บุญถวายของเป็นคู่!!!ถวายเจดีย์คู่108คู่บรรจุพระบรมฯประดิษฐานบนในองค์พระ108องค์

ในห้อง 'พระพุทธรูป - วิหารทาน - สิ่งก่อสร้าง' ตั้งกระทู้โดย เก๋ณัฐา, 4 กุมภาพันธ์ 2013.

  1. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการคะน้องธรรมวิวัฒน์ ขอให้เจริญๆนะจ๊ะอันใดที่ติดขัดขอให้คลี่คลายคะสาธุสาธุสาธุ
     
  2. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการคะคุณณัฐพงศ์ ปรารถอธิษฐานอันใดขอให้ได้สำเร็จสมตามที่อธิษฐานโดบฉับพลันนะคะ เก๋ได้รับอีเมลแจ้งแล้วคะ ทางวัดจะจัดการส่ใบอนุโมทนาบัตรให้ หากไม่ได้รับอย่างไรกรุณาติดต่อกลับที่เก๋ได้เลยคะ สาธุคะ
     
  3. pomsakda

    pomsakda เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    152
    ค่าพลัง:
    +2,275
    วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2556/ วันอุโบสถ)
    ผมและคณะได้โอนปัจจัย ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเจดีย์คู่ 108 คู่ รอบที่ 2
    บรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมเพื่ออันเชิญประดิษฐานบนยอดเศียร
    พระพุทธรูปพระประธานองค์ปฐมหน้าตัก 4 ศอก (2 เมตร) 108 องค์ รอบที่ 2

    เป็นจำนวนเงิน 4,400 บาท
    ขอน้อมอนุโมทนามหาบุญกุศลทุกอย่าง กับคุณเก๋และทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ (*)(*)(*)
     
  4. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเป็นอย่างยิ่งคะ อันใดติดขัดขอให้คลี่คลายอัีนใดปรารถนาขอให้สำเร็จโดยแับพลันคะสาธุสาธุสาธุ
     
  5. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เอารูปพระพุทธรูปองค์ปฐมมาฝากคะ นี่คือรุปองค์ปฐมที่หล่อและทาสีเรียบร้อยแล้วคะ เจดีย์ที่เราบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่เราร่วมบุญก็จะถูกนำไปประดิษฐานบนยอดเศียรพระพุทธพระประธานองค์ปฐมที่หล่อขึ้นคะ ​





    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Untitled-1.jpg
      Untitled-1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      238.2 KB
      เปิดดู:
      127
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2013
  6. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    เหตุให้เกิดความรัก

    ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุไรหนอ เมื่อบุคคลบางคนในโลกนี้
    พอเห็นกัน เข้าก็เฉยๆ หัวใจก็เฉย บางคนพอเห็นกันเข้า จิตก็เลื่อมใส.

    ความรักนั้น ย่อมเกิดขึ้นด้วยเหตุ ๒ ประการ คือ
    ด้วยการอยู่ร่วมกันในกาลก่อน ๑
    ด้วยความเกื้อกูลต่อกันในปัจจุบัน ๑
    เหมือนดอกอุบลและชลชาติ เมื่อเกิดในน้ำ
    ย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ
    น้ำและเปือกตม ฉะนั้น.

    http://palungjit.org/threads/เหตุให้เกิดความรัก.439448/
     
  7. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ความรักในทางพระพุทธศาสนา

    จิตวิทยาของความรัก

    โดย พญ.มณฑิรา พรศาลนุวัฒน์ จิตแพทย์
    ThaiClinic.com I จิตวิทยาของความรัก


    ความรักในทางพระพุทธศาสนา

    ท่านได้จำแนกเรื่องความรักไว้เป็นสองประเภท คือ
    1. ความรักที่เกิดจาก กามฉันทะ คือ
    ความเร่าร้อน ความกระหาย ที่อยากจะได้ในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา
    หากได้ตามใจปรารถนาแล้ว ผู้นั้นก็จะมีความชื่นชมยินดี มีความสุขทั้งกาย และใจ
    ถ้าต้องประสบกับความผิดหวัง จิตของผู้นั้นจะมีแต่ความโทมนัส เศร้าโศกเสียใจ
    บังเกิดเป็นความทุกข์กายติดตามมา กินไม่ได้ นอนไม่หลับ
    ร่างกายซูบซีดเศร้าหมอง เบื่อโลก เบื่อชีวิต เบื่องานเบื่อการ มีอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย
    ขาดสติสัมปชัญญะ หาทางเบียดเบียนคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการและรูปแบบต่างๆ ซึ่งเป็นการผิดศีล
    หากยังไม่สมปรารถนาอีก บางคนก็อาจจะคิดสั้นก่ออกุศลกรรม สร้างทุกข์โทษให้แก่ตัวเอง คือ การอัตวินิบาตกรรม
    และหรือ แก่ผู้อื่นด้วยวิธีการอื่นๆ เท่าที่อกุศลเจตนาจะพาไป


    2. ความรักที่เกิดจาก เมตตา
    ซึ่งมีอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์โดยทั่วถ้วนหน้า โดยไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา ชนชั้น วัย เวลา สถานที่
    และสามารถแผ่กระจายไปได้ทุกหนทุกแห่งอย่างไม่มีขอบเขต
    เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาพร้อมกับจิตวิญญาณของมนุษย์ตั้งแต่ต้น
    ยกเว้นผู้ที่มีความพิการทางสมองซึ่งไม่สามารถกระตุ้นจิตวิญญาณให้เกิดอารมณ์ในลักษณะ นี้ขึ้นได้
    นิยามของความรัก ที่เทียบธรรมในทางพุทธที่ใกล้เคียงที่สุดคือ
    พรหมวิหาร 4 (พรหม = ที่พึ่ง, วิหาร = เครื่องอยู่) = ธรรมของความเป็นที่พึ่งพาได้คือ
    เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

    - เมตตา คือ ความรัก,ความปรารถนาให้เขามีความสุข, แผ่ไมตรีจิตคิดจะให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุขทั่วหน้า
    (ข้อ 1 ในพรหมวิหาร 4, ข้อ 2 ในอารักขกรรมฐาน 4)

    - กรุณา คือ ความสงสารคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์,ความหวั่นใจ
    เมื่อเห็นผู้อื่นมีทุกข์ คิดหาทางช่วยเหลือปลดเปลื้องทุกข์ของเขา

    - มุทิตา คือ ความพลอยยินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี,เห็นผู้อื่นอยู่ดีมีสุข ก็แช่มชื่นเบิกบานใจด้วย
    เห็นเขาประสบความสำเร็จเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไป ก็พลอยยินดีบันเทิงใจ พร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนไม่กีดกันริษยา

    - อุเบกขา คือ ความวางใจเป็นกลางไม่เอนเอียงด้วยชอบหรือชัง, ความวางใจเฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย
    เมื่อใช้ปัญญาพิจารณาเห็นผลอันเกิดขึ้นโดยสมควรแก่เหตุ และรู้ว่าพึงปฏิบัติต่อไปตามธรรม หรือตามควรแก่เหตุนั้น
    (ข้อ 4 ในพรหมวิหาร4, ข้อ 7 ในโพชฌงค์ 7, ข้อ 10 ในบารมี 10, ข้อ 9 ในวิปัสสนูปกิเลส 10)

    เมื่อนิยามความรักแล้ว คำบรรยายความรักในทางโลกสำหรับผู้ยังมีกิเลส
    (กิเลส สิ่งที่ทำใจให้เศร้าหมอง, ความชั่วที่แฝงอยู่ในความรู้สึกนึกคิด ทำให้จิตใจขุ่นมัวไม่บริสุทธิ์)
    ยังไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ตามพรหมวิหารธรรมล้วน ๆ ยังเจือปนไปด้วยอุปกิเลส
    (คือโทษเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำจิตใจให้เศร้าหมองขุ่นมัว รับคุณธรรมได้ยาก
    ความสุขจากการกระทำกรรมดีร่วมกันมาจะส่งผลก่อน ดึงคนสองคนเข้ามาหากัน
    และหลังจากนั้นกรรมไม่ดีจะเริ่มแสดงตัวที่ทำให้เกิดความทุกข์ระหว่างกัน ทะเลาะกัน

    ความรักทุกชนิดของปุถุชน จะเจือปนด้วยกิเลสได้เสมอแม้แต่การรักลูก ตราบที่ยังมีลูกของเรา
    (ต้องดี ต้องเก่ง ต้องเยี่ยม ต้องสวย ต้องหล่อกว่าคนอื่น)
    จนความรักกลายเป็นการผลักดันลูกให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้โดยอ้างความรัก
    ความ รักของปุถุชนหนุ่มสาวที่ยังมีกิเลส มีกามราคะ
    (ความพึงใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส) เริ่มจากตาเห็นรูป แล้วจิตที่ยังมีอวิชชา มีความหลงครอบงำ
    เริ่มปรุงแต่งว่า เมื่อรูปข้างนอกสวย จิตใจข้างในต้องดีด้วยเป็นแน่ (คิดเอา คาดเอาเอง)

