อยากบวชภิกษุณีนี้ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างคะ

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย DuchessFidgette, 18 มิถุนายน 2013.

  1. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    ยิ่งบริสุทธิ์มาก ยิ่งเบียดเบียนน้อยลง

    แต่แปลกไหม ยิ่งเบียดเบียนน้อยลง ข้อศีลกลับน้อยลงด้วย

    หลวงปู่มั่น ถือศีลประธานแค่ข้อเดียว
     
  2. โพธิ์แก้ว

    โพธิ์แก้ว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    362
    ค่าพลัง:
    +440
    ผมเห็นคุณบอกว่าคุณเบื่อการเกิด คุณเบื่อทุกข์ในชีวิต
    จึงอยากให้ลองหยุดแล้วพิจารณาสักนิดว่าความเบื่อที่เกิดขึ้นนั้น เกิดจากสาเหตุใดเป็นสำคัญ

    การเบื่อการเกิดการเบื่อทุกข์ เกิดขึ้นได้ 2 กรณี
    1. เกิดด้วยปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์ การเบื่อทุกข์แบบนี้จะเบื่อทุกข์
    แต่ไม่ได้แสวงหาสิ่งอื่นที่เป็นสุข
    2. เกิดด้วยโทสะ การเบื่อทุกข์แบบนี้ ควรเรียกว่าการรังเกียจทุกข์
    แล้วมุ่งแสวงหาสุขอื่นๆมาทดแทน เช่นสุขจากความสงบ ทั้งที่แท้จริงแล้ว
    ความสงบก็ยังจัดอยู่ในกองทุกข์เช่นกัน

    และเท่าที่อ่านมา คุณเหมือนจะคิดเอาว่า การแสวงหาสิ่งต่างๆภายนอกที่ดี ทั้งสถานที่และเพศแบบนักบวช จะเอื้อต่อการปฏิบัติธรรม

    แต่ผมว่า หากจิตยังไม่ยอมหยุดยุ่งกับโลกภายนอก
    แล้วหันกลับมามองรูปนาม กายใจของตัวเอง
    ด้วยสัมมาสติแล้ว......อยุ่ตรงไหน สถานที่ดีอย่างไร ด้วยเพศนักบวชที่สุงค่าแค่ไหน
    ก็ไม่เรียกว่ากำลังปฏิบัติธรรมได้เลย

    ในทางตรงกันข้าม หากสามารถมองเห็นความจริง (ไตรลักษณ์) ด้วยสัมมาสติได้แล้ว
    ต่อให้อยุ่ท่ามกลางสังคมที่วุ่นวายแค่ไหน ธรรม ก็เกิดที่ตรงนั้นครับ

    ลองพิจารณาดุนะครับ......

    เพราะการบวชเป็นทางลัดของ 2 เส้นทาง......

    1. ลัดไปนิพพาน หากรู้และเข้าใจหนทางแห่งการปฏิบัติ
    2. ลัดไปนรก หากไม่รู้และไม่เข้าใจหนทางแห่งการปฏิบัติ เป็นเหตุให้ทำผิด
     
  3. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ดิฉันคิดว่าการใช้ชีวิตแบบฆาราสไม่มีทางจะหลุดพ้นได้เลยด้วยแรงบีบบังคับกดดันของสังคม การทำใจยอมรับกับความทุกข์ที่เป็นอยู่ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายด้วยคะ ดิฉันยังไม่ได้คิดจะบวชตอนนี้แต่คิดว่าจะต้องบวชแน่ๆชาตินี้อาจจะ สิบปีหลังจากนี้ไป ถ้าได้ตอนนี้ก็ดีแต่อยากทำอะไรเพื่อทดแทนุญคุณพ่อแม่และสนองนีด เจ้ากรรมนายเวรเสียก่อน เพราะชีวิตดิฉันไม่เหมือนคนอื่น ตั้งแต่เกิดมาก็รู้ว่าไม่ชอบชีวิตฆารวาสเลย พยามบังคับตัวเองหลายครังให้ เป็นแบบคนอื่นแต่ในที่สุดก็มารู้ว่าทำไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตนขอเรา อีกใจก็ชื่นชม ไอเดียเรื่องการมีภิกษุณีสงฆ์ ชอบศึกษาเรื่องภิกษุณีซึ่งเป็นสตรีั้นนักปราชญ์ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยโรมันแล้ว รู้สึกศรัทธาผู้หญิงเหล่านี้
     
