การแก้อกุศลกรรมให้เป็นอโหสิกรรม

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 13 กรกฎาคม 2013.

  1. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ตามหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนานั้น ย่อมแสดงว่า สัตว์ทั้งหลายอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรม
    ใครทำดี ย่อมได้รับผลดี ทำชั่ว ย่อมได้รับผลชั่ว บาปกรรมต่างๆที่ได้ทำไปแล้ว ย่อมไม่อาจลบล้างได้
    แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังพอมีหนทางที่แก้ไขให้อกุศลกรรมที่ตนได้ทำไปแล้ว กลายเป็นอโหสิกรรมได้

    พุทธศาสนิกชน ผู้ได้ศึกษาธรรม ย่อมมีความเชื่อในเรื่องกรรม และผลของกรรมเป็นส่วนมาก
    แต่บางครั้งก็ด้วยอำนาจของกิเลสต่างๆ มีโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น
    ทำให้ต้องกระทำบาปลงไป มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม เป็นต้น
    และเมื่อกระทำลงไปแล้วรู้สึกตัว กลัวจะต้องได้รับโทษของอกุศลกรรมนั้น ทำให้ต้องกลุ้มใจ เสียใจ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ ย่อมทำให้อกุศลกรรมเพิ่มขึ้นได้อีกด้วย อปราเจตนามีกำลังมากขึ้นด้วย
    จนส่งผลได้แน่นอน ทั้งภพนี้และภพหน้า ตลอดจนภพต่อๆไป จนไม่มีโอกาสที่กลายเป็นอโหสิกรรมได้

    แต่อย่างไรก็ตาม ในพุทธศาสนานี้ ก็แนะวิธีแก้ไขอกุศลกรรมที่ตนทำไปแล้วให้กลายเป็นอโหสิกรรมได้ คือ
    เมื่อกระทำอกุศลกรรมไปแล้ว และได้มีความรู้สึกผิดชอบเกิดชึ้น ต้องอธิษฐานใจตนเองว่า
    จะไม่กระทำสิ่งทุจริตอีกเช่นนี้อีกต่อไป แล้วไม่ต้องหวนกลับไปคิดเรื่องนั้นอีก
    พยายามสร้างแต่กุศลที่เป็น "อาจิณกรรม" ให้เกิดขึ้นอยู่เสมอโดยการเรียนการสอนปริยัติธรรม
    สวดมนต์ไหว้พระ ทำบุญตักบาตร แผ่เมตตารักษาศีล เจริญภาวนาอยู่เสมอๆ เช่นนี้
    อกุศลทิฏฐธรรมเวทนียกรรมย่อมมีโอกาสส่งผลกลายเป็นอโหสิกรรมไปได้

    แต่สำหรับอกุศลครุกรรมนั้นไม่อาจแก้ไขได้
    เพราะกรรมชนิดนี้ต้องให้ผลแน่นอนในภพถัดไปในลำดับ แห่งจุติ
    ส่วนอกุศลอปราเวทนียกรรม แม้จะไม่กลายเป็นอโหสิกรรมไปได้ก็จริง
    แต่การส่งผลของอกุศลกรรมชนิดนี้ ย่อมถูกทำให้เบาบางลงไปด้วย
    อำนาจกุศลอาจิณกรรมนั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 กรกฎาคม 2013
  2. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อโหสิกรรม เป็นกรรมที่ยังไม่ได้ให้ผล. เป็นกรรมที่ไม่มีผล หรือกรรมที่จะไม่ให้ผล
    ดังในปฏิสัมภิทามรรคพระบาลี แสดงว่า
    "อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก.
    อโหสิ กมฺม นตฺถิ กมฺมวิปาโก.
    อโหสิ กมฺม น ภวิสฺสติ กมฺมวิปาโก ."

    แปลความว่า
    กรรมนั้นกระทำสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่เกิดผลไม่.
    กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นหาใช่กำลังเกิด.
    กรรมนั้นสำเร็จแล้ว แต่ผลของกรรมนั้นไม่เกิด.
    จากพระบาลีนี้ จะเห็นได้ว่า อโหสิกรรม มีชื่อเรียกได้ ๓ อย่าง
     
  3. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    "อโหสิ กมฺมํ นาโหสิ กมฺมวิปาโก" ชื่อว่ากรรมที่ยังไม่ให้ผล
    หมายความว่า กรรมที่กระทำสำเร็จแล้วนั้น เป็นอโหสิกรรมไป
    โดยที่ผลของกรรมนั้นยังไม่มีโอกาสได้ส่งผล

    เช่น เจตนาที่อยู่ในชวนะดวงที่ ๑ ที่ชื่อว่า ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม
    ซึ่งจะต้องส่งผลในปัจจุบันชาติเท่านั้น ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลได้ในชาตินี้
    ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมนั้น ก็ชื่อว่า เป็นอโหสิกรรมไป

    เจตนาที่อยู่ในชวนะดวงที่ ๗ ชื่อว่า อุปปัชชเวทนียกรรม
    ซึ่งจะต้องส่งผลในภพที่ ๒ แต่ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลในภพที่ ๒ ได้
    อุปปัชชเวทนียกรรมนั้น ก็ชื่อว่า เป็นอโหสิกรรมไป

    หรือเจตนา ดวงที่ ๒ - ๖ (ชวนะตรงกลาง ๕ ดวง) ที่เรียกว่า อปราปริยเวทนียกรรม
    ซึ่งจะต้องส่งผลตั้งแต่ภพที่ ๓ เป็นต้นไปจนถึงพระนิพพาน ถ้าไม่มีโอกาสส่งผลแล้วก็ชื่อว่า อโหสิกรรมไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • rtublog5.gif
      rtublog5.gif
      ขนาดไฟล์:
      20.1 KB
      เปิดดู:
      86
  4. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    หากท่านกับกระผมร่วมอกุศลสังคหกรรมกันมาก่อนต้องแก้ที่คนเดียว
    สองคน
    สามคน
    ไม่มีพยาธิหรือยาติกาโหตุ

