จิตพร้อม? รับภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย ภูภู, 6 เมษายน 2012.

  1. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    บุญน่ะ ไม่ต้องไปทำที่อื่นให้มันมากนัก
    บุญใหญ่ก็อยู่ที่ภายในกาย ภายในใจตนเอง ทั้งนั้น
    แค่่ทำจิตให้นิ่ง หรือหมั่นทรงฌานปกติเข้าไว้
    นี่แค่ปิดประตูนรกตนเอง ชั่วคราวเองนะ
    แต่ถ้าจะปิดประตูนรกถาวร ก็นำจิตวิปัสสนา สอบให้ผ่านกันด้วยนะ
    สำหรับผู้ปฎิบัติที่มีกำลังใจมาก เพื่อความหลุดพ้น เพื่อพระนิพพาน
    ก็ให้ทำไปๆ ไปไม่ถึงก้ไม่เป็นไร ไปตกสวรรค์ พรหมก็ยังดีกว่าตกนรก
    เดี๋ยวมีผู้มีบุญสูง บารมีสูง ท่านจะมารับหน้าที่ต่อไป
    เข้าใจนะ อย่าถามมาก ให้ปฎิบัติมากๆ
    ปฎิบัติให้เข้าถึงกระแสจิตตนเองก่อน กระแสธรรมนั้น ไม่ยากดอก
    พอถึงกระแสธรรม ต่อไปอีกนิดเดียวเองลูกหลาน ก็จะถึงพุทธะแล้ว
    และสิ่งเดียวที่จะนำพาดวงจิตไปถึงวิมุตติ ก็คือ ปัญญาญาณหรือญาณต่างๆ
    ไม่ว่าจะเดินอากาศ ทางบก ทางน้ำ ก็ถึงเหมือนกันลูกหลาน
    ถึงไวบ้าง ช้าบ้าง แต่ขอให้มีสติสัมปชัญญะ ให้มีจิตใจตั้งมั่น
    เดี๋ยวญาณก็จะมารอจอดที่หน้าบ้านเองนะ พอญาณมาแล้ว อย่ามัวไปหลงแวะข้างทางกันนะ
    มันหอมหวาน มันดูสวยงามแต่ก็จริง ใครไปหลงมันก็เท่ากับ เดินทางช้าหรืออ้อมแล้ว
    จงรู้ตัวเข้าไว้ให้มากๆ สตินะ สติเท่านั้น จะช่วยเราได้
    เพราะโลกทิพย์เจ้าต้องเดินแต่ผู้เดียว ยังพอมีลมหายใจก็ต้องเร่งรีบนะ
    อย่านอนมาก อย่าทานมาก ให้อยู่กับกายใจตนเองมากๆ
    พ่อทำตัวอย่างให้ดูมาแล้วมากมาย ลูกหลานก้แค่ทำตามเท่านั้นเอง
    อย่าเพิ่งไปเชื่อ ไปหลงตนเองมาก อย่าลืมนะว่าเรายังมีขันธ์ ๕
    กายสกปรก จิตยังไม่บริสุทธิ์ อย่าให้มันหลอกเราได้
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2013
  2. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    โกรธเล็ก โกรธใหญ่ ตายแล้วไปไหน

    คำว่า "โกรธใหญ่" ไปโกรธเอาคนดีเข้า อย่างโกรธพระพุทธเจ้า ดูตัวอย่างเทวทัต โกรธพระพุทธเจ้า ตายแล้วไปอเวจีมหานรก

    โกรธพระอรหันต์ ตายแล้วไปอเวจีมหานรก

    โกรธพ่อโกรธแม่ คิดจะประหัตประหารท่าน ตายแล้วไปอเวจีมหานรก เพราะทั้งหมดนี้เป็นบุคคลที่มีคุณใหญ่ เขาเรียกว่า "โกรธใหญ่"

    ก็รวมความว่าโกรธบุคคลดีที่มีคุณกับโลกหรือมีคุณกับสังคม มีคุณกับเราอย่างนี้ชื่อว่า "โกรธใหญ่" โทษก็ใหญ่ตาม

    ถ้า "โกรธเล็ก" หมายถึงว่า โกรธคนที่มีความชั่ว อย่างโกรธขโมยขโจรเป็นต้น อย่างนี้เราก็ตกนรกเหมือนกันแต่ตกนรกขุมเล็ก ก็รวมความว่า ความโกรธเป็นของไม่ดี คนมักโกรธมีอารมณ์เศร้าหมอง ถ้าตายจากความเป็นคน จะไปไหน ก็ต้องไปนรก "โกรธใหญ่" ก็ไปนรกขุมใหญ่ "โกรธเล็ก" ก็ไปนรกขุมเล็ก

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี)
     
  3. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ความเป็นพระอริยเจ้า

    พระโสดาบัน

    ๑. ความเป็นพระโสดาบัน ต้องทรงคุณธรรม ๓ ประการ จำไว้ให้ดีเป็นของไม่ยากคือ

    ประการที่ ๑ มีความเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริง พระสงฆ์นี่ เลือกเอาพระอริยสงฆ์นะ เพราะถ้าไม่ใช่พระอริยะ แกก็ไม่ค่อยแน่นัก ดีไม่ดีแกก็เลวกว่าชาวบ้านเขาก็มี

    ประการที่ ๒ งดการละเมิดศีลโดยเด็ดขาด เรียกว่า รักษาศีลยิ่งกว่าชีวิต ศีล ๕ ประการนี้รักษาโดยเด็ดขาด

    ประการที่ ๓ จิตใจของพระโสดาบัน มุ่งอย่างเดียวคือนิพพาน ขึ้นชื่อว่าทำความดี ตั้งแต่ฟังเทศน์ปฏิบัติธรรม ลงไปถึงเทกระโถน ล้างส้วม ตั้งใจอย่างเดียว เราทำเพราะเมตตาปรานีแก่บุคคลทั้งหลาย ความดีนี้ไม่ต้องการผลตอบแทนจากบุคคลผู้ใด เราต้องการอย่างเดียวทำเพื่อผลของพระนิพพาน เพียงเท่านี้เขาเรียกว่าพระโสดาบัน

    ๒. คนที่เขาเป็นพระโสดาบัน เขาทรงอารมณ์แบบนี้ คือ ปรารภความตายเป็นปรกติ ไม่ประมาทในชีวิต คิดว่าการเกิดมานี่มันต้องตาย เมื่อคิดว่าจะต้องตายเขาก็ไม่ประมาท ไม่ยอมไปอบายภูมิ นั่นคือ เคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง เป็นปกติ และก็มีศีล ๕ บริสุทธิ์ มีจิตต้องการพระนิพพานเป็นอารมณ์ การทำความดีทุกอย่าง ไม่หวังผลตอบแทนในปัจจุบัน คิดว่าผลความดีที่เราต้องการมีอย่างเดียวคือพระนิพพาน เท่านี้เองความเป็นพระโสดาบัน


    พระสกิทาคามี

    พระสกิทาคามีนี่ อารมณ์ทุกอย่างเหมือนพระโสดาบันทั้งหมด ตัดสังโยชน์สามเหมือนกัน แต่ว่ามีการบรรเทาความรักในระหว่างเพศ บรรเทาความร่ำรวย บรรเทาความโกรธ เมื่อสามอย่างนี้มันบรรเทา ความหลงก็เลยบรรเทาด้วย กำลังใจของพระสกิทาคามี มีข้อสังเกตดังนี้

    ประการที่หนึ่ง อารมณ์จะไม่มีความกำเริบในระหว่างเพศ จิตใจเยือกเย็นลง แต่ยังไม่หมด เบาลง

    ประการที่สอง เรื่องความโลภ ความอยากรวย ความดิ้นรนของความอยากรวยเบาลง ความรู้สึกว่าพอเริ่มมี แต่การทำความดีความขยันหมั่นเพียรยังปรากฎ แต่ว่าจิตไม่ดิ้นรนเกินไป

    สิ่งที่เราจะสังเกตได้ง่าย สำหรับพระสกิทาคามี นั่นก็คือ กำลังความโกรธลดลงมาก การถูกด่าถูกนินทา โกรธเบา บางทีก็โกรธช้าไป


    พระอนาคามี

    ถ้าจิตของบรรดาท่านพุทธบริษัทเข้าสู่พระอนาคามีมรรคได้ มันเข้ามาเอง ทำไป ๆ จิตมันก็โทรมลงมา คือว่า จิตหมดกำลังในด้านความชั่ว ทรงความดีมากขึ้น มีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ มีความสลดใจ คือ ถ้าจิตไม่มีความรู้สึกระหว่างเพศอย่างนี้ท่านเรียกว่าพระอนาคามีมรรค

    ถ้าหากว่า จิตเราไม่พอใจในศีล ๕ มีความพอใจในศีล ๘ แล้ว ก็มีความมั่นคงในศีล ๘ อย่างนี้ ท่านถือว่าเริ่มเข้าอนาคามีมรรค เรียกว่าเดินทางเข้าหาพระอนาคามี ต่อไปถ้าจิตมีความเบื่อหน่ายในเรื่องระหว่างเพศ คือถ้าหมดความรู้สึก ก็ถือว่าเป็นพระอนาคามีผล

    และต่อมาถ้าจิตลดจากความโกรธ ความไม่พอใจ ปฏิฆะ คืออารมณ์กระทบกระทั่งใจนิดๆ หน่อยๆ ความไม่พอใจการแสดงออกน่าจะมีสำหรับคนในปกครอง ถ้าทำไม่ดีต้องดุต้องด่าต้องว่าต้องลงโทษ อันนี้เป็นธรรมดา เป็นการหวังดี แต่ว่าเนื้อแท้จริงๆ จิตคิดประทุษร้ายไม่มี เป็นการหวังดีแก่คนทุกคน คือตัดตัวปฏิฆะ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ถือว่า เต็มภาคภูมิของพระอนาคามีผล


    รวมความว่าจากพระสกิทาคามีแล้ว จะเป็นพระอนาคามี ก็คือ

    ๑.สังเกตว่าใจเราพอใจในศีล ๘ รักษาศีล ๘ ได้ครบถ้วนจริง ๆ
    ๒.จิตตัดอารมณ์ในกามารมณ์ได้เด็ดขาด ไม่มีความรู้สึก
    ๓.ตัดความโกรธ ความพยาบาทได้เด็ดขาด อย่างนี้เป็น พระอนาคามีผล


    พระอรหันต์

    ๑. อารมณ์พระอรหันต์ นั่นคือ จิตคิดว่าไม่หลงในรูปฌานและอรูปฌาน จิตไม่มีมานะการถือตัวถือตนจิตไม่มีอารมณ์ฟุ้งซ่านออกนอกรีดนอกรอย จิตไม่ติดในอวิชชา คือฉันทะกับราคะ ฉันทะ-ความพอใจในมนุษย์โลก เทวโลกไม่มี ราคะ-จิตเห็นมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก สวยไม่มี ไม่พอใจในสามโลก จิตพอใจจุดเดียวคือนิพพาน นี่เป็นอารมณ์พระอรหันต์

    โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระอรหันต์ คือยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ไล่ลงมาอีกทีนะ จิตยอมรับนับถือกฎของธรรมดาว่า ธรรมดาคนเกิดมาแล้ว ต้องแก่ ต้องป่วย ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ คนเกิดมาแล้วต้องตาย ความปรารถนาไม่สมหวังย่อมมีแก่ทุกคน ถ้าทุกอย่างมันเกิดขึ้น ใจท่านไม่หวั่นไหว ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็จิตคิดว่าถ้าร่างกายนี้พังเมื่อไร ฉันไปนิพพานเมื่อนั้น ใจสบาย

    ๒. ศีลเราบริสุทธิ์อยู่แล้ว สมาธิทรงตัวอยู่แล้ว วิปัสสนาญาณปลดเปลื้องร่างกายของเรา ร่างกายของบุคคลอื่น วัตถุธาตุ ขันธ์ ๕ คือร่างกาย อย่าไปเสียดายมัน มันจะพังเมื่อใดก็เชิญมันพัง เพราะใจเราพร้อมที่จะไปนิพพาน ตัวจิตบริสุทธิ์อยู่ที่นี่

    ๓. อรหัตผลนี่เป็นของไม่ยาก ก็ตัดกามฉันทะกับราคะ คือไม่สนใจกับร่างกายของเราด้วย ไม่สนใจกับร่างกายของบุคคลอื่นด้วย ไม่สนใจกับวัตถุธาตุในโลกทั้งหมด คิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ช้ามันก็สลายตัว ไม่มีอะไรดีสำหรับเรา เราไม่ถือว่ามันเป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา และเราก็ไม่ถือวาทะของบุคคลอื่นไม่ถืออารมณ์ของบุคคลอื่น ทำใจให้แช่มชื่นอยู่อย่างเดียว ว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ทรัพย์สินในโลกไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันเป็นของกิเลส ตัณหา อุปาทาน มันพังเมื่อไร พอใจเมื่อนั้น

    ขึ้นชื่อว่าความเกิด มีขันธ์ ๕ ร่างกายอย่างนี้ จะไม่มีสำหรับเรา ความเป็นเทวดาหรือพรหม จะไม่มีสำหรับเรา สิ่งที่เราต้องการคือนิพพาน นี่แค่นี้เท่านั้นแหละ ไม่เห็นมีอะไรยาก ถ้าพูดกันแบบง่ายๆ แต่ความจริงพูดกันมาเยอะ ทำอารมณ์ให้มันทรงตัวเถอะ มันก็ไม่ลำบาก มันก็สำเร็จมรรคสำเร็จผล”

    พระราชพรหมยานเถระ (หลวงพ่อฤาษี)
     
  4. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    หลวงพ่อเปลี่ยน-รักษาศีลได้มีความสุข
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=HvnvDztTVzQ]หลวงพ่อเปลี่ยน-รักษาศีลไดมีความสุข - YouTube[/ame]
     
  5. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151

    “อย่าเอาความเลวไปแก้ความเลว”

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอน โดยให้หลักไว้ดังนี้

    ๑. อย่าเอาความเลวไปแก้ความเลว จงเอาความดีเข้าไปชนะความเลวของจิตตนเองไม่ใช่เอาความเลวของเราไปชนะความเลวของบุคคลอื่น เพราะนั่นไม่ใช่วิสัยของ อริยชน
    ๒. ที่พวกเจ้าต้องผจญอยู่กับกฎของกรรมเยี่ยงนี้ ก็เพราะเป็นผลแห่งความเลวที่พวกเจ้าได้กระทำกันมาก่อน จึงพึงสร้างความดีลบล้างอารมณ์จิตเลว ที่ยอมรับผลแห่งกฎของกรรม มัวแต่ไปโทษบุคคลอื่นเยี่ยงนี้มันก็ไม่ถูกต้อง
    ๓. วางอารมณ์เสียใหม่ อยากได้มรรคผลนิพพาน จักต้องเคารพกฎของกรรมให้มาก ๆ ให้จิตมีความอดทนต่อกฎของกรรมเข้าไว้ โลกนี้ไม่มีใครผิดใครถูก มีแต่กฎของกรรมแสดงอยู่ไม่เว้นตลอดกาลตลอดสมัย
    ๔. อยากพ้นกฎของกรรม ก็จงเพียรทำความดีเพื่อชนะความเลว อันเป็นกิเลสแห่งจิตของตนให้สิ้นซากไปเท่านั้น จึงจักพ้นได้จงหมั่นตรวจสอบสังโยชน์ดูให้ดี ๆ อย่าลืมซิว่า เวลานี้พวกเจ้าต้องการอะไร (ก็ตอบว่า ต้องการพระนิพพาน)
    ๕. แล้วการมีอารมณ์ไม่พอใจอยู่ในขณะนี้ จักเข้าถึงพระนิพพานได้ไหม (ตอบว่า เข้าไม่ได้)
    ๖. แล้วจักเกาะทุกข์เหล่านี้อยู่ทำไม ให้จิตเศร้าหมองอยู่อย่างนั้นหรือ อย่างนี้เป็นคุณหรือเป็นโทษ (ตอบว่า เป็นโทษ)
    ๗. เมื่อเป็นโทษก็พึงอย่าทำ ละวางอารมณ์นี้ลงไปเสีย จงเลือกเอาแต่อารมณ์ที่เป็นคุณมากระทำ จึงจักถูกต้องเพื่อมรรคผลนิพพาน
    ๘. เมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องทำให้ได้ด้วย ทำได้หรือไม่ได้ก็ต้องทำ<

    วิธีพ้นภัยตนเอง

    สมเด็จองค์ปฐม ทรงมีพระเมตตา ตรัสสอนไว้ดังนี้

    ๑. อยู่ที่การหมั่นตรวจสอบจิต ให้มีอารมณ์ผ่องใสอยู่ในธรรมให้เสมอ ตั้งแต่เช้าลืมตาขึ้นมาพยายามตั้งอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ และพยายามตั้งอยู่ให้มั่นคง ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งหลับตานอนหลับไป หากทำได้จิตจักผ่องใส เจริญอยู่ในธรรมตลอดเวลา เพราะอำนาจของพรหมวิหาร ๔ จักบังคับจิตไม่ให้เบียดเบียนตนเองเมื่อสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว คำว่าจักไปเบียดเบียนบุคคลอื่นนั้นย่อมไม่มี
    ๒. ภัยร้ายแรงที่สุดในการปฏิบัติธรรมเพื่อนำไปสู้ความพ้นทุกข์ ก็คือ ภัยจากอารมณ์จิตของตัวเราเองทำร้ายจิตของเราเอง ดังนั้น หากเราทรงอารมณ์ให้อยู่ในพรหมวิหาร ๔ ได้ครบทั้ง ๔ ประการได้มั่นคงตลอดเวลา จิตเราก็ผ่องใสตลอดเวลา เท่ากับสิ้นความเบียดเบียนตนเองแล้ว หรือพ้นภัยตนเองแล้วอย่างถาวร
    ๓. ในการปฏิบัติหากจิตมีอารมณ์คิด ก็ให้คิดใคร่ครวญอยู่ในธรรม แม้จักไม่มีคู่สนทนา ก็จงสนทนากับจิตตนเองคือ ใคร่ครวญในพระธรรมวินัย หรือใคร่ครวญในพระสูตรให้จิตตนเองฟัง และเจริญอยู่ในธรรมนั้น ๆ ทำได้เยี่ยงนี้จิตเจ้าจักผ่องใสอยู่ตลอดเวลา ศีล สมาธิ ปัญญาจักเกิดขึ้นได้ด้วยการใคร่ครวญในธรรมนั้น ๆ และจักทำให้จิตจำพระธรรมคำสั่งสอนได้ดีพอสมควร ธรรมเหล่านี้จักเป็นผลพลอยได้ ซึ่งกาลต่อไปเจ้าจักมีโอกาสนำไปสงเคราะห์บอกต่อให้แก่ผู้อื่นได้ศึกษาและเข้าใจถึงธรรมนั้น ๆ ไปด้วย
    ๔. แต่อย่าลืมหลักสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการอย่าปฏิบัติเลื่อนลอยจักไม่ได้ผล แม้การแนะนำผู้อื่นก็เช่นกัน อย่าทิ้งหลักสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้นเป็นอันขาด
    ๕. การแนะนำอย่ากระทำตนเป็นผู้รู้ ให้ถ่อมตนเข้าไว้ว่า ที่รู้นั้นรู้ตามพระพุทธเจ้าท่านสอน ท่านสอนให้ตัดสังโยชน์ ๓ ประการเบื้องต้น เพื่อกันอบายภูมิ ๔ ไว้ก่อน เพราะการไปละเมิดศีล ๕ เข้าข้อใดข้อหนึ่ง กรรมนั้นก็จักถึงให้ตกนรก
    ๖. นรกขุมแรก สัญชีพนรก๙ ล้านปีของมนุษย์เท่ากับนรกขุมนี้ ๑ วันให้เกรงกลัวบาปเข้าไว้ แต่มิใช่คิดประมาทว่าเป็นไร เราจะพยายามไม่ละเมิดศีล แต่ไม่ต้องรักษาศีลก็แล้วกัน ถ้าบุคคลใดคิดเช่นนั้น ให้ดูตัวอย่าง อานันทเศรษฐี ผู้ไม่มีทั้งกรรมดี คือ ไม่ยอมให้ทานเลย แต่ก็ไม่มีกรรมชั่ว เพราะเขาไม่ได้รักษาศีล แต่ก็ไม่ได้ละเมิดศีล ผลของการไม่ให้ทานทำให้เกิดเป็นลูกขอทานผลที่เขาไม่ได้รักษาศีล ทำให้รูปร่างเขาเหมือนปีศาจคลุกฝุ่น กฎของกรรมมันเป็นอย่างนี้
    ๗. และอย่าลืมว่าเรามิใช่เกิดมาแต่เพียงชาตินี้ คือปัจจุบันชาติเท่านั้น หากใช้ปัญญาพิจารณาถอยหลังไป คนแต่ละคนเกิดมาแล้วนับอสงไขยไม่ถ้วนในอดีตชาติที่ผ่านมาอย่างนับไม่ถ้วนนั้นทุกๆ คน ทำกรรมชั่วละเมิดศีล ๕ มาแล้วมากกว่าทำกรรมดีนี่เป็นสัจธรรม เพราะฉะนั้นทุกๆ คนย่อมมีบาปเก่า ๆ ท่วมทับใจอยู่ บาปเก่า ๆ เหล่านี้แหละที่จักสามารถดึงทุกท่านลงนรกได้ถ้า หากจิตไม่เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า คือพระโสดาบันขึ้นไปเป็นอันดับเบื้องต้น เพราะฉะนั้น จุดนี้ทุกคนจึงไม่ควรจักประมาท ให้พยายามตัดสังโยชน์ ๓ เอาไว้ให้ดี ๆ เพื่อป้องกันการไปจุติยังอบายภูมิ ๔ อย่างเด็ดขาด
    ๘. การพูดต้องพูดตามนี้การปฏิบัติของพวกเจ้า จักต้องกำหนดรู้อยู่ที่สังโยชน์ ๔-๕ จักได้มีการระงับอารมณ์อันเป็นเหตุให้เกิดความพอใจ และไม่พอใจนี่จักต้องมีสติกำหนดรู้ไว้ มิใช่ปล่อยให้กระเจิดกระเจิงไปตามอายตนะสัมผัส เหมือนดังที่ผ่านมานั้นใช้ไม่ได้
    ๙. เมื่อรู้ว่าพลาดก็จงตั้งต้นใหม่ เพียรต่อสู้เรื่อยไป อย่าท้อถอยมีกำลังใจตั้งมั่นไว้เสมอว่า บุคคลใดจักเข้าถึงพระนิพพานได้ บุคคลนั้นต้องตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ประการได้ จึงจักเข้าถึงได้เราเองก็จักต้องกระทำตามนั้น จักเดินทางอื่นเพื่อเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้เลย
    ๑๐. การเอาชนะอารมณ์ที่เป็นกิเลสนี้ นี่แหละคืองานประจำ คืองานสำคัญที่เราจักต้องทำให้ได้ ถ้าปราศจากการกระทำงานนี้แล้ว การเข้าถึงพระนิพพานนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ เตือนจิตตนเองไว้เยี่ยงนี้ให้ดี ๆ ปฏิปทาใดที่ครูบาอาจารย์สอนแล้ว จงหมั่นเดินตามทางนั้นด้วยกำลังใจที่ตั้งมั่นในความเพียรหนทางใดเป็นทางพ้นทุกข์ จงเดินตามทางนั้น หนทางใดที่ท่านสอนไว้ว่าเป็นทุกข์ ก็จงละอย่าเดินซึ่งทางนั้น
    ๑๑. ความโกรธ โลภ หลง นั้นไม่ดีทางนี้ทำให้จิตมีอารมณ์ของความทุกข์ จักต้องใช้ปัญญาพิจารณาว่า อเนกชาติแล้วนะที่เราเดินมาตามทางแห่งความทุกข์นั้น ทุกข์เพราะความโกรธ โลภ หลง ทำให้จิตต้องเสวยทุกข์จุติไปตามอารมณ์เกาะทุกข์ เพราะความโกรธ โลภ หลงนั้นๆ
    ๑๒. เพลานี้พวกเจ้าได้พบแล้วซึ่งธรรมพ้นทุกข์ จงเดินตามมาเพื่อจักได้พ้นจากการจุติในวัฏฏสงสารให้ได้ก่อนตาย ร่างกายนี้ต้องตายแน่ จึงไม่ควรที่จักประมาทยอมแพ้เต้นตามกิเลสอยู่ร่ำไปขณะจิตนี้แพ้แล้วก็แพ้ไป ตั้งสติกำหนดรู้ แล้วรีบตั้งใจต่อสู้กับกิเลสใหม่ อย่าปล่อยเวลาให้เสียไปโดยไร้ประโยชน์ ขอให้หมั่นเพียรจริงๆ เถิด คำว่าเกินวิสัยที่จักชนะกิเลสได้ย่อมไม่มี
     
  6. อุษาวดี

    อุษาวดี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2012
    โพสต์:
    531
    ค่าพลัง:
    +12,151
    ::: อย่าแน่เป็นพักๆ แน่ให้มันถึง:::

    "... หาสติให้ได้ภาวนาเนี่ย สำคัญจริงๆ เรื่องสตินี่เราก็พูดย้ำบ่อยมากๆ ทีเดียว นี่เราไปธุระข้างนอก นั่งรถไปจนนั่งรถกลับนี่ไม่ได้ทิ้งเลย ไม่พิจารณาลงกายก็ลงสู่องค์ภาวนาอย่างเดียว ถี่ยิบๆๆๆ เข้า ถี่ยิบเข้าๆ เวลาพูดก็พูด คนที่ไปกับเราจะไม่ทราบทีเดียวว่าเราภาวนาอยู่นะ เรียกว่าถ้าอยู่กับคนหมู่มากอย่าให้เขารู้ว่าเราภาวนา อย่าให้เขาเห็น แต่ภาวนายิ่งกว่านักภาวนาที่นั่งภาวนาอยู่ที่กุฏิ เดินจงกรมอยู่ อย่าให้เขารู้ ถ้าขณะคุยไม่สามารถภาวนาได้ จ่อจิต ดูอาการขอจิตมันเป็นยังไงกับคู่สนทนา มันเป็นยังไงกับคำที่เราพูดออกไป มีปฏิกิริยายินดียินร้ายยังไง ดูแล้วดับ ไม่ให้เกิด นั่งอยู่นานเวทนามันเกิด พูดออกไปก็รู้เวทนา กำหนด อย่าพลิก ดูเวทนาไปด้วย และอย่าให้เขารู้ว่าเรามีเวทนาอยู่ หลวงพ่อฝึกเหมือนทหาร ทหารบางทียังฝึกไม่เท่าหลวงพ่อเลย ฉันอยู่กับการฝึกมาตลอดชีวิต จนถึงปัจจุบันนี้ก็ฝึกตัวเองไม่เคยหยุดยั้งในการฝึก เอาความจริงมาพูด ไม่กลัวอยู่แล้ว ใครแน่บ้างล่ะเอาดิ ฝึกดิ ตลอด 24 ชม. แม้เวลาหลับ รู้สึกตัว พลิกปั๊บ จับปั๊บทันทีๆ ภาวนา จับปั๊บๆ ทันที ไม่หยุด ป๊าบๆ ไม่ต้องสนใจว่าเดี๋ยวกูจะนอนไม่หลับก็ช่างมัน ตายแล้วก็ได้นอนยาวแล้ว ไอ้ตอนนี้มันยังไม่ตายนิ อะไรที่มันทำได้ก็ควรจะทำ เรื่องของจิตของใจเป็นเรื่องสำคัญ ให้มันจริงๆ เถ๊อะ คนน่ะ คนมันแน่มันได้จริงๆ คนไม่แน่มันไม่ได้หรอก อย่าแน่พักๆ พักๆ เป็นพักๆ แน่ก็แน่ให้มันถึงสิ

    ... พระพุทธเจ้าคู่กับนักรบ เราเป็นนักรบเป็นขุนศึกของพระพุทธเจ้า ต้องครบเครื่อง ทั้งหมัดทั้งศอกทั้งเข่า ทุกอย่าง ครบเครื่องหมด ไม่ว่าจะมาทางทิศไหนรับได้ต่อกรได้หมด มึงมาตอนกูนอนกูก็รับมึงได้ มาตอนนั่งกูก็รับ มาตอนยืนกูก็รับ มาตอนสนทนากูก็รับ โดยเฉพาะตอนสนทนากิเลสเข้าง่ายที่สุดเลยนะ..."