    จึงพยายามสร้างปัจจัยทุกทางเพื่อให้ได้ครอบครองเพื่อเสพสิ่งที่ตน (คิดเอาเอง) ว่าดีนั้น
    เริ่มจากการเสพรูป (ผ่านทางตา)
    เสพรส (ผ่านทางปากหรือลิ้น)
    เสพกลิ่น (ผ่านทางจมูกโดยการดมกลิ่น)
    เสพเสียง (ผ่านทางหู)
    สัมผัส (ผ่านทางกาย .... )
    นี่เป็นการบรรยายในมุมของการเสพ คือมองจากภายนอก

    ถ้าจะบรรยายจากมุมมองของสติและสัมปชัญญะที่เห็นภาพรวมจากภายในจิตออกไปภายนอกนั้น
    ต้องเริ่มจาก
    จิตที่มีอวิชชา - ความไม่รู้บังไม่ให้เห็นว่าจิตกำลังหลง เริ่มจากมีสิ่งกระทบ (ผัสสะ) มากระทบกับอายตนะ
    (เครื่องดึงดูดให้จิตส่งออกนอก มีตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ)

    ไม่ว่าจะเป็นรูปกระทบตา เสียงกระทบหู กลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นกายกระทบจมูก ได้ชิมรสต่าง ๆ (ในกรณีของอาหาร)
    ทางลิ้น ได้สัมผัสทางกาย (กายของเพศตรงข้าม หมอน เบาะหรือที่นอนนุ่มๆ
    ตลอดจนการปรุงแต่งของสังขารขันธ์หรือใจ
    ที่ทำการ amplify จนความยึดมั่นในคนหรือวัตถุที่จิตไปเกาะยึดอยู่รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ)
    ส่งให้จิตปรุงแต่งหาวิธีครอบครองคนหรือจิตหรือวัตถุนั้น ๆ จนเกิดเป็นมโนกรรม วจีกรรม
    ตลอดจนกายกรรมต่อไป และถ้าบุคคลไม่มีศีลแล้ว
    ก็สามารถกระทำการที่ละเมิดบุคคลอื่นจนเกิดเป็นกรรมไม่ดีขึ้นมาได้ต่อไป

    ความรักจะเป็นพิษ เมื่อบุคคลยึดกับวัตถุสิ่งของหรือบุคคลอื่นมากจนขาดสติและสัมปชัญญะ
    ไม่ได้สำรวจตรวจสอบตนเองจนไปละเมิดบุคคลอื่น
    เริ่มจาก

    ปาณาติบาต (การตัดชีวิตสัตว์อื่นให้สิ้นไป)
    อทินนาทาน (ถือเอาของที่เจ้าของไม่ได้มอบให้มาเป็นของตน)
    กาเมสุมิจฉาจาร (ความประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ผิดประเวณี คือไปแย่งของรัก ละเมิดคู่รักผู้อื่น)
    มุสาวาทา (พูดไม่จริงที่ทำให้เกิดความเคยชินกับการผิดศีล ทำให้ลดความรู้สึกผิดเวลาผิดศีลลงไปเรื่อย ๆ) หรือ
    สุราเมรัย (ดื่มสุราเกินพอดีจนทำให้ขาดสติ)
    ........
     
  8. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ความรักในมุมมองของพระพุทธศาสนา

    พระพุทธศาสนาแบ่งความรักออกเป็นระดับต่างๆได้ ๖ ระดับครับ


    ปิยะ --> เปมะ --> ฉันทะ --> ศรัทธา --> เมตตา --> กรุณา


    ปิยะ เป็นมุมมองของความรักที่มองจากตัวเองออกไป คือการไปรักคนอื่น เช่น ปิยะมหาราช คือเรารักพระราชา เป็นความรักจากตัวเราออกไปหาพระราชานั่นเองครับ หรือบุคคลต่างๆอันเป็นที่รักของเราก็เรียกว่าปิยะชน มุมมองของความรักในความเป็นปิยะนั้น ที่ครองความเป็นระดับล่างที่สุดก็เพราะยังเกี่ยวเนื่องด้วยกามอยู่ครับ ลองพิจารณาความรักในลำดับสูงขึ้นไปจะเข้าใจมากขึ้นครับ

    เปมะ เป็นมุมมองความรักจากภายนอกเข้ามาหาตัวเราเอง เช่น ความรักเสมอด้วยตนไม่มี ท่านก็ใช้คำว่าเปมะ (นัตถิ อัตตะ สะมัง เปมัง) หรือ เปมะโต ชายะตี โสโก ความโศกเกิดจากความรัก ทั้งนี้เพราะเรารู้สึกรัก จึงรู้สึกโศก เพราะความโศกนั้นเป็นสิ่งที่ตนเองรู้สึกอยู่ จึงเป็นมุมมองที่มองเข้ามาหาตัวเรา ความรักแบบนี้ที่สูงขึ้นจากปิยะก็เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับกามน้อยลงครับ

    ฉันทะ คือความรักที่ละเอียดจนกลายเป็นความพอใจครับ ส่วนมากเน้นในการกระทำอะไรต่างๆ ดังนั้นจะเป็นไปในเรื่องการงานซะส่วนใหญ่ คนเราหากพอใจการงานหรือสิ่งที่ตัวเองทำก็จะรักการงานหรือสิ่งนั้นๆไปด้วยครับ จะเห็นว่าความรักแบบนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกามเลยหากเป็นเรื่องงานการ

    ศรัทธา คือความรักที่ละเอียดขึ้นอีกจนกลายเป็นความเลื่อมใส ลักษณะของศรัทธาคือความแล่นไป คือคนเราหากศรัทธาในสิ่งไหน ก็จะแล่นไปในสิ่งนั้น ความรักแบบนี้ยิ่งออกห่างจากกามขึ้นมาอีกระดับครับ มันจึงสูงขึ้นไปอีก แต่ว่าความรักในระดับที่ผ่านมาทั้งหมดนั้น ยังเกี่ยวเนื่องกับตัวเราอยู่ครับ

    เมตตา คือความรักที่ละเอียดขึ้นมาอีกขั้นนึงครับ เพราะเมตตานั้นมีแต่ปรารถนาให้ผู้อื่นได้ดี ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับตัวเราแล้ว เป็นความรักที่ยินดีต่อผู้อื่นอย่างจริงใจและไม่มีกามเจือปนอยู่ด้วย ดังนั้นจึงอยู่ในระดับสูงขึ้นอีก ความรักในระดับเมตตานี้แหล่ะครับ ที่ค้ำจุนโลกนี้เอาไว้ (โลโก ปัตถัมภิกา เมตตา)

    กรุณา คือความรักในระดับสูงที่สุดครับ เพราะเนื่องจากเมตตานั้นแรงกล้าจนทำให้เรากระทำการบางอย่างลงไปเพื่อให้ผู้อื่นได้ดี กรุณาคือการลงมือกระทำครับซึ่งต้องอาศัยความพยายามเข้ามาร่วมด้วย และความพยายามบางอย่างอาจต้องอาศัยความอดทนเข้ามาประกอบด้วยอีกจึงจะทำได้สำเร็จ ทำให้ต้องอาศัยคุณธรรมอื่นๆเข้ามาประกอบด้วย ความรักชนิดนึ้จึงอยู่ในระดับที่สูงที่สุดครับ

    อ้างอิงจาก: Bloggang.com : Karz :
     
  9. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ก่อนไปปฏิบัติธรรม เก๋ขอฝากบุญถวายเจดีย์ 108 คู่ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุสมเด็จองค์ปฐมบรมศาสนา เพื่ออัญเชิญประดิษฐานบนยอดเศียรพระพุทธรูปองค์ปฐมใหญ่หน้าตัก 4 ศอก องค์ที่ 109 - 216 ไว้ด้วยนะคะ อนุโมทนาสาธุการคะ
     
  10. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อนุโมทนาสาธุการเช่นกันคะ
     
  11. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ความรักที่แท้จริง คือ อะไร โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

    ความรักที่แท้จริง คือ อะไร โดย ท่าน ว.วชิรเมธี

    >> ท่าน ว. วชิรเมธี << ก่อนที่จะตอบคำถามนี้ อาตมาต้องขอทบทวนความรักและพัฒนาการของความรักเสียก่อน คือถ้าเราเห็นพัฒนาการของความรัก เราก็จะตอบได้ว่า อะไรคือรักที่แท้ในทรรศนะพระพุทธศาสนา ความรักนั้นในทรรศนะของอาตมภาพจัดเป็น 4 ระดับด้วยกันคือ

