ได้เมียเป็นอิสลามต้องเปลี่ยนศาสนา

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย noumthebest, 1 มีนาคม 2013.

  1. noumthebest

    noumthebest เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +306
    คือผมสงสัยครับว่าถ้าเราทำบุญทำทานมาตั้งเเต่เด็กเเล้วบังเอิญเราได้เมียเป็นคนอิสลาม เนี่ยตามหลักเเล้วเราต้องเปลี่ยนเป็นอิสลามด้วย ผมอยากถามว่าบุญที่สะสมมาเนี่ย จะหายไปหมดเลยเปล่าครับ เพราะ คำสอนไม่เหมือนกันนะเเล้ว จบชีวิตเราจะไปไหนอะครับ คือเเบบเราถูกปลูกฝังเกี่ยวกับพุทธศาสนาเเต่มาเปลี่ยนเป็นอิสลามเนี่ย เปลี่ยนเยอะมากนะครับ
     
  2. Fabreguz

    Fabreguz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +1,911
    บุญ บาป ไม่ได้หายไปไหนหรอกครับ.. สะสมไว้ทุกขณะที่เราทำทาง กาย ทางวาจา ทางใจ.. ศาสนาใดก็ตาม ไม่มียกเว้น ถามว่าเกลือ ภาษาจีน ญี่ปุ่น ไทย อังกฤษ พูดเหมือนกันไหม ไม่เหมือน แต่มันก็มีความเค็มของมันเป็นธรรมชาติไม่ว่าชาติไหนๆก็เหมือนกัน เช่นกัน นรก สวรรค์ หรือ บาป บุญ ไม่ได้เกี่ยวเนื่องว่าชาติไหน ศาสนาไหน เป็นอย่างไร.. แต่เป็นความจริงเป็นธรรมชาติที่เป็นไปอย่างนั้น เพียงแต่ว่า ศาสนาอื่น อาจจะสอนให้ถึงได้แค่สวรรค์ และมรรคไม่ครบองค์ 8 แต่ศาสนาพุทธมีองค์มรรค 8 สอนให้บรรลุถึงมรรคผลนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก.. ก็ลองพิจารณาดูครับ ศาสนาอื่น สอนโดยให้เราใช้ความเชื่อก่อน.. แต่ศาสนาพุทธสอนให้เราพิจารณาก่อน แล้วค่อยเชื่อ จะมีศาสนาไหน ที่สอนให้เราละความโลภ ความโกรธ ความหลง.. สอนให้มีทาน( เพื่อไม่อด ยิ่งให้ยิ่งได้ ), สอนให้มีศีล( จะได้ไม่เดือดร้อน ), สอนให้ภาวนา( เพื่อให้พ้นทุกข์อย่างแท้จริง ) ถ้าเรานับถือสิ่งอื่น แต่ยิ่งเพิ่มความโกรธ เพื่อความหลง ก็คงไม่ถูกทาง ศาสนา ที่บริสุทธิ์ จะทำให้เราพิจารณาขัดเกลาตนเอง ให้เป็นคนดีที่แท้จริงได้ครับ.. สุดท้ายถ้าต้องเปลี่ยนจริงๆ ก็อาจจะเปลี่ยนในนาม แต่ในใจเราจะมีบุญได้ทุกเมื่อ เพราะการกระทำทางกายดี วาจาดี ใจดี นั่นเองครับ.. และมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งในจิต มีศีล 5 ให้บริสุทธิ์.. คือ ไม่ฆ่าทำร้าย,ไม่ลักโกง,ไม่ผิดกาม,ไม่โกหก,ไม่สุราเมรัย.. ถ้าเป็นไปได้ตามนี้ ถือว่าโอเค.. ภายนอกก็เปลี่ยนไป แต่ภายในใจต้องตามนี้ครับ บุญกุศลได้ตลอด... พิจารณาดู
     
  3. ddman

    ddman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    2,046
    ค่าพลัง:
    +11,941

    ไม่ได้หายไปเพราะเปลี่ยนศาสนา..แต่หายไปหรือหมดลดลงไปเมื่อบุญนั้นส่งผลแล้ว..


    ไปตาม"กรรม"ครับ ถ้าทำดีไว้มาก จิตขณะตายมีกุศลเป็นอารมณ์ก็ไปดี แต่ถ้าจิตขณะตายมีอกุศลเป็นอารมณ์ก็ไปไม่ดี..นี่เป็นหลักความจริงสากลในธรรมชาติ ไม่ขึ้นอยู่กับความเชื่อถือในศาสนาใด...


    ที่ต้องระวังให้มากคือ สิ่งที่เรียกว่าดีหรือชั่ว ที่จะแยกแยะได้"ถูกต้อง"จริงมาได้จากการสดับคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น...เพราะพระองค์สอนแต่สิ่งจริงแท้ขั้นปรมัตถ์ ไม่มีในคำสอนอื่นครับ..
     
  4. มองภายใน

    มองภายใน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2012
    โพสต์:
    33
    ค่าพลัง:
    +188
    ไม่ว่าจะเปลี่ยนศาสนาเปแ็นอะไรบุญบาปทั้งหลายย่อมไม่หายไปไหนแน่นอนศาสนาอิสลามนั้นก็ดีครับแต่ต้องตีความคัมภีร์เขาให้ดีเพราะคัมภีร์ของเขามักจะเขียนเป็นนัยๆคือกล่าวไว้แบบมึนๆแต่ผมว่าความจริงไม่เห็นต้องเปลี่ยนเลยนะครับศาสนาไหนก็ดีหมดล่ะแต่คนอิสลามเขาเชื่อว่าของเขาถูกที่สุดไงครับ ทุกศาสนาสอนให้คนเป็นคนดีหมดแต่ว่าศาสนาพุทธเท่านั้นที่เป็นศาสนาเอกนำให้ชลทั้งหลายพ้นทุกข์ได้ไม่เหมือนศาสนาอีกที่สอนแค่ไปได้สูงสุดคือสวรรค์
     