    แล้วกรรมนั้นมันก็เหมือนโดดลงเหวบุญแล้วไปติดกิ่งไม้หรือไม่

    ถามจลิงท่านจะรอดไหมหลุมบุญ
     
  5. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    ถามอีก
    ท่านไปสร้างบริษัทโกง
    แล้วท่านรับคนเดียว
    หรือสาวกท่านไม่กิเลส
    คือไม่เกาะท่านเช่นนั้นหรือขอรับ

    เขารอด

    เพราะท่านเป็นประธานปริฉัตร
     
  6. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ในบรรดากรรมที่ทำสำเร็จแล้วมีหลายๆ อย่าง
    มีทิฏฐธรรมเวทนียกรรมเป็นต้นนั้น ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งย่อมให้ผล
    ทิฏฐธรรมเวทนียกรรมที่เหลือนอกนั้นก็ไม่ได้ให้ผล จึงเป็นอโหสิกรรมไป

    อุปปัชชเวทนียกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งนำปฏิสนธิให้เกิดขึ้นแล้ว
    อุปปัชชเวทนียกรรมที่เหลือนอกนั้นก็ไม่ได้ให้ผล (เป็นปฏิสนธิ) จึงเป็นอโหสิกรรมไป

    หรือโดยอนันตริกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งส่งผลให้เกิดในนิรยภูมิแล้ว
    อนันตริกรรมนอกนั้นก็ไม่ได้ส่งผล จึงเป็นอโหสิกรรมไป

    ส่วนฌานสมาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งในบรรดาฌานสมาบัติ ๘ ส่งผลให้เกิด
    ยังพรหมโลกแล้ว สมาบัติที่เหลือนอกนั้นก็เป็นอโหสิกรรมไป

    พระสารีบุตรมุ่งหมายเอากรรมชนิดนี้ จึงกล่าวว่า นาโหสิ กมฺมวิปาโก หมายถึง
    ผลกรรมนั้นหาใช่เกิดขึ้นแล้วไม่ คือผลกรรมนั้นไม่ได้โอกาสสนองผลนั่นเอง

    อนึ่ง กรรมเล็กๆ น้อยๆ นั้นคืออกุศลเจตนาสามัญที่ไม่เข้าถึงกรรมบท
    คือกุศลอกุศลที่ผู้กระทำมิได้ตั้งใจทำโดยเฉพาะ เพียงแต่ทำตามผู้อื่น โดยถูกผู้อื่นชักชวน
    และไม่ได้ตั้งใจเป็นพิเศษ เจตนาเหล่านี้ไม่มีอำนาจสืบต่ออยู่สันดานเหนียวแน่นนัก
    ฉะนั้น จึงเป็นอโหสิกรรมเป็นส่วนมาก

    นอกจากนี้ กรรมที่ให้ผลไปแล้ว ย่อมไม่ให้ผลซ้ำอีก ก็ชื่อว่าเป็นอโหสิกรรมไปด้วย
    อโหสิกรรมข้อนี้ มุ่งหมายถึงกรรมในอดีตที่ได้กระทำสำเร็จแล้วตกเป็นอโหสิกรรมไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กรกฎาคม 2013
  7. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    อโหสิ กมฺม นตฺถิ กมฺมวิปาโก เป็นอโหสิกรรม เพราะไม่มีผล
    หมายความว่า กรรมที่กระทำอยู่นั้นไม่ก่อให้เกิดผลใดๆ
    เพราะกรรมนั้นมิได้มีปัจจัยจากอาสวะกิเลส ได้แก่ การกระทำของพระอรหันต์
    ซึ่งกระทำด้วยกิริยาจิตอันไม่เป็นบุญเป็นบาป ฉะนั้น ผลของกรรมจึงไม่มี

    อโหสิกรรมข้อนี้ มุ่งหมายถึงกรรมที่ทำปัจจุบันนี้ไม่มีผล อโหสิกรรมชนิดนี้
    มีได้แต่พระอรหันตขีณาสพเท่านั้น
     
  8. กาน้ำ

    กาน้ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    89
    ค่าพลัง:
    +153
    กุศลกรรม อกุศลกรรมเป็นกรรมที่ทำไปแล้วให้ผลส่งผลใน ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม, อุปปัชชเวทนียกรรม หรืออุปปัชชเวทนียกรรม ไม่มีการลดน้อย ไม่สูญหาย มีแต่ทวีขึ้นตามกาลเวลาและชาติภพที่ผ่านไปคือทบดอกทบต้น

    ในหลายแสนโกษฐ์กัปป์ชาติที่เราได้เกิดมาท่องอยู่ในวัฏฏะ เคยเป็นทั้งสัตว์นรก อสุรกาย เปรต สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา (ขอไม่กล่าวถึงพรหม) ขึ้นลงอยู่อย่างนั้น อโหสิกรรมจึงเอามาใช้กับกลุ่มนี้ไม่ได้

    พระอรหันตร์ท่านก็ต้องรับกรรมไม่มีอโหสิกรรมเช่นกัน แต่มีวาระสิ้นสุดกรรมต่อเมื่อสุดอายุขัยของท่านไม่ว่าอายุขัยในโลกมนุษย์หรือสวรรค์ กรรมทั้งหลายทั้งปวงจึงได้ชื่อว่า อโหสิกรรม เพราะหาผู้มารับผลของกรรมไม่ได้ เป็นการดับจิตเจตสิกรูปเป็นสมุจเฉท
     

แชร์หน้านี้

Loading...