รวมคำสอนพระเดชพระคุณหลวงพ่อ

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย mahaasia, 12 พฤศจิกายน 2007.

  1. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    พระผู้มีพระภาคได้ตรัส กับพราหมณ์นั้นว่า สัตว์ที่เกิดมานั้น จำพวกที่กลัว ที่สะดุ้งต่อความตายก็มี พวกที่ไม่กลัว ไม่สะดุ้งต่อความตายเลยก็มี
    พระองค์ตรัสต่อไปว่า สัตว์พวกที่กลัว ที่สะดุ้งต่อความตายนั้น ก็คือ
    ๑. คนบางคนที่เกิดมาในโลกนี้ ยังมีอารมณ์รัก ตัดความเยื่อใยในความรักไม่ได้ ยังมีความต้องการไม่สิ้นสุดในเรื่อง กาม เมื่อเขาเจ็บไข้หนัก (ใกล้ตาย) ย่อมเกิดความวิตกกังวลว่า กามที่รักแสนอาลัยจะจากไปแล้วหนอ แล้วความโศกเศร้า อาลัยอาวรณ์ก็จะเกิดขึ้น เขาสะดุ้งกลัวต่อความตายที่จะมาพรากเขาไป
    ๒. คนบางพวกยังอาลัยอาวรณ์อยู่กับร่างกาย หรือตัวตนว่า เป็นของสวยของงาม โดยพยายามที่จะปิดซ่อนเร้น ความเปลี่ยนแปลงของตัวเองทุกวิถีทาง ครั้นเมื่อเขาเจ็บไข้หนัก(ใกล้ตาย) เขาย่อมเกิดความวิตกกังวลว่า ร่างกายที่สวยงาม น่ารัก น่าอาลัยของเขา จะจากไปแล้วหนอ เขาย่อมเป็นคนเศร้าโศก สะดุ้งกลัวต่อความตายที่จะมาพรากเขาไป
    ๓. คนบางพวกเป็นผู้ที่ไม่ใส่ใจ ในการประพฤติดี ทางกาย วาจา ใจ ทำแต่ความชั่ว ทาง กาย วาจา ใจ เมื่อกาลเวลาผ่านไปมากๆ ความเจ็บไข้ครอบงำ(ใกล้ตาย) เขาย่อมวิตกกังวลว่า ช่วงชีวิตที่ผ่านมานั้น ไม่ได้ทำความดีอันใดไว้เลย ทำแต่บาปกรรมอยู่เรื่อยๆ คติของคนที่ไม่ได้ทำความดีเป็นอย่างไร เขาจะต้องไปสู่คตินั้น แล้วก็สะดุ้งหวาดกลัว ต่อความตายที่กำลังจะพรากเขาไป
    ๔. คนบางคน ขณะที่เขายังมีความเป็นหนุ่มเป็นสาว แข็งแรง ไม่สนใจในเรื่องการประพฤติธรรม ไม่สนใจศึกษาข้อปฏิบัติว่าอย่างไหนถูก อย่างไหนผิด จึงเกิดความสงสัย เมื่อกาลเวลาผ่านไป เกิดเจ็บไข้หนัก(ใกล้ตาย) ย่อมมีความวิตกกังวลว่า เราไม่มีโอกาสศึกษาหลักธรรมให้เป็นที่เข้าใจ ซึ่งบัดนี้หมดโอกาสแล้ว ความสงสัยมืดมนในใจยังมีอยู่มาก จึงหวาดกลัวต่อความตาย ที่กำลังจะพรากเขาไป



    ที่มา: พระไตรปิฎก พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  2. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    มีคาถาบทหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้าให้ไว้กับหลวงพ่อฯ เมื่อภาวนาว่า

    คาถาบทนี้ ถ้าทำน้ำมนต์แล้ว รักษาได้ทุกโรค นั่นคือ

    "ทุกขา ทุกขัง ปะติถิตัง สัมปะติจฉามิ"

    ตอนที่หลวงพ่อฯ นำมาใช้ ท่านนึกในใจว่า
    คาถาบทนี้ ถ้ารักษาตัว

    เราเองไม่หาย จะไปรักษาใคร ในเมื่อท่านให้เรา เราก็ลองรักษาตัวดู

    ถ้าคาถาบทนี้ รักษาเราไม่หาย ก็จะไม่เกิดประโยชน์กับใคร


    หลวงพ่อฯคิดว่า นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป การภาวนาทุกอย่าง จะใช้