  5. firstini

    firstini เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    1,213
    ค่าพลัง:
    +3,770
    ผมว่าคุณไม่ได้สนใจอะไรในศาสนาพุทธเลยนะครับ
    อย่างแรก คนที่นับถือศาสนาพุทธจริงๆ ไม่เปลี่ยนศาสนาแน่นอน

    ส่วนเรื่องบุญที่สะสม
    สมมติว่าคุณเคยมีบุญคุณกับผม เช่นช่วยเหลือเรื่องการงาน
    คิดว่าผมจะลืมบุญคุณคุณเพราะคุณเปลี่ยนศาสนามั้ย
    หรือผมอาจจะโกรธเคืองคุณ เพราะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
    คุณคิดว่าผมจะหายโกรธคุณเพราะคุณเปลี่ยนศาสนามั้ย

    ส่วนเรื่องอื่นๆของศาสนาอิสลาม... ก็อยากเปลี่ยนเองนิ
     
  6. AYACOOSHA

    AYACOOSHA เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 สิงหาคม 2012
    โพสต์:
    368
    ค่าพลัง:
    +2,253
    บุญบาปไม่มีศาสนา...ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละบุคคล....ศาสนาใดไม่สำคัญ สำคัญที่ว่าจิตของท่านตั้งไว้ตรงหรือเปล่า....จิตที่ตั้งไว้ตรงดีแล้วจะนำไปสู่ที่ที่สมควร สวัสดี
     
  7. โมทนาman

    โมทนาman เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    5,665
    ค่าพลัง:
    +6,165
    บุญยังอยู่จนกว่าจะได้ใช้
    แต่กว่าจะได้กลับมาเกิดในพุทธศาสนาอีกคงไม่เหลือคนคุ้นเคยแล้ว
     
  8. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เป็นไปได้หรือไม่หละครับที่คุณจะเอาหลักของทั้งอิสลามและพุทธปรับเข้าหากัน ถ้าถามเรื่องบุญและบาปนั้นมันก็ต้องคงอยู่ในเมื่อคุณเข้าใจและยอมรับกฏแห่งกรรม และบุญและบาปก็จะหมดไปเมื่อคุณไม่ยอมรับนับถือในกฏนั้นอีกแล้ว......

    ต้องบอกก่อนนะครับว่าบางครั้งคนที่อยู่ในนี้ไม่มีความรู้ด้านศาสนาอิสลาม บุญและบาปในคติของอิสลามต่างจากพุทธมาก บางครั้งจะต่างกันคนละขั้วเลยก็เป็นได้ เขาว่าการฆ่านั้นไม่บาป ฉะนั้นการฆ่าของเขาเป็นเรื่องปกติ เช่นการฆ่าสัตว์ต่างๆเพื่อเป็นอาหาร เป็นต้น ถ้านับถือมากต้องฆ่าเองกับมือเท่านั้นถึงจะกินได้ การทำสงครามเพื่ออิสลาม เป็นบุญ ไม่ว่าคนจะตายเท่าไร เป็นบุญ ดูระเบิดพลีชีพสิครับ เขาเชื่อว่าเขาทำบุญและจะได้ฮาเริมบนสวรรค์ ได้ล้างบาปนะครับ....แนวคิดในเรื่องของสันติ สันติของพุทธคือสงบ สันติ แต่ สันติในทรรศนะของอิสลาม คือ ทุกคน(ทั้งโลก) นับถืออิสลาม.....จึงมีคำกล่าวกลุ่มมุสลิม เพื่อสันติ สันตินั้นคนละความหมายกับสันติของพุทธนะครับ....

    ยังมีอีกมากมายนะ ที่ผมกล่าว ณ.ตรงนี้ ผมไม่ได้กล่าวว่าศาสนาเขาไม่ดีนะ คือจะบอกให้คุณเห็นชัดถึงความแตกต่าง ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุผล เชื่อว่าอะไรก็ตามทำเอง ทำเองได้เอง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว กฏแห่งกรรมเป็นผู้กำหนดทุกอย่างในการกระทำต่างๆ ไม่มีพระเจ้า ไม่มีการร้องขอ ไม่มีผู้กำหนดว่าเราจะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์เพราะไม่ศรัทธาเท่านั้น แต่อิสลามจะเชื่อว่าทุกอย่างเป็นเทวโองการจากพระเจ้า ใครทำตามเป็นบุญ ใครไม่ทำตามเป็นบาป มุสลิม แปลว่าผู้นอบน้อมต่อพระเจ้า....ต่อให้เรื่องนั้นผิดขนาดใหนในแนวคิดของคนอื่นหรือในเรื่องของมนุษย์ธรรม แต่ถ้าพระเจ้าบอกไม่ผิด และทำเพื่ออิสลาม เขาเชื่อว่าเขาทำถูกหมด เลยมีเรื่องการนองเลือดแบ่งแยกดินแดนอยู่ทั่วไปในประวัติศาสตร์โลก เพราะแนวคิดที่ต่างของอิสลาม.....และเรื่องนี้กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยแล้ว.....

    คุณแต่งงานเข้าอิสลามมานั้นแน่นอนครับที่คุณจะต้องเปลี่ยนแนวคิด เปลี่ยนทุกอย่าง ตามคำพูดของคุณที่ว่าเปลี่ยนมากมายนั่นหละครับ.....ถ้าคุณไปตรงจุดนั้นแล้ว กฏแห่งกรรมก็ไม่มีแล้ว บุญบาปก็ไม่มีเช่นกันหละครับ....ผมเห็นมามากมายนะครับ คุณเข้าอิสลามเพราะความจำเป็นเพราะความรัก แต่ไม่มีความจำเป็นใดเลยที่ใจคุณจะไปในอิสลามทั้งหมด ผมแนะนำให้คุณศึกษาเปรียบเทียบดีกว่าครับ ทั้งพุทธและอิสลาม นับถืออิสลามเพื่อภรรยา(หรือเมื่ออยู่กับภรรยาและครอบครัวฝ่ายภรรยา) นับถือพุทธเพื่อความเป็นจริงและความเข้าใจที่ถูกต้องของตนเอง (เมื่ออยู่กับครอบครัวของตนเองและญาติของตนเอง)....จริงๆผมเห็นมากไปนะ ที่คนแต่งงานกัน ชายเป็นอิสลาม หญิงเป็นพุทธ ชายเป็นพุทธ หญิงเป็นอิสลาม ลูกเกิดมาให้เลือกกันเอง.....ไม่แปลกนะครับ....แต่ตอนแต่งงานและกิจกรรมต่างๆก็ต้องทำตามกฏของอิสลามไปก่อน....