  4. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301


    เดี๋ยวมีโอกาสไปเมืองไทยคราวนี้จะไปวัดหลวงแม่ธัมมนันทาดูคะ อยากบวชมาก รอเครียร์อะไรให้พ่อแม่ได้แล้วก็อยากบวช คคหสต ไม่ใช่เพราะอยากบรรลุอย่างเดียว แต่รู้สึกชื่นชมภิกษุณีมากคะเป็น ผู้หญิงในไอดอลองดิฉันเลย คะ เคยเจอแต่ภิกษุณีฝรั่งรู้สึกเท่ห์ดี มีอุดมการณ์ดี ดูมีความสุขดีด้วย
     
  5. kosit25

    kosit25 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +438
    ภิกษุณีหมดไปแล้วที่บวชไม่ถุกต้องครับอย่าดื้อดึงดันทุรังเลยครับ
     
  6. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ขออนุญาติแนะนำ ไม่ควรบวชเป็นภิกษุณีครับ
    เนื่องจาก สรีระ และความเป็นอยู่ของสตรีเพศนั้นไม่เอื้อต่อการออกบวชเป็นบรรพชิต
    ต้องทำความรู้จักกับเพศบรรพชิต ตามความมุ่งหมายขพระพุทธองค์นะครับว่า
    บรรพชิตเป็นผู้ออกห่างจากเรือน แสวงหาความหลุดพ้น การดำรงชีพของบรรพชิตจึงเป็นผู้ขอ ปัจจัยการดำรงชีพจากฆราวาส ครั้นเมื่อกาลเวลาผ่านไป ความมุ่งหมายนี้ค่อยๆหย่อนลงไป
    กลายเป็นการออกบวชนั้น มีความสุขสบายในความเป็นอยู่เทียบเท่ากับฆราวาส
    ต่อมาเมื่อมีสตรีมาบวชเป็นภิกษณีแล้วธรรมเนียมเดิมของ พระ ก็ต้องย่อหย่อนลงไปด้วยว่า
    หลักเกณฑ์ต่างๆนั้น ภิกษุณีอาจจะก่อร่างสร้างเกณฑ์ วินัย ปัจจัยในการดำรงชีพขึ้นมาใหม่นอกเหนือจากพระวินัยที่ได้บัญญัติดีแล้ว เพื่อความสะดวกแก่หมู่คณะตน พระวินัยที่ย่อหย่อนนั้นสุดท้ายแล้วจะถูกทำลายหลังจากนี้ไปในช่วง พุทธศักราชช่วงท้ายๆ และยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากมาย เช่น เรื่องของชู้สาว เครื่องแต่งกายปกปิดสรีระที่จะเย้ายวนใจ นอกจากนี้ยังมีอุปนิสัยของสตรีเพศ สาธยายทั้งหมดก็จะยืดยาวไป
    พระศาสดาทราบเหตุนี้ด้วยพระสัพพัญญูญาณ จึงทรงห้ามมีภิกษุณีเมื่อครั้งพระอานนท์ทูลขอให้พระญาติของพระองค์บวชภิกษุณีถึง 3 หน

    กระผมไม่ห้ามแต่ชี้แจงเหตุต้น ผลปลายให้ฟัง เผื่อจะมีใครมาอ่านจะได้ฉุกคิดในเหตุและผล

    การปฏิบัติธรรมของสตรีนั้น ปฏิบัติในเพศฆราวาสจนถึงพระอรหันตได้
    ไม่ต้องบวชเป็นภิกษุณีครับ.
     
  7. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301



    ดิฉันได้ฟังคลิปของหลวงแม่ธัมนันทา ก็รู้สึกเลื่อมใสที่ท่านกล่าวว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าพระพุทธศาสนาต้องมีพุทธบริษัทสี่อันได้ก่ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา การทำบุญกับสงฆ์ทั้งสองฝ่ายทำให้ได้บุญมากขึ้นอีกอย่างดิฉันคิดว่าถ้าปฏิบัติแบบไม่บวชนั้นไม่มีทางทำให้เป็นพระอรหันต์ได้เพราะต้องยุ่งวุ่นวายกับทางโลก
     
  8. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ยังไม่ต้องสรุปก็ได้ครับ ลองเพ่งเพียรปฏิบัติให้ถึงพระโสดาบันในเพศฆราวาสนี้ให้ได้ก่อนครับ แล้วค่อยไปตัดสินอีกทียังไม่สาย เมื่อถึงตอนนั้นคงจะทราบแนวทางของตนได้ชัดเจนและทางที่เหมาะสมกับตน แล้วจะทราบว่าอะไรควรหรือไม่ควรต่อฐานะตนครับ
     
  9. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ไม่ได้จะแอบอ้างโอ้อวดตัวเองนะคะ แต่คิดว่า ตัวเองน่าจะถึงโสดาบันแล้วถึงได้มีความคิดมาในแนวๆ อยากบวช ยิ่งไปเห็นคริปหลวงแม่ธัมนันทา รู้สึกนับถือคะ เราน่าจะมีผู้หญิงอยากบวชเยอะๆ ภิกษุณีในไทยจะได้เป็นที่ยอมรับ

    สำหรับชีวิตดิฉันก็มีเหลืออยู่ไม่กี่อย่างที่ต้องทำ หมดภาระทางโลกแล้ว จึงอยากปฏิบัติแบบเต็มตัว ลำพัง เราอยู่อาศัยแบบคนธรรมดา แบบนี้ การปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุอรหันต์นั้นค่อนข้างยาก อาจจะง่ายสำหรับคนอื่น แต่ไม่ง่ายสำหรับดิฉันคะเพราะ ดิฉันไม่ได้อยู่เมืองไทย ค่าน้ำค่าบ้านค่าไฟอะไรต่างๆ ก็ต้องจ่ายเยอะ ไม่แย้งไม่เอาเปรียบคนอื่นก็อยู่ไม่ได้ แต่ตอนนี้คิดว่าทำสิ่งที่ตอบแทนพระคุณพ่อแม่ท่าน อยากให้เราทำไปก่อน อีกอย่าง เพื่อคนตาย ที่ดิฉันรักด้วย ความจริงเรื่องบวชนี้มีในหัวมาตั้งแต่ก่อน จะมาทุกข์ซะะอีก เอาเป็นว่ายังไม่บวชตอนนี้ รอให้แก่ๆก่อนแล้วค่อยบวช
     
  10. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    อย่าเพิ่งรีบร้อนด่วนสรุป ปฏิบัติเจริญสติไปเรื่อยๆ เสียก่อน
     
  11. apiraks

    apiraks เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 เมษายน 2012
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +508
    ลองรักษาศีลแปดข้อรักษาให้บริสุทธิ์และบริบูรณ์ ก็เพียงพอแล้วครับสำหรับสตรี
    แต่ปัญหาคือ แค่ศีลแปดข้ออาจทำได้ยากเย็นแล้วสำหรับคนในยุคนี้ ห้ามพูดส่อเสียด
    ห้ามพูดคำหยาบ ห้ามพูดโกหก ข้อสี่ข้อเดียวผู้ใช้ชีวิตออนไลน์ปัจจุบันคงทำได้ยากแล้ว
     
  12. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    ยินดีด้วยครับที่คิดแบบนั้น การมาปฏิบัติตนในพระพุทธศาสนาก็ต้องมีเป้าหมายคือ การรู้แจ้ง เห็นจริงตามพระพุทธองค์ ซึ่งก็คือ พระอริยบุคคล 8 จำพวกมี พระโสดาปัตติมรรค บุคคลเป็นต้น และ พระอรหัตตผลบุคคล เป็นที่สุด
    ในเมื่อคุณ Duchess บอกว่าตนนั้นน่าจะได้พระโสดาบันแล้ว จึงเป็นการถูกต้องที่เราจะตั้งสมมติฐานว่า เราได้มรรคได้ผลแล้ว ตามทางแห่งพระพุทธองค์
    แต่อะไรเล่าจะเป็นตัวบอกว่า เราได้มรรค ได้ผลจริง คนที่จะรับรองผลของเราได้ จะต้องเป็นพระอริยบุคคลที่มีปัญญาหรือมีภูมิธรรมสูงกว่าเรา หรือ อีกคนหนึ่งคือ ตัวเราเองอันเป็นปัจจัตตัง แต่ปัญหายังมีต่อไปว่า หากเรารับรองตนเองแล้ว เราจะหลอกตนเองหรือไม่
    เรื่องนี้ มีหลักอยู่ว่า ถ้ารู้จักหลักจักเกณฑ์ อันมีมหาสติปัฏฐานสี่ เป็นหลักแล้วเราย่อมไม่หลอกตนเองเกี่ยวกับภูมิของตนที่มี แต่หากสติของเรายังไม่ถึงขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้ว ปัญญาเปลี่ยนเป็นกิเลสได้ เราก็จะไม่รู้ตัว กิเลสแฝงตัวในจิตเปลี่ยนแปลงพลิกแพลงหลอกตัวเราเองซึ่งเราเองอาจจะไม่รู้ตัว ตรงนี้จะทำให้ นักปฏิบัติ หยุดอยู่กับที่รอวันให้กิเลสปกคลุมอีกครั้งจนมืดไปเหมือนเดิม และอาจจะตกต่ำลงไปได้เพราะประมาท

    แนวทางคือ 1. คุณ Duchess ควรจะต้องแสวงหาผู้รู้หรือครูบาอาจารย์ให้เจอ แล้วถามคำถามของธรรมอันเกิดจากการปฏิบัติธรรม เพื่อที่ท่านจะได้ตอบให้ว่าภูมิธรรมเราอยู่ระดับใด
    ซึ่งให้ทราบเอาไว้อย่างหนึ่งคือ การปฏิบัติธรรม แม้พระอริยบุคคล ก็มีปัญหาของพระอริยบุคคลเหมือนกัน สิ่งนั้นแลจะเป็นตัวบอกภูมิธรรม

    2. อีกอย่างหนึ่งคือ พิจารณาว่า ตราบใดที่เรายังไม่แจ้งแทงตลอดในหลักการของพระพุทธองค์ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่า พระพุทธองค์ตรัสใน 4 อย่างนี้มีนัยยะแค่ไหนลุ่มลึกเพียงใด และดวงตาของเราเห็นธรรมได้ชัดแจ้งเพียงใด ตราบนั้น เรายังสงสัยในพระธรรม
    ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ปัญญาอันรู้แจ้งแทงตลอดในหลักธรรมอันเป็น สัมมาทิฎฐิบริบูรณ์ยังไม่เกิดในใจของเรา

    แต่เท่าที่ดูมา ขออนุญาตกล่าวตรงๆ คือ คุณ Duchess ยังไม่เกิดมหาสติมหาปัญญาในขั้น ภาวนามยปัญญา

    เจริญในธรรมครับ
     
  13. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ท่านเก่งมากคะรู้ด้วยว่าข้อนั้นดิฉันไม่มีเลย คุณแม่ดิฉันท่านก็ว่าดิฉันอยู่เป็นประจำว่า ทำไมไม่สวดมนตร์ เวลาดิฉันไปเล่าเรื่องร้ายๆที่เจอให้ท่านฟ้ง ท่านจะแนะนำอยู่อย่างเดียวว่า ให้สวดมนตร์ซิ ช่วยได้ ถ้าอะไรมันจะร้ายมันจะเปลี่ยนได้ในทางที่ดีเลยนะ แต่ดิฉันไม่สวดเลยเพราะอยู่เมืองนอก มันไม่มีหนังสือสวดมนต์สวดทีต้องเปิดคอมหาบทสวด สวดหน้าคอม จะไปสวดที่หมอนหรือหน้าพระพุทธรูปแขวนผนังก็ไม่ได้ เลยไม่ได้สวด แต่เคยสวด......แบบจดใส่กระดาษ มาแล้วสวดก่อนนอนสองปีที่แล้ว เพราะคนที่ดิฉันรัก เขาป่วย เรียกแบบนี้ดีกว่า เพราะดิฉันไม่เคยมีแฟนและไม่อยากมี แต่คนคนนี้ดิฉันเลือกที่จะแต่งงานกะเขาเพราะเขาเป็นคนดีมาก และรักดิฉันมาก ดีเกินมนุษย์ผู้ชายธรรมดา ดิฉันถามเขาเลยก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงานกะเขาว่า ถ้าเราแต่งงานกันฉันไม่ขอมีอะไรด้วยนะ เพราะฉันทำไม่ได้ ไม่รู้ว่าทำไม แต่รู้แค่ว่า ทำอะไรแบบนั้นไม่ได้ รู้สึกไม่ชอบ ไม่กล้า อาย รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีอย่างมาก เขาก็ตอบว่า ไม่เป็นไร ด้วยเหตุนี้จึงแต่งงานกับเขา เพราะเขาเป็นผู้ชายที่หาไม่ได้อีกแล้วในโลกนี้ หล่อมาก แถมเป็นคนดีมีคุณธรรมอีกด้วย......


    แต่หลังจากแต่งงานกันแบบตามทะเบียนสมรสเฉยๆ แต่ไม่มีอะไรกัน เป็นสาวพรหมจรรย์ตลอด...... แค่ปีเดียว เขาก็ป่วยเป็นมะเร็งตับอ่อน ทั้งๆที่รู้จักกันมาสิบปีเขาเป็นคนสุขภาพดีมาก ตอนเขาป่วยกำลังจะตายดิฉันเริ่มสวดมนต์


    ดิฉันสวดติดกันได้สองสามคืนก็เลิก ไม่ทราบว่าอุปทานไปเองไหมแต่ พอจะนอนยังไม่ทันหลับก็เจอเสือตัวใหญ่มาก มานอนที่ข้างๆเตียง บางทีตื่นมา มองไปที่ปลายเท้าก็เจอเสือโคร่งอีก อีกทีไปสวดตอนเฝ้าที่โรงพยาบาล ก็นอนไม่ได้ เพราะวิญาณจะมาปรากฏ ให้เห็นทั้งคืนจนไม่ได้นอนเลย จึงไม่เคยสวดมนต์ตั้งแต่นั้นคะ


    ส่วนเรื่องต้องไปให้พระอริยะเจ้าตัดสินนี้ ดิฉันอยู่ต่าประเศมันไม่มีวัดนะคะ แต่เวลากลับไปเมืองไทย ดิฉันและพ่อกับแม่ เราจะไปหาพระอาจารย์ท่านนึง ซึ่งดิฉันเชื่อว่าท่านเป็นพระอริยะพำนักอยู่ที่วัดโบราณแห่งนึงในจังหวัด อยุธยา ท่านไม่เปิดตัวแบบพระรูปอื่นๆที่เป็นข่าวแต่กลับยังไมสำเร็จแม้แต่โสดาบัณ .....

    พระอาจารย์ที่ดิฉันกล่าวถึงท่านนี้ เขียนหนังสือตอบปัญหาเรื่องหลังความตายทั้งหมด และ วิธีการเข้าฌานด้วยคะ หนังสือท่านอธิบายดีมาก ตอนไปพบจากการเห็นจริยะท่าน ดิฉันรู้เลยว่าต้องสูงระดับเกือบๆอรหันต์ ท่าน รู้ทุกอย่าง และการพูดก็ดีมาก ดิฉันเอารูปคนรักที่ป่วยดังกล่าวไปให้ท่านดู...... ดิฉันถามพระท่านว่าเขาจะรอดไหม......ทำยังไงให้เขารอด...... ท่านตอบดิฉันว่า คน คนนี้จะอยู่อีกกี่เดือน ท่านรู้แม้กระทั้งว่าเขาเป็นโรคอะไร และรู้แม้กระทั้งว่าผู้ชายคนนี้เคยผ่านการตาย แล้วรอดมาแล้วหลายครั้ง....... แต่ครั้งนี้มันสิ้นสุดกรรมของเขาแล้ว....... แล้วก็เป็นจริงตามที่ท่านบอกทุกประการคะ พระอาจารย์ท่านนี้ทำให้ดิฉันเชื่อมั่นว่าเรื่องที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้มีจริง....... นอกจากนี้ท่านยังสามารถบอกลักษณะบ้านที่อยู่ของดิฉันได้อีกด้วยว่าเป็นยังไง.... แต่ท่านสอนเพียงอย่างเดียวว่า ไม่ว่าคนที่เรารักจะตาย หรืออะไรก็ตามแต่ ให้ฝึกนั่งสมาธิต่อไปจนได้ฌาณ เรื่องนี้สำคัญกว่าทุกอย่าง พูดไปก็กึ่งๆไม่เชิงว่ารู้สึกอิจฉาพระท่าน ที่ดูมีความสุขอยู่ตลอดเวลาผิดกับพวกเรา คนธรรมดา มีบ่วงมากก็ เจ็บมาก ดิฉันถึงอยากเป็นพระนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2013
  14. DuchessFidgette

    DuchessFidgette เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    2,607
    ค่าพลัง:
    +9,301
    ยังปฏิบัติ อยู่คะ ท่านอินทรบุตร ก็พยามทำให้มันตลอดเวลาแต่มีหลุดบ้างบางครั้งคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 กรกฎาคม 2013
  15. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    เป็นเรื่องปกติธรรมดา เพราะจิตเราเคยชินกับการตามใจกิเลส พอมันมีอะไรมากระตุ้น มันก็วิ่งตามกิเลสไป สติก็หลุดไป อันนี้เราทำมานับชาติไม่ถ้วน

    แต่นับจากนี้ไป เธอมีทางเดินใหม่ให้เลือก คือ การอยู่กับสติ พยายามฝึกให้ได้มากที่สุด เมื่อมีสติคอยคุมอยู่ กิเลสจะกำเริบได้ยาก และเมื่อสติบริบูรณ์แล้ว ถึงที่สุดก็จะหมดเชื้อกิเลสที่พาเธอไปเกิด พ้นทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิง

    แต่ทั้งหมดนี้ จะทำไม่ได้เลย หากเธอละเลยการเพียรกำหนดสติ

    ขอให้เพียรกำหนดสติไปเรื่อยๆ หากพยายามกำหนดรู้ไป ผลจะเริ่มค่อยๆ ปรากฎให้เห็นเองทีละน้อย
     
  16. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
    บทสวดมนต์ที่ DuchessFidgette ควรสวด

    สังเวคปริกิตตนปาฐะ-วิทยาลัยศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล

     
  17. รโชหรณัง

    รโชหรณัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มิถุนายน 2013
    โพสต์:
    547
    ค่าพลัง:
    +732
    นั่นเป็นการคาดไปเองว่า ถ้าเราเป็นพระแล้วเราจะดับทุกข์ได้ แต่ความจริงเป็นพระก็อาจจะทุกข์หนักกว่าเดิมก็ได้ ลองตั้งใจอ่านดีๆ ผมจะพยายามชี้ให้
    การจะดับทุกข์ได้ อยู่ที่ไหนก็ดับได้ เพราะว่าทุกข์อยู่กับจิตกับใจของเรา อยู่ที่ว่าเราจะดับจะวางมันได้หรือไม่ ซึ่งการจะวางจะดับทุกข์ได้ก็ต้องรู้จักสภาวะทุกข์ถ่องแท้ แต่โดยทั่วไปสภาวะทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้น ด้วยสติปัญญาของปุถุชนจะมองไม่เห็นตำแหน่งที่เกิดทุกข์ชัดเจน ดังจะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่ทุกข์ใจขึ้นมาแล้วลองถามตนเองซิว่า ตำแหน่งที่เกิดทุกข์นั้นอยู่ส่วนใดของร่างกาย ก็จะไม่มีใครตอบได้เลย จะบอกว่าอยู่ที่ใจก็ตอบไม่ได้อีกว่าแล้วใจอยู่ตรงไหน ดังนั้นแล้ว การดับทุกข์จึงเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับปุถุชน สภาวะทุกข์จึงเป็นอาการที่ ทนไม่ได้ ร้อนรน แต่ไม่รู้ว่าตำแหน่งที่ตั้งที่แท้จริงนั้นอยู่ที่ใดเพื่อที่เราจะได้ดับมันลงไปได้ จึงได้แต่ทนๆกันไป
    การจะดับทุกข์ได้จึงต้องศึกษาสภาวะทุกข์ที่เกิดกับตน ด้วยการหมั่นสังเกตุอาการทุกข์ การหมั่นสังเกตุนี้บางคนช่างสังเกตุ บางคนก็ไม่ช่างสังเกตุ บางคนสังเกตุได้ละเอียด บางคนสังเกตุได้ไม่ละเอียด ก็เพราะสติปัญญาแตกต่างกัน ดังจะเห็นได้ว่า พวกนักร้องนั้นจะสังเกตุเสียง แยกแยะเสียงได้ดีกว่าคนทั่วไป เพราะเขาคลุกคลีอยู่กับสิ่งนั้น การจะแยกแยะสภาพทุกข์ได้ละเอียดละออ ก็ต้องหมั่นสังเกตุทุกข์ ซึ่ง
    พระศาสดาทรงแนะนำมาแล้วว่า การฝึกสังเกตุนั้นให้หมั่นฝึกสังเกตุตนเอง 4 อย่าง คือ กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อแยกกองทุกข์นี้ได้ชัดเจน จนถึงกับวางหรือ ดับสภาพทุกข์ได้ อันเรียกว่า นิโรธ

    การสังเกตุอย่างแรกคือ การสังเกตุกายของตนเอง ซึ่งโดยปกติแล้ว คนสังเกตุกายตนเองว่าทำอะไรอยู่นั้นก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วละเลยผ่านไป หากว่าเราฝึกสังเกตุกายของตนว่ากำลังทำอะไรอยู่ พอฝึกไปเรื่อยๆ จะรับรู้ได้ในการทำงานของร่างกายที่ละเอียดขึ้นไปเช่น ปวด เบา แข็ง อ่อน นุ่ม สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวทำให้สติเรากล้าแข็งไปเรื่อยๆจนละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นไป เรียกว่า รู้กายในกาย ซึ่งยิ่งรู้ละเอียดมากเท่าใด จิตจะถอนสภาพยึดกายอันเป็นของตนได้มากขึ้นเท่านั้น เพราะธรรมดากายหยาบนี้คือ ธาตุ 4 เท่านั้น หาได้มีความรู้สึกใดไม่
    ในขณะที่สติในการสังเกตุ กายนั้นแก่กล้ามากขึ้นเท่าใด ปัญญาของเราจะเห็นประจักษ์ไปว่า ทุกขเวทนา สุขเวทนา ที่เกิดนั้นเป็นอาการของใจ มิใช่กาย การปรากฎของทุกขเวทนาแม้เกิดขึ้นที่กายส่วนใดก็ตามก็ล้วนแล้วแต่ปรากฏกับจิตนี้ทั้งสิ้น นั้นแหละเจ็บก็เจ็บเหมือนเดิม แต่ว่าความเห็นหรือทัศนะของเรามันจะรับรู้ได้ว่าปรากฎกับจิต ยิ่งสังเกตุสุขเวทนา ทุกขเวทนเก่งเท่าใด จะเห็นทุกข์ประณีต สุขประณีตขึ้นตามลำดับ เรียกว่า ดวงตาเห็นธรรมหรือความจริงในเวทนามากขึ้น
    เราเห็นสิ่งเหล่านี้เองเพราะสังเกตุเอง ประณีต หยาบ รู้เองเห็นเองทั้งสิ้น สังเกตุไป อบรมตัวเองไป ความโง่ความหลงจะเบาบางไปเรื่อย จนถึงจุดที่จะไม่คล้อยตามอำนาจกิเลสไปเพราะเข้าใจความจริงเกี่ยวกับอาการของตนจนถึงที่สุด และจะรู้เองว่า ศีลหรือความสงบของจิตนั้นต้องระวังรักษาอย่างไร
    สมาธิแค่ไหนเพียงพอกับตน และปัญญาของตนรู้เห็นเพียงใดแล้ว นั้นแหละจะเป็นตัวพาเราไปสู่นิพพาน แล้วย่อมทราบได้เองว่า นิพพานหรือการดับกิเลสนั้นเป็นอย่างไร

    ก็ยังเหลือส่วนจิตตานุปัสสนาและธรรมนุปัสสนา ที่ไม่ได้แนะนำ คุณ Duchess ทำความเข้าใจและฝึกตนไประดับหนึ่งแล้วจะเกิดปัญหาในธรรมเอง เมื่อนั้นจึงค่อยตั้งคำถามว่า อะไรคือ จิตตานุปัสสนา และอะไรคือธรรมนุปัสสนา การตั้งคำถามนี้แหละเรียกว่า ธัมมวิจยะ หรือ วิจัยธรรม

    เจริญในธรรม
     
  18. เมิล

    เมิล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    421
    ค่าพลัง:
    +3,132
    http://www.oknation.net/blog/print.php?id=692664+
    ขอบคุณข้อมูล
    http://www.daruneebhikkhuni.com
    สอบถาม ภิกษุณีอาราม สำนักปฏิบัติธรรมดรุณีวิเวกาศรม
    เลขที่ ๑๙๘ ม. ๑ ตำบลท่าวังทอง อ. เมืองพะเยา จ. พะเยา
    โทร. ๐๕๔-๔๘๑-๔๙๗
     
  19. apple_lin

    apple_lin เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    584
    ค่าพลัง:
    +704
    ดิฉันว่า แค่คิดว่า อยากจะบวช ศึกษาธรรมะ ก็ดีแล้วค่ะ
     
  20. wir00

    wir00 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    24
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอเรียนถามคุณ ดัชเชส ครับ ว่าโสดาบันที่คุณ ว่าคุณบรรลุแล้ว คุณปฎิบัติ ได้ถึง ขั้นใดครับ ใน 16 ขั้น ในสติปัฏฐาน 4ครับ ไม่ได้เจตนาก้าวล่วงนะครับ ตามนี้ครับ
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=ETTU4qy7mn8]อานาปานสติปาฐะ : ĀNĀPĀNASATI SUTTA - YouTube[/ame]
    เพื่อเป็น ธรรมทานแก่ผู้ที่ยังอยู่ในขั้นเริ่มฝึก ขั้น1-4 ครับ ขอบคุณ ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...