    คาถาบทนี้เรื่อยไป จนกว่าโรคจะหาย แทนคำว่า พุทโธ สัมมาอะระหัง

    แทนทุกอย่างที่ใช้ ถ้าอยู่ปกติ จะภาวนาว่า "ทุกขา ทุกขัง ปะติ

    ถิตัง สัมปะติจฉามิ" ว่าเรื่อยๆ ตามสบายๆ พอเริ่มภาวนา อารมณ์ก็

    เริ่มเป็นสุข............

    (หลวงพ่อเล่าว่ามีตัวอย่างผู้นำไปใช้ คือคุณสุวิทย์ เธอรักษาภรรยา

    โดยให้ภรรยาเธอภาวนาคาถาบทนี้ แล้วใช้มีดหมอแตะร่างกาย เธอ

    หายปวด หายปวดอย่างอัศจรรย์)

    ที่มา: [บันทึกความจำพิเศษในราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  3. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การวางอารมณ์จิตที่ถูกต้องเพื่อพระนิพพาน

    การวางอารมณ์จิตเป็นสมาธิแบบดำดินตึ๊บ ปวดท้องขี้ท้องเยี่ยวไม่รู้น่ะมันก็ดีเหมือนกัน แต่มันเป็นสมาธิเฉยๆ ตัวสมาธิเฉยๆที่ไม่ควบด้วยปัญญานี่ ถ้าถึงเวลาเสื่อมแล้วใช่ไหม มันหล่นดังตุ๊บ ถ้าหากว่าใช้กำลังสมาธิดี โดยให้จิตเริ่มต้นจับจุดปลายทาง นั่นคือ “พระนิพพาน” ไปได้หรือไม่ได้ก็ตั้งใจไป วันหนึ่งมันถึงแน่
    พอจิตจับอารมณ์พระนิพพานนี่ ถ้าเราจะถามว่ามันดีตรงไหน ก็ต้องตอบว่า ถ้าจิตรักพระนิพพาน นี่มันเป็นตัวตัด อวิชชา อวิชชานี่ พระพุทธเจ้าท่านแยกศัพท์ไว้เป็น ๒ คำ คือ ฉันทะ กับราคะ ฉันทะ นี่มันมีความพอใจ ในมนุษยโลก เทวโลกและพรหมโลก ราคะ เห็นว่า มนุษย์โลกดี เทวโลกดี พรหมโลกดี อันนี้ยังเป็น อวิชชา
    ถ้าหากว่าจิตของเรา จับพระนิพพานตรงจุดเดียว ถ้าตายคราวนี้ขอไปนิพพาน มันก็เป็นการตัดอวิชชาไปในตัว เพราะเราไม่สนใจกับมนุษยโลก เทวโลก พรหมโลก ใช่ไหม ไม่ต้องไปไล่เบี้ยว่า มนุษย์ไม่ดี พรหมโลกไม่สบาย สวรรค์ไม่สบาย ไม่ต้องไปไล่เบี้ย เราไม่เอามันซะก็หมดเรื่อง ไม่ต้องไปนั่งเถียงกับเขาหรอก เดินผ่านไปเลย
    ไอ้การที่เดินผ่านไปเลย อันนี้ต้องมีปัญญาควบคู่ไปด้วย ไม่ใช่ว่าจะรักษาสมาธิกันอย่างเดียว ถ้าศีล กับ สมาธิอย่างเดียวมันเป็น โลกียฌาน ถ้ามี ศีล มีสมาธิ มีปัญญา บวกด้วย มันก็เป็นทั้ง โลกียฌานและ โลกุตตรฌาน ถ้าจะเป็นโลกุตตรฌาน ได้อย่างไร ก็ต้องนั่งดูใจของเรา ว่าใจของเรา มีความเคารพในพระพุทธเจ้าจริงไหม เคารพในพระธรรมจริงไหม เคารพในพระอริยสงฆ์จริงไหม มีศีล ๕ บริสุทธิ์ไหม รักพระนิพพานเป็นอารมณ์ไหม
    นี่เป็นเบื้องต้นของโลกุตตรฌาน ถ้าจิตของท่านทรงอารมณ์ตามนี้ ก็ถือว่าฌานของท่าน เป็นโลกุตตรฌาน การถอยหลังไม่มีแน่นอน