    ตอนนี้อาจเป็นจุดที่คุณคิดและสงสัยเพราะว่าคุณศึกษาเข้าไปมากแล้วเห็นความแตกต่างกันอย่างมากมาย ผมว่าคุณควรที่จะมายื่นอยู่ ณ.ตรงจุดกลาง แล้วมองหาความสมดุลแล้วเลือกมาใช้กันตนเองจะดีกว่านะครับ.....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2013
  9. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมจะนำบทความทางวิชาการ โดย พระมหาประเสริฐ มนฺตเสวี นธ.เอก. ป.ธ.๘ , พธ.บ.(บาฬีพุทธศาสตร์) , พธ.ม.(วิปัสสนา).

    มาเพื่อการศึกษากันนะครับ.... อย่างน้อยคุณต้องเข้าใจก่อนถึงความแตกต่าง และพุทธศาสนาสอนเน้นอะไร.....
     
  10. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เป้าหมายที่แท้จริงของพระพุทธศาสนา

    คำสอนของพุทธศาสนาต่างจากศาสนาอื่น คือ คำสอนของศาสนาอื่นนั้นเป็นคำสั่งสำเร็จรูปที่ศาสนิกจะต้องทำตามให้เทพเจ้าพึงพอใจสถานเดียว ใครไม่ทำตามจะถูกลงโทษจากเทพเจ้าเบื้องบนโดยการให้ตกนรกไปตลอดกาล[1] แต่คำสอนของพุทธศาสนาเป็นเพียงการนำกฏความจริงของธรรมชาติมาบอกเท่านั้น พระพุทธเจ้าไม่ใช่ผู้สร้างกฏหรือผู้บังคับผู้คนให้ต้องทำตามกฏ พระองค์เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่พยายามสั่งสม/บำเพ็ญบารมีมาแล้วเป็นล้านๆ ชาติ[2] จนได้ตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงรู้แจ้งในกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติว่า สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นมีอะไรเป็นสาเหตุ ดังปรากฏหลังฐานให้ศึกษาในจูฬกัมมวิภังคสูตร[3] และทรงรู้ว่ามีวิธีการอย่างไรบ้างจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงของธรรมชาติได้

    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ตถาคตจะอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธาตุนั้น คือความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น ตถาคตรู้แจ้งว่า“สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง” ครั้นรู้แล้วและเข้าถึงแล้วจึงนำมาบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่ายว่า “สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง ..สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์..ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา”[4] และตรัสว่า “เพราะชาติเป็นปัจจัยชรามรณะจึงมี ตถาคตเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุอันนั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา ความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น ตถาคตรู้แจ้งและเข้าถึงธรรมนั้นแล้ว ครั้นรู้แจ้งและเข้าถึงแล้วจึงนำมาบอก แสดง บัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก ทำให้ง่าย และกล่าวว่า‘เธอทั้งหลายจงดูเถิด’ ...เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยสังขารจึงมี ตถาคตเกิดขึ้นก็ตามไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธาตุนั้นคือความตั้งอยู่ตามธรรมดาความเป็นไปตามธรรมดา ความที่มีสิ่งนี้เป็นปัจจัยของสิ่งนี้ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้น ตถาคตรู้แจ้งธรรมนี้แล้ว ครั้นรู้แจ้งแล้วจึงบอกแสดงบัญญัติ กำหนด เปิดเผย จำแนก กล่าวว่า ‘เธอทั้งหลายจงดูเถิด’[5]




    --------------------------------------------------------------------------------




    [1] ศาสนาอิสลาม : คนใดที่ละทิ้งความศรัทธา คนนั้นจะพินาศและจะอยู่นรกอย่างนิรันดร (ซุเหราะฮฺ อัลอิมรอน 90) “และผู้ใดแสวงหาศาสนาหนึ่งศาสนาใดอื่นจากอิสลามแล้ว ศาสนานั้นก็จะไม่ถูกรับจากเขาเป็นอันขาด และในปรโลกเขาจะอยู่ในหมู่ผู้ขาดทุน” (กุรอาน 3:85) “ผู้ใดปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮ์หลังจากที่เขาได้รับศรัทธาแล้ว(เขาจะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์) เว้นแต่ผู้ที่ถูกบังคับทั้งๆ ที่หัวใจของเขาเปี่ยมไปด้วยศรัทธา แต่ผู้ใดเปิดหัวอกของเขาด้วยการปฏิเสธศรัทธา พวกเขาก็จะได้รับความกริ้วจากอัลลอฮ์และสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอย่างมหันต์” (กุรอาน 6:106, ศาสนาคริสต์ : ในผู้อื่น ความรอดไม่มีเลย ด้วยนามอื่นซึ่งเขาทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า" (กิจการ4:12) สมาคมพระคริสตธรรมไทย พระคริสตธรรมคัมภีร์ พันธสัญญาเดิมและพันธ สัญญาใหม่ หน้า ๒๖๐


    [2] วิสุทฺธชนวิลาสินี(บาลี)๑/๑๒๐


    [3] ม.อุ.(ไทย) ๑๔/๒๙๔/๓๕๓


    [4] องฺ.ทุก.(ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕


    [5] สํ.นิ.(ไทย)๑๖/๒๐/๓๔











    เรื่องความเชื่อ พระโพธิญาณ(ชา สุภทฺโท) เคยให้ทัสนะไว้ ดังนี้

    ครั้งหนึ่งมีคนกลุ่มหนึ่งมาถามปัญหาท่านอาจารย์ชา (หลวงพ่อชา วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี) เรื่องชาติหน้าภพหน้า เขาสงสัยว่า คนตายแล้วเกิดหรือไม่?
    ผู้ถาม : หลวงพ่อครับ ชาติหน้ามีจริงไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าบอกจะเชื่อไหมล่ะ?
    ผู้ถาม : เชื่อ
    ท่านอาจารย์ชา : ถ้าเชื่อ......คุณก็โง่
    ผู้ถาม : คนตายแล้วเกิดไหม?
    ท่านอาจารย์ชา : จะเชื่อไหมล่ะ? ถ้าเชื่อ......คุณโง่หรือฉลาด?[1]



    --------------------------------------------------------------------------------




    [1] คณะศิษยานุศิษย์. อุปลมณี. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, พ.ศ.๒๕๓๕.
    คณะศิษย์, ใต้ร่มโพธิญาณ : พระโพธิญาณเถระ. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภา, พ.ศ.๒๕๓๕.
    พระธรรมปิฎก, พจนาจุกรมพุทธศาสตร์. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พ.ศ.๒๕๓๘.
    พระโพธิญาณเถระ, กุญแจภาวนา. กรุงเทพฯ : สยามการพิมพ์, พ.ศ.๒๕๔๐.
    พระโพธิญาณเถระ, อาหารใจ. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, พ.ศ.๒๕๔๐.
    พระโพธิญาณเถระ, นอกเหตุเหนือผล. กรุงเทพฯ : ธรรมสภา, พ.ศ.๒๕๓๔.







    ศาสนาพุทธมิใช่ปฏิเสธเรื่อง “เทพเจ้า” แต่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์แล้วยังมิใช่สุขแท้สุขถาวรที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดาแล้วก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกสูง เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี

    ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์แล้วนำออกเผยแผ่สืบทอดต่อ ๆ กันมาจนถึงปัจจุบัน
     
  11. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    เปรียบเทียบศาสนา

    มีคำถามว่า...ทำไมศาสนาทั้งหลายสอนไม่เหมือนกัน มีความเชื่อไม่เหมือนกันและปฏิบัติไม่เหมือนกัน

    ที่จริงแล้วความจริงและความบริสุทธิ์สูงสุดมีเพียงหนึ่งเดียว แต่ที่ศาสนาทั้งหลายสอนต่างกัน เพราะศาสดาของแต่ละศาสนาเข้าถึงความจริงได้ไม่เท่ากัน ถ้าสมมติว่าความจริงสูงสุดคือช้าง ศาสดาที่จับถูกหางก็บอกว่า “หางนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่จับถูกงวงก็บอกว่า“งวงนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่จับถูกหูก็บอกว่า“หูนี่แหละคือช้าง” ศาสดาที่คลำทั่วทั้งตัวก็บอกว่า“ทั้งตัวนี่ แหละคือช้าง”[1]

    ถามว่า...คำสอนของศาสดาทั้งหมด กล่าวถูกต้องหรือไม่ ?

    ตอบ.. ศาสดาทุกท่านกล่าวถูกหมด ไม่มีใครกล่าวผิดแม้แต่ท่านเดียว เพราะหูก็คือช้าง งวงก็คือช้าง หางก็คือช้าง เพียงแต่ศาสดาบางท่านรู้บางส่วน แต่หลงเข้าใจผิดว่าสิ่งที่ตนรู้คือทั้งหมดของตัวช้าง



    วิเคราะห์ศาสนาอื่นด้วยหลักของพุทธศาสนา

    ศาสนาคริสต์สอนให้ฝังดิ่งศรัทธาลงในพระผู้เป็นเจ้า โดยปราศจากข้อ สงสัย สอนให้ทำความดีมีความสุขกับการช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิบัติตามที่พระเจ้าปรารถนา เมื่อตายแล้วจะได้รับชีวิตนิรันดรในในดินแดนสวรรค์ของพระเจ้า

    พระเจ้าคือผู้สร้างทุกสิ่งทุกอย่างและกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ฉะนั้นพระเจ้าของศาสนาคริสต์ ก็คือ สิ่งที่พุทธศาสนาเรียกว่า “พระธรรม” หรือ “ธรรมชาติ” เพราะธรรมชาติ คือทุกสิ่งทุกอย่าง มีกฏเกณฑ์ในตัวเอง

    “ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์และสัตว์” ฉะนั้น พระเจ้าก็คือสิ่งที่พุทธศาสนา เรียกว่า “อวิชชา(ความไม่รู้ความจริง)”นั่นเอง ..อวิชชาเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ[2]

    “ผู้ที่ทำความดีช่วยเหลือผู้อื่นเท่านั้นจึงจะได้ไปอยู่สวรรค์กับพระเจ้า” ตรงกับหลักคำสอนของพุทธศาสนาว่า “ ผู้ที่ทำบุญกุศลไว้มาก ขณะที่ตายมีจิตผ่องใส เมื่อตายแล้วจะได้ไป เกิดเป็นเทวดาในสวรรค์”

    ต่างกันแต่..พุทธศาสนาสอนต่อไปอีกว่า เมื่อเสวยผลบุญในสวรรค์หมดแล้วก็ต้องกลับมาเกิดเป็นคนอีก.....ซึ่งเรื่องนี้ศาสนาอื่น ๆ ยังรู้ไปไม่ถึง



    “จงเปิดใจรับการเข้ามาของพระเจ้า” ตรงกับ การเจริญอนุสสติกัมมัฏฐานในพุทธศาสนา ซึ่งสามารถทำผู้ปฏิบัติให้เข้าถึงได้เพียงขั้นจตุตถฌานเท่านั้น เมื่อตายแล้ว จะได้ไปเกิดเพียงแค่รูปพรหมชั้น “อสัญญี”

    ถามว่า.. ทำไมศาสนาคริสต์สอนว่าการได้ไปอยู่กับพระเจ้าในสวรรค์เป็นความสุขสูงสุดชั่วนิรันดรและสัตว์ที่ตกนรกก็ต้องตกไปชั่วนิรันดร์กาลเช่นกัน

    ตอบ เพราะท่านศาสดาสามารถระลึกชาติได้เพียงชาติเดียว จึงเข้าใจผิดว่า ชาติหน้ามีอยู่เพียงชาติเดียว ทำให้ท่านคิดว่าผู้ที่ทำความดีจะได้อยู่ในแดนสวรรค์ชั่วนิรันดร์ ผู้ที่ทำความชั่วก็ต้องตกนรกไปตลอดกาล แท้จริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่...

    พระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า สัตว์ทุกชีวิตเคยเวียนว่ายตายเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน ผู้ที่ไม่เคยเกิดเป็นพ่อแม่กันมาก่อนหาได้ยาก(4) บางชาติเกิดเป็นเทพ บางชาติเป็นมนุษย์ บางชาติเป็นสัตว์เดรัจฉาน บางชาติเกิดเป็นเปรต/อสุรกาย บางชาติต้องตกนรก ต้องเวียนว่ายตาย-เกิดอยู่อย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด ตามอำนาจบุญและบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เหตุการณ์ทุกอย่างที่เราประสบอยู่ทุกวันนี้ไม่มีคำว่าโชคหรือบังเอิญ ทุกอย่างเป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำของเราในอดีตทั้งสิ้น(5)

    เมื่อเรายังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะตามมาด้วย คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์กายทุกข์ใจ ฉะนั้น วิธีที่จะรอดพ้นจากความแก่ ความเจ็บ ความตาย และความทุกข์ทั้ง ปวงได้ ก็มีอยู่เพียงวิธีเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ “การไม่เกิดอีก”

    เป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา คือ เจริญวิปัสสนาภาวนาจนบรรลุเข้าสู่ มรรค ผล นิพพาน ตัดกระแสธรรมชาติให้ขาดสะบั้นลงได้อย่างเด็ดขาดสิ้นเชิง กำจัดสาเหตุที่ก่อให้เกิดการถือกำเนิดในภพใหม่ เพราะเมื่อไม่เกิดอีก เราก็ไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย และไม่ต้องทุกข์กาย ทุกข์ใจอีกต่อไป

    สรุปว่า คำสอนของศาสนาคริสต์ที่ปรากฏในคัมภีร์ไบเบิ้ล นำผู้ปฏิบัติตามให้เข้าถึงได้เพียงรูปพรหมชั้น“อสัญญี”เท่านั้น



    วัฏจักร และ จุดจบของโลก ในทรรศนะของพระพุทธศาสนา

    ขอตั้งสมมติฐานว่า “จุดจบของโลกอยู่ที่ ๖๐๐๐ ล้านปี และ จุดจบของโลก กับ จุดจบของสัตว์ที่มีวิญญาณครองต่างกัน” โดยมีเหตุผลและอรรถาธิบาย ยกหลักฐานจากพระคัมภีร์ มาประกอบดังนี้ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกใบนี้เกิดมาแล้ว ประมาณ ๔๕๐๐ ล้านปี พระพุทธเจ้าตรัส ว่า ในภัทรกัปนี้ โลกใบนี้เคยมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแล้ว ๔ พระองค์ คือ ๑. พระกกุสันธะ ๒. พระโกนาคมนะ ๓. พระกัสสปะ ๔. พระโคดม (พระพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบัน)[3] นั่นก็เท่ากับว่า ประมาณ ๑,๑๕๐ ล้านปีมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติ ๑ พระองค์ หลังจากนั้นโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม,ไฟใหม้ (ภูเขาไฟระเบิด)เป็นยุค ๆ ไป[4] ขณะที่โลกถูกไฟไหม้ และน้ำท่วมนั้น มนุษย์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม(ไปอยู่กับพระเจ้า) เมื่อภูมิ อากาศและผืนดินอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีก[5]
    พระพุทธเจ้าตรัสบอกอีกว่า ในกัปของโลกนี้ จะมีพระพุทธเจ้ามาอุบัติเพียง 5 พระองค์[6] แล้วโลกก็จะแตกพินาศไป เพราะไฟ ( ดวงอาทิตย์เรียงกัน ๗ ดวง[7] )

    นั่นก็แสดงว่า อีกประมาณ ๑๕๐๐ ล้านปีข้างหน้าโลกจะแตกพินาศ หลังจากพระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 คือ พระศรีอริยเมตตรัย อุบัติแล้ว ๑๐๐๐ ล้านปี


    แต่สรรพสัตว์มิได้มีจุดจบอยู่แค่นั้น หลังจากโลกพินาศแล้ว สัตว์ส่วนมากจะไปเกิดในชั้นอาภัสสรพรหม เมื่อโลกอุบัติขึ้นใหม่ ก็จะกลับมาเกิดเป็นสรรพสัตว์ในโลกอีก ดูลายระเอียดได้ใน อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐



    โลกล้าง กับโลกแตกแตกต่างกัน

    อีกประมาณ ๕๐๐ ล้านปีโลกจะล้าง เพราะน้ำท่วม และไฟไหม้จนมนุษย์ตายหมดโลก ....แต่โลกยังไม่แตก หลังจากนั้น..ภูมิอากาศของโลกก็จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติอีกครับ ..มนุษย์ที่ตาย ไปเกิดในอาภัสสรพรหม..(ไปอยู่กับพระเจ้า..) ก็จะกลับมาเกิดในโลกอีกครั้ง..แล้วจะเข้าสู่ยุคอยู่พระพุทธเจ้าองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอริยเมตตรัย.... หลังจากยุคพระศรีอริยเมตตรัย..ประมาณ ๑๐๐๐ ปี โลกจึงจะแตก...
    เมื่อโลกแตก....ก็จะเกิดโลกดวงใหม่ต่อไปอีก....สรรพสัตว์ก็จะกลับมาเกิดในโลกดวงใหม่ต่อไปอีก... เป็นอย่างนี้ไม่มีที่สิ้นสุด


    เมื่อธรรมชาติเป็นเช่นนี้ การได้ไปอยู่บนสรรค์กับพระเจ้า..ก็ยังมิใช่ที่ปลอดภัย...เพราะ..??? เพราะเมื่อหมดบุญแล้วก็ต้องกลับไปเกิดในอบายภูมิเป็นส่วนมา ปรากฏความในพระคัมภีร์ว่า

    ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงใช้ปลายพระนขา(เล็บ)ช้อนฝุ่นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ..“ภิกษุทั้งหลาย เธอเข้าใจความข้อนี้อย่างไร ฝุ่นที่เราใช้ปลายเล็บช้อนขึ้นมากับแผ่นดินใหญ่นี้อย่างไหนจะมากกว่ากัน
    ภิกษุทูลตอบว่า ....ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แผ่นดินใหญ่นี้แลมากกว่า ฝุ่นที่ปลายพระนขามีเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับแผ่นดินใหญ่แล้ว คำนวนไม่ได้ เทียบกัน ไม่ได้ หรือไม่ถึงส่วนเสี้ยว
    ภิกษุทั้งหลาย ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน สัตว์ที่จุติเทวดามาเกิดในเทวดามีจำนวนน้อย ส่วนเทวดาที่เคลื่อนจากสวรรค์แล้วไปเกิดในนรก ไปเป็นเปรตมีจำนวนมากกว่า พวกเทพชั้น เวหัปผลาที่ไม่ได้สดับพุทธธรรมมีอายุประมาณ ๕๐๐ กัป เมื่อสิ้นอายุให้ระยะเวลาที่เป็นกำหนดอายุหมดไปแล้ว ไปสู่นรกบ้าง ไปสู่แดนเปรตบ้าง[8]
    พระองค์ตรัสเปรียบเทียบให้พระภิกษุฟังว่า.... “ เมื่อพรหมเคลื่อนจากภพของตนแล้ว ที่จะได้กลับไปเกิดเป็นพรหมอีกหรือไปเกิดในภูมิที่ต่ำลงมามีจำนวนน้อยแต่เทวดาที่ต้องไปตกนรกมีจำนวนมาก... เทียบได้กับจำนวนฝุ่นที่ปลายเล็บกับผืนดินทั้งปฐพี ฉะนั้น”

    สรุปว่า ถ้ายังไม่บรรลุอรหันต์เข้าถึงพระนิพพาน ก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ร่ำไป โดยไม่ขึ้นกับศาสนา หรือศาสดาองค์ใด เพราะนี่คือกฎธรรมชาติ ถึงไม่มีใครเชื่อก็ยังคงเป็นอย่างนี้ เพราะนี้คือ กฎธรรมชาติ



    ศาสนาพุทธมิใช่ว่าปฏิเสธเรื่อง “พระเจ้า” แต่ไม่ให้ความสำคัญ และไม่ใส่ใจที่จะไปพึ่งพายึดถือ เพราะพระพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งกฎธรรมชาติว่า การได้เป็นเทพหรือการไปเกิดอยู่ในวิมานในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว....ก็ยังมิใช่สุขแท้สุขถาวร ที่ไม่ต้องกลับมาเป็นทุกข์อีก คือ แม้จะได้เกิดเป็นเทวดาแล้วก็ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ตกนรกบ้าง ขึ้นสวรรค์บ้าง ถ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ก็มีโอกาสที่จะตกนรกอีก เพราะคนที่เกิดมาแล้วไม่ทำบาปเลยไม่มี

    ศาสนาพุทธมุ่งศึกษาแต่ในประเด็นว่า ทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นไปจากกฏเกณฑ์ทั้งปวงได้ ไม่ต้องยอมสยบอยู่กับอำนาจใด ๆ ทั้งสิ้น ในที่สุดพระพุทธเจ้าก็ทรงค้นพบวิธีการนั้น นั่นก็คือ การปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่สามารถปฏิบัติให้เห็นผลได้จริงในชาติปัจจุบัน ผู้ปฏิบัติสามารถพิสูจน์ให้เห็นจริงได้ด้วยตนเองในชาตินี้ ไม่ต้องรอให้ตายเสียก่อน ซึ่งมีพระอริยเจ้าในพุทธศาสนาสามารถพิสูจน์ทราบจนเห็นประจักษ์ แล้วนำออกเผยแผ่ สืบทอดต่อ ๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย จนถึงปัจจุบัน















    --------------------------------------------------------------------------------


    [1] คัมภีร์พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕ หน้า๒๙๒)


    [2] จากหนังสือ ..ปัญหาเกี่ยวกับ พระผู้เป็นเจ้า กรรม อนัตตา โดย พุทธทาสภิกฺขุ


    [3] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ ๒๖. พุทธปกิณณกกัณฑ์ เล่มที่ ๓๓ ข้อ ๑ หน้า ๗๒๑


    [4] โลกเสื่อม มี ๓ อย่าง คือ (๑)อาโปสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะน้ำ) หมายถึงกัปที่เสื่อมเพราะน้ำนับแต่ชั้นสุภกิณหพรหมลงมา (๒)เตโชสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะไฟ) หมายถึงกัปที่ไฟไหม้ นับแต่ชั้นอาภัสสรพรหมลงมา (๓)วาโยสังวัฏฏกัป (กัปที่เสื่อมเพราะลม) หมายถึงกัปที่ลมพัดทำลาย นับแต่ชั้นเวหัปผลพรหมลงมา หรือหมายถึงช่วงระยะเวลาที่เปลวไฟดับจนถึงมหาเมฆที่ให้กัปพินาศ (องฺ.จตุกฺก.อ. ๒/๑๕๖/๓๘๔, องฺ.จตุกฺก.ฏีกา ๒/๑๕๖-๑๕๘/๔๒๑, วิสุทฺธิ. ๒/๔๐๖/๕๕)


    [5] ดูรายละเอียดได้ใน อัคคัญญสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 10


    [6] ในภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ๕ องค์ คือ พระกกุสันธ พุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคดมพุทธเจ้า พระเมตเตยยพุทธเจ้า (ขุ.อป.อ. ๒/๒๒๕/๓๓๐)


    [7] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต สัตตสุริยสูตร เล่มที่ ๒๓ ข้อ ๖๖ หน้า ๑๓๔


    [8] อ้างอิง....สํ.มหา.(ไทย) ๑๙/๑๑๗๘/๖๕๔ , องฺ.จตุ.(ไทย) ๒๑ /๑๙๓/๑๒๕
     
  12. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่อง “สร้างโลก” เพราะไม่มีความรู้..??

    พระพุทธเจ้าไม่ตอบเรื่อง “สร้างโลก” เพราะไม่มีความรู้..??

    ตอบว่า..หลังจากตรัสรู้ เจ้าชายสิทธัตถะทรงได้พระนามใหม่ อีกพระนามหนึ่งว่า“พระสัพพัญญู” แปลว่า ทรงรู้เรื่องทั้งปวง คือ รู้หมดทุกอย่าง ด้วยความที่พระองค์รู้ทุกอย่างนี่เอง ทำให้พระองค์ประมวลความรู้ทั้งหมดเข้าด้วยกันแล้วมีพระดำริว่า ถ้าหากทรงสอนทั้งหมด หรือบอกทั้งหมดที่รู้ จะก่อให้เกิดโทษ เกิดหายนะแก่มวลสรรพสัตว์เสียมากกว่า พระองค์จึงเลือกที่จะสอนเฉพาะเรื่องที่เป็นไปเพื่อดับทุกข์ คล้ายโศกเพียงเท่านั้น ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ หน้า ๖๑๓ ดังนี้

    พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวันเขตกรุงโกสัมพี ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคทรงหยิบใบประดู่ลาย ๒-๓ใบขึ้นมา แล้วรับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นว่าอย่างไร ใบประดู่ลาย๒-๓ใบที่เราหยิบขึ้นมากับใบที่อยู่บนต้น อย่างไหนจะมากกว่ากัน”

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ใบที่อยู่บนต้นไม้นั้นแลมากกว่า ใบประดู่ลาย๒-๓ใบที่พระองค์ทรงหยิบขึ้นมามีเพียงเล็กน้อย พระพุทธเจ้าข้า”

    “ภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้ว.. แต่มิได้บอกเธอนั้นมีมาก เพราะเหตุไรเราจึงมิได้บอก? เพราะสิ่งนี้ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่จุดเริ่มต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อดับ ไม่เป็นไปเพื่อสงบระงับไม่เป็นไปเพื่อรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อตรัสรู้ ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน เพราะเหตุนั้นเราจึงมิได้บอก

    สิ่งอะไรเล่าที่เราบอกแล้ว คือ เราบอกว่า‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ เพราะเหตุไรเราจึงบอก เพราะสิ่งนี้มีประโยชน์ เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพิ่อตรัสรู้ เพื่อนิพพานเพราะเหตุนั้นเราจึงบอก[1]



    --------------------------------------------------------------------------------


    [1] สังยุตตนิกาย สีสปาวนสูตร เล่มที่ ๑๙ ข้อ ๑๑๐๑ หน้า ๖๑๓
     
  13. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระผู้สร้าง” ?

    ทำไมพระพุทธเจ้าไม่สอนเรื่อง “พระเจ้า” และ “พระผู้สร้าง” ?

    พระพุทธเจ้าเปรียนเหมือนหมอผ่าตัดผู้ป่วยที่ถูกลูกศรปักอก หมอไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าคนยิงเป็นใคร ทำไมคนร้ายจึงยิง หมอทำหน้าที่เพียงเร่งผ่าตัดช่วยชีวิตให้เร็วที่สุด ....แต่ถ้าผู้ป่วยไม่ยอมให้ผ่าตัด โดยตั้งเงื่อนไขว่า “ต้องหาคนยิงให้ได้ก่อน ..เขาหน้าตาเป็นอย่างไร? ผู้หญิงหรือผู้ชาย...ต้องให้เขาบอกเหตุผลที่ยิงให้ได้ก่อน...ผมจึงจะยอมให้หมอผ่าเอาลูกศรออก” ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็รับรองได้ว่า “ผู้ป่วยตายแหง๊แก๊ !???” ปรากฏหลักฐานในคัมภีร์พระไตรปิฏกจูฬมาลุกยสูตร เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๒๖ หน้า ๑๓๘ ดังนี้

    “หากมีใครกล่าวว่า ‘ตราบใดที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ทรงตอบเราว่า ‘โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง? ฯลฯ (..โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร )’ ตราบนั้นเราก็จักยังไม่ปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์ ต่อให้บุคคลนั้นสิ้นชีวิตไปตถาคตก็ไม่ตอบเรื่องนั้น เปรียบเหมือนบุรุษต้องลูกศรที่อาบยาพิษอย่างร้ายแรง มิตรอำมาตย์ ญาติสาโลหิตของบุรุษนั้น พึงไปหาแพทย์ผู้ชำนาญในการผ่าตัดมารักษาบุรุษผู้ต้องลูกศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักคนที่ยิงเรา เราก็จักไม่ให้ถอนลูกศรนี้ออกไป’ ฯลฯ

    บุรุษผู้ต้องลูกศรนั้นพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ตราบใดที่เรายังไม่รู้จักลูกธนูที่เขาใช้ยิง เราว่า เป็นลูกศรธรรมดา ลูกศรคม ลูกศรหัวเกาทัณฑ์ ลูกศรหัวโลหะ ลูกศรหัวเขี้ยวสัตว์ หรือลูกศรพิเศษ ตราบนั้นเราก็จักไม่ถอนลูกศรนี้ออกไป’ ต่อให้บุรุษนั้นตายไป เขาก็จะไม่รู้เรื่องนั้นเลย[1]

    “เราไม่ตอบปัญหาว่า ‘โลกเที่ยงหรือโลกไม่เที่ยง? ฯลฯ (..โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร )’ เราไม่ตอบเพราะเหตุไร? เราจึงไม่ตอบเพราะปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ ไม่เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ ไม่เป็นไปเพื่อความคลายทุกข์ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงไม่ตอบ ปัญหาอะไรเล่าที่เราตอบ คือปัญหาว่า ‘นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา’ เราตอบเพราะเหตุไร? เราตอบเพราะปัญหานั้นมีประโยชน์ เป็นเบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์ เป็น ไปเพื่อความคลายทุกข์ เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับ เพื่อสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพาน เหตุนั้นเราจึงตอบ

    เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำปัญหาที่เราไม่ตอบว่าเป็นปัญหาที่เราไม่ตอบ และจงจำปัญหาที่เราตอบว่าเป็นปัญหาที่เราตอบเถิด”[2]



    --------------------------------------------------------------------------------




    [1] ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๒๖ /๑๓๘


    [2] ม.ม.(ไทย) จูฬมาลุกยสูตร เล่มที่ ๑๓ ข้อ ๑๒๘ หน้า๑๔๑
     
  14. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
  15. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    ถูกครับ ดีตามหลักของศาสนานั้นๆไปเลยไง.....เป็นเรื่องธรรมดาครับ.....

    ผมไม่ได้แนะนำว่าให้หลงไปในคำสอนของทั้งพุทธและอิสลาม แต่ผมแนะนำให้ใช้ปัญญาและพิจารณาด้วยตนเองจึงเชื่อ....ตามหลักกาลามสูตร.....
     
  16. Phanudet

    Phanudet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    8,434
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +15,646
    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตติยสูตร หรือเกสปุตตสูตร ก็มี) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่

    1.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    2.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    3.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    4.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    5.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    6.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    7.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    8.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    9.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    10.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

    ปัจจุบันแนวคิดและหลักสูตรที่สอนให้คนมีเหตุผลไม่หลงเชื่องมงาย ในทำนองเดียวกับคำสอนของพระพุทธองค์เมื่อ 2500 ปีก่อน ได้รับการบรรจุเป็นวิชาบังคับว่าด้วยการสร้างทักษะการคิดหรือที่เรียกว่า "การคิดเชิงวิจารณ์" (Critical thinking) ไว้ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยของประเทศพัฒนาแล้ว


    กาลามสูตร - วิกิพีเดีย
     
  17. KhonKae

    KhonKae Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2011
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +76
    ขออนุญาต : ผมมีคนที่รู้จักดีคนหนึ่งนับถือศาสนาพุทธ เป็นนักปฏิบัติกัมมัฏฐาน มีภริยาเป็นมุสลิม เขาสมรสอยู่กินร่วมกันโดยไม่จดทะเบียนสมรส มีบุตรด้วยกัน ภริยาก็ยังคงนับถือศาสนาอิสลาม ตัวเขาเองก็ยังคงนับถือศาสนาพุทธและปฏิบัติกัมมัฏฐานอย่างเคร่งครัด ไม่มีปัญหาใด ๆ ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน ที่เล่ามาเพียงแต่ให้คุณใช้สติไตร่ตรองและทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคุณและครอบครัว ด้วยความปรารถนาดี
     
  18. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,860
    ทำไมไม่ทำให้เรื่องง่ายขึ้น ล่ะครับ

    ก็บอกให้ภรรยาเข้ามานับถือพุทธศาสนาก็หมดปัญหา
    Nirvana ก็มีประสพการณ์ในเรื่องแบบนี้
    สายบุญคนนึงเป็นอิสลาม แต่งงานมาอยู่บ้านสามี

    ตอนนี้เป็นสายบุญที่ปฏิบัติดีคนหนึ่ง สวดมนต์ไหว้พระ ทำสมาธิได้ดีกว่าชาวพุทธทั่วไปด้วยซ้ำ
     
  19. ติดบ่วง

    ติดบ่วง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 เมษายน 2012
    โพสต์:
    194
    ค่าพลัง:
    +771
    ผมรู้แค่ว่าคนเราจะนับถือศาสนาไหน ยังไงก็ได้รับผลกรรมตามที่กระทำครับ ไม่มีใครไถ่บาปให้ใครได้ครับ กฎแห่งกรรมเป็นไปตามธรรมชาติของมันเอง....

    ส่วนความเชื่ออื่นไม่ออกความเห็นครับ เพราะหลายๆท่านนับถือศาสนาเพราะเป็นมรดกตกทอด เป็นจารีต หรือเพราะความกตัญญู หรือเพราะต้องการที่พึ่งพิง

    ผมเข้าใจแค่ว่าศาสนาพุทธนั้นแท้จริงสอนให้พึ่งตัวเอง

    และในความรู้สึกของผม คำสอนใด ที่สอนให้มนุษย์เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ศาสนาครับ เป็นแค่ลัทธิมาร....เป็นแค่เครื่องมือที่เอามาแอบอ้างเพื่อผลประโยชน์ให้แก่เหล่าเดียรถีร์และคนที่อยากเป็นใหญ่ครับ

    ความเห็นส่วนตัวของผมแค่นี้หละครับ
     
  20. ชุนชิว

    ชุนชิว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤษภาคม 2008
    โพสต์:
    722
    ค่าพลัง:
    +780
    ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรจริงเลย จงอยู่กับมันอย่างมีความสุข อยู่กับมันอย่างเข้าใจ และละทิ้งมันซะเมื่อถึงเวลา คนกลัวตายไม่มีทางได้นิพพานเด็ดขาด
     

แชร์หน้านี้

Loading...