    1. รักตัวกลัวตาย : เป็นความรักขั้นพื้นฐานที่สุดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน และที่เรียกว่าสรรพชีพ สรรพสัตว์ทุกชนิด สรรพชีพ หมายถึง สิ่งมีชีวิตทั้งหลายซึ่งเราไม่สามารถมองเห็นด้วยตา ทั้งอยู่ในโลกเดียวกันกับเราหรืออยู่ในโลกอื่นออกไปสรรพสัตว์ หมายถึง สัตว์ทั้งปวงที่เรามองเห็นได้ด้วยตา สิ่งมีชีวิตทั้งหมดไม่ว่าจะเรียกว่าคน หรือไม่เรียกว่าคนก็ตาม ล้วนแล้วแต่มีความรักขั้นพื้นฐานคือรักตัวกลัวตาย ความรักอย่างนี้ เป็นความรักอิงสัญชาติญาณการดำรงชีวิตรอด สิ่งมีชีวิตทั้งหมดเกิดมาก็มีความรักชนิดนี้อยู่กับตัวแล้ว แต่ยังไม่ใช่รักแท้ เพราะในแง่ลบมันมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นความเห็นแก่ตัว นั่นคือด้วยเหตุที่พยายามจะเอาตัวรอด ก็เป็นเหตุให้ต้องทำร้ายทำลายชีวิตอื่นดังนั้นความรักตัวกลัวตายจึงไม่เพียงพอ และยังไม่ใช่รักที่แท้ ต้องพัฒนาต่อไป


    2. รักใคร่ปรารถนา : เป็นความรักในเชิงชู้สาว เกิดขึ้นทั้งกับคนและกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทั้งปวง ซึ่งคือสรรพชีพ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่มีความผูกพันกันในเชิงชู้สาว ความรักชนิดนี้อิงอยู่กับสัญชาตญาณการสืบพันธุ์ แท้ที่จริงรากฐานของความรักชนิดนี้ก็มาจากความรักชนิดที่ 1 คือ รักตัวกลัวตายนั่นเอง แต่ว่าประณีตขึ้น แสดงออกละเมียดละไมมากขึ้น ดูเหมือนว่าแทนที่จะรักตัวกลัวตายอย่างเดียว ก็เผื่อแผ่ใจออกไปรักคนอื่นด้วยแต่แท้ที่จริงที่รักคนอื่นก็เพื่อให้คนอื่นนั้นมารักตัวเอง หากมองอย่างลึกซึ้ง รักใคร่ปรารถนาก็ยังเป็นความรักที่มีความเห็นแก่ตัวปนอยู่นั่นเอง ฉะนั้นรักใคร่ปรารถนาจึงยังไม่พอ


    3. รักเมตตาอารี : ความรักอิงความผูกพันทางสายเลือด นามสกุล ศาสนา ชาติพันธุ์ ชนชั้นวรรณะ ภาษาและวัฒนธรรม พูดง่ายๆว่า เป็นความรักที่เกิดขึ้นจากการที่มนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตระหนักรู้ว่าผู้ที่ร่วมสายพันธุ์เดียวกันกับตนนั้นเป็นพวกเดียวกันกับตน ความรักชนิดนี้บางครั้งเราก็เรียกว่า ความรักอิงสายเลือดบ้าง ความรักอิงความเมตตาบ้าง เช่น พ่อแม่รักลูก ครูบาอาจารย์รักลูกศิษย์ เพื่อนรักเพื่อน นายรักลูกน้อง มนุษย์ด้วยกันรักมนุษย์ สัตว์ด้วยกันรักสัตว์ คนชาติเดียวกันรักคนชาติเดียวกัน เช่นคนไทยรักคนไทยมากกว่าฝรั่ง ฝรั่งก็จะรักฝรั่งมากกว่าคนไทย จีนก็จะรักจีนมากกว่าแขก นี่เรียกว่ารักเมตตาอารี แม้จะเป็นความรักที่มีรากฐานอยู่บนพื้นฐานของความเมตตา แต่ก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่นั่นเอง เพราะยังมีข้อจำกัดว่าเลือกรักเลือกเมตตาเฉพาะเผ่าพันธุ์พงศสคณาญาติของตน แม้จะดูกว้างขวางแต่ก็ยังไปไม่พ้นพรมแดนของการถือเขาถือเราอยู่นั่นเอง


    4. รักมีแต่ให้ : เป็นความรักของมนุษย์ผู้ที่ได้ค้นพบภาวะความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานในหัวใจอย่างลึกซึ้ง แล้วหลุดพ้นจากกิเลสขึ้นมากลายเป็นอารยชน ความรักชนิดนี้เกิดขึ้นจากการมองเห็นความไร้แก่นสารหรือความไม่มีตัวตนของตนเอง จึงไม่มีตัวตนไว้สำหรับเห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว จึงเห็นแก่โลกทั้งผอง หัวใจไร้พรมแดน เกิดเป็นความรักขั้นสูงสุด มองคน มองสรรพชีพ มองสรรพสัตว์ทั้งหลายในลักษณะโลกทั้งผองพี่น้องกัน ความรักชนิดนี้เป็นความรักแท้ เปิดเผย บริสุทธิ์ จริงใจ โดยไม่เรียกร้องการตอบแทน เปรียบเสมือนแสงเดือนแสงตะวันที่สาดโลมผืนโลกโดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทน เปรียบเสมือนสายฝนและดงดอกไม้ที่ชโลมผืนโลก ให้ความชุ่มชื่นเย็น งดงาม และไม่ต้องการให้ใครมองเห็นคุโณปการของตัวเอง เป็นดอกไม้ก็ส่งกลิ่นหอม แล้วร่วงโรยไปตามวันเวลาอย่างสงบเงียบ ไม่ปรารถนาจะเป็นที่ปรากฎอะไร

    เช่นเดียวกัน พระอรหันต์ อริยชนทั้งหลาย ตั้งแต่พระโสดาบัน บุคคลขึ้นไป ก็ทำงานเพราะมีความรักที่แท้เป็นแรงผลักดัน ทำงานก็เพราะว่างานนั้นเป็นสิ่งที่วิถีชีวิตของท่านควรทำไม่มีแรงจูงใจในลักษณะเกิดจากลาภสักการะ หรือผลประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น เหมือนเราทุกคนเกิดมาแล้วหายใจ ที่เราหายใจเพราะการหายใจคือส่วนหนึ่งของชีวิต เราหายใจโดยไม่จำเป็นต้องเรียกร้อง ไม่จำเป็นต้องบังคับ การหายใจก็คือการหายใจ การหายใจมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวเองฉันใด ผู้ที่มีรักแท้ในหัวใจก็พร้อมรักคนทั้งโลกโดยไม่เรียกร้องอะไรตอบแทน ฉันนั้น ทั้งนี้เพราะมันเป็นธรรมชาติอันเป็นธรรมดานั่นเอง ด้วยเหตุนี้รักแท้จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "กรุณา" หรือ "การุณยธรรม" เกิดขึ้นหลังจากที่ปัจเจกบุคคลผู้หนึ่งได้ค้นพบปัญญา คือ ความตื่นรู้ แล้วเกิดวิสุทธิภาวะ คือจิตใจที่หลุดพ้น เป็นอิสรภาพจากอวิชชาอย่างสิ้นเชิง ปัญญาที่ตื่นรู้ และวิสุทธิภาวะของจิตที่หลุดพ้นจากอวิชชาอย่างสิ้นเชิง ก่อให้เกิดคุณธรรมชนิดใหม่ซึ่งเปรียบเสมือนธารน้ำที่หลั่งไหลมาของความรักก็คือ กรุณา ฉะนั้นพระพุทธองค์จึงมีอีกชื่อหนึ่งว่า "มหาการุณิกะ" แปลว่าบุคคลผู้เปี่ยมด้วยความรักอันไพศาล นั่นแหละ รักแท้ คือ กรุณา

    " มนุษย์ทุกคนมีศักยภาพที่จะค้นพบรักแท้ในหัวใจของตัวเองได้เพราะรักแท้หรือกรุณามาจากพุทธภาวะในหัวใจของเราทุกคนฉะนั้นขอแค่เราเป็นคนเท่านั้นแหละ เราก็มีธรรมชาติเดิมแท้เป็นความรักแท้ที่จำพรรษาในใจอยู่แล้ว รอแต่ว่าเมื่อไหร่เราจะค้นพบเท่านั้นเอง เขารอเราอยู่ตลอดเวลา ทุกภพทุกชาติทุกวินาที "