    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  4. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ปฏิบัติการลัดทางจิต เพื่อเข้าสู่ พระนิพพาน

    องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า คนที่คิดว่า ตัวจะตาย ถ้าคิดต่อไปว่า ถ้าเราเป็นพระโสดาบัน(คือ คนที่ มีจิตนึกคิดอยู่เสมอว่าตัวเราต้องตาย ยอมรับนับถือ ความดีของพระพุทธเจ้า ความดีของพระธรรม และความดีของพระอริยสงฆ์ ทรงศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตใจรัก พระนิพพาน เป็นอารมณ์) เราต้องกลับมา เป็นมนุษย์กับเทวดา สลับกันไป ความเหนื่อยยากในกายยังมีอยู่ องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสว่า
    ถ้าอย่างไรก็ดี ตัดความเกิดเสียให้สิ้น จุดหมายปลายทางก็คือ พระนิพพาน
    การจะเข้าพระนิพพาน ถ้าจะว่ากันตาม สังโยชน์ ๑๐ ประการ ก็รู้สึกว่าจะช้า เราไปรวบยอดกันตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนไว้ใน มหาสติปัฏฐานสูตร
    ที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากล่าวว่า
    “เราจงอย่าสนใจร่างกาย กายในกายได้แก่กายของเรา
    จงมีความคิดว่า กายนี้มันสักแต่ว่าเป็นกาย กายนี้สักแต่ว่าเป็นเรือนร่าง ที่อาศัยชั่วคราว
    มันมีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุด
    เราคือจิตที่มาอาศัยอยู่ในกาย ถ้ากายมันพังเราก็ต้องไป ไปแล้วถ้าหากว่าเรายังต้องการกายมาเป็นที่เกิดอีก เราก็มีทุกข์อย่างนี้”
    องค์สมเด็จพระชินสีห์รวบรัดตัดใจความว่า
    “เธอจงอย่าสนใจในกายของเธอ
    ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็ทำงานหาอาหารเลี้ยงมัน หาผ้านุ่ง ผ้าห่มให้แก่มัน เพื่อเป็นการป้องกัน การหนาว การร้อน และการหิวกระหายในอาหาร
    แต่ทว่า จงอย่าคิดว่า เรากับร่างกายนี้จะอยู่ร่วมกันไปตลอดกาลตลอดสมัย
    ให้มีความรู้สึกเสมอว่า
    ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
    เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา
    เราคือ จิต ที่เข้ามาอาศัยร่างกายชั่วคราวเท่านั้น
    เมื่อมันสลายตัวเมื่อไร เราก็ต้องไป”
    องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงแนะนำว่า
    “จงอย่าผูกพันในร่างกายต่อไป
    เราจงคิดไว้เสมอว่า
    ร่างกายเป็นแดนของความทุกข์
    เป็นปัจจัยของความทุกข์
    ไม่ได้บันดาลความสุขให้แก่เรา
    เมื่อร่างกายนี้หมดไปเมื่อไร
    ขึ้นชื่อว่ากายอย่างนี้ สำหรับเราไม่มีอีก”
    และทรงแนะนำว่า
    “แม้ร่างกายของบุคคลอื่น เราก็ไม่ต้องการ
    และก็ไม่ต้องการผูกพันในวัตถุทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
    ถือว่าเป็นสมบัติของโลก มันก็เป็นสมบัติของโลก
    ในเมื่อชีวิตินทรีย์ของเรานี้หมดไป ก็เป็นเหตุสุดวิสัย ที่เราจะปกครองสมบัติของโลกต่อไปได้”
    ถ้ากำลังใจของพุทธบริษัททั้งหลาย คิดอย่างนี้เป็นปกติ และแถมต่อไปสักนิดว่า
    “ถ้าเราตายคราวนี้ เราขอมีพระนิพพานเป็นที่ไป มนุษยโลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี ไม่เป็นที่ยินดีสำหรับเรา เราต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน”
    ถ้าอารมณ์ใจของบรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน
    คิดไว้อย่างนี้เป็นปกติ
    อารมณ์ความรักในเพศ อารมณ์ความโลภในทรัพย์สิน อารมณ์ความโกรธ ความพยาบาททั้งหลาย ความหลงใหลใฝ่ฝันในรูปโฉมโนมพรรณของร่างกาย และทรัพย์สินทั้งหลาย ก็สลายตัวไปจากจิตใจ
    องค์สมเด็จพระธรรมสามิสรกล่าวว่า
    ท่านเป็นผู้เข้าถึงซึ่งอารมณ์แห่ง “พระนิพพาน”
    สรุปรวมความว่า เป็นพระอรหันต์ ตายจากชาตินี้แล้ว ก็ไปพระนิพพานทันที
    สวัสดี




    ที่มา: ราชพรหมยานมหาเถรานุสรณ์ พิมพ์โดย: เยาวยุทธ
     
  5. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    จงพิจารณากายนี้อยู่เสมอว่าไม่ใช่ของเรา เราไม่ใช่กายนี้ กายนี้ไม่มีในเรา เราไม่มีในกายนี้ เทวโลกไม่ไป พรหมโลกไม่ไป ตั้งจิตไว้ที่
    นิพพานที่เดียว

    พิมพ์โดย: ผู้นับถือหลวงพ่อ
     
  6. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การเจริญพระกรรมฐานเอาดีไม่ใด้ก็เพราะใจมันไม่รักดี ใจไม่ทรงอารมณ์ ภาวนาพุธโท ธัมโม สังโฆ เดี๋ยวก็ส่งกระแสจิตไปที่อื่นยอมให้อารมณ์อี่นเข้ามาทับจิต อย่างนี้เขาเรียกว่ายอมแพ้กิเลส ถ้าจิตใจฟุ้งซ่านไม่ทรงตัว อย่างนี้จะไปหาใครสอนที่ใหนก็เอาดีไม่ได้ การจะดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง

    ที่มา: กรรมฐาน 40 พิมพ์โดย: กฤษดา ตรีทิพย์
     
  7. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ศีล เรารักษากันเวลาไหน?..ถ้าเราไม่มีโอกาสสมาทานศีลมันจะเป็นศีลได้หรือไม่

    ..ศีลนี้เราจะสมาทานหรือไม่สมาทานก็ไม่ได้มีความหมายอะไร ความสำคัญอยู่ที่การงดเว้นเท่านั้นมันจึงจะเป็นศีล...นี่หากว่าเราจะสมาทานศีลสักวันละพันครั้ง แต่ว่าจิตใจของเราไม่ได้ผูกพันในศีลก็ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไร ศีลไม่ได้มีกับใจเรา

    ฉะนั้น การที่เราจะระงับตัณหาได้ ในอันดับแรกต้องเป็นผู้มีศีลบริสุทธ์คือมีอารมณ์ทรงศีลเป็นปกติธรรมดา ไม่ใช่แต่เฉพาะมานั่งขัดสมาธิหลับตา หรือว่านั่งสมาธิจึงมีศีลบริสุทธิ์ ถ้าเราต้องการศีลบริสุทธิ์เพียงเท่านี้ ก็มีหวังลงนรกแน่นอน วันหนึ่งมี ๒๔ ชั่วโมง เราทำจิตบริสุทธิ์กี่นาที

    ...ฉะนั้น องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงสอนให้ทรงสมาธิ ในด้านศีลานุสติกรรมฐาน คือ ให้จิตใจของเราทรงศีลเป็นอารมณ์ เป็นปรกติ ไอ้การนั่งหลับตา วันละ ๙ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมงไม่มีความหมาย ความสำคัญก็มีอยู่ว่า ทุกลมหายใจเข้าออก จิตของเราทรงอยู่ในศีล

    ...ศีลของเราจะเป็นสมาธิจิตในด้านของศีลานุสติกรรมฐานให้เข้าถึงฌาน ทำอย่างไร? และทำอย่างไรเราจึงจะรู้ว่าศีลของเราเข้าถึงฌาน? อันนี้ เราก็สังเกตได้ว่า วันทั้งวัน จิตของเราใคร่ครวญอยู่ในศีลเป็นปกติ มีการระมัดระวังในศีล

    ปัญจเวร ๕ ประการ คือ การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือทำร้ายสัตว์ การลักขโมยของ การยื้อแย่งความรัก การโกหกมดเท็จ การดื่มสุราเป็นต้น
    เรียกว่าปัจเวร ๕ ประการ อย่างนี้เราทรงได้แบบสบาย

    ใครนินทาว่าร้าย ส่งเสียงรบกวนเพียงใดก็ตาม จิตใจเราไม่รำคาญในเสียงของบุคคลนั้น ไม่สะทกสะท้าน ต่อ คำนินทาว่าร้าย หรือ ไม่ยินดี ต่อคำสรรเสริญใดๆ มีจิตใจอารมณ์สบายเป็นศีล อย่างนี้ชื่อว่า สมาธิจิตของท่านเข้าสู่เป็นสภาพฌาน

    ...เมื่อสมาธิจิตของเราทรงศีลเป็นฌาน มีจิตใจผูกพันในศีลเป็นปกติ จะไปทางไหนก็ตามอยู่ในสถานที่ใดก็ตามอยู่ในสังคมใดก็ตาม เราไม่ยอมละเมิดในศีลอย่างเด็ดขาด ไม่ยุยงส่งเสริมให้ใครละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว จิตใจของเรามีความชุ่มชื่นในศีลอย่างนี้เป็นฌาน ถ้าอารมณ์จิตเป็นฌาน เราตายไปจากความเป็นมนุษย์เราเกิดเป็นพรหม...เราก็เอาศีลเป็นวิปัสสนาณานต่อไป เราก็มาพิจารณาร่างกายของเราว่า... เลือดเนื้อร่างกายไม่ใช่เรา เราจริงๆคือ"จิต" จิตเราใคร่ครวญอยู่ในศีล

    พิมพ์โดย: รุ่งรัตน์
     
  8. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ไอ้การตัดขันธ์ 5 ได้หรือไม่ได้อยู่ที่ตัวทุกข์ ถ้าไม่เห็นทุกข์ มันตัดไม่ได้ จบ

    ที่มา: สนทนาธรรม เล่ม 7 พิมพ์โดย: กฤษดา
     
  9. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    เวลาไหว้ศพก็ต้องคิดว่า เรากับเขามีสภาพอย่างเดียวกัน อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปทวย ธัมมิโน เกิดมาแล้วก็เสื่อมไป อุปปัชชิตะวา นิรุชฌันติ เกิดมาแล้วย่อมดับไป เตสัง วูปะ สโม สุโข การเข้าไปสงบกายนั่นแหละชื่อว่าเป็นสุข ถ้าเรายังมีกายอย่างนี้ มันก็เป็นอย่างนี้ คือ ตายอย่างนี้ ใช่ไหม เวลาไปไหว้ศพไม่ต้องปากขมุบขมิบหรอก นึกในใจก็พอ บอก \\\"นี่เขากับเราไม่ช้าเราก็ตาย ไอ้ตายแบบนี้เลิกตายกันเสียที\\\" (๒๕๒๕)

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  10. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    \\\"เสขะ\\\" ก็หมายถึงพระโสดา สกิทาคา อนาคา ถ้าเป็นอรหันต์เรียกว่า อเสขะ คือหมดกิจแห่งการศึกษา \\\"เสขะ\\\" เขาแปลว่าศึกษา

    อาสวักขยญาณ แปลว่า ตัดกิเลส ทำกิเลสให้สิ้นไป ให้หมดไป แต่ก็หมดไปตามขั้นนะ หมดในขั้นพระโสดา หมดในขั้นสกิทาคา หมดในขั้นอนาคา หมดในขั้นอรหันต์

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  11. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    การศึกษา มีวัดเราแห่งเดียวที่รับฟังคำสอนเป็นปกติ แต่ทว่าเป็นที่น่าเสียดายอยู่นิดหนึ่ง บางทีเรารับคำสอนกันมากเกินไปจนกระทั่งมีใจหยาบ ไม่มีความรู้สึกละอายในความชั่ว นี่ถ้าอารมณ์ใดมันเป็นความชั่วมีอยู่ละก็ นึกถึงตรงนี้นะครับ นึกว่าเราเลวจริง ๆ นะ เหมือนกับปลาที่อยู่ในน้ำแต่ไม่รู้คุณของน้ำ นกที่จับอยู่กับต้นไม้ ไม่รู้คุณต้นไม้ว่าต้นไม้เป็นที่อาศัยให้ความสุขสำหรับนก น้ำเป็นที่อาศัยให้ความสุขสำหรับปลา แต่นกกับปลามีจิตหยาบมีจิตเลวไม่ได้รู้สึกถึงคุณของต้นไม้และน้ำฉันใด สำหรับคนที่มีจิตเลวก็เช่นเดียวกัน อยู่กับคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังเป็นปกติ แต่ว่าไม่สามารถจะทำจิตเป็นสมาธิ ไม่สามารถจะทรงความเป็นโสดาบันได้ ก็รู้สึกว่าจะเป็นที่น่าหนักใจ ถ้าพูดตามภาษาชาวบ้านที่เรียกว่า \\\"เลวเต็มที\\\" ความเป็นพระไม่มีความหมาย ความเป็นเณรไม่มีความหมาย ความเป็นอุบาสกอุบาสิกาไม่มีความหมาย

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  12. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ความเป็นครูนี่มีความสำคัญมาก ครูจะต้องรู้จักรักษาอารมณ์ของตัวเองไว้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทาน ศีล ภาวนา คำว่าทาน การให้ ศีล เป็นการรักษา กาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย และการภาวนา คือการเจริญ รู้จักคำว่าอัตภาพร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา และประการต่อไป ครู จะต้องมีอารมณ์แจ่มใสอยู่เสมอ โดยเฉพาะ ด้านวิปัสนาญาณ คือเรียกว่า ไม่สนใจในด้านของขันธ์ ๕ คือร่างกาย ถ้าหากครูมีศีลสมาธิปัญญาไม่สมบูรณ์ ก็จะทำให้ศิษย์ขาดความสมบูรณ์ไปด้วย และถ้าครูไม่มีความสมบูรณ์แบบในจิต ครูก็อาจจะสอนศิษย์ผิดไปเสียด้วย และการสอนผิดนี้มีโทษหนัก เพราะว่าเป็นเรื่องของปรมัตถบารมี (๑๓ ม.ค. ๒๕๒๓ )

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  13. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    คนที่จะลงอเวจีมหานรกก็เป็นคนที่ไม่รู้จักคำว่าคีในด้านศีลด้านธรรมคนประเภทนี้ไม่รู้จัก รู้จักอย่างเดียวคือความเมาในหน้าที่ ความเมาในอำนาจ เมาในความไม่รู้คุณคน เมาในการทำอกุศลโดยไม่ว่างเว้นไม่สามารถเคลื่อนตนให้ถึงด้านความดีได้ ในที่สุดก็ต้องมาลงอเวจีมหานรก

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  14. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ท่านทั้งหลายที่มีความต้องการไปนรก ก็ไม่ต้องมีความห่วงใยว่าดินแดนในเมืองนรกนั้นจะเต็มเกินไปท่านจะอยู่ไม่ได้ เพราะว่านรกยินดีต้อนรับท่านเสมอ นี่ความจริงเขาไม่ได้จ้างผมมาโฆษณาหรอกนะ แต่ว่าผมเต็มใจโฆษณาให้กับเมืองนรก เพราะเห็นว่าคนส่วนมากเขาพอใจจะไปกัน ก็เกรงว่าจะหนักใจว่าเมืองนรกมันจะเต็มเสียก่อน เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลเขาจัดสรรไว้พอเพียงแก่คนทั้งหลายที่จะไปเมืองนั้น (๒๕๓๑ )

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  15. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ทุกคนให้ถือว่าขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ เต็มไปด้วยความโสโครก เห็นว่าขันธ์ ๕ เป็นปีศาจร้ายที่คอยหลอกหลอน และขันธ์ ๕ เป็นพยัคฆ์ร้ายที่คอยขบกัดให้เราได้รับทุกขเวทนา เห็นว่าขันธ์ ๕ นี้มีสภาพเป็นปีศาจร้ายที่คอยหลอกหลอนด้วยวิธีต่าง ๆ
    ฉะนั้นพวกเราทั้งหมด จงอย่ายึดถือขันธ์ ๕ เราพยายามหลบพยายามหนี หากำลังเข้าต่อสู้ข้าศึกอย่างหนัก แล้วก็คิดป้องกันไว้ว่า เราจะไม่ยอมเป็นข้าทาสของปีศาจร้ายต่อไป และเราจะไม่ยอมเป็นเหยื่อพยัคฆ์ร้ายต่อไป (๒๕๑๔)

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  16. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    อารมณ์จิตของตัวน่ะควรจะรู้ แต่อารมณ์จิตของบุคคลอื่นอย่าไปรู้ ไปรู้เข้ามันจะยุ่ง ไม่ไช่ภาระของเรา มันเป็นความดีความชั่วอะไรของเขาก็เป็นเรื่องของเขา

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ
     
  17. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระทั้งหลายยังนินทาได้ พวกเราถ้าถูกพระด้วยกันนินทา ถูกพวกชาวบ้านนินทา ก็จงอย่าสนใจ องค์สมเด็จพระจอมไตรดีกว่าเราตั้งหลายล้านเท่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังถูกพระนินทา ( ๒๕๒๑ )

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  18. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    ไปนิพพานน่ะ ตั้งใจให้แน่วแน่ ในเมื่อมีสิทธิ์จะไปก็ตัดสินใจให้มันแน่นอนเสีย ถ้าตั้งใจไปหมดก็ไปได้หมด ตั้งใจไปนรกก็ได้ไปนรก ถ้าเราตั้งใจจริง คนที่จะตั้งใจไปนิพพานจริง ๆ มันเป็นปรมัตถบารมี เขามีสิทธิอยู่แล้วเขาไปได้แน่นอน
    ขอบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย จงถือเอา \\\" อานาปานุสติกรรมฐาน \\\" นี้เป็นสำคัญ จะขึ้นต้นด้วยกรรมฐานแบบไหนก็ตาม ต้องขึ้นต้นด้วยอานาปานุสสติกรรมฐานเสียก่อน มิฉะนั้นอารมณ์ของท่านจะฟุ้งซ่าน ไม่ทรงอารมณ์ตามอัธยาศัย

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  19. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    \\"นิพพะ\\\" ดับ ดับความชั่วทุกอย่างคือ โลภ โกรธ หลง จิตมีความสุข นิพพานเป็นทิพย์พิเศษ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก มีสุขมาก
    สงสัยนิพพาน ก็ต้องฝึกให้รู้จักพระนิพพาน แค่ทำใจให้บริสุทธิ์ชั่วขณะเดียวอารมณ์เบา ๆ ว่างจากกิเลส ความเป็นทิพย์เกิด ใช้กำลังอภิญญาไปสู่นิพพานและเขตอื่น ๆ แดนนิพพานเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ ไป อารมณ์ของจิตไปได้เร็วมาก ( ๗ ธ.ค. ๒๕๓๔ )

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     
  20. mahaasia

    mahaasia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    1,130
    ค่าพลัง:
    +4,971
    คนที่จะได้ใกล้เป็นพระอริยเจ้า ชาวโลกเขาหาว่าบ้า ๆ บอ ๆ ความจริงมันก็น่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะมีอารมณ์ขวางจากชาวโลก บุคคลที่เขาเข้าถึงธรรมมันตรงกันข้ามกับชาวโลกที่เขานิยม ความนิยมมันต่างกัน เขามากกว่าเราน้อยกว่า เขาก็หาว่าเราบ้า แต่ว่าถ้าเราสามารถจะทำให้ชาวบ้านเขาเห็นว่าเราบ้า แต่จิตเราปลดนิวรณ์ได้ เราควรจะภูมิใจว่า นี่เราบ้าใกล้ถึงพระนิพพานแล้วน่าภูมิใจอย่างยิ่ง เพราะบ้าอย่างนี้พระพุทธเจ้าชอบ

    ที่มา: พ่อสอนลูก ทศชาติ๑
     

แชร์หน้านี้

Loading...