาเหตุของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

    ในปัจจุบันยังไม่ทราบแน่ชัดว่าเหตุใดเซลล์ประสาทนำคำสั่งจึงเกิดการเสื่อม โดยสมมุติฐานเชื่อว่า โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส เกิดจากหลายเหตุปัจจัยก่อให้เกิดโรคร่วมกัน ได้แก่ การมีปัจจัยบางอย่างทางพันธุกรรมซึ่งยังไม่ทราบแน่ชัดที่ทำให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งมีโอกาสเสื่อมได้ง่ายกว่าบุคคลอื่น มีปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมที่มีการปนเปื้อนของสารพิษ เช่น ยาฆ่าแมลง สารโลหะหนัก รังสีหรือการติดเชื้อไวรัสบางชนิดมาช่วยกระตุ้นส่งเสริมให้เซลล์ประสาทนำคำสั่งเกิดการทำงานผิดปกติ ร่วมกับอายุที่สูงขึ้นตามกาลเวลาทำให้เกิดการเสื่อมสลายของเซลล์ อันเนื่องมาจากแบตเตอรี่ที่คอยสร้างพลังงานให้กับเซลล์ที่เรียกว่า ไมโตคอนเดรีย (mitochondria) มีความผิดปกติ แต่สมมุติฐานเหล่านี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ที่แน่ชัด

    ใครบ้างที่มีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอแอลเอส

    ข้อมูลในประเทศสหราชอาณาจักรพบประชากรทุก ๆ 100,000 คนเป็นโรคเอแอลเอส ประมาณ 2 คนต่อปี อายุเฉลี่ยที่เกิดขึ้นของโรคอยู่ระหว่าง 60-65 ปี ดังนั้นโอกาสที่จะพบโรคเอแอลเอส ในคนอายุมากจึงมีมากกว่าในคนอายุน้อย โดยทั่วไปแล้วมักพบโรคเอแอลเอส ได้บ่อยประมาณ 1.5 เท่าของเพศหญิง และประมาณร้อยละ 90 ของผู้ป่วยเอแอลเอส จะไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่แน่ชัดทางพันธุกรรม ดังนั้นผู้ที่ไม่มีประวัติครอบครัวที่ชัดเจน จึงมีโอกาสเสี่ยงน้อยมากที่จะเกิดโรคในรุ่นลูกรุ่นหลาน นอกจากนี้ยังไม่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ชัดเจนว่านักกีฬามีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ได้มากกว่าอาชีพอื่น ๆ

    อาการและการดำเนินของโรคเอแอลเอส เป็นอย่างไร

    เริ่มต้นผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของมือ แขน ขา หรือเท้าข้างใดข้างหนึ่งก่อน เช่น ยกแขนไม่ขึ้นเหนือศีรษะ กำมือถือของไม่ได้ ข้อมือหรือข้อเท้าตก เดินแล้วหกล้มบ่อยหรือสะดุดบ่อย ขึ้นบันไดลำบาก ลุกนั่งลำบาก เป็นต้น อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจะค่อย ๆ เป็นมากขึ้นจนลามไปทั้ง 2 ข้าง ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงของแขนหรือขาทั้งสองข้างตั้งแต่ต้น นอกจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงแล้วยังพบว่ามีกล้ามเนื้อลีบร่วมกับกล้ามเนื้อเต้นร่วมด้วย ผู้ป่วยบางรายอาจมาพบแพทย์ครั้งแรกด้วยมือลีบหรือขาลีบ พูดไม่ชัด พูดเหมือนลิ้นแข็ง ลิ้นลีบ เวลากลืนน้ำหรืออาหารแล้วจะสำลัก ผู้ป่วยบางรายมาพบแพทย์ครั้งแรกด้วยกล้ามเนื้อกระบังลมอ่อนแรง ทำให้เหนื่อยง่ายโดยเฉพาะเวลานอนราบหรือมีอาการต้องตื่นกลางดึก เพราะมีอาการเหนื่อย แต่เนื่องจากอาการของโรคเอแอลเอส คล้ายกับโรคอื่น ทำให้ผู้ป่วยเอแอลเอสในช่วงต้นได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น โดยทั่วไปเมื่ออาการเป็นมากขึ้นผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อของแขนขาอ่อนแรงและลีบที่แย่ลง ร่วมกับกล้ามเนื้อที่ใช้ในการพูด การกลืนอ่อนแรง จนต้องใช้ท่อให้อาหารทางสายยางผ่านทางจมูกหรือทางหน้าท้อง และกล้ามเนื้อหายใจอ่อนแรงจนกระทั่งต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคเอแอลเอส ให้หายขาด และร้อยละ 50 ของผู้ป่วย เอแอลเอส โดยเฉลี่ยจะเสียชีวิตหลังจากมีอาการในระยะเวลาประมาณ 2 ปี สาเหตุของการเสียชีวิตมักเกิดจากระบบหายใจล้มเหลวและการติดเชื้อในปอดอันเนื่องมาจากการสำลัก



    มีทางรักษาบ้างปะครับ
     
  6. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    มียาตัวหนึ่ง หมอสุวิให้ชื่อว่า มณีฟ้าประทาน
    เมื่อสมัยก่อน ตอนได้มาใหม่ๆ ตามสูตรยาจริงๆ เขาให้กินได้ ปีละ ๒๑ เม็ด เท่านั้น(ตอนนั้นขายอยูชุดละ ๑,๘๘๘ บาท)
    ห้ามกินเกินเด็จขาด หากใครกินเกิน ก็จะมีสภาพเป็นเช่นเดียวกันกับ เฒ่าทารกจิวแปะทง
    (ยกตัวอย่างให้ดูนะ จิวแปะทง เขาเป็นตัวผู้ช่วยพระเอกในนิยายกำลังภายในเรื่องมังกรหยก ภาคใหนก็ไมรู้จำไมได้นะ)

    สูตรยามีดังนี้
    บัวหนึ่งนาม xxx ดอกบานได้สองราตรี เก็บดอกพร้อมก้านติดมา
    อีกหนึ่งรากไม้เร่งหา มีรูปลักษณ์กายา ดูไปคล้ายดังหุ่นพยนต์
    ครบถ้วนหัวกายแขนขาดั่งคน กำเนิดอยู่บน เขาสูงเสียดฟ้าหนาวเย็น
    ง้วนดินเสมอภาคบดผสมปนเป็น ผึ้งรวงเคี่ยวคร่ำจวบเย็น ปั้นก้อนเท่าเม็ดในพุทรา
    กินวันละสองครา เมื่ออรุณเบิกฟ้า แลก่อนนิทราคำคืน
    ช่วยที่จักตายให้ฟื้น จากนิทราพลันตื่น คืนชีพกลับมา
    นับเป็นวาสนา แล้วเร่งจัดหา จินดามณี
    หายสิ้นโรคภัยที่มี กายาแข็งแรงพ่วงพี ดุจดังมานพอ่อนวัย


    สรรพคุณ เขาว่าไว้ อะไรที่มันกำลังจะตาย มันก็จะฟื้นได้ ไม่ว่าจะเป็นตับไต สมอง ระบบประสาท ฯลฯ
    แม้แต่นกเขาทีอ่อนเปลี้ยจะตายแล่มิตายแหล่ ก็ฟื้นได้
    เคยให้ดาวทะเลทรยตามดู ว่ายานี้ทำงานอย่างไร
    ก็พบว่า มันเข้าไปในระบบเยื่อกระดูก และไขกระดูก และสร้างเซลพิเศษขึ้นมาตัวหนึ่ง(เข้าใจว่ามันคือสะเต็มเซล) ไหลออกมาพร้อมเม็ดเลือด
    เซลตัวนี้มันไปเกาะตามอวัยวะต่างๆ และทำการก๊อปปีตัวเอง เป็นเซลของอวัยวะนั้นๆ และเจริญทดแทนส่วนที่ถูกทำลายไป

    แต่ในปัจจุบันหมอสุวิมีความรู้มากขึ้น
    พบว่า มนุษย์ถูกเบียดเบีนทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งโดนเบียดเบียนจากผู้อื่น และเบียดเบียนตัวเอง ทำให้สุขภาพทรุดโทรมเร็ว
    การกินยาปีละ ๒๑ เม็ด ไม่อาจทดแทนการเสื่อมสภาพของร่างกายอันเกิดจากการเบียดเบีบนได้
    ด้วยความรู้ที่มี จึงปรับปรุงสูตรยา มณีฟ้าประทานใหม่ เป็น มณีปัทมา-ฟ้าประทาน ยาตัวนี้กินได้ตลอด ไม่ต้องหยุดกินดังยาตัวเก่า และราคาก็ถูกลงมาก

    นี่คือคำตอบ ของคนหลายๆคนที่อยู่ๆ การทำงานของร่างกายก็เสื่อมสภาพใช้งานไม่ได้ แบบไร้สาเหตุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กรกฎาคม 2013
  7. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อะไร คือโรคที่ไร้เหตุ
    หมอไทยโบราณ กล่าวถึงโรคโร้เหตุดังกล่าวไว้ และเรียกโรคพวกนี้ว่า อุปปาติกะโรค

    อุปปาติกะ หมายถึง
    [อุปะปาติกะ, อุบปะปาติกะ] น. ผู้เกิดผุดขึ้นโดยไม่ต้องอาศัยพ่อแม่ อาศัยอดีตกรรม ได้แก่เทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต อสุรกาย, โอปปาติกะ ก็เรียก. (ป. อุปปาติก, โอปปาติก)


    โรคดังกล่าว เกิดจากการเบียดเบียนจากจิตวิญญาน หรือผู้มีเจตนา และไม่เจตนา โบราณเราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่า ลมเพลมพัด
    เช่น โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ก็เกิดจาก มีจิตวิญญานที่หิวโหย มาเกาะดูดซับพลังชีวิตที่มาหล่อเลี้ยงแขนขา ทำให้พลังชีวิต มาหล่อเลี้ยงไม่พอ
    เมื่อมีพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงไม่พอ อวัยวะส่วนนั้นๆก็จะค่อยๆอ่อนแรงลีบเล็กลง
    มีสภาพเหมือน ต้นไม้ที่โดนเพลี้ยมาเกาะดูดกินน้ำเลี้ยง
    เกาะที่ยอด ก็ไม่เจริญเติบโต จะชงักงัน
    เกาะที่ผล ผลก็จะแคระแกรน
    ฯลฯ

    การรักษ่า ก็ต้องไล่ไอ้พวกเพลี้ยแมลงออกไป แล้วก็ให้ยาบำรุงเพื่อฟื้นฟู
    และที่สำคัญ อาจต้องให้มณีฟ้าประทาน เพื่อทำให้อวัยวะส่วนที่ถูกทำลายจนจะตายแหล่มิตายแหล่ให้ฟืนกลับคืน
     
  8. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    กระสายยาที่สำคัญที่สุด ในการรักษาโรคไร้เหตุ ก็คือ

    บุญ

    ให้สะสมบุญให้มาก ก่อนมาหาหมอสุวิ


    นี่คือเหตุที่ผู้มาหาหมอสุวิ ทำบุญกันอุตลุด
    ดังปรากฏอยู่ในกระทู้นี้
     
  9. ดาวทะเลทราย

    ดาวทะเลทราย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    3,424
    ค่าพลัง:
    +13,166
    ระยะนี้ อยู่ในช่วง เทศการ เข้าพรรษา
    คนไทย นิยมทำบุญ กันตามประเพณี
    จึงเป็นโอกาสอันที่ ที่ จะได้ สั่งสมบุญ กัน ครับ

    ให้ เห็นบุญ เป็นอาหาร
    ให้เห็นบุญ เหมือนขนมอร่อย

    เรากินอาหารเป็นประจำ วัน ละ หลายมื้อ

    บุญ ก็ เช่น เดียวกัน.... ครับผม
     
  10. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    อาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง ไม่ว่าคุณจะมีอาการนี้จากการวินิจฉัยว่าเป็นหรือไม่เป็นโรคใดก็ตาม รวมถึงอาการกล้ามเนื้อกระตุก ไม่ควบคุมตามคำสั่ง

    การพูด พูดเหมือนลิ้นจุกอยู่ที่ปาก ลิ้นแข็งไม่เป็นไปตามที่จิตของคุณสั่ง ลิ้นลีบ เหล่านี้ แม้ยาและการรักษาบางอย่าง จะใช้ได้กับการรักษาจากคุณหมอสุวิอยู่บ้างก็จริง

    แต่อีกวิธีหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ด้วยตัวเองในเบื้องต้น กรณีไม่ได้เป็นหนัก หรือถ้ายิ่งเป็นหนักก็ยิ่งต้องทำ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินเสียทองเป็นค่ารักษากับแพทย์แผนปัจจุบันให้ต้องเจ็บตัวฟรี หรือกับแพทย์แผนทางเลือกอย่างคุณหมอสุวิ ก็คือการกราบเท้าขอขมากับสิ่งที่คุณได้เคยล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ของคุณ

    ทั้งนี้ข้าเจ้าได้อ่านเนื้อความของโรคที่คุณ 45111127 ได้บรรยายเอาไว้ (กระทู้ที่ 3251) เกี่ยวกับโรค ALS แล้วได้หันไปถามคุณหมอสุวิ ที่ได้กรุณาตอบคำถามของคุณไป โดยปรึกษากับท่านว่า

    ความจริงโรคนี้ แก้ไขได้ด้วยตัวเองก่อนเบื้องต้น โดยที่ไม่ต้องใช้สตางค์รักษาเลยแม้แต่น้อยมิใช้รึ? มันจะเหมาะมากเลย หากว่าผู้ป่วยทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน โดยแต่แรกเกิดมา ทุกคนก็ใช่ว่าจะมีเงินติดตัวมาด้วย

    ดังนั้น การรักษาลำดับแรก เราก็ควรได้บอกคนไข้ ถึงวิธีการรักษาที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องใช้เงินเลยก็รักษาได้ไปด้วยสิ


    คุณหมอสุวิได้ฟังข้าเจ้าพูด ก็เห็นดีด้วย กับเหตุผล ที่เป็นการรักษาที่ข้าเจ้าจะเอ่ยถึงต่อไปนี้ โดยหมอสุวิได้บอกว่ามันจัดอยู่ใน 1 ใน 5 ที่ได้กล่าวไว้ในพระธรณีสารด้วย


    ดังนั้น ข้าเจ้าจึงขออธิบายวิธีการรักษาผู้ที่มีอาการ กล้ามเนื้อร่างกายแข็ง เกร็ง กระตุก หรืออ่อนกำลังปวกเปียกลงกว่าที่เคยเป็นปกติ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ปากลิ้นแข็ง ลิ้นจุกปาก ฯลฯ เหล่านี้ ให้ท่านทั้งหลาย เร่งปฏิบัติดังต่อไปนี้

    - จัดหาดอกไม้ พวงมาลัยที่สวยที่สุด ปราณีต เท่าที่จะหาได้ ธูป 5 ดอก เทียน 1 คู่ ขนม 1-2 ห่อ จัดใส่พาน

    - เข้าไปกราบเท้าคุณพ่อคุณแม่ หรือคนใดคนหนึ่ง หากว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ หากท่านใดไม่อยู่หรือเสียไปแล้ว ขอให้ท่านที่เหลืออยู่รับแทน (เป็นตัวแทนทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน)

    - กล่าวขอขมาคุณพ่อคุณแม่ ที่เราได้เคยล่วงเกินท่าน ทั้งกายกรรม 3 (อาทิ เอามือชี้ด่าพ่อแม่ ตอนที่เรายังไม่รู้ความ เคยเอาเท้าถีบหน้าพ่อแม่อย่างเด็กทารกเล่นกับผู้ใหญ่ แล้วผู้ใหญ่ก็ชอบเอาคางมาไส้ฝ่าเท้าน้อยๆ นั้น ฯลฯ) มโนกรรม 4 (กล่าวว่าท่านอยู่ในใจ) วจีกรรม 3 (กล่าวคำพูดที่ทำให้ท่านไม่สบายใจ รวมถึงคำสบถต่างๆ ทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจกับท่าน)

    - ถวายพานให้ท่าน (ดอกไม้ ธูป เทียน)

    - แกะขนมในพานป้อนใส่ปากท่าน และกล่าวกับท่านว่า ขนมนี้ เราหามาได้ด้วยความบริสุทธิ์ ขอขอบคุณทดแทนคุณที่ท่านได้เคยป้อนข้าวคำแรกให้กับคุณ และหาข้าวหาน้ำเลี้ยงดูคุณ จนเรามีร่างกายใหญ่โต หาเลี้ยงตัวเองได้

    - เตรียมผ้าเปียกเช็ดสำเร็จที่มีขายอยู่ทั่วไป แกะออกมาเช็ดเท้าให้กับท่าน และกล่าวกับท่านว่า คุณขอขอบคุณท่าน ที่ท่านเคยได้อาบน้ำให้คุณ ในวัยที่คุณยังช่วยตัวเหลือตัวเองไม่ได้ ทำให้คุณมีสุขภาพที่ดี มีร่างกายเติบใหญ่ และหาเลี้ยงตัวเองได้ในวันนี้

    - ขอให้ท่านให้พรกับคุณ โดยคุณจะนำคำพูดก่อนก็ได้ค่ะ ว่า ขอให้ท่านช่วยกล่าวให้พรในเรื่องสุขภาพอนามัยของคุณ ให้แข็งแรง ฯลฯ



    ในกรณีเดียวกันนี้ สามารถใช้ได้กับการงาน และความรัก สำหรับผู้ที่กำลังประสบปัญหาเรื่องการงานไม่คล่อง กำลังทุกข์ร้อน ไร้แววสำเร็จ หรือมีปัญหาวิวาทกับคู่ครอง คู่ครองไม่ดี ไม่มีคู่ครอง หาคู่ครองไม่ได้ คู่ครองไม่ดูแลเอาใจใส่ คู่ครองตีจาก เป็นอื่น ก็ใช้วิธีการนี้ปรับแก้เป็นปฐมด้วยเช่นกันค่ะ

    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านผู้ที่มีความโกรธเคืองในตัวคุณพ่อหรือคุณแม่ของคุณ บางคนโกรธเคืองที่ท่านอาจไม่ได้เลี้ยงคุณมา หรือเลี้ยงแบบขอไปที เลี้ยงแบบลำเอียง หรือไม่เคยเหลียวแลเลย บางคนถึงขั้นตบตี ยิ่งทำให้คุณโกรธเคืองท่าน ลังเลสงสัยในการกระทำของท่าน

    เล่านี้ ขอคุณอย่าได้โกรธเคืองท่านเลยค่ะ โปรดอภัยให้ท่าน เพราะผลกรรมนั้น ท่านจะได้รับเองอยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

    เช่น แม่ผู้หนึ่งไม่ได้ให้นมลูกกิน ลูกก็ได้ยินจากผู้อื่นว่า ที่แม่ไม่ยอมให้นมลูกกิน ก็เพราะมีความเชื่อว่า ถ้าให้นมลูกกินแล้วหน้าอกของแม่จะไม่สวยได้รูปอีกต่อไป

    เด็กคนนั้นจึงเป็นเด็กขี้โรค ป่วยออดๆ แอดๆ เสมอ ยินได้ฟังเรื่องราวจากผู้อื่นมา ก็ยิ่งแอบเอาไปเจ็บปวดใจ ประกอบกับแม่เลี้ยงดูเธอแค่พักเดียว ก็ส่งต่อให้ญาติเลี้ยงดู ทำให้เธอโกรธเคืองในตัวแม่ และลังเลสงสัยในความรักของแม่ที่มีต่อเธอตลอด เธอรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่น และไร้ค่าในความเป็นมนุษย์

    หารู้ไม่ว่า ระหว่างนั้น แม่ของเธอก็ได้ใช้กรรมในสิ่งที่ได้ทำไว้กับเธอแบบไม่เว้นระยะกรรม เช่นกัน เช่นในกรณีที่แม่ของเธอห่วงสวย ไม่ให้น้ำนมกับลูก เต้านมของเธอก็ได้รับความทุกข์ ทรมาน จากอาการเต้านมคัดอย่างมาก จนไม่เป็นอันนอน ด้วยความเจ็บปวด เป็นต้น

    และด้วยเหตุที่เธอได้เรียนรู้ และเข้าใจกฎแห่งกรรมที่มี เกิด ตั้งอยู่ ดับไป ทำให้เธอคิดได้ในปัจจุบัน ต้องน้อมกราบขอบคุณพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ที่ในวันนี้เธอกล้าที่จะก้าวข้ามผ่านความรู้สึกทุกข์อันยิ่งใหญ่นั้นออกมาได้อย่างกล้าหาญ กล้าตัดบ่วงปมดุจเชือกอันทุกข์ระทมให้หัวใจนั้นทิ้งไปได้ รวมถึงเธอต้องขอบคุณคุณหมอ สมสิริ สกลสัตยาทร เป็นอย่างมาก ที่ชี้ทางสว่างจุดแรกให้กับชีวิตของเธอ ว่าเธอมีค่ากับหมอ มีค่าแห่งความเป็นมนุษย์แค่ไหน



    เหตุนี้ ผู้ที่มีปัญหากับพ่อแม่จึงควรเร่งรีบศึกษาเหตุและผล ในกฎแห่งกรรม และรีบหาโอกาสกราบท่าน ก่อนที่เราจะไม่มีท่านให้พวกเราได้กราบแก้กรรม เพราะหากท่านจากเราไปก่อน การปรับแก้กรรมเหล่านี้ก็จะยากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะมียาดี มีการรักษาที่พอช่วยได้ จากคุณหมอสุวิ


    แต่การรักษาด่านแรกด้วยตัวเองนั้น สำคัญยิ่ง เพราะมันจะมีผลในการนำไปชั่งบุญกุศลแห่งความกตัญญูในช่วงที่คุณมีการย้ายภพภูมิหลังจากที่พวกคุณได้ละสังขารไปด้วยหนะค่ะ ขอบอกไว้ก่อนเลยนะคะ


    และเพราะในพระไตรปิฏกได้กล่าวไว้ว่า พระพุทธองค์นั้นได้ตรัสไว้ ในใจความคล้ายกันนี้ว่า เราอย่าได้ออกไปดั้นด้นหาพระอริยะเจ้าที่ไหนมากราบไว้ เพราะแท้จริงพระอริยะเจ้าที่สูงส่งที่สุดเหนือเกล้าคือผู้ให้กำเนิดเรา
    ถ้าไม่มีเรา เลือดเนื้อในร่างกายนี้ก็จะไม่มี เมื่อไม่มี เราก็ไม่สามารถเดินทางไปหาพระอริยะเจ้าที่ไหนมากราบไหว้ สร้างบุญกุศลแก่ตัวเองได้ การมีตัวเราอยู่นี้ คือเพราะมีพ่อแม่ให้กำเนิดเรามา เลือดและเนื้อนี้เป็นสิ่งที่เราได้มา ซึ่งต้องทำการทดแทนบูชาคุณท่าน


    เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงยกย่องพระคุณพ่อแม่เป็นกำลังสูงสุดเหนือเศียรเกล้าของพระพุทธะนะคะ


    ดังนั้น ขอท่านทั้งหลายที่ป่วยไข้ด้วยอาการดังกล่าว หาโอกาสโดยเร็วในการกราบขอขมาท่าน และเลี้ยงดูท่าน ตามแต่กำลัง เพียงน้อยนิดที่มีก็ยังดีกว่าไม่เคยทำอะไรให้เลยหนะค่ะ


    อาการป่วยดังกล่าวก็จะทุเลาเบาบางลง โดยไม่ต้องเสียเงินเสียทองหนัก การงานที่เคยติดขัด หรือความรักที่เคยรุนแรง ด้วยวิธีเดียวกันนี้ ก็จะช่วยให้เรื่อราวต่างๆ ที่พบเจออยู่ทุเลาคลี่คลายลง ด้วยอนิสงฆ์แห่งความกตัญญูรู้คุณค่ะ






    (บุญนี้ข้าเจ้าขอถวายบูชาพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ และอุทิศให้พ่อแม่ของข้าเจ้าทุกภพชาติไม่ว่าพวกท่านจะอยู่ในภพภูมิใด นับถือศาสนาใด และขอใช้บุญนี้ตัดสัญญากรรมผูกพันต่อกันและกันเทอญฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กรกฎาคม 2013
  11. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    ธรณีสาร เป็นไฉน การต้อง ธรณีสาร เป็นอย่างไร
    (รายละเอียดยิบๆของ ธรณีสาร ให้ไปถามอากู๋เกิลเอาเองนะ)

    ธรณีสาร เป็นชื่อรวมของ อาถรรณ์ในรูปแบต่างๆ มากมายสุดจะจารไน

    ต้องธรณีสาร หมายถึงผู้ที่ต้องอาถรรณ์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างพร้อมๆกัน ทำให้ผู้ที่ต้องอาถรรณ์เหล่านี้
    ทำมาหากินไม่ขึ้น ทำอะไรก็ล้วนย่อยยับขาดทุน
    เป็นที่รังเกียดแก่คนทั่วไป ไม่มีคนอยากคบหา
    ประสพเแต่เรื่องร้ายๆ ทั้งโรคภัยไข้เจ็บ และอุบัติภัยต่างๆ ไม่รู้จบสิ้น
    ฯลฯ

    ซึ่งเหตุเหล่านี้ เกิดแบบหาเหตุมิได้ หรือก็ถูกชักนำให้เกิดเหตุ แบบไม่ทันตั้งตัว
    บางคนทั้งๆที่รู้ เพียรพยายามแก้ไข ก็ไม่อาจแก้ได้
    อย่างหนึ่งพอจะดีขึ้น เรื่องร้ายใหม่ๆก็โผล่เข้ามา วนเวียนไม่จบสิ้น ทำให่ชีวิตหมดหวัง

    คนที่พอรู้ก็เพียรหาครูบาอาจารย์ที่เก่งๆ แก้ไข
    ส่วนใหญ่แก้ไม่ได้ลย เพียงดีขึ้นในระยะแรก แล้วการณ์ก็เปลี่ยนไป เป็นเรื่องใหม่อื่นๆ เข้ามาแจม
    พวกที่แก้ได้ก็เพราะมีผลบุญเก่า(ทั้งชาติปัจจุบันและอดีตชาติ)ที่ทำมาดี หนุนนำส่ง

    เหตุที่เกิดเหล่านี้ ทุกคนก็ว่าเป็นเพราะกรรมเก่า เจ้ากรรมนายเวรมาทวงหนี้
    บ้างก็ว่าเป็นเพราะวิบากกรรมที่ต้องชดใช้

    หลังจากได้ทุ่มตัวลงไปศึกษเรื่องนี้แล้วพบว่า
    กรรมเก่า และวิบากกรรม (ที่ไม่มีเจ้ากรรมนายเวรตัวจริงตามประกบ)เป็นตัวกระตุ้นให้ต้องอาถรรณ์ธรณีสารนี้

    และผู้ที่ต้องธรณีสาร จะเป็นผู้ที่มีเสน่ห์แลเนื้อหอม
    เป็นที่ต้องตาต้องใจของเหล่า เทวดาชั้นต่ำ(มิจฉาทิฐิ) แลภูตผี สัมภเวสี เปรต อสูรกาย คุณไสย์อวิชาทั้งปวง(ขอรวมเรียกว่าลมเพลมพัด)
    ดังนั้นไม่ว่าจะเยื้องย่างไปที่ใด เหล่าลมเพลมพัดเหล่านี้ จะขอเกาะมาด้วยเสมอ
    และก่อให้เกิด ความวิบัติต่างดังที่กล่าวมาข้างบน


    รวมๆแล้ว ธรณีสาร จะหมายถึงเหล่า เสนียด จังไร อุปสรรค อุบาทว์ ฯ
    ผู้ต้องธรณีสาร ก็หมายถึง ผู้ที่มี เหล่าเนียด จังไร อุปสรรค์ อุบาทว์ ฯ อยู่ในตนนั่นเอง

    แล้วเราจะแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร

    การจะแก้ไข ธรณีสารได้ ก็ต้องรู้ก่อนว่า ธรณีสารเกิดขึ้นได้อย่างไร

    จาการศึกษาของหมอสุวิ พบว่า ธรณีสาร ไม่ได้ติดตัวข้ามภพข้ามชาติเสมอไป(มีบางกรณีเท่านั้นที่ข้ามภพชาติ)
    แต่วิบากกรรมของผู้นั้นเป็นตัวกระตุ้นให้คนผู้นั้น ต้องธรณีสาร ในชาติปัจจุบัน

    เหตุแห่งธรณีสาร เป็นเพราะถูกชักนำให้กระทำผิดในสิ่งเหล่านนี้

    ๑. ผิดต่อดินฟ้า
    ๒. ผิดต่อสัจจาที่ให้
    ๓. ผิดต่อครูอุปปัชชาอาจารย์ที่สอนไว้
    ๔. ผิดต่อใจในศีลแลธรรมประจำจิต(ไร้หิริ โอตัปปะ)
    ๕. ผิดต่อจารีต บรรพบุรุษ บุพการี แลผู้มีคุณ

    การถูกชักนำให้กระทำผิด ในเหตุทั้งห้าประการที่กล่าวไว้ ทำให้เกิดอาถรรณ์ธรณีสาร ติดตัวคนผู้นั้น

    แม้ผู้ที่ไม่ได้ต้องอาถรรณ์ หากไปคบค้า ร่วมหอลงโรงด้วย ไม่นานก็จะต้องอาถรรณ์ ธรณีสาร ไปด้วย (ยังกะโรคติดต่อเลยนิ)
     
  12. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    อีหนู อธิษฐานนี่ หัวหลาดนิ
    แสดงธรรมเสร็จ ก็เอาบุญ บูชาพระพุทธเจ้า ๒๘ พระองค์
    ขอบุญจากพระองค์ อุทิศให้บิดามารดา ขอตัดกรรมอันอาจทำให้ตัวเองต้องธรณีสารในห้วข้อที่ ๕ ได้อย่างหมดจด

    นับเป็นการแสดงตัวอย่างที่ดี ตั้งแต่ต้นจนจบขบวนการ
     
  13. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    suwi2 ได้เล่าเรื่องธรณีสาร และการแก้ไข เคร่าๆไว้ ใน "เรื่องเล่าตื่นนอน ตอนสายๆ"
    อยู่หน้า 46 นะ ลองพลิกไปอ่านดูนะ
    http://palungjit.org/threads/เรื่องเล่า-ตื่นนอน-ตอนสายๆ.246180/page-46

    วิธีการ ทุกอย่าก็ต้องเริ่มที่การขออภัย นะ
    คล้ายกับที่หนูอธิษฐานเล่าไว้

    แต่ต้องมีบุญจำนวนมาก เป็นเครื่องขมากรรมนะ
     
  14. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ข้าเจ้าอ่านความจากคุณหมอสุวิแล้วก็ขออนุโมทนา สาธุฯ ค่ะ เพียงแต่เกิดอาการ งง ว่า

    วิธีการ ทุกอย่าก็ต้องเริ่มที่การขออภัย นะ
    คล้ายกับที่หนูอธิษฐานเล่าไว้

    แต่ต้องมีบุญจำนวนมาก เป็นเครื่องขมากรรมนะ


    ไอ้คำว่าว่า ต้องมีบุญจำนวนมาก เป็นเครื่องขมากรรมเนี่ยค่ะ มันต้องเป็นยังไงรึคะ?

    ตกลงสรุปแล้วเนี่ย ถ้าเราไม่มีบุญจำนวนมาก เป็นเครื่องขมากรรม พิธีกรรมนี้ก็ไม่สามารถทำให้เกิดฤทธานุภาพในการปรับเรื่องร้ายให้ทุเลารึยังไงเจ้าค่ะ รบกวนคุณหมอสุวิอธิบายให้เคลียร์ค่ะ

    และเราจะทำอย่างไรคะ ถึงจะทำให้เรามีบุญจำนวนมาก ไปเป็นเครื่องขมากรรมหนะค่ะ

    V
    V
    V
    V
    V
    V
    V
    วอ.2 เรียกว่า วอ.8

    หมอสุวิกรุณามาตอบจุดนี้ให้หลังไมค์แล้วค่ะ เลยขอมาเขียนต่อ ประหยัดความยาวกระทู้ หุหุ

    หมอสุวิบอกว่า ความหมายนี้คือ พอเราทำพิธีนี้กับคุณพ่อคุณแม่ หรือผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์เสร็จ ก็ให้เราตั้งจิตถวายบูชาบุญแด่พระพุทธองค์ค่ะ


    วิธีการก็อยู่ในกระทู้นี้ที่หน้า 133 นะคะ

    ข้าเจ้าอ่านจบหน้า 133 ก็ให้ถึงบางอ๋อ เพราะว่าเป็นสิ่งที่ท่านทั้งหลาย ที่ติดตามกระทู้นี้มาโดยตลอด หลายๆ ท่านกระทำตามกันอยู่แล้ว

    แต่ท่านหมอยังส่งอักษรเตือนมายังกับไซเรน ..วี้หว่อ วี้หว่อ...เพิ่มเติมเข้ามาอีก

    ท่านหมอบอกข้าเจ้ามาอีกว่า ให้ข้าเจ้าอ่านต่อไปอีกหลายๆ หน้า ข้าเจ้าจึงขออนุญาตก๊อปปี้ข้อความ ..วี้หว่า วี้หว่อ..ของท่านนั้น มาแปะไว้ให้ทุกท่านได้อ่านกันด้วยทั่วหน้า นะคะ


    ท่านได้เขียนที่วี้หว่อ วี้หว่อ ไว้ดังนี้ค่ะ ..>>> จากหน้า 133 แล้วให้อ่านต่อ มันยังมีอีกหลายหน้า ยังมีเทคนิคอีกหลายแบบ คือ

    1.เมื่อบุญจากการบูชาพระแล้ว

    2.ก็อุทิศบุญให้ตัวเองเป็นอันดับแรกก่อน

    3.แล้วค่อยอุทิศให้พ่อแม่ ครูบาอาจารย์

    4.และหลังจากนี้จะอุทิศให้ใครก็อุทิศไป

    เอวัง...สาธุค่ะ...




    (บุญนี้ข้าเจ้าขอบูชาให้พระพุทธเจ้า 28 พระองค์ และขอกำลังบุญนีจงส่งเสริมการงานของข้าพเจ้าให้เจริญๆ มีเงินมีทองเข้ามาให้ ไม่เดือดร้อนขัดสนเงินทอง เทอญฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 กรกฎาคม 2013
  15. หนุ่ม36

    หนุ่ม36 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    1,511
    ค่าพลัง:
    +3,463
    วันนี้ร่วมทำบุญถวายปัจจัยร่วมเป็นเจ้าภาพบวชพระ วัดท่าขนุน ครั้งที่ 4 ประจำปี 2556 จำนวน 1,000 บาทครับ

    http://palungjit.org/threads/กำหนดก...วัดท่าขนุน-บวชจำพรรษา-๑๔-กรกฎาคม-๒๕๕๖.356704/

    ขอเชิญทุกท่านร่วมอนุโมทนาบุญกันครับ
     
  16. parpen

    parpen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2012
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +614
    ข้อความบางส่วนจาก #3256

    "เหตุนี้ ผู้ที่มีปัญหากับพ่อแม่จึงควรเร่งรีบศึกษาเหตุและผล ในกฎแห่งกรรม และรีบหาโอกาสกราบท่าน ก่อนที่เราจะไม่มีท่านให้พวกเราได้กราบแก้กรรม เพราะหากท่านจากเราไปก่อน การปรับแก้กรรมเหล่านี้ก็จะยากยิ่งขึ้น แม้ว่าเราจะมียาดี มีการรักษาที่พอช่วยได้ จากคุณหมอสุวิ "

    แล้วถ้าท่านจากเราไปแล้วทั้งพ่อและแม่ การปรับแก้กรรมจะทำได้อย่างไรคะ คุณหมอสุวิหรือคุณอธิษฐานเมตตาให้คำแนะนำด้วยค่ะ
     
  17. leia17

    leia17 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    331
    ค่าพลัง:
    +1,368
    ตัวแดงๆ นี่เคสหนูเลยใช่ไหมคะ

    >o<
     
  18. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168


    ขออนุญาตตอบคำถามนี้นะคะ แต่ถ้าถูกต้องหรือไม่อย่างไร ให้ได้ผลเต็มร้อย รบกวน คุณหมอสุวิ (คุณป๊ะป๋า) กรุณามาตอบเพิ่มเติม (หากว่ายังไม่ครอบคลุม หากว่าครอบคลุมแล้ว ก็ไม่ต้องเพิ่มเติมก็ได้ค่ะ)


    หากว่าคุณบิดามารดาจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ข้าเจ้าทำอุทิศให้พระคุณบิดามารดาที่ข้าเจ้าทำอยู่ทุกวันนี้ เป็นการอุทิศบุญล้วนๆ ค่ะ เพราะเหตุติดขัดว่า นานๆ จะได้เจอพวกท่านสักครั้ง ไม่ได้เจอกันบ่อยๆ


    และรวมถึงการทำบุญในแทบจะทุกวัน ข้าเจ้าก็ได้พึงระลึกไปถึงบิดามารดาในทุกๆ พิภพ อันได้แก่สวรรค์ 16 ชั้นฟ้า และอบายภูมิต่างๆ ที่บางทีท่านอาจจะไปทัวร์อยู่


    ทุกอย่างในโลกนี้ล้วนไม่แน่นอน ไม่มีอะไรเป็นของแน่นอน ดังนั้นข้าเจ้าก็เลยส่งบุญไปถึงท่านทั้งหลาย หากว่าทัวร์อบายภูมิอยู่ ท่านก็จะได้มีค่าเดินทางในการ up ตั๋ว ได้กลับมาทัวร์ยังภพภูมิ หรือมีวิมาน ที่ๆ ดีกว่าหนะค่ะ



    วิธีการก็ง่ายๆ เพียงแต่ต้องทำบ่อยๆ เรียกว่าข้าเจ้าทำแทบทุกวันนั่นเอง เพราะท่านไม่ได้อยู่ให้เราขอขมาแบบตัวเป็นๆ นั่นเอง


    1. เวลาสวดมนต์เสร็จทั้งในตอนเช้า และก่อนนอน แล้วแต่จะทำ (รวมถึงทำบุญตักบาตร ปล่อยนกปล่อยปลา ช่วยเหลือผู้อื่น ฯลฯ ไรก็ได้ สัพเพเหระจะทำบุญ) หลังจากถวายบูชาบุญแด่พระพุทธองค์และอุทิศให้ตัวเองแล้ว ให้ใช้บุญก้อนเดียวกันนั้นอุทิศให้คุณบิดามารดาทุกภพชาติ (หรือทั้งสามโลกก็ว่าไปนะคะ)


    อนึ่งขอย้ำนะคะ ว่าการทำบุญใดให้ได้บุญ กรุณาอย่าทำเกินหน้าตักของตัวเอง หรือในความหมายก็คือ ให้ทำแม้เพียงเล็กน้อย หรือจะมากก็ดี หากว่าการทำบุญนั้นเรายังคงรู้สึกได้ถึงความอิ่มเอมในหัวใจอยู่ (ระหว่างและหลังทำบุญ)


    หากว่าเป็นการทำบุญไปแล้ว เพราะทำตามๆ กันไป หรือเพียงได้ยินว่าทำแล้วจะได้บุญ หรือเห็นว่าผู้อื่นจำต้องใช้เงินมากในการจัดการกับการสร้างบุญที่เขาได้ตั้งปนิธาณไว้ แล้วพอเราได้ยินก็เห็นใจ สงสาร ก็เลยตัดใจเอาเงินก้อนของตัวเองไปช่วยเหลือเขา แต่ตัวเองต้องกระเบียดกระเสียน ทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าหมอง ไม่สบายใจ ทนทุกข์ เช่นนี้ บุญที่เราทำลงไปจะด่างพร้อย ไม่เต็มกำลังบุญนะคะ

    ดังนั้นถ้าท่านมี บาทเดียว ก็ทำบาทเดียวค่ะ แต่ยังคงรับรู้ได้ถึงความรู้สึกอิ่มเอิมใจอันนั้น ก็จะได้บุญเต็มกำลังบุญมากกว่าทำไป หมื่นบาท นะคะ ขอให้ใช้ความรู้สึกที่ยังคงรับรู้ได้ถึงความอิ่มเอมเป็นที่ตั้งในการทำบุญทุกครั้งค่ะ

    ทั้งนี้แม้แต่คนที่ไม่มีสตางค์ก็ยังทำบุญให้ได้บุญได้ด้วยเช่นกันค่ะ ด้วยการกล่าวคำสาธุฯ ในการอนุโมนาบุญ เมื่อเห็นผู้อื่นทำบุญ หรือเพียงแค่ระลึกได้ว่า ขณะนี้พวกคนเหล่านั้นได้ทำบุญนั้นๆ อยู่ เพียงกล่าวสาธุ ท่านก็จะได้บุญด้วยเช่นกันค่ะ


    ถ้าจำไม่ผิด ข้าเจ้าเคยอ่านหรือได้ยินได้ฟังถึงบุญของการกล่าวคำว่า สาธุ ที่ท่านหลวงพ่อพระพุทธธาตุท่านได้กล่าวไว้ เลาๆ คล้ายๆ ดังนี้ว่า


    เมื่อครั้งที่ท่านออกบิณฑบาตไป ท่านรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินในทุกครั้งที่มีผู้ตักบาตรเรียบร้อย ท่านก็ให้เกิดความสงสัยว่า เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เมื่อท่านได้กลับมานั่งพิจารณา ก็เห็นว่า เหล่าเทวดาทั้งหลายที่ได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ ต่างอนุโมทนายินดีในการตักบาตรของผู้คนเหล่านั้นที่ได้ตักบาตรกับท่าน


    ดังนั้นท่านทั้งหลายคะ หากวันใดที่ท่านไม่ได้มีสตางค์ ประสบปัญหาการเงิน หรือเพียงได้ยินได้ฟังว่ามีใครไปทำบุญมา อย่านึกว่าท่านได้เสียโอกาสที่จะได้ร่วมบุญก้อนนั้นค่ะ เพียงแค่ท่านตั้งจิตกล่าวคำว่า สาธุ เพื่อร่วมอนุโมทนาบุญกับผู้คนเหล่านั้น หากท่านรู้สึกร่วมไปกับพวกเขาด้วยความอิ่มเอม ท่านก็จะได้รับบุญเช่นเดียวกันค่ะ


    ลากออกนอกเรื่องซะยาว ขอเข้าเรื่องต่อนะคะ


    2. การปฏิบัติธรรม ขอยกตัวอย่างที่ข้าเจ้าทำอยู่ละกันนะคะ ข้าเจ้าจะปฏิบัติสมาธิในแต่ละวันแปลปรวน ตั้งอยู่บนความไม่แน่นอน (ไม่มีอะไรเป็นของแน่นอน) ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพจิตและเวลาในแต่ละวัน ทำให้กำลังของข้าเจ้าที่จะอยู่กับการทำสมาธิ มันผันผวนไปได้ตลอดตัว เป็นปรกติวิสัย


    แต่ถ้าหากวันใดข้าเจ้าผันผวนมากๆ จัดหนัก และอยากเข้าสมาธิให้ได้ มันเข้าไม่สงบเลยในช่วงหลายวันที่ผ่านมา อะไรประมาณนี้ ข้าเจ้าจะใช้วิธีตั้งจิตบูชาอุทิศบุญให้กับบิดามารดา ดังนี้ค่ะ



    นึกถึงพระพุทธคุณ ให้มาช่วยดูแลระหว่างที่ข้าเจ้าทำสมาธิในคืนนี้ และกล่าวถวายบุญว่า ข้าเจ้าจะปฏิบัติสมาธิ ณ บัดเดี๋ยวนี้ หากว่า กุศลผลบุญในการทำสมาธินี้มีอยู่จริง ข้าเจ้าขอให้บิดามารดาของข้าเจ้าได้บุญนี้ด้วยเช่นกันกับข้าเจ้าทุกประการ ด้วยเหตุที่ท่านนั้นเป็นผู้ที่ได้ให้เลือดเนื้อ และชีวิตกับข้าเจ้า จึงมีข้าเจ้าในวันนี้ ดังนั้นหากการทำสมาธิของข้าเจ้าเกิดบุญกุศลใด ก็ขอให้ท่านได้บุญนี้ร่วมกับข้าเจ้าด้วยทุกประการเทอญฯ

    (ส่งจิตนึกถึงท่านบุพการีไปนะคะ ถ้าไม่อยู่ในภพภูมินี้แล้ว ไปอยู่ในภพภูมิใด ก็ส่งจิตระลึกถึงไปค่ะ และกุศลใดที่เกิดจากการทำสมาธิ และอุทิศบุญนี้มีกุศลผลบุญอยู่จริง ข้าเจ้าขอน้อมบุญนั้นถวายต่อพระพุทธเจ้า .... (ฯลฯ ไรๆ ก็ว่าไป พระพุทธเจ้าหลายพระองค์เยอะแยะก็ว่าไป)


    คือเหตุ ผล ที่ข้าเจ้าทำอย่างนี้ ในการทำสมาธิในครั้งนั้น เพราะข้าเจ้าต้องการจะตั้งใจให้มากขึ้น เพื่อโน้มจิตเข้าหาสมาธิได้มากขึ้น และง่ายขึ้น ด้วยเพราะเรามีจุดหมายมากกว่าปรกติที่เคยทำสมาธินั่นเองค่ะ และวิธีนี้ข้าเจ้าก็เชื่อว่า สามารถใช้ได้กับบุพการีในทุกพื้นที่ในสามโลกนะคะ





    (ข้าเจ้าขอถวายบูชาบุญนี้แด่พระธรรมในพระพุทธภูมิทุกๆ พระองค์ รวมถึงเหล่าบรมครูบาอาจารย์ที่ปรารถนาดีในด้านที่เป็นคุณแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตชาติเริ่มต้น จนถึงชาติปัจจุบัน และขอบุญนี้ จงเป็นพลังบุญหนุนเนืองกายทิพย์ของข้าพเจ้าทั้งกายหยาบและกายละเอียด ให้สามารถเข้าถึงสมาธิ และมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับองค์สังฆราชราชา ได้โดยง่ายทุกเมื่อ สามารถมีหูทิพย์ในการเข้าถึงคำกล่าวของท่าน รวมถึงเหล่าเทพเทวดาทั้งหลาย เพื่อจะได้เกิดความรอบรู้ เรียนรู้ ศึกษาในทุกศาสตร์สาขาวิชา ได้โดยง่าย จากพวกท่านเหล่านั้นเทอญฯ และขอให้สุขภาพของข้าพเจ้าแข็งแรง ปราศจากโรคภัยเบียดเบียนจากมนุษย์ สรรพสัตว์และจิตวิญญาณทั้งหลาย เทอญฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2013
  19. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เมื่อเราเห็นผู้ใด ได้ประกอบการบุญแล้ว
    และเรามีจิตอิบเอิบ ปิติ ไปกับการบุญนั้นๆ
    คำกล่าว ว่า "อนุโมทนา" ด้วย
    หรือ กล่าว่า " ยินดีในบุญ" ด้วย

    คำกล่าวทั้งสองแบบนั้น เป็นเพียงเแสดงว่า เรารับรู้ในบุญนั้นๆ ที่ผู้นั้นๆได้กระทำแล้ว
    แต่เรายังไม่ไดบุญ ไม่ได้มีส่วนร่วม ในบุญนั้นเลย
    แต่หากเราอิ่มเอิบและปิติในผลบุญนั้นๆ และปรารถนามีส่วนในบุญนั้นๆละก็
    จงเปล่งเสียงให้กึกก้องทั้งสามโลกธาตุว่า

    "สาธุ"

    จงเปล่งคำว่าสาธุ ต่อท้าย คำว่า "ยินดีในบุญด้วย สาธุ" หรือ "อนุโมทนาในบุญด้วย สาธุ"

    คำว่า "สาธุ" เป็นคีร์เวิอร์ด ที่จะทำให้เราได้บุญ
    ส่วนคำว่า อนุโมทนา หรือ ยินดีในบุญ เป็นคีร์เวิอร์ ที่นำความปิติอิ่มเอิบ มาสู่เรา
    บุญที่เราจะได้มากน้อยเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับ ความปิติอิ่มเอิบในบุญนั้นๆ
    ไม่แน่นะ ความยินดีในบุญ ของคุณ เมื่อสาธุแล้ว อาจได้บุญมากกว่าผู้กระทำผู้ควักเงินทำบุญก็ได้นะ(แต่ก็ยากที่จะหาผู้"อิน"ในบุญเกินเจ้าของบุญ)
     
  20. suwi

    suwi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มิถุนายน 2007
    โพสต์:
    2,652
    ค่าพลัง:
    +18,543
    เมื่อ หมอสุวิ ได้กล่าวถึงเรื่องธรณีสาร
    ก็มีหลายคน กลัวว่าตนเองคงต้องธรณีสารแน่ๆเลย มันเกิดเรื่องที่ไม่น่าเกิดกับตนเองมากมาย
    ต่างไถ่ถามกันเข้ามาทาง PM และ email กันมาก


    หมอสุวิขอบอกได้เลยว่า การต้องธรณีสารนั้น ไม่ใช่ต้องกันได้ง่ายๆ
    ผู้ที่จะต้องธรณีสารนั้น ต้องกระทำผิด ดังที่บอกกล่าวไว้
    ชนิดที่ทำแล้วทำอีก แบบไมรู้จักความผิดชอบชั่วดี ทำแบบไร้สำนึกซ้ำๆ ซากๆ ด้วยความพอใจ ด้วยความสุขที่ได้ทำ

    เช่น การฆ่าสัตว์ ฆ่าจนเป็นปกติวิสัยและยินดีปิติไปกับการฆ่านั้น (พวกที่ทำเป็นอาชีพ เพราะความจำเป็นไม่เกี่ยวนะะ)
    การยักยอก ขโมย หากทำเป็นอาจิน นี่โดนแน่ หากทำเพราะจำเป็นพลั้งเผลอ นี่โดนความผิดธรรมดานะ ไม่ต้องธรณีสาร
    การประพฤติผิดในกามก็เช่นกันนะ ชอบเสพกามเป็นนิจ ลูกผัวเมียใครไม่สนนะ ขอให้ได้เสพเป็นพอ พวกนี้ต้องธรณีสารทั้งสิ้น แต่โสเภนีส่วนมาก กลับไม่โดนแฮะ
    ฯลฯ

    การกระทำผิดต่อพ่อแม่ ผู้มีพระคุณ ก็เช่นกัน การทำให้ท่านน้ำตาตก ซ้ำแล้วซ้ำเล่า นี่ต้องธรณีสารแน่นอน
    หมั่นขอขมาท่านไว้ ก็เราไม่รู้ว่าทำให้ท่านเสียใจหรือไม่ ไปขัดใจเรื่องอะไรไว้
    เพราะท่านจะไม่พูดให้เราเสียใจ ทุกเรื่องท่านอดทนเก็บหมด ผู้เป็นพ่อแม่คนแล้วจะเข้าใจ
    ฯลฯ

    มีเพียงข้อเดียวเท่านั้นที่อาจทำเพียงครั้งเดียว ก็ต้องธรณีสารแล้ว
    ข้อนั้นคือ ทำผิดต่อเทพยดาฟ้าดิน ผิดต่อสิ่งศักสิทธิ์ พระรัตนตรัย
    ก็เขาเป็นเทวดาเป็นพรหมนะ ไปเยี่ยวรดเขา ไปดูแครนเขา ไปปรามาสเขา ไปกระทำผิดต่อเขา ฯลฯ
    พวกนี้ หากไปกระทำผิดต่อเขามากๆเข้า เขาก็ให้พรบ้าง ให้คำสาปแช่งบ้าง
    เมื่อได้พรจากเขา(หรือคำสาปแช่ง) ก็ต้องธรณีสารทันทีเลย
    ใครเคยได้เห็นได้ยินพรเช่นนี้บ้าง

    พรนี้ เห็นแว่วๆว่าพระสยาม ท่านเป็นผู้ประทานนะ
    ท่านประทานให้ผู้แก่ผู้ฉกฉวยประโยชน์ของแผ่นดินใส่ตน(เห็นว่าเป็นนายทหารใหญ่ผู้หนึ่ง เมื่อนานมาแล้ว)

    พรมีใจความดังนี้
    ขอให้ท่าน จงเป็นผู้มีอายุยืนยาว ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ รักษามิรู้หาย
    ขอให้พบยาดีหมอดีรักษาให้บันเทาจากอาการป่วยไข้ อยู่เนืองๆ
    จนกว่าจะระลึกถึงความผิดบาปชั่วดี ที่ได้กระทำ

    พอพิจารณาความดีๆ
    ฮู้....หยองหวะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...