    พรหมวิหาร 4 ก็เป็นวิธีอธิบายพัฒนาการของความรักในอีกรูปแบบหนึ่ง คนที่จะปฏิบัติพรหมวิหาร 4 ให้สมบูรณ์ได้นั้นต้องใช้ปัญญาขั้นสูงพอสมควร ยกตัวอย่างง่ายๆ คือ เมตตา (ต่อคนและสรรพสัตว์ทั้งโลก) กรุณา (ต่อคนและสรรพสัตว์ทั้งโลก) มุทิตา (ต่อคนและสรรพสัตว์ทั้งโลก) อุเบกขา (ต่อคนและสรรพสัตว์ทั้งโลก) พรหมวิหาร 4 เป็นหลักธรรมที่เป็นคุณสมบัติของบุคคลผู้เป็นพรหม คนที่จะเป็นพรหมได้จึงต้องใช้ปัญญากันมากพอสมควร

    เป็นที่รู้กันว่าในวัฒนธรรมความเชื่อแบบอินเดียโบราณ พรหม คือ พระผู้สร้างโลกและสร้างสรรพสิ่ง เพราะฉะนั้นคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพรหมก็ต้องมีคุณธรรมของพรหม 4 ประการคือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้สมบูรณ์ แต่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานั้น จะปฏิบัติให้สมบูรณ์เป็นเรื่องยากมาก เพราะธรรมชาติของมนุษย์มักจะเมตตาเฉพาะคนที่ตัวเองรัก คนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง กรุณาเฉพาะคนที่ตัวเองรัก คนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง มุทิตาเฉพาะกับคนที่ตัวเองรัก คนที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เห็นไหม สามข้อนี้ปฏิบัติยากมากเพราะเป็นเรื่องของคนกับคน คนกับอารมณ์ พอมาถึง อุเบกขา ยิ่งยากมากกว่านั้นนับร้อยนับพันเท่า เพราะอุเบกขาเป็นเรื่องของคนกับธรรม หรือคนกับหลักธรรม

    ธรรมชาติของมนุษย์มักจะมีความโน้มเอียงตกเป็นฝักฝ่าย ไม่บวกก็ลบ ไม่สูงก็ต่ำ ไม่ขวาก็ซ้าย ไม่เธอก็ฉัน แต่อุเบกขา คนที่จะปฏิบัติได้นั้นต้องมีลักษณะหรือพฤติกรรมในทางจิตใจ สามารถมองทะลุสมมุติบัญญัติทั้งปวง มีโลกทัศน์ในลักษณะที่เรียกว่า Duality คือ เหนือสิ่งซึ่งเป็นคู่ตรงข้ามทั้งหมดทั้งปวง สามารถทะลุทะลวงสิ่งสมมุติ แล้วลอยเด่นอยู่เหนือสิ่งสมมุติทั้งหลายทั้งปวง มองโลกได้ทั้งในแง่ดีแง่ร้าย มองคนได้ทั้งคนดีและคนร้าย มองสรรพสัตว์ทั้งดีและร้าย ด้วยระดับเดียวกัน ไม่มีใครสูงกว่าใคร ไม่มีใครต่ำกว่าใคร และตัวเองก็ไม่เลือกเข้าข้างใคร การที่จะปฏิบัติตัวให้เป็นคนที่อยู่ในโลกที่มีภาวะจิตใจเหนือโลกเช่นนี้ได้นั้น ต้องการปัญญาขั้นสูง ฉะนั้นพรหมวิหารธรรมจึงเป็นธรรมที่ทำให้บุคคลเป็นพรหม ไม่ใช่ธรรมะตื้นๆ ธรรมดาๆ แต่เป็นธรรมขั้นสูงผู้ที่จะบำเพ็ญพรหมวิหารธรรมได้ครบสมบูรณ์จึงหาไม่ได้ง่ายๆ แต่ใครก็ตามสามารถบำเพ็ญพรหมวิหารธรรมได้ครบสมบูรณ์ ต้องถือว่าคนนั้นมีคุณค่าเท่ากับเป็นพรหมทีเดียว เพราะคนๆนั้น สามารถสร้างโลกสร้างชีวิตได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข พอๆ กับที่พระพรหมสร้างโลกทั้งผองให้มีความลงตัวสมบูรณ์ สร้างครั้งเดียวแล้ว ไม่ต้องกลับมาสร้างใหม่ เห็นไหม ใครก็ตามที่มีพรหมวิหารธรรมในหัวใจ ก็สามารถปฏิบัติต่อคนทั้งโลก สามารถปฏิบัติต่อธรรมะซึ่งเป็นแกนกลางที่ทำให้โลกนี้มีความร่มเย็นเป็นสุขอยู่ได้อย่างสมดุล

    โดยสรุปคนที่จะปฏิบัติพรหมวิหารธรรมในหัวใจได้นั้น ต้องมีพุทธภาวะ คือ มีปัญญา มีสุทธิภาวะ คือมีจิตใจซึ่งหลุดพ้นจากอวิชชา และแน่นอนที่สุดก็ต้องมีกรุณาภาวะ คือ รักแท้เป็นเรือนใจ จึงจะสามารถปฏิบัติพรหมวิหารธรรมได้อย่างสมบูรณ์ ไปๆ มาๆ ทั้งพรหมวิหารธรรม และรักสี่ประการที่อาตมภาพกล่าวมาข้างต้นทั้งหมดเป็นเนื้อเดีวกัน อุเบกขาจึงเป็นเรื่องที่คนจำนวนมากปฏิบัติกันผิดๆ ไหนๆ ถามแล้วก็ขออธิบายลงลึกในรายละเอียดว่า พรหมวิหารธรรมทั้งสี่ประการนั้น ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับบริบทหรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ

    อ้างอิง ความรักที่แท้จริง คือ อะไร โดย ท่าน ว.วชิรเมธี จากบล็อก โอเคเนชั่น oknation.net
     
  12. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ความรักที่แท้จริง คือ อะไร โดย ท่าน ว.วชิรเมธี (ต่อ)

    พรหมวิหารธรรมทั้งสี่ประการนั้น ต้องปฏิบัติให้สอดคล้องกับบริบทหรือสภาพแวดล้อมนั้นๆ ดังนี้

    เมตตา ใช้ในสถานการณ์ปกติ คือมองดูคนทั้งโลก มองดูสรรพชีพ สรรพสัตว์ทั้งโลกด้วยสายตาแห่งไมตรีจิต และเป็นมิตร ในลักษณะ " We are the world " หรือ "โลกทั้งผองพี่น้องกัน"

    กรุณา ใช้ในสถานการณ์ที่คนซึ่งอยู่ข้างหน้าเรา สรรพชีพ สรรพสัตว์กำลังตกทุกข์ได้ยาก เราจึงยื่นมือเข้าไปช่วย ถ้าเขาอยู่เฉยๆ เรายื่นมือเข้าไปช่วย อาจจะโดนข้อหาหวังดีแต่ประสงค์ร้าย ใช่ไหม เขาไม่ต้องการอาหาร เรายกอาหารไปให้เขา ก็อาจถูกข้อหายัดเยียดอาหารให้เขาทั้งๆ ที่เราหวังดี แต่เพราะทำไม่ถูกกาลเทศะ กลายเป็นหวังดีประสงค์ร้าย ฉะนั้นกรุณาถ้าไม่ถูกกาลเทศะ อาจกลายเป็นยุ่งเรื่องคนอื่นได้


    มุทิตา ใช้ในสถานการณ์ที่คนซึ่งอยู่เบื้องหน้าของเราได้ดีมีความสุข เราให้กำลังใจเขา ทำไมต้องให้กำลังใจเขา เพราะถ้าเราไม่รีบให้กำลังใจ ใจของเราจะพลิกจากมุทิตาเป็นริษยา คือ จะทนต่อคุณงามความดีของคนอื่นไม่ได้ เมื่อปล่อยให้ริษยาก่อตัวขึ้นในใจ ริษยานั้นจะเผาไหม้ใจของเราให้เป็นจุณ จากนั้นจะลุกลามไปเผาไหม้คนที่เราริษยา พระพุทธเจ้าแนะให้มุทิตาก็เพื่อป้องกันริษยา และเพื่อยกระดับจิตใจเราให้สูงขึ้น ปรารถนาให้คนอื่นดีกว่าตน นั่นคือ เป็นปฏิบัติการที่ฝึกใจให้เป็นพระโพธิสัตว์องค์น้อยๆ มุทิตาเป็นรอยต่อทำให้คนเป็นพระโพธิสัตว์นะ ถ้าเราเห็นคนอื่นได้ดี แล้วเข็มไมล์หัวใจของเราไม่กระดิกด้วยริษยา แสดงว่าเราเริ่มมีพัฒนาการที่จะเป็นพระโพธิสัตว์เกิดขึ้นแล้ว ฉะนั้นใครอยากเป็นพระโพธิสัตว์ให้บำเพ็ญมุทิตาจิตให้มากๆ เห็นคนอื่นได้ดีมีสุขแล้วเข็มไมล์หัวใจนี่ไม่กระดิกในทางลบเลย มีแต่เบิกบาน ผ่องใสกับเขา เหมือนสายฝนตกมาแล้ว หลังฝนพรำ เห็ดก็งอกออกจากพื้นดิน เพราะมุทิตาต่อสายฝน เห็ดจึงสามารถผุดออกมาจากผืนดินได้ เช่นเดียวกันเพราะมุทิตาต่อคนอื่น หัวใจจึงสามารถหลุดพ้นจากความคับแคบของโซ่ตรวนแห่งความริษยาได้


    อุเบกขา ใช้ในสถานการณ์ที่คนกำลังขัดแย้งกับหลักธรรม หลักการแห่งความจริง ความถูกต้อง ความดีงาม และหลักกฎหมาย เราควรปล่อยให้คนเหล่านั้นได้รับผิดชอบจากผลแห่งการกระทำนั้นด้วยตัวของเขาเองโดบปราศจากการแทรกแซง เราวางตัวเป็นกลางด้วยความตื่นรู้ แล้วก็กันตัวเองออกมา เฝาดูคนทำผิดหลักการ ผิดหลักธรรม ผิดหลักธรรมนั้น รับผลแห่งการกระทำของเขาเองอย่างตรงไปตรงมา ตามลักษณะของความเป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ว่า "สิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี สิ่งนี้เกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้เกิดขึน สิ่งนี้ดับไปก็เพราะสิ่งนี้ดับไป" เราเป็นผู้ดู ผู้สังเกตุการณ์ ปล่อยให้คนที่สวนทางกับหลักการ หลักธรรม หลักกรรมทั้งหลายนั้น รับผลซึ่งเค้าได้ก่อเหตุเอาไว้อย่างตรงไปตรงมานั่นแหละคือการวางตัวเป็นกลาง การวางตัวเป็นกลาง อย่างนี้ต้องใช้ปัญญาขั้นสูง เพราะมีคนจำนวนมากที่พยายามวางตัวเป็นกลาง แต่เนื่องจากปราศจากปัญญา การพยายามวางตัวเป็นกลาง เลยการเป็นการปล่อยปละละเลย


    " ฉะนั้นอุเบกขาจึงมีสองลักษณะ หนึ่ง อุเบกขาที่มาพร้อมกับปัญญา เป็นอุเบกขาที่แท้จริง พึงประพฤติปฏิบัติ สอง อุเบกขา ที่มาพร้อมกับความโง่ เรียกว่า อัญญานุเบกขา เป็นอุเบกขาที่ควรหลีกเลี่ยง เพราะหากวางอุเบกขาด้วยความโง่ ยิ่งพยายามวางอุเบกขากลายเป็นว่ายิ่งทอดธุระ ยิ่งปล่อยปละละเลย "



    ฉะนั้นการปฎิบัติพรหมวิหารธรรมทั้งสี่ประการให้สมบูรณ์ต้องดูสภาพแวดล้อมด้วยเสมอ ถ้าไม่ดูสภาพแวดล้อม แล้วจู่ๆก็มีเมตตา อาจกลายเป็นเมตตาจนเกินพอดี เขามีปัญหาช่วยเหลือมากเกินไป กลายเป็นแบกภาระแทนเขา เขาได้ดีมีสุข มุทิตาไม่ดูกาลเทศะ ทำให้คนที่ถูกมุทิตาหลงตัวเอง หากใช้อุเบกขาโดยไม่ใช้ปัญญาก็อาจกลายเป็นการทอดธุระปล่อยปละละเลย เฉยมั่ว เฉยเมย และเฉยเมิน ในการฝึกมุทิตากับคนอื่น ให้เรามองตัวเรากับมองตัวเขาว่า เราทั้งคู่นี่ช่างโชคดีจังเลยนะ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ทั้งที่กว่าจะเกิดมาก็แสนยาก กว่าจะดำรงชีวิตรอดก็แสนยาก แล้วทั้งๆที่เกิดแสนยาก ดำรงชีวิตแสนยากนั้นก็ยังอุตส่าห์สู้ฟันฝ่าอุปสรรคมาได้จนประสบความสำเร็จ คนเช่นนี้ช่างน่านับถือในความวิริยะอุตสาหะจังเลย ฉันขอชื่นชมต่อคุณนะ แล้ววันหนึ่งฉันจะพยายามพัฒนาตัวเองให้เป็นเหมือนคุณบ้าง นี่เห็นไหม มองกว้างๆ อย่างนี้แล้วเราจะไม่อิจฉาไม่ริษยาเขาเลยเพราะอะไร เพราะเขาก็คือเพื่อนร่วมโลกเหมือนกับเรา ให้มองคนที่อยู่ตรงหน้าว่าเขากับเราต่างก็เป็นเพื่อนผู้ร่วมเกิดแก่เจ็บตายในสังสารวัฏเดียวกัน

    การที่เราชิงชังรังเกียจเขา ริษยาเขา ก็คือเรากำลังโกรธเกลียดชิงชังเพื่อนของเรานั่นเอง แล้วคนที่เกลียดเพื่อนสุดท้ายก็จะเสียเพื่อน และกลายเป็นคนไม่มีเพื่อน ดังนั้นการทำร้ายเพื่อน การริษยาเพื่อน แท้ที่จริงก็คือการทำร้ายตัวเรานั่นแหละ เรื่องอะไรเราจะทำร้ายตัวเราด้วยการทำร้ายเพื่อน แต่หากเราแผ่มุทิตาต่อเขา ใจของเราก็เบิกบาน เหมือนดอกไม้ ทันทีที่แสงตะวันสาดมาต้อง ดอกไม้ไม่ขังตัวเองไว้ แต่เปิดใจรับแสงตะวัน ดอกตูมจึงกลายเป็นดอกบาน เห็นไหม ถ้าดอกไม้ตูมไม่เปิดใจรับแสงตะวัน ทั้งปีทั้งชาติก็ตูมอยู่อย่างนั้น แล้วกลิ่นหอมจะมาแต่ไหน ความเป็นดอกไม้ก็ไม่สมบูรณ์ ความสมบูรณ์ของดอกไม้อยู่ที่เป็นดอกไม้แล้วได้บาน ได้ร่วงโรยไปตามกาลเวลา ความสมบูรณ์ของคนก็อยู่ที่ คุณเป็นคน มีจิตใจเบิกบานเพราะปราศจากไฟริษยา

    " ความริษยานับเป็นคุกชนิดหนึ่ง เมื่อเราเติมมุทิตาเข้าไป จิตใจของเราก็เบิกบาน เมื่อเบิกบาน ความเป็นมนุษย์ของเราก็สมบูรณ์ ดุจเดียวกับดอกไม้ เมื่อเปิดใจรับแสงตะวัน กลีบของดอกไม้ก็คลี่บานแล้วส่งกลิ่นหอม ความเป็นดอกไม้ก็สมบูรณ์ เมื่อคนๆหนึ่งสามารถเปิดหัวใจให้กว้าง ผลิบานต่อความเจริญก้าวหน้าของเพื่อนมนุษย์ แสดงว่าเขากำลังก้าวสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ เพราะว่ามุทิตาซึ่งเป็นภาวะของจิตใจของคนที่กำลังเป็นพระโพธิสัตวว์องค์น้อยๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว "


    ขอขอบคุณหนังสือ รักแท้ คือ กรุณา โดย ท่านว.วชิรเมธี
     
  13. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    อย่าลืมมาร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเจดีย์ 108 คู่ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุองค์ปฐมเพื่ออัญเชิญประดิษฐานบนยอดเศียรพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมกันนะคะ สำหรับหลายๆท่านที่อยากจะทำบุญในวันวาเลนไทน์ซึ่งเป็นวันแห่งความรัก พลาดไม่ได้เลยคะ การให้สิ่งใดก็ไม่เท่าการทำบุญให้คนที่เรารักหรอกนะคะ รักกันจริงต้องชวนกันทำบุญสร้างกุศลคะ ​
     
  14. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ทำบุญอย่างไรให้สมหวังในรัก

    มีความเชื่อที่เข้าใจกันผิดๆที่เห็นกันบ่อยๆคือ การทำบุญซื้อความรัก



    ประโยคนี้อาจไม่ค่อยมีใครเคยได้ยิน แต่ถ้าถามว่าใครเคยเอาเงินไปซื้อพวงมาลัย ซื้อของทำบุญ หยอดเงิน ถวายของพระเสร็จแล้ว เอามิือประนมนิ้วโป้งจรดหน้าผาก "สา.....ธุ ขอให้เจอเนื้อคู่ซะทีเถ๊อะ.... ขอให้เราสองครองคู่อยู่ด้วยกันชั่วฟ้าดินสลายที่เถ๊อะ....." อันนี้อาจฟังดูคุ้นๆขึ้นมาบ้าง :)



    ถ้าคนเราขอคนรัก ความรักดีๆกันได้ง่ายๆยิ่งกว่าใช้บัตร easy pass ผ่านด่านทางด่วนล่ะก็คงจะดี แต่เพราะขอไปเท่าไหร่ก็ไม่ได้นี่สิ เลยน่าจะมาเอะใจว่าทำพิธีกรรมผิดวิธีไปหรือเปล่่า?


    ที่ว่าการยกมือปรกๆขอนั้น แท้ที่จริงเค้าเรียกว่า "การอธิษฐาน" การอธิษฐานมันไม้ใช่อย่างการยกมือแบมือขอหรอกนะ แท้ที่จริงการอธิษฐานเค้าหมายถึงการกำหนดจิต ตั้งใจ ตั้งเป้าหมายให้ใจได้ตามนั้น

    แต่จะได้ไม่ได้นี่ขึ้นอยู่กับว่าเราเดินทางถูกไหม อดทนเดินทางไปจนถึงเป้าหมายไหม



    การทำบุญนั้นช่วยนำอะไรดีๆเข้ามาในชีวิตจริง ช่วยเพิ่มโอกาสให้เรามีคนรักที่ดีได้จริง และทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับคนที่เรารักได้จริง ช่วยดึงดูดใจสองดวงได้จริง แต่ต้องทำให้ถูก



    การทำทานช่วยเรื่องความรักได้อย่างไร?



    คนที่ทำทานเป็น หรือคนที่รู้จักให้ จะเข้าใจว่าขณะทำทาน ขณะให้นั้นใจเป็นอย่างไร การทำทานที่ถูกหมายถึงการสละสิ่งที่เป็นของตน (เงิน ข้าวของ เวลา ปัญญา) เพื่อความสุขของผู้อื่น ใจที่เสียสละนั้นเปิดกว้าง ปราศจากความเห็นแก่ตัว ใครอยู่ใกล้ก็รู้สึกร่มเย็น มีความสุข คนแบบนี้มีเสน่ห์น่ารักไหมล่ะ?

    "ใจของคนที่รู้จักให้คือใจของคนที่รู้จักรัก"



    การรักษาศีลช่วยเรื่องความรักได้อย่างไร?



    บางคนเข้าใจว่าถือศีล 5 ศีล 8 แล้วได้บุญใหญ่ เอาไปแลกเป็นความรักแบบบิ๊คโบนัสได้ แท้จริงแล้วศีลหมายถึงการมีเจตนางดเว้นไม่ละเมิดผู้อื่นให้ทุกข์หรือเดือดร้อน อยู่ใกล้ๆคนละโมบ คนชอบเบียดเบียนแล้วเป็นทุกข์เป็นร้อนไหม? เราอยากอยู่ใกล้คนชอบหาเรื่องเดือดร้อนมาให้ไหม? แล้วคิดว่าจะมีคนดีๆที่ไหนอยากอยู่ใกล้คนแบบนี้ไหม?


    การรักษาศีล หรือการรักษากายวาจานั้น มีความรวมคือการสำรวจการกระทำซึ่งการทำอะไรบ่อยๆก็จะทำให้มีนิสัยเช่นนั้น

    "นิสัยก็คืออาจิณกรรมที่จะดึงดูดให้เจอคนแบบไหนตามกรรมที่เราทำมา ดังนั้นอยากมีคนรักเช่นไรก็ทำตนให้เป็นคนเช่นนั้น"

    อ้างอิง: ทำบุญอย่างไรให้สมหวังในรัก
     
  15. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    การภาวนาช่วยเรื่องความรักอย่างไร?

    ที่เขาว่ากันว่าภาวนานั้นเป็นบุญใหญ่เพราะการภาวนาเป็นการสอนให้ใจเห็นความจริง เข้าใจความจริง คือมุ่งเน้นที่ใจอันเป็นต้นตอของสิ่งทั้งปวง จะสุขจะทุกข์ก็เกิดจากใจ ทำกรรมอะไรจะชี้ขาดว่าดีไม่ดีก็ดูจากใจดวงนี้ การทำสมถะ การฝึกสมาธิ ช่วยให้ใจมีความหนักแน่นมั่นคง ไม่ฟุ้งซ่าน แส่ส่ายตามอารมณ์ทำให้ไม่ต้องพาลทุกข์เพราะอารมณ์โกรธ หึงหวง คิดมากและอื่นๆไปเอง นิสัยที่ไม่บุ่มบ่ามคือมีความอดทนนั้นย่อมช่วยให้สามารถรักษาความรักได้ดี

    ลำดับต่อมาคือการทำวิปัสสนาคือการสอนใจ ให้เข้าใจ เห็นกายใจตนเองว่ามีความแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไม่สามารถสั่งให้เป็นอย่างใจ(อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา)ยึดสิ่งใดก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้น(เมื่อยึดก็ต้องหวง เมื่อหวงก็เกิดอาการหน่วงเหนี่ยว) เมื่อเข้าใจตามจริงได้แล้ว ก็ไม่เกิดการบังคับฝืนความจริง ฝืนใจใคร ใจเป็นอิสระจากความทุกข์ ก็รู้จักให้อิสระอันเป็นสุขแก่ผู้อื่น "ใจที่เป็นสุขนั้นแหละที่เป็นแรงดึงดูดให้น่าอยู่ใกล้ ไม่ใช่ความต้องการยึดถือหรือฉุดดึงเข้าหาตัวเลย"


    เมื่อใจรู้จักให้รู้จักรัก ก็มีเสน่ห์ เมื่อใจดีแล้วก็ดึงดูดสิ่งดีๆ คนดีๆเข้ามา เมื่อใจมีปัญญา มีความสามารถในการเห็นสิ่งต่างๆชัด เมื่อดีแล้วก็รู้ว่าคนดีเป็นเข่นไร ก็จะทำให้รู้จักเลือกคนรักที่รักเป็นและดีเพื่ออยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

    และสุดท้ายเมื่อทำบุญทำทานรักษาศีล และภาวนาเป็น ด้วยความเข้าใจว่ามีเป้าหมายเพื่อสละกิเลส โลภ โกรธ หลง ซึ่งเป็นสาเหตุเเห่งทุกข์ อยู่ร่วมกับคนที่มีศรัทธาและความเห็นตรงกันเช่นนี้ ก็จะทำให้ร่วมเดินด้วยกันอย่างมีความสุข และบุญนั้นจะรักษาให้เจอกัน พบกันแล้วรู้สึกอบอุ่น เย็นใจเสมอ นี่แหละบุญสร้างรักของจริง

    การทำบุญถ้าตั้งใจไว้ผิด ทำด้วยความโลภอยากได้ อยากยึดให้อยู่ร่วมกันนั้นแหละ เป็นเหตุให้ต้องทุกข์ซ้ำๆ ไม่สมหวังสักที


    ทำบุญอย่างไรให้สมหวังในรัก
     
  16. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ทุกข์เพราะรัก

    ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด

    เคยถามตัวเองไหมว่า “ทำไมฉันจึงรักเธอ” เมื่อเริ่มต้นรู้สึกว่ารักใครสักคนหนึ่ง บางครั้งมันอาจเป็นรักแรกพบ บางครั้งมันอาจจะเป็นความรักที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่ทันตั้งตัว รู้อีกทีก็รักเขาเข้าแล้ว

    ในยามที่เรามีความสุขเราอาจไม่สนใจอยากหาคำตอบมากมายว่า“ทำไมฉันจึงรักเธอ”เพราะเมื่อใดที่เรามีความสุขโดยมากเรารู้สึกพอใจความรู้สึกพอทำให้ไม่ได้คิดค้นอยากหาข้อเสีย หรือคิดคำถามให้ต้องหาคำตอบ

    แต่เมื่อเวลาที่เราทุกข์ ที่เราเสียใจ บางคนก็อาจมีคำถามขึ้นมาว่า ทำไมฉันจึงรักเธอหรือฉันรักเธอไปได้ยังไง(เนี่ย!) เพราะเธอนั้น หน้าตาก็ไม่หล่อเหมือนเคนธีรเดชไม่ได้รวยเหมือนบิลเกตส์ แถมยังช่างใจร้ายใจดำ ทำกันได้ลง และอื่นๆ.... (มากมายแล้วแต่ว่าอะไรจะผุดขึ้นมาในหัวเวลาโกรธ) แต่ก็ยังไม่พบคำตอบอยู่ดี

    ในทางพุทธศาสนา เราเชื่อว่าอะไรใดๆ ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ การที่เราจะได้เป็นคู่รัก และครองคู่กับใครนั้นย่อมมีเหตุ

    “เหตุที่ทำให้เรามีคู่ก็มาจากกรรมเก่าที่เคยร่วมทำกันมา และจะคบหายืนยาวอยู่ได้ด้วยร้ายด้วยดีต่อๆไปนั้น มาจากกรรมที่ทำเอาไว้ในปัจจุบัน กล่าวกันง่ายๆ คือ จะคบแล้วมีความสุข หรือทุกข์ เป็นผลของกรรมซึ่งสะท้อนสิ่งที่ผู้รับผลนั้นกระทำมาก่อนทั้งอดีตชาติ และชาติปัจจุบันทั้งสิ้น”

    ดังนั้นหากมีความทุกข์จากรักขึ้นมา ถ้าจะถามว่าทำไมเราต้องมาทุกข์ใจกับคนๆนี้ ก็ต้องตอบว่ามันเป็นผลมาจากกรรมที่คนทั้งสองได้ทำร่วมกัน และที่เราทำมา กรรมเก่าพาเราลงมาติดกับ

    “กรรมมันเริ่มส่งผลตั้งแต่วันแรกที่ใจคุณเข้าไปผูกกับเขา กรรมส่งผลที่ใจให้มารัก ให้มาหลง บังตาไว้ไม่ให้เห็นความสมเหตุสมผลทั้งหลาย หรือรู้ทั้งรู้ก็ยังรัก ถูกดูดเข้าไปใช้กรรม”

    “ที่ว่าความรักทำให้คนตาบอดต้องกล่าวให้เป็นธรรมขึ้นว่า ‘กรรมบังตา’ คือกรรมบังคับใจให้ไปรู้สึกติดใจ ชอบ ใช่ รัก ผูกพันกับคนที่จะนำเราไปรับผลที่เราเคยก่อไว้ทั้งดีและร้ายนั่นเอง”

    เริ่มตั้งแต่ต้นที่จะรู้สึกดีกับใคร ก็กรรมกำหนด ที่จะไปได้เจอกันในเวลาที่แสนจะพอดีอย่างไรก็กรรมกำหนด กรรมจัดฉากไว้ให้ต้องไปเจอ และรู้สึกไปอย่างนั้น จนกระทั่งจิตส่งออก ทะยานออกไปเกาะเกี่ยวยึดไว้ หลงไปยึดเอาว่าของเรา คนของเรา ไปแปะป้ายว่า นี่เป็นคนที่เราต้องการ นี่เป็นแฟนเรา ต้องดีกับเรา ห้ามไปดีกับคนอื่น พอเชื่อใจ คลายความคลางแคลง มั่นใจว่าใช่แน่ๆ มอบทุกอย่างให้หมด อาจจะแต่งหรือไม่แต่งก็สุดแท้แต่ ก็จะถึงเวลาที่ของจริงส่งผล แสดงตัวจริงของจริงให้เห็น ใจก็ “จี๊ด” ขึ้นมาจนกระทั่งต้องไปถาม อาจจะเริ่มด้วยการถามเพื่อน หรือไม่ก็ไปถามเจ้าคู่กรณี ว่าเดิมไม่ใช่อย่างนี้ ทำไมเปลี่ยนไป ที่รับปากไว้ ที่สัญญาไว้ ทำไมไม่ทำ ปรับโทษ อาละวาด ตีโพยตีพาย

    กรรมทั้งนั้น……

    ซึ่งไม่ว่าจะเก่งแค่ไหน ถ้ายังมีความเห็นยึดมั่นว่า ความรู้สึกเป็นเรา ความคิดนี้เป็นของเรา ก็จะเชื่อความรู้สึกและความคิด โดยจะหลง คิดไปเองแต่แรกว่าเขาคนนั้นต้องดีอย่างนั้นอย่างนี้ คือมีใจพร้อมจะเชื่อไปก่อนอยู่แล้ว พอเขาพูดโน่นพูดนี่นิดหน่อยก็ทึกทักเอาเองว่าต้องใช่อย่างนั้น(อย่างที่ใจขอมา)แน่นอน เราจึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ เป็นคู่ มีความสัมพันธ์ หลงรักคนที่ในอนาคตต่อไปจะรานน้ำใจเราซึ่งเป็นผลจากการที่เราเชื่อความรู้สึกและความคิด (ไปเอง) “ของเรา” ที่กรรมส่งมาจนในที่สุดมาพบความจริงว่า เขาไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เป็นเราที่เข้าใจผิดไปเชื่อใจที่สั่งมาเอง แต่กว่าจะถึงตอนนั้น แทนที่จะรู้ตัว เห็นตามจริงว่าเป็นเราที่คิดไปเอง ก็กลายเป็นโทษกันระหว่างสองฝ่ายไปแทนว่าไม่รักษาสัจจะวาจาที่เคยมีให้กันสมัยความหลงยังครอบงำอยู่ และสร้างกรรมใหม่ต่อกันไปเสียอีกโดยไม่ได้ใช้หนี้กรรมเก่าเลย
     
  17. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ความรัก หรือ กรรม ทำให้คนตาบอด (ต่อ)

    อธิบายเป็นกงกรรมกงเกวียน หรือกฎแห่งกรรมก็คือ กรรมเก่าของเรา กรรมใหม่ของเขา มันเป็นวงจร เพราะกรรม (๑) ที่เราเคยทำไว้ส่งผลให้เรามาเจอกับคนที่มีอนุสัย(นิสัย)แบบนี้เพื่อส่งผลทางใจให้เขาทำกรรม (๒) กับเรา (ตามที่เราเคยทำกับคนอื่นให้ทุกข์แบบนั้น) ซึ่งคนที่ก่อกรรม (๒) กับเราก็จะต้องไปรับผลที่ทำกรรม (๒) โดยไปเจอกับคนที่ก่อกรรม (๓) และทอดต่อๆ สืบกรรมกันไปเป็นวงจรอุบาทว์ที่ไม่มีวันจบ วนไปวนมาอย่างนี้และซับซ้อนยิ่งๆขึ้น การตัดวงจรก็ควรตัดที่ส่วนของเราให้ได้ก่อน เป็นการชิงออกจากเกมงูกินหาง โดยกรรมจะหมดช้าจะหมดเร็วนั้น ขึ้นอยู่กับที่แต่ละคนสะสมไว้

    กฎแห่งกรรมนั้นไม่เคยไม่เที่ยงตรง สร้างเหตุไว้อย่างไรก็ย่อมได้รับผลเช่นนั้นแน่นอน ที่จะไม่ยอมรับเพราะบอกว่าเราดีกับเขา แต่เขาไม่ดีกับเรานั้นจึงเป็นการเข้าใจผิดของเราเองที่ว่า เราทำกรรมกับคนนี้อย่างไร คนนี้จะต้องทำกรรมแบบเดียวกันกับเราคืนมาเป๊ะๆเดี๋ยวนี้ตอนนี้ (ลองคิดง่ายๆว่าเราดีกับทุกๆคนที่เข้ามาดีกับเรา ตอบแทนเขาได้เท่าที่เขาทำให้เราหรือเปล่า) เช่น เราคิดว่าเราดีกับแฟนคนนี้ แฟนคนนี้ก็ต้องดีกับเรา จึงจะเรียกได้ว่า ทำดีได้ดี ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว “กรรมจะเลือกจัดสรรให้เราได้รับผลทั้งร้ายและดีที่เราเคยทำไว้แน่นอน แต่ไม่จำเป็นต้องได้รับตอบจากคนๆ เดิมที่เราเคยทำเสมอไป”

    เช่นกรรมที่เราเคยทำไว้กับพ่อแม่ อาจจะเคยพูดไม่ดีกับท่าน ทำให้ท่านเสียใจ เราก็อาจได้รับผลนี้จากแฟน จากเพื่อนที่ทำงาน และคนอื่นๆได้ เพราะเราไม่เคยแคร์พ่อแม่ เราจึงพูดไม่ดีกับท่าน และเพราะว่าเราไม่แคร์ท่าน ดังนั้นถ้าท่านพูดไม่ดีกับเรา เราก็อาจจะไม่รู้สึกเจ็บช้ำแบบเดียวกัน กรรมจึงจะจัดสรรให้เราพบ เราเจอ เรายึด เรารักคนๆใหม่ ที่จะสามารถดึงดูดให้เราต้องทุกข์ แบบเดียวกับที่พ่อแม่ทุกข์มากเพราะรัก เพราะยึดเรามาก

    ดังนั้นเวลาจะกล่าวอ้างถึงกฎแห่งกรรมนี้ ก็ต้องใช้กับทั้งสองข้าง อย่าใช้ข้างเดียว อย่างที่มักจะได้ยินใครหลายคนพูดกันเป็นประจำ เวลาเผชิญกับคนไม่ดีที่มาทำสิ่งที่เขาไม่ชอบใจว่า“เดี๋ยวมันก็เห็น ว่ากรรมมีจริง” หรือ “ทำกับเราอย่างนี้ เดี๋ยวกรรมก็สนองเข้าให้บ้าง” นี่คือการเข้าใจข้างเดียวเพราะถ้าเข้าใจอย่างถ่องแท้และมองอย่างเป็นกลางจะรู้ว่า กฎแห่งกรรมได้ให้ผลกับคนที่กล่าวเช่นนั้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
     
  18. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    ถ้านึกขึ้นได้ว่าเคยทำกับใครไว้ในชาตินี้ (ผู้ที่ถูกกระทำไม่จำเป็นว่าต้องเป็นแฟนเก่า กิ๊กเก่าเท่านั้น แต่โดยมาก มากกว่าร้อยละ ๕๐ เป็นกรรมที่เราทำไว้กับพ่อแม่ รองลงมาจึงเป็นแฟนเก่า คู่รักเก่า คนที่มาชอบเรา และอื่นๆ) ให้รีบไปขออโหสิกรรมจากคนเหล่านั้นโดยเร็วที่สุด ตั้งสัจจะกับตนเอง อาจจะต่อหน้าคนที่เราเคยไปกระทำเขาไว้ หรือต่อหน้าพระพุทธรูปว่า เราจะไม่ทำกรรมอย่างนี้กับใครอีกไม่ว่าจะมีเหตุการณ์มาบีบบังคับ ลำบากเพียงใด แต่ถ้านึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าเคยไปทำอะไรแบบนี้ไว้กับใครตอนไหนในชาติปัจจุบันก็เป็นไปได้ว่าเป็นผลของกรรมที่เราทำมาในอดีตชาติ ก็ขอให้ระลึกขออโหสิกรรม และตั้งใจอย่างเดียวกันว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก

    การตั้งใจ อันมีเจตนา และสัจจะอธิษฐานที่จะละเว้นการกระทำนี้เอง คือศีล ซึ่งเป็นมโนกรรมที่ส่งผลในการปกป้องทุกข์ทางใจเป็นอันดับแรก เพราะว่าความตั้งใจทางมโนกรรมนั้นเป็นการกระทำด้วยเจตนาอย่างหนึ่งซึ่งจะต้องมีผลตามมาซึ่งผลของกรรมนี้ก็คือ ปราการป้องกันใจเราจากทุกข์ (เพราะเราตั้งใจไม่ให้ผู้อื่นเป็นทุกข์) ยิ่งตั้งใจหนักแน่นมากขึ้นเท่าไหร่ ความหนักแน่นในการปกป้องทุกข์ก็จะยิ่งมั่นคงขึ้นตาม

    เมื่อเรามีศีลจิตใจก็จะเริ่มสงบจากการแส่ส่ายร้อนรนเพราะความทุกข์ ความตั้งใจที่จะละเว้นนี้ จะส่งผลให้จิตเกิดความปกติ เกิดนิสัยที่จะสำรวมการกระทำทางกายและค่อยๆเคลื่อนมาที่ การสำรวจวาจา คำพูดและในที่สุดก็คือ ความคิด อันเป็นต้นเหตุว่าสิ่งใดนำไปสู่การละเมิดใจผู้อื่น เมื่อเราสำรวจเข้ามาบ่อยเข้า และตัดไปเป็นครั้งๆ มากเข้าก็จะกลายเป็นเปลี่ยนนิสัย หรือตัดกรรมส่วนนี้ได้อย่างเด็ดขาด นั่นจึงจะเป็นทางออกจริงๆ ที่จะทำให้ทุกอย่างจบลงอย่าง Happy Ending

    ท้ายสุดขอให้ทุกท่านสมปรารถนาในความรักทุกๆท่านคะ อนุโมทนาสาธการคะสาธุสาธุสาธุ
     
  19. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    การเชื่อมบุญเพื่อพบเนื้อคู่แท้และแก้ไขในเรื่องความรัก

    การเชื่อมบุญนั้นนอกจากจะใช้ในทุกสิ่งที่ปรารถนาในชีวิตแล้วไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงาน ความสัมพันธ์ที่ดี การทำธุรกิจการค้า ยังใช้ในเรื่องของความรักที่สมหวังด้วย

    การเชื่อมบุญนั้นเป็นการอุทิศบุญที่เราทำไปให้คนที่เราต้องการ ก่อนอื่นต้องมีบุญของตนเองเสียก่อนถึงจะไปอุทิศบุญให้คนอื่นได้ ซึ่งมาการสร้างบุญ การเชื่อมบุญในเรื่องของความรักไม่ใช่ไสยศาสตร์ ไม่ใช่เป็นการทำเสน่ห์ แต่เป็นการเช็คในเบื้องต้นว่า คนที่เรารักชอบพอนั้นใช่เนื้อคู่ที่จะมาเป็นคู่ครองในชาตินี้หรือไม่

    เพราะจากที่กล่าวไปแล้วว่าคู่ครองนั้น ถ้าได้คนที่เป็นเนื้อคู่ประเภทที่ทำบุญมาร่วมกันนั้น ชีวิตคู่จะมีความสุขมากกว่าความทุกข์ ถ้าเราเชื่อมบุญติดจะพบว่า คนที่เรารักชอบพอนั้นจะมีปฏิกิริยาที่ดีต่อกัน มีความห่วงหาอาทร เกื้อกูลกัน ช่วยกันไปสร้างที่ดีๆ ไม่ใช่ไปสร้างกรรมชั่ว เช่น ชวนไปกินเหล้า เที่ยวเตร่ ชวนไปสร้างกรรมไม่ดี ไปคดโกงเบียดเบียนคนอื่น แบบนี้ไม่ใช่คู่ครองที่ดีแน่นอน

    แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาหรือเธอไม่ได้มาหลอกลวง แกล้งทำเป็นคนดีในตอนแรกแต่ภายหลังชั่วสุด สุด เรื่องนี้ง่ายมาก ขอให้เราตั้งจิตอธิษฐานว่า ถ้าเป็นคู่กันแล้วขอให้เกิดสิ่งดีๆ ขึ้นกับชีวิต ถ้าคบกับเขาหรือเธอชีวิตของเราดีขึ้นหรือไม่ การเรียนดีขึ้นหรือไม่ ค้าขายดีขึ้นหรือไม่

    ถ้าไม่ใช่นั้น อาจจะเป็นเนื้อคู่จริงแต่เคยร่วมสร้างกรรมไม่ดีมากกว่ากรรมดี

    การคลายวิบากกรรมนี้ ก็ใช้วิธีเชื่อมบุญได้เช่นกัน อุทิศบุญที่เราทำส่งไปให้เขาหรือเธอสม่ำเสมอ อธิษฐานทุกครั้งขอให้เขากลับใจ เปลี่ยนความประพฤติที่ไม่ดีเสียให้กลับมาพบทางสว่างในชีวิต

    ตัวเราเองก็สำคัญหมั่นพิจารณาความประพฤติของตนด้วยว่าเป็นอย่างไร พยายามทำตนให้อยู่ในความสมดุลทั้งทางโลกและทางธรรม และต่อไปจะพูดถึงเคล็ดในการคลายวิบากกรรมต่างๆ อย่าลืมเป็นอันขาดว่าต้องใช้สติในการพิจารณา


    - เป็นทุกข์เพราะความรัก รักแล้วไม่สมหวัง


    การเป็นทุกข์เพราะความรักนั้นมาจากกรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ เคยไปหลอกผู้อื่นให้อกหัก การคลายวิบากกรรมในเรื่องนี้ ต้องเปลี่ยนความประพฤติที่ไม่ดีให้กลับมาดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ไปถวายดอกไม้หรือเทียนเพื่อบูชาพระ เป็นคู่ เวลาสร้างบุญอะไรก็ให้เป็นคู่ เช่น กระเบื้องมุงหลังก็เป็นจำนวนคู่ ใส่บาตรพระสงฆ์ก็เป็นจำนวนเลขคู่ ไปช่วยทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสมปรารถนา


    - อยู่กับคู่ครองที่ไม่รัก

    การคลายวิบากกรรมในเรื่องนี้ ต้องเริ่มจากต้องทำใจยอมรับกรรมเก่า อย่าฝืนกรรมหรือไปสร้างกรรมไม่ดีขึ้นมาใหม่ ในเรื่องของความรักขึ้นมาอีก ต้องทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวรขออโหสิกรรม ถ้าแต่งงานแล้วอยู่กินกับคนที่เราไม่รักไม่เป็นไร

    ให้รู้ไว้ว่ามาจากกรรมเก่าในอดีตชาติ ที่เราต้องเคย ชี้แนะหรือบังคับให้คนอื่นที่เราบังคับได้ไปