ทำไมถึงหวั่นไหวในอารมณ์ง่าย และทำอย่างไรจึงจะพ้นอารมณ์ที่รบกวนนี้ได้ ?

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Tboon, 6 พฤษภาคม 2013.

  1. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ทำไมถึงหวั่นไหวในอารมณ์ง่าย และทำอย่างไรจึงจะพ้นอารมณ์ที่รบกวนนี้ได้ ?

    สาเหตุ ติดใจยินดี ชอบใจและไม่ชอบใจในอายตนะ อาทิ ดูหนังละคร อาหารเครื่องดื่มเลิศหรู รถมีราคา ที่อาศัยสบาย มักมากในกาม อบายมุข จริงจังกับชีวิตมาก มีอุปธิรบกวนทางอารมณ์บ่อย ชอบรสชาติชีวิตขึ้น ๆ ลง ๆ ยึดมั่นในโลกธรรม 8 มากจนเสียศูนย์ โดยเฉพาะกลุ่มกรรมฐานขาดปัญญา หลงอารมณ์ สติอ่อนมาก เป็นเหตุอาพาธป่วยง่าย หิวกระหาย ตกใจกลัว หน้ามืดซีดขาวและเป็นบ้า

    แก้ด้วยการเจริญสติปัฏฐาน 4 ภาวนาจิตเนือง ๆ หาที่สงัดอยู่คนเดียว พิจารณาขันธ์ 5 ทำความเห็นให้ตรง ชีวิตมีความตายที่สุดรอบ ปล่อยวาง.


    พร

    -------------------------------


    ขออนุญาตยกเอาธรรมะที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาสอนไว้ มาวางที่นี่ เพื่อเป็นประโยชน์เป็นแนวทางในการนำไปศึกษาปฏิบัติกันต่อไปนะครับ
     
  2. beerwar

    beerwar เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    85
    ค่าพลัง:
    +132
    รู้จักใช้ อยุ่ในความพอเพียง ความสุขนั้นอยู่ที่ใจ
     
  3. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    สติ เป็นใหญ่
    มรรค เบื้องต้น
    ผล ท่ามกลาง
    ปัญญา เป็นยอด
    วิมุติ เป็นแก่น
    นิพพาน เป็นที่สุด

    จงพิจารณาธรรม กายกับจิตเป็นปัจจัยอาศัยกันเนือง ๆ หยาบ ละเอียด เลว ประณีต ภาษาภาษิตของอริยะ เหมาะเจาะและหมดจดอย่างนี้แล


    สติเป็นใหญ่ ไม่อาศัยใคร จะกล่าวพ่อแม่ บุพการี ตัวเอง เทวดา พระเจ้า ตำราธรรม คำโบราณ ความสงบ แม้พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าเป็นใหญ่รักษาจิตตน หามิได้

    จะเดินก้าวแรกไปให้เริ่มที่สัมมาทิฏฐิ มรรคเบื้องต้นก่อนจึงจะบรรลุทุกอย่าง

    ผลทุกอย่างเช่น ความสงบ ว่าง เห็นธรรมเข้าใจ อิทธิฤทธิ์ ประสบผลสำเร็จในหน้าที่การงาน ยศตำแหน่ง อำนาจ บ้านใหญ่ บริษัท รวยสวยหล่อ ผลที่ทุกอย่างไม่ใช่ขั้นท้ายบรรลุออกจากทุกข์

    ปัญญาเป็นยอด อะไรที่ทำให้ตนออกจากทุกข์ จะคิดรึไม่คิด ใช้ความรู้รึอยู่โง่ ๆ พิจารณารึไม่พิจารณา เข้าใจรึไม่เข้าใจก็ก้าวล่วงทุกข์ได้เพราะเกิดดับ เรียกว่า ปัญญา

    การหาสาระ แก่นหลักร้อย รู้แสนรู้ล้าน รู้ภายนอกในอดีตอนาคตปัจจุบัน นามรูปหยาบละเอียดเลวประณีต ให้ไปรวมลงที่คำว่า ละ คือ วิมุติ เป็นแก่น

    ถ้าสิ้นสงสัย - ความอยาก - ดิ้นรนค้นหา - วิมานสวรรค์พรหม อิ่มพอ หรืออะไรสิ้นสุด ก็ให้เรียกซะว่า นิพพาน


    พร

    ------------------
    ธรรมะที่ครูบาอาจารย์เมตตาแสดงธรรมไว้ครับ กราบ..กราบ..กราบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 พฤษภาคม 2013
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    เปิดจิต ปิดอบาย หน่ายสังขาร น้อมจิตสู่นิพพาน


    ที่ลับไม่มีในโลก ต้องไม่โกหกปกปิดปากอย่างใจอย่าง ไม่อ้ำอึ้งติดขัดลำบากใจ

    ไม่เปิดเผยโง่เขลาไม่รู้ธรรมทางออกจากทุกข์ ทางสว่างศรีวิลัยของชีวิต

    สมมุติและวิมุติแยกไม่ออกบอกตัวไม่ได้ สงสัยไม่จบสิ้น

    ไม่เข้าใจธรรมชาติของตนภายในภายนอกหลงไปตามกระแส

    ไม่โยนิโสมนสิการโดยแยบคาย เหมาะเจาะและหมดจด

    ประมาทในชีวิตมักง่ายขายตัว มัวเมาอบายมุขเลยเป็นคนแข็งกระด้าง

    ไม่อายชั่วกลัวบาปชอบทุศีล เพราะกรรมเสพลามกไม่สังวรตาหูจมูกลิ้นกายใจ

    ชอบสร้างนรกมลทินเศร้าหมองให้ตน เลยเป็นคนทุกข์ซวยอัปโชคและอาภัพชีวิต


    พร

    --------------------
    ธรรมะที่ครูบาอาจารย์เมตตาแสดงธรรมไว้ครับ กราบ..กราบ..กราบ
     
  5. หลบภัย

    หลบภัย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    2,207
    ค่าพลัง:
    +3,123
    พร นี้คือใคร อ่ะ พี่เอก
     
  6. มะหน่อ

    มะหน่อ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    1,652
    ค่าพลัง:
    +1,210
    อาจารย์ไหนขอรับ
     
  7. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ท่านบรรพชาเป็นสามเณรครับ แต่ผมเรียกท่านว่า พระอาจารย์เณร
    คนทางหนองคายเรียกท่านว่า ท่านสามเณรพรพรรณ
    ท่านพระอาจารย์เป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ทองใบ ปภัสสโร วัดอภิญญาเทสิตธรรม (วัดนาหลวง จ.อุดรฯ)
    บวชมานานแล้วตั้งแต่อายุครบบวช ถ้านับตามพรรษาก็น่าจะมากโขอยู่ครับ
    ท่านเป็นสามเณรที่หลวงปู่ทองใบยกย่องในเรื่องการปฏิบัติมาก
    ปฏิบัติอุกฤษ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยจิตที่มั่นคงไม่หวั่นไหว
    เห็นปฏิปทาท่านเข้มข้นมาแบบนั้น แต่พอเราไปกราบไปใกล้ท่านจริง ๆ ท่านกลับดูเรียบง่าย
    เป็นกันเอง ไม่ถือตัว คุยตามสบาย เราติดขัดข้อธรรมอะไรก็ถาม จะได้ความกระจ่างมาก
    ผมไปกราบท่านมาหลายครั้งแล้ว ทั้งที่ลพบุรี และปากช่อง ทุกครั้งที่ไปจะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นทุกครั้งครับ
    ปีนี้ท่านคงจำพรรษาที่ลพบุรี ณ วัดพุทธประชานิมิตร บ้านกลุ่มพระบาท ต.หนองรี อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี ครับ

    คำว่า "พร" นั้นเป็นนามปากกาที่ท่านใช้..
     
  8. สุทัส

    สุทัส เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +102
    พร
    พ=รู้จักพอ
    ร=รู้จักรอ
    .
     
  9. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    อนุโมทนา สาธุ ด้วยจ้า

    กระทู้นี้ ช่าง โผล่มา ได้ ถูกจังหวะ จริงๆ

    เกิดความเก็บกดในอารมภ์ และอารมภ์นั้นค่อยๆทับถม เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ตั้งใจ อารมภ์นั้นจมอยู่ในก้นบึ้งหมักหมม อยู่ จนที่สุด

    และแล้ว ความต้องการยวดยิ่ง ที่จะปลดปล่อย อารมภ์นั้นออก อยู่ในระดับความเข้มข้นสูงสุด

    ได้ปลดปล่อยอารมภ์นั้น จนในที่สุด สภาพร่างกายได้เอิบอิ่มกับการปลดปล่อยนั้น ตามมาด้วย จิตใจก้อได้อิ่มเอิบ ตามมาเช่นกัน โดยร่างกายรู้สึกแช่มชื่น และจิตรู้สึกเย็นซาบซ่า ฉ่ำใจ เหมือนนั่งห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำ (เน้นคำว่า ฉ่ำๆๆๆ)

    สภาพนี้ ไม่ดีดอกหรือ?

    (ขอคำวิจารณ์ด้วยจ้า)
     
  10. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    กินแล้วก็ต้องถ่าย ถ่ายแล้วจึงค่อยสบาย
    ก็ยังงี้แหละครับ ธรรมชาติของเขาเป็นแบบนี้เอง..

    คนเรานี่มันมีทุกข์อยู่ตลอดเวลานะครับ
    และเราก็หาทางออกจากทุกข์ให้กับตัวเองอยู่ตลอดเวลาเหมือนกัน
    เพียงแต่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ เมื่อไหร่ เห็นหรือไม่เห็น
    เห็นได้ขนาดไหน หยาบ ละเอียด ตื้นลึกหนาบางภายใน
    ถ้าเราฝึกให้เห็นตามความเป็นจริงได้บ่อย ๆ ก็ดีนะ
    สติดี ๆ ต่อไปจะได้เริ่มเข้าใจกลไกของความเป็นตัวเป็นตนได้มากขึ้น
    มันเห็นทุกข์เห็นโทษหนักเข้า ๆ ชัดเข้า ๆ อีกหน่อยก็หน่าย
    ทางไหนเพิ่มทุกข์เพิ่มโทษ พอรู้แล้วก็จะเริ่มลดละ ไม่ไปทางนั้นอีก

    ทางไหนพาหลุดพาพ้นได้จริง ๆ ก็วิ่งไปทางนั้นเอง
    ดีนะ..
     
  11. รีล มาดริด

    รีล มาดริด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 เมษายน 2012
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +717
    ทำไมถึงหวั่นไหวในอารมณ์ง่าย และทำอย่างไรจึงจะพ้นอารมณ์ที่รบกวนนี้ได้ ?

    ********************/////////////*********************

    จขกท. แสดงว่า คุน รู้อารมณ์ นามธรรรมเป็นแล้ว ไม่เช่้นนั้น คุณ จะพุดไม่ได้เลยว่าตัวคุณ หวั่นไหว ในอารมณ์ ง่าย..แสดงว่า คุณ ระลึกสติเป็นแล้ว บ้าง.....

    แต่คุณ ก็ กังวล และัอยากหาย จากอากการนั้น โดยที่คุณ ไม่ รู้ ตัว ว่า กำลัง อยากหาย

    การ หัด เจริญสติ ต้องทัน ต่อ อาการ ของจิตที่เกิด แบบทัน สภาวะที่เกิด จึงจะตรงต่อ ความเป็นกลางได้ หัด ดูบ่อยๆ จะ เห็นชัด และ สติ จะเกิดเร็วขึ้น

    เมื่อ สติ เกิด ความเป็นกลาง ของจิตจะ เกิด ตั้งมั่นได้

    ส่วนคำตอบที่ว่า จะทำอย่างไรจึงจะ พ้นอารมณ์ ที่ รบกกวนได้
    คำตอบ มี สั้นๆ ครับ รู้ทันไป ก็ จบ...แค่นั้น
     
  12. naithammada

    naithammada เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กุมภาพันธ์ 2013
    โพสต์:
    136
    ค่าพลัง:
    +283
    สิ่งใดได้รู้ สิ่งนั้นรับรู้
    สิ่งใดไม่รู้ สิ่งนั้นไม่รับรู้
    รู้หมายในธรรม รับรู้ในธรรม
    ไม่รู้ในธรรม ก็ไม่เข้าใจในธรรม

    เจริญธรรม
     
  13. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขอกราบขอบพระคุณพระคุณเจ้า ที่ได้เมตตาแนะนำครับ



    กระทู้นี้จริง ๆ ผมเพียงยกคำครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เคยเมตตาสอนไว้ในหลาย ๆ ที่

    นำมารวบรวมลงไว้ ให้สมาชิกได้ศึกษาหาความรู้ พอเป็นแนวทางเพิ่มเติมบ้างเท่านั้นเอง



    สำหรับในส่วนที่พระคุณเจ้า เข้าใจ่า..

    เป็นตัวผม ที่หวั่นไหวในอารมณ์นั้น อันนี้ก็อาจมีส่วนอยู่บ้าง

    แต่เรื่องกังวลและอยากหาย โดยไม่รู้ตัว อันนี้คงไม่ถึงขนาดนั้นครับ

    เพราะทราบชัดอยู่แก่ใจแล้วว่า ทุกสิ่งล้วนบังคับบัญชาไม่ได้จริง ๆ

    เขาเกิดดับตามเหตุตามปัจจัยของเขา เราเพียงมีหน้าที่เจริญสติตามดู รู้เท่าทัน

    ทำความเห็นให้กระจ่าง หมดสิ้นความสงสัีย และปล่อยวางได้ในที่สุด เพียงเท่านี้


    ความหวั่นไหวเป็นผลกรรม มาจากการหลงทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นมาก่อน

    ผมมองในส่วนนี้เป็นเรื่องของวิบากกรรม เป็นส่วนของปลายเหตุไปแล้ว

    เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ประคับประคอง ไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

    หรือลุกลามบานปลายไปใหญ่โตขึ้น เท่านั้นเอง กรรมเมื่อให้ผลแล้วย่อมแก้ไขอะไรไม่ได้

    ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ ก็คงเป็นดังเช่นที่พระคุณเจ้าได้เมตตาแนะนำไว้นั้นเอง



    กราบขอบพระคุณครับ
     
  14. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ส่วนที่รู้สึกแบบนั้น เป็นเพราะ เดิมทีมันสะสมความทุกข์เอาไว้ในใจมาก (โดยไม่รู้ตัว) พอดับร้อนผ่อนเย็นได้ จะด้วยธรรมบทใดก็ตาม ถ้าเย็นได้ มันจะเย็นมากเช่นกัน ก็อาศัยจากการที่เดิมทีมันร้อนมากมาก่อนนั่นเอง เหมือนเอามือจุ่มน้ำอุ่นน้ำร้อน แล้วเอาขึ้นมาจุ่มน้ำเย็นทันที มันจะร้อนกว่าปกติที่มือเราไม่ได้จุ่มน้ำอุ่นน้ำร้อนมาก่อน บางคนไปถามพระอาจารย์ว่า เมื่อก่อนแรก ๆ ปฏิบัติไปแล้วรู้สึกสบาย มีปิติ มีสุขมาก หลัง ๆ มานี้กลับรู้สึกเหมือนไม่ก้าวหน้า ไม่ได้อย่างที่เคย ทั้ง ๆ ที่ก็ปฏิบัติเหมือนเดิม ท่านก็เลยชี้ให้ดูจุดนี้ว่า ทุกข์มากก็สุขมาก ถ้ามันไม่ค่อยทุกข์มากเหมือนเดิมแล้ว ความสุขที่ได้ก็ดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาไป..
     
  15. deemonster

    deemonster เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2007
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +805
    พอไม่มีผลให้กิน มันก็หิวเป็นธรรมดาครับ
     
  16. rungdao

    rungdao เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    2,019
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +10,731
    ขอตัวหนังสือสีแดงค่ะ ... จากที่อยู่ในระดับความเข้มข้นสูงสุด แล้วมาลงที่ ได้ปลดปล่อยอารมณ์นั้น ....
    ไม่วิจารณ์ค่ะ แต่เข้ามาขอแนวคิด
     
  17. อินทรบุตร

    อินทรบุตร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    2,511
    ค่าพลัง:
    +7,320
  18. ตั้งฉาก

    ตั้งฉาก เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 เมษายน 2013
    โพสต์:
    495
    ค่าพลัง:
    +573
    ในมุมมอง หนึ่งนั้น คือ การทำให้บรรลุถึงความปราถนานั้นๆ หรือ ดับความปราถนานั้นๆ

    การอัดแน่นของกิเลส และการระเบิดออกของกิเลสนั้นๆ ก่อให้เกิดสภาพผลลัพธ์เช่นนั้น เช่น เวลายุงกัด-ตบให้สะใจ เวลาคันแบบสุดซึ้ง-เกาให้สะใจไปเลย เวลาโกรธจัด-ระบายออกด้วยการโต้กลับด้วยความรุนแรง เวลาเคียดแค้น-โต้ตอบด้วยความรุนแรง เวลาอยากได้รถออดี้คันนั้น-ซื้อให้เต็มออพชั่นไปเลย อื่นๆ มากมาย ดุจดั่งเหมือนอยู่ในสวรรค์ช่างสุขเหลือนี่กระไร

    การดับความปราถนานั้นๆ ด้วยกลไก แห่ง อริยะสัจ4 ณ นิโรธะ คามินี ปฏิปทา มาถึง ณ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ โดยมีนิโรธนั้น เป็นปกตินิสัย จนเป็นสันดาร นั้น จะเกิดผลลัพธ์ ของความ ซาบซ่าทั้งกาย (โดยรู้สึกถึงความ Healty หรือ ความมีสุขภาพดีเอามากๆ) และ ฉ่ำใจ (เหมือนคน นอนหลับเต็มอิ่มและพึ่งตื่น) ซึ่งจะมีสภาพนั้นได้ตลอดเวลา


    สองกระบวนการนี้ ในเชิงระยะเวลานั้นต่างกัน อย่างแรกอาจอยู่ได้แค่แปปเดียว เป็นชั่วโมง เป็นวัน หรือ เป็นอาทิตย์ แล้วการอัดสะสมจะเกิดขึ้นใหม่อยู่เรื่อยๆ ไม่จบสิ้น จะวนอยู่แบบนั้น (ถามว่า ในระยะยาวนั้นจะเป็นผลดีหรือไม่? คำตอบนี้คงรู้ดีอยู่แก่ใจ สำหรับท่านผู้มีปัญญาอยู่แล้ว ความทุกข์แบบสุดซึ้งรออยู่ ณ บั้นปลายชีวิต เมื่อ เกิดการเสื่อมไป หรือ หมดไปของการที่จะทำให้บรรลุถึงปรารถนานั้นได้ ขณะที่สิ่งที้อัดแน่นทับถมนั้นยังคงอยู่ เช่นแก้แค้นไม่สำเร็จ ไม่สิ่งที่ตั้งใจหวังไว้)

    ในกระบวนการที่สองนั้น สภาพจะมีอยู่ตลอดกาล เพราะคำว่า ปฏิปทา ดับได้ทั้ง สิ่งที่อัดแน่นั้นก้อสูญสลาย สิ่งที่จะระเบิดออกก้อหยุดไปเพราะไม่เกิดขึ้น
    ให้ผลลัพธ์(ความฉ่ำ)ระยะยาวตลอดกาล เช่นกัน บวกกับความสะอาดของจิต

    เรา เพียงอยากฟัง ความคิดเห็น ในมุมมองที่ ทั้งสองให้ผลแห่งความฉ่ำเหมือนกัน แล้วในแต่ละสถานการณ์ ท่านแต่ละคน เลือกอย่างไร? คิคิ

    และที่สุดของที่สุด แม้แต่กายนี้ ที่จิตมาอาศัยร่วมด้วยก้อไม่เอา นำไปถึง ขันธ์เปรต จนถึง ขันธ์เทวดาเช่นกัน ก้อไม่เอา ตามที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฏก (แต่มิใช่ ไม่เอาโดยการฆ่าตัวตายนะ ให้มันตายไปตามสภาพธรรมและกรรม ตอนละกายนี้ไป ก้อไม่ต้องไปเสียอกเสียดาย ไปโดยเพราะมัน เริ่มมาแล้วก้อจบไป จบภพนี้โดยบริบูรณ์)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2013
  19. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ถ้าดับด้วยพระธรรม เราก็จะเห็นความโง่ความหลงของตนเองทุกครั้ง

    เห็นทุกข์เห็นโทษเห็นภัย นำไปสู่ความเข็ดขยาดมากขึ้นทุกที ๆ

    ถ้าดับด้วยอำนาจกิเลส มันก็ได้ความสาสม สะใจ อัตตามันก็พอกพูน

    ดับด้วยปัญญา มันเย็น เป็นอุเบกขา ปล่อยวางสนิท

    ดับด้วยกิเลส ดูเหมือนแฮปปี้ แต่ถ้าสัมผัสดูดี ๆ มันร้อนลึก ๆ คุกรุ่น เผาอยู่ข้างใน ตลอดเวลา
     
  20. paetrix

    paetrix เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 เมษายน 2011
    โพสต์:
    2,478
    ค่าพลัง:
    +1,878
    ............................ก็เจริญสติปัฎฐานสี่ไป......เราเป็นฆราวาส ก็ดำเนินไปตามหน้าที่ทางโลก กลไกทางโลกโดยมีสติปัฎฐานกำกับ...บริโภค หรือแสวงหา ของกินของใช้ ด้วยการมีการรู้พิจารณา คุณ(อัสสาทะ) โทษ(อาทีนพ) และอุบายนำออก(นิสรณะ)...ถ้าเพียงมีสติสักเล็กน้อยจะเห็นได้ว่า...ที่เราคิดว่ามันสะสมความอยากแล้วมันจะระเบิดมันไม่จริงนักหรอก...มันไม่เที่ยงต่างหากที่เป้นความจริง จะสนองหรือไม่สนองมันก็ดับไป...ผลของมันคือ ความยินดี และ ยินร้ายนั่นแหละที่ทำให้เกิดทุกข์โทมนัสต่อไป....ก็มีสติ ละอภิชฌาและโทมนัส เนืองเนือง:cool:ชีวิตสังขาร กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร ดำเนินได้อย่างดีไม่มีปัณหาถ้ามีสติ...ท่านพุทธทาสกล่าวว่าการทำงานคือการปฎิบัติธรรม..หรืออนุสติฐานที่หก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 พฤษภาคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...