    ที่มา fb ธรรมคำสอน หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน
     
  7. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    [​IMG]
    ภาพนี้กำลังบอกอะไรเราบ้าง

    ขออนุญาตหลวงพ่อหน่อย(พระทวีศักดิ์ จิตรพี) เพื่อเตือนสติลูกหลาน ที่ยังมีชีวิตอยู่
    เรากำลังทำอะไรกันอยู่ กำลังสุข กำลังทุกข์ กำลังโกรธ เบียดเบียน หรือ กำลังจะทำกรรมอันใด
    ขอให้ดูร่างไร้วิญญาณของหลวงพ่อฯ เป็นตัวอย่าง
    แล้วเรายังจะยึดกาย ยึดอะไรต่อมิอะไร กันอยู่อีกไหม๊?​

    ดูกาย ดูจิตตนเองให้มาก สัจธรรมก็อยู่ตรงนี้
    อย่าไปสนใจอะไรอย่างอื่นเลย เพราะนอกนั้น คือสมมุติ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 16 มีนาคม 2013
  8. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    ธรรมะเป็นหลักประดับใจที่มีไว้ให้เราคอยสํานึกถึงคุณงามความดีอยู่เสมอ...ก็เหมือนเราที่นําเครื่องประดับเพชรพลอยออกมาประดับกายก็จะต้องคอยระวังอยู่ทุกอริยบทเพราะของที่ประดับนั้นมีค่านั้นเอง...แต่ตรงกันข้ามกับคนที่ไม่มีค่ามีราคาก็จะเป็นเหมือนคนล้มละลายนั้นเองไปไหนก็จะมีแต่ความเศร้าหมองและไม่มีความร่าเริงแจ่มใสได้เลย...เพราะจิตใจไม่มีค่ามีราคาจึงต้องแสดงออกมาทาง กาย วาจา ใจ เราเท่านั้นจะเป็นผู้คอยแก้ไขสิ่งนี้ให้ดีงามเหมือนเรามีเครื่องประดับที่มีคุณค่าประดับกาย...ถ้าเราเป็นคนที่เห็นว่าตนไม่มีค่ามีราคาแล้วก็จะมีแต่เพลินเป็นถ่ายเดียวเพลินตามกิเลสไม่ดูตัวไม่ดูวัยก็เพลินไปจนถึงวันตาย...เพราะความโง่เขลาของตัวเองนั้นเอง...เพราะไม่มีปัญญาหาวิธีแก้ไขไม่ได้ก็เหมือนคนล้มละลายนั้นเอง...แต่คนมีธรรมะก็เหมือนเรามีรถที่มีสภาพใช้งานได้ดีจะขับให้เร็ว หรือช้าก็ได้หรือจะหยุดก็ได้เพราะเราบังคับได้ตลอดเวลาเพราะรถก็มีสภาพดีนั้นเอง...และผู้ขับหรือเปรียบเหมือนผู้ปฏิบัติธรรมก็จะปฏิบัติต่อตนเองอย่างไรก็ได้จะเร่งหรือจะหนักจะเบาก็รู้ว่าสิ่งไหนสมควรจะทําการนั้นๆตามแต่จะเหมาะสมต่อเหตุการณ์นั้นๆที่ผู้ปฏิบัติเห็นสมควรต่อตนเอง...
    ที่มาจากเทปธรรมะขององค์หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
    ลูกขอน้อมกราบองค์หลวงตาด้วยเศียรเกล้าค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2013
  9. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    วันหนึ่งพระเซ็นนั่งประชุมกัน ธงที่ปักอยู่ข้างนอกก็โบกปลิวอยู่ไปมา พระเซ็นสององค์ก็เกิดปัญหาขึ้นว่า ทำไมธงจึงโบกปลิวไปมา องค์หนึ่งว่าเพราะมีลม อีกองค์ก็ว่าเพราะมีธงต่างหาก ต่างก็โต้เถียงโดยยึดความคิดเห็นของตน อาจารย์ก็เลยตัดสินว่ามีความเห็นผิดด้วยกันทั้งคู่ เพราะความจริงแล้วธงก็ไม่มี ลมก็ไม่มี

    นี่ต้องปฏิบัติให้ได้อย่างนี้ อย่าให้มีลม อย่าให้มีธง ถ้ามีธงก็ต้องมีลม ถ้ามีลมก็ต้องมีธง มันก็เลยจบกันไม่ได้สักที น่าเอาเรื่องนี้มาพิจารณา วางให้มันว่างจากลม ว่างจากธง ความเกิดไม่มี ความแก่ไม่มี ความเจ็บตายไม่มี มันว่าง ที่เราเข้าใจว่าธงเข้าใจว่าลมนั้น มันเป็นแต่ความรู้สึกที่สมมติขึ้นมาเท่านั้น ความจริงมันไม่มี น่าจะเอาไปฝึกใจของเรา

    ในความว่างนั้น มัจจุราชตามไม่ทัน ความเกิด ความแก่ความเจ็บ ความตาย ตามไม่ทัน มันหมดเรื่อง

    ถ้าไปเห็นว่า มีธงอยู่ ก็ต้องมีลมมาพัด ถ้ามีลมอยู่ ก็ต้องไปพัดธง มันไม่จบสักที เพราะความเห็นผิด แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฐิความเห็นชอบแล้ว ลมก็ไม่มี ธงก็ไม่มี ก็เลยหมดหมดเรา หมดเขา หมดความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย หมดทุกอย่าง


    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    เทศนาธรรมเรื่อง"สองหน้าของสัจธรรม"
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
     
  10. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    [​IMG]

    ยกตัวอย่างง่ายๆอย่างไก่ป่า เราก็รู้กันทุกคนว่า ไก่ป่านั้นเป็นอย่างไร สัตว์ในโลกนี้ที่จะกลัวมนุษย์ยิ่งไปกว่าไก่ป่านั้นไม่มีแล้ว เมื่อมาอยู่ในป่านี้ครั้งแรก ก็เคยสอนไก่ป่า เคยเฝ้าดูมัน แล้วก็ได้ความรู้จากไก่ป่าหลายอย่าง

    ครั้งแรกมันมาเพียงตัวเดียว เดินผ่านมา เราก็เดินจงกรมอยู่ในป่า มันจะเข้ามาใกล้ ก็ไม่มองมัน มันจะทำอะไรก็ไม่มองมัน ไม่ทำกิริยาอันใดกระทบกระทั่งมันเลย ต่อไปก็ลองหยุดมองดูมัน พอสายตาเราไปถูกมันเข้า มันวิ่งหนีเลย แต่พอเราไม่มองมันก็คุ้ยเขี่ยอาหารกินตามเรื่องของมัน แต่พอมองเมื่อไร ก็วิ่งหนีเมื่อนั้น

    นานเข้าสักหน่อย มันคงเห็นความสงบของเรา จิตใจของมันก็เลยว่าง แต่พอหว่านข้าวให้เท่านั้น ไก่มันก็หนีเลย ก็ช่างมันก็หว่านทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ เดี๋ยวมันก็กลับมาที่ตรงนั้นอีก แต่ยังไม่กล้ากินข้าวที่หว่านไว้ให้ มันไม่รู้จัก นึกว่าเราจะไปฆ่าไปแกงมัน เราก็ไม่ว่าอะไร กินก็ช่าง ไม่กินก็ช่าง ไม่สนใจกับมัน

    ไม่ช้า มันก็ไปคุ้ยเขี่ยหากินตรงนั้น มันคงเริ่มมีความรู้สึกของมันแล้ว วันต่อมามันก็มาตรงนั้นอีก มันก็ได้กินข้าวอีก พอข้าวหมด ก็หว่านไว้ให้อีก มันก็วิ่งหนีอีก แต่เมื่อทำซ้ำอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ ตอนหลังมันก็เพียงแต่เดินหนีไปไม่ไกล แล้วก็กลับมากินข้าวที่หว่านให้นั้น นี่ก็ได้เรื่องแล้ว

    ตอนแรก ไก่มันเห็นข้าวสารเป็นข้าศึก เพราะมันไม่รู้จักเพราะมันดูไม่ชัด มันจึงวิ่งหนีเรื่อยไป ต่อมามันเชื่องเข้า จึงกลับมาดูตามความเป็นจริง ก็เห็นว่า นี่ข้าวสารนี่ ไม่ใช่ข้าศึกไม่มีอันตราย มันก็มากินจนตลอดทุกวันนี้ นี่เรียกว่า เราก็ได้ความรู้จากมัน

    เราออกมาอยู่ในป่า ก็นึกว่า รูป เสียง กลิ่น รส โผฏ-ฐัพพะ ธรรมารมณ์ ในบ้านเป็นข้าศึกต่อเรา จริงอยู่ เมื่อเรายังไม่รู้ มันก็เป็นข้าศึกจริงๆ แต่ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว ก็เหมือนไก่รู้จักข้าวสารว่าเป็นข้าวสาร ไม่ใช่ข้าศึก ข้าศึกก็หายไป

    เรากับรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ก็เหมือนกันฉันนั้น มันไม่ใช่ข้าศึกของเราหรอก แต่เพราะเราคิดผิด เห็นผิด พิจารณาผิด จึงว่ามันเป็นข้าศึก ถ้าพิจารณาถูกแล้ว ก็ไม่ใช่ข้าศึก แต่กลับเป็นสิ่งที่ให้ความรู้ ให้วิชา ให้ความฉลาดแก่เราต่างหาก

    แต่ถ้าไม่รู้ ก็คิดว่าเป็นข้าศึก เหมือนกันกับไก่ที่เห็นข้าวสารเป็นข้าศึกมันนั่นแหละ ถ้าเห็นข้าวสารเป็นข้าวสารแล้วข้าศึกมันก็หายไป พอเป็นอย่างนี้ก็เรียกว่า ไก่มันเกิดวิปัสสนาแล้ว เพราะมันรู้ตามเป็นจริง มันจึงเชื่อง ไม่กลัว ไม่ตื่นเต้น

    เรานี้ก็เหมือนกันฉันนั้น รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะธรรมารมณ์ เป็นเครื่องให้เราตรัสรู้ธรรมะ เป็นที่ให้ข้อคิดแก่ผู้ปฏิบัติทั้งหลาย ถ้าเราเห็นชัดตามเป็นจริงแล้ว ก็จะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่เห็นชัดก็จะเป็นข้าศึกต่อเราตลอดไป แล้วเราก็จะหนีไปอยู่ป่าเรื่อยๆ

    อย่านึกว่าเรามาอยู่ป่าแล้ว ก็สบายแล้ว อย่าคิดอย่างนั้นอย่าเอาอย่างนั้น อย่าเอาความสงบแค่นั้น ว่าเราไม่ค่อยได้เห็นรูป ไม่ได้ยินเสียง ไม่ได้กลิ่น ไม่ได้รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์แล้วเราก็อยู่สบายแล้ว อย่าคิดเพียงแค่นั้น ให้คิดว่า เรามาเพื่อเพาะเชื้อปัญญาให้เกิดขึ้น เมื่อมีปัญญารู้ตามเป็นจริงแล้ว ก็ไม่ลุ่มๆดอนๆ ไม่ต่ำๆสูงๆ

    หลวงพ่อชา สุภัทโท
    เทศนาธรรมเรื่อง"สองหน้าของสัจธรรม"
    ลูกขอน้อมกราบหลวงปู่ด้วยเศียรเกล้า
     
  11. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ธรรมะหรือบุญใหญ่ของเราอยู่ที่ใด
    ที่ลมหายใจ ที่กายและที่ใจของตนเอง นั่นไงหล่ะ
    นั่งดูลม ดูกาย ดูใจของตนเองบ่อยๆ เราจะได้บุญเยอะๆ
    เพราะในขณะที่เราทำแบบนี้ เราได้ทั้งสติครบ สมาธิและปัญญาครบ
    แถมนำจิตไปตั้งอยู่แต่ฝ่ายดี คือ บุญและกุศล เพราะจิตว่างจากนิวรณ์ หรือระงับกิเลสชั่วคราว

    ปั่นฌานให้ได้ก่อนเห่อ เดี๋ยวปัญญาหรือปัญญาญาณก็จะตามเองแหล่ะ
    แต่ต้องเดินมรรคให้ถูกนะ
     
  12. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ควรทำให้ครบ
    รักษาศีลอย่างเดียว แต่ไม่ยอมทำภาวนา
    ก็เหมือนเราทานข้าวไม่อิ่ม เหมือนจะขาดอะไรไปสักอย่างนึง ขาดน้ำปลาหรือว่าน้ำผึ้งดี

    อ่านหรือฟังธรรมอย่างเดียว แต่ไม่ยอมทำภาวนา
    ก็เหมือนเราแค่เดินชมสวนพฤกษาชาติในวนอุทยาน แต่เราไม่ใช่เจ้าของ

    แต่ถ้าคนที่รักษาศีล อ่านธรรมะ ฟังเทศน์ฟังธรรม และทำภาวนา
    ก็เหมือนเราชมดอกไม้ที่เราปลูกเอง และเป็นเจ้าของเอง
    หรือเหมือนเราทำกับข้าวเอง และก็ทานเอง

    แต่จะทานอิ่มท้องแค่ไหน ก็ต้องตอบว่า ทำอร่อยมั๊ย ถ้าทำอร่อยก็จะทานเยอะ
    หรือถ้าทำภาวนาได้ผลสำเร็จดี เราก็จะรู้สึกว่าอิ่มบุญ สุขใจ เยือกเย็นทั้งกายและใจ
     
  13. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    สติเสมือนยาม ซีอีโอเสมือนจิต

    อยู่หลายคนระวังสิ่งกระทบจิต
    พออยู่คนเดียวก็ให้ระวังเจตสิกของตนเอง
    สรุปแล้ว เราแค่ตามดู ตามรู้และก็อย่าไปยุ่ง ทำใจให้เป็นกลาง เป็นผู้ดูที่ดี
    เหมือนดูหนัง ดูละคร อย่าไปลงเล่น เพราะมันจะยุ่ง จะทุกข์

    พูดง่าย แต่ทำยาก ทำไม๊เป็นยังงั้นไปได้
    ฝึกสติก็เหมือนเรากำลังฝึกจิตนี่เอง
    จิตฝึกยาก แต่ก็ต้องฝึก ไม่ฝึกก็ไม่เห็นธรรม ก็โง่เขลาเบาปัญญาอยู่อย่างนั้น

    ผมไม่ได้ตำหนิคนอ่านนะ แต่ผมเตือนคนโง่ที่ไม่รู้ความจริงตะหาก!
     
  14. Golden Sky

    Golden Sky เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    575
    ค่าพลัง:
    +8,976
    จิตที่ยังไม่อิ่มตัวหรือยังไม่พอนั้น จะหิวโหยดิ้นรนไปตามอารมณ์นั้นๆที่มากระทบและก็จะก่อให้เกิดทุกข์เพราะมีรูป เสียง กลิ่น รส มาคอยก่อกวน ก็จะเหมือนเด็กที่ยังไม่รู้อะไรถูกอะไรผิดนั้นแหละ ก็อย่างเช่นเห็นไฟก็ไม่รู้ว่าเป็นอันตรายเด็กก็จะไปจับไฟนั้นแล้วไฟก็ไหม้มือเด็กได้ ก็เหมือนคนที่ยังไม่ได้รู้ว่าโลกเป็นโลกมาตั้งแต่ไหนๆ แต่เราก็ไม่รู้เพราะโดนกิเลสปกปิดเอาไว้ไม่ให้รู้ได้เห็น เราจึงวิ่งไปตามกระแสของโลก ก็คือกิเลสนั้นเอง...ผู้เห็นในจิตนั้นก็จะไม่วุ่นวายไปตามโลก เพราะเราไม่ไปหาอะไรมาเพิ่มแต่เราหาอยู่ภายในกายภายในใจของเราๆท่านๆก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้...ก็ต้องมีความพอใจคือฉันทะ และจิตตะมีใจและก็วิมังสาคือความไตร่ตรองก็จะเห็นผลได้คือความสงบเย็นใจได้ ต้องมีอิทธิบาท ๔ นั้นเองจึงจะเจริญในทางธรรมได้...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2013
  15. Natcha@uk

    Natcha@uk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    618
    ค่าพลัง:
    +9,444
    [​IMG]



    กราบ พระเดชพระคุณ หลวงพ่อ ผู้มีเมตตาอย่างที่สุด ...
    ท่านมิได้เคย ทอดทิ้งลูกหลาน....ลูกทุกคน อยู่ในกระแสจิตของท่านเสมอ
    คอยเป็นห่วงเป็นใย มาเตือน มาหา มาสั่งสอนลูก เพื่อต้องการให้ลูกของท่านทุกคน เดินให้ตรงทาง
    อย่าประมาท อย่าหลงระเริง จนเกินไป
    ให้รีบเร่งปฏิบัติ เพราะเวลานั้นเหลือน้อยแล้ว ทางใดที่จะเป็นทางปฏิบัติให้ถึง ความสิ้นทุกข์ ดับเชื้อ
    เชื้อที่จะทำให้กลับมาเกิดอีก จงทำลายมันให้สิ้น ก่อนที่ขันธ์5 จะพังลงไป
    นั่นแหละ จีงจะถึงที่สุดแห่งความทุกข์ทั้งหลาย ความสุขนิรันดร์ ก็จะปรากฏตรงหน้า ...
    นั่นคือ พระนิพพาน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2013
  16. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เด็กกับจิตคนเรา
    อยู่ที่เราปลูกฝังกันแบบไหน

    เท่าที่จำความได้ นับตั้งแต่ผู้ให้กำเนิด หรือผู้ที่เลี้ยงดูเรามา ก็มักนำกิเลสหรือให้จดจำแต่กิเลสกันมาตั้งแต่เด็ก
    ได้แก่ ฝึกให้เด็กฟังเพลงมาตั้งแต่ในครรภ์มารดา ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดี แทนที่จะเปลี่ยนจากเสียงเพลงเป็นเสียงสวดมนต์ น่าจะดีมาก
    เมื่อเด็กคลอดจากครรภ์มารดาแล้ว พอตาจะสามารถมองเห็น คุณพ่อหรือคุณแม่ ก็นำสิ่งของหรือของเล่น ฝึกให้ลูกดูทีวี ดูtablet/ ipad
    พอโตขึ้นมาสักหน่อยก็ฝึกให้เด็กเล่นเกมส์ อ้างว่าฝึกทักษะ ฝึกสมอง
    อย่าลืมนะว่า เด็กก็คือผ้าขาว แต่ผู้ใหญ่นั้นก็คือ สี สีต่างๆ ที่จะนำไปแต้มให้กับผ้าขาวหรือเด็ก นั่นเอง
    แล้วพอเข้าวัยรุ่น ปัญญาต่างๆนานา เริ่มฉายแววออกมาให้คนที่เป็นพ่อ เป็นแม่หรือผู้เลี้ยงดูเห็น คอยสังเกตให้ดีๆนะว่า ทำไม๊ ลูกสมัยนี้ถึงเลี้ยงดูแลเขายาก
    ก็เพราะว่า หนึ่ง การเลี้ยงดูสั่งสอน สอ งสิ่งรอบข้างหรือเทคโนฯ คนส่วนใหญ่มักพูดว่า โลกเขาพัฒนาไปถึงไหนกันแล้ว อ้างตนเองมีปัญญาทางโลกมาก มีกศ.สูง
    แล้วไง! มีความสุขมากหรือความทุกข์มากหล่ะ ทุกวันนี้น่ะ เห็นแต่คนอื่นหรือโลกวุ่นวาย มันสงบสุขกันตรงไหน
    แล้วเป็นไง๊หล่ะ ทำไมปัญญามันมากกว่าแต่ก่อน ปัญหามิใช่เกิดจากความเจริญ ไม่ใช่เกิดจากคนเยอะ แต่ปัญหาที่แท้จริงมันมาจากการบริหารจิตใจตนเอง ไม่เป็น
    แต่ถ้าคุณพ่อ คุณแม่ ถูกฝึกให้มีศีล มีคุณธรรม ถูกฝึกสติ ฝึกจิต หรือฝึกฟังเทศน์ฟังธรรม ฟังเสียงสวดมนต์ตั้งแต่ในครรภ์มารดา สังคมทุกวันนี้ก็น่าจะดีกว่านี้ น่าจะสงบกว่านี้
    นี่อะไรกันเฉพาะเรามีร่างกาย เหมือนมีตัวทุกข์ หรือมีโรงงานกิเลสคอยผลิตทุกข์ให้กับเจ้าของร่างกายนี้กันอยู่แล้ว แต่ผู้ให้กำเนิด หรือผู้เลี้ยงดู ก็มากระตุ้น นำสิ่งเร้าใจ เร้ากิเลสมาให้กันตั้งแต่เด็กๆ

    เมื่อเราเลี้ยงลูกแบบไร้ศีล ไร้ธรรมกัน แม้นกระทั่งคนที่เป็นพ่อ เป็นแม่ ก็ยังไม่มีศีล ไม่มีธรรม แล้วลูกๆหรืออนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร เพราะในเมื่อผู้ใหญ่วันนี้ ยังเป็นกันอย่างแบบนี้กัน
    เวลาทุกข์หรือมีปัญหามากจนทนไม่ไหว แล้วเราจะไปโทษใคร โทษกรรมหรอ ลองมองดูให้ดีๆนะว่า ใครเริ่มก่อน ถ้าไม่ใช่เรา

    แล้วลองหันกลับไปมองดูที่ส่วนรวมของประเทศชาติกันดูสิว่า มันเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาเยอะแยะมากมาย ก็เพราะว่าอะไร
    เรื่องของเรื่องมันก็มาจากที่ต้นเหตุ นั่นก็คือ ตัณหาต่างๆของคนเรา นั่นเอง แต่ถ้าหากจะแก้ไขปัญหา ก็ต้องแก้ด้วยปัญญา หรือเราต้องอยู่เหนือปัญหา
    แต่ถ้าใครมองไม่เห็นภาพ ก็ต้องย้อนกลับไปที่ต้นเหตุของปัญหา นั่นก็คือ จิตใจของคนเรา นั่นเอง

    ปัญหาของคนหนึ่งคน ก็กลายเป็นปัญหาระดับหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด หรือระดับประเทศกันได้นะ สังเกตดูที่ประเทศไทยเป็นตัวอย่าง
    แล้วมีน่ามาบอกว่าคนไทยร้อยละ 80%นับถือศาสนาพุทธ เอ่อ แต่ก็จริงตามในทะเบียนบ้าน นับถือศาสนาพุทธ มีศีล มีธรรมก็เฉพาะในวัด ในสมาธิ ในชุดที่นุ่งห่มกัน แต่พระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ยังมิได้ปรากฎในจิตใจของชาวพุทธ เฉกเช่นทะเบียนของเราเลย

    ปัญหาที่เห็นทั่วไปในปัจจุบันของประเทศไทย ได้แก่
    ๑.ฆ่ากัน ทำร้ายทั้งกายวาจาใจ เบียดเบียนกันสารพัด กักขังหรือหน่วงเหนี่ยว(เพราะไม่สนใจศีลตนเอง) เด็กแว้น เด็กซิ่ง เด็กติดเกมส์
    ๒.ลักทรัพย์ ปล้น จี้ ฉ้อราษฎ์บังหลวง รับสินบน หลบเลี่ยงภาษี หรือตกแต่งบัญชี เพื่อเสียเงินเข้ารัฐน้อยลง หรือทำอย่างไรก็ได้ที่ให้เราประโยชน์มากที่สุด (จะบอกอะไรให้นะ แต่ถ้าเป็นต่างประเทศ ติดคุกหัวโต)
    ๓.ค้ามนุษย์คือค้าสวาท มีอ่างอาบอบนวด นวดแผนโบาณ นวดเพื่อสุขภาพหรือผ่อนคลาย หรือข้างหน้าเป็นร้านอาหารบังหน้า แต่ข้างในจ๊ากกก...
    เห็นมีทุกสน. ทุกพื้นที่ ทุกเขต/อำเภอ/จังหวัด กินสุกก่อนห่าม ร่วมหลับนอนกันที่พ่อแม่ไม่รู้ พวกที่แต่งงานกับเมีย(ได้เสียกันก่อนแต่ง) เปลี่นคู่นอน มีชู้ มีกิ๊ก มีกั๊ก ฯ
    ๔.พูดเสียดสี พูดให้ร้าย พูดเพ้อเจ้อ พูดปลด
    ๕.ประเทศไทยมียอดขายสุรา เบียร์ พุ่งกระฉูด เอ่อเอ้าเข้าไป ขอให้คนดื่มจงเจริญ ผู้ขายหรือผู้ผลิตขอให้รวยลงๆ ผู้รับผิดชอบ ผู้มีหน้าที่เขากำลังทำอะไร พวกเราไม่ต้องไปถามนะ(จุดจุดจุด คิดกันก็เป็นนิ)
    นี่ยังไม่ได้นับยาบ้า ยาม้า ยาอี ยาหนุ่มสาว ยาหน้าใสกิ๊ก ยาคนแก่108พลังม้า สารพัดยาๆ ฟังดูแล้วเป็นยังบ้างเมืองไทยวันนี้ฯ มันน่าใจหายไหม เหมือนเราแขวนประเทศไทยไว้ที่ปลายหุบเหวนรกเลยไหม๊

    ปัญหาหลักๆ สำหรับประเทศไทย ก็คือ คนไทยไม่รักษาศีลตนเอง ศีลมีเหมือนกัน แต่มันอยู่ที่ปาก ไม่ได้อยู่ที่ใจ เอาแค่เรืองศีลอย่างเดียวให้รอดก่อนเห่อ ไม่ต้องกล่าวถึงภาวนา

    ต่อไปนี้ฯ ถ้าใครที่จะคิดเป็นพ่อคน เป็นแม่คน หรือผู้ที่มีหน้าที่เลี้ยงดูพวกเด็กๆเหล่านี้ในวันข้างหน้า
    ตอนนี้รู้แล้วสินะว่าจะป้อนสิ่งที่ดีอะไรเข้าไปในสมองเด็ก

    *กศ.หรือปัญญาทางโลก แก้ไขปัญหาได้เฉพาะเบื้องหน้า คือเรื่องการดำรงชีวิตให้ดีกว่าผู้อื่นเขา
    แต่ไม่สามารถแก้ไขเบื้องหลังหรือเบื้องลึก ก็คือ ทุกข์ทางใจ
    ปัญหาหรือว่าทุกข์ทางใจ ไม่ว่าจะมีเงินทองมาก มียศ มีบรรดาศักดิ์ มีตำแหน่งใหญ่โต จะแก้ปัญหาได้เสมอไป
    แต่จะแก้กันได้ ก็ด้วยธรรมะ หรือปัญญาในทางธรรม เท่านั้น

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มีนาคม 2013
  17. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    ค่าของคนอยู่ที่"จิต"ตนเอง
    สติเป็นเสมือนกระบอกไฟฉาย
    สมาธิเป็นเสมือนถ่านไฟฉาย
    ปัญญาเป็นเสมือนแสงสว่าง

    ส่วนปัญญาญาณเป็นเสมือนยิ่งกว่าแสงสว่างไฟฉาย นั่นก็คือ แสงสว่างที่มาจากสปอร์ตไลท์

    เพราะฉะนั้น ปัญญา ปัญญาญาณ จะเกิดขึ้นได้ เพราะจิตเป็นสมาธิ เป็นฌาน
    แต่สมาธิจิตจะเกิดได้ ก็เพราะว่า เราคอยหมั่นเจริญสติตนเองบ่อยไหม

    ข่าวดีสำหรับ ปุถุชน คนธรรมดา
    ถ้าอยากเป็นอริยบุคคล ให้ติดต่อฝ่ายบุคคล หรือครูจิตเกาะพระ..อิอิ
    ไม่ได้โฆษณา แต่อยากให้พวกเราพ้นทุกข์ พ้นวัฎฎะ

    สรุปแล้ว จิตเกาพระ เป็นห่วง ปรารถนาดีกับทุกท่าน ที่หลงมาเกิดในดินแดน "วัฎสงสาร"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 17 มีนาคม 2013
  18. ภูภู

    ภูภู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    3,042
    ค่าพลัง:
    +56,089
    เรามองเห็นกันไหม

    ทำไม๊ คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น ไม่ให้ความสำคัญพระธรรมหรือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์
    แต่ถ้าตอบว่า เห็น แล้วทำไมไม่พากันรักษาศีล ทำภาวนากันเล่า

    ทำไม๊ คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นบุญอันใหญ่หลวงของตนเอง
    ที่แท้มันก็อยู่ภายในกาย(สติ) ภายในใจ(จิต)ตนเอง ทั้งนั้น
    หาใช่ที่คนอื่น วัด สถานปฎิบัติธรรม หรือถ้ำ ก็หาไม่...

    อย่ามัวหลงไปหาเครื่องประดับกายหรือภายนอก แต่ไม่หาศีล หาธรรมมาประดับใจ
    เมื่อหมดลมหายใจเมื่อไหร่ ก็รู้เมื่อนั้น สิ่งที่หากันมาทั้งชีวิต มันสูญเปล่า คือเอาไปใช้ภพหน้า ชาติหน้าไม่ได้
    ทรัพย์สมบัติภายนอกแค่ใช้กันแค่ชาตินี้ โลกนี้ เท่านั้น

    แต่อริยทรัพย์ภายใน หรือบุญกุศลในปัจจุบันที่เรากำลังทำ กำลังสร้างกันอยู่เนี๊ย!
    มันมีผลในอนาคต มีผลทั้งโลกปัจจุบัน และโลกหลังความตาย
    จงกลับไปคิดกันให้ดีๆ เด้อลูกหลาน
     
  19. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=e4vqZcIPVYk]ความจริงไม่มีใครทุกข์ - YouTube[/ame]
    ความจริงไม่มีใครทุกข์
     
  20. Patcharawan

    Patcharawan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +3,980
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=9cYpZ_wphAw]บทปฏิจจสมุปบาท ต้นเหตุของทุกข์ - YouTube[/ame]
     

แชร์หน้านี้

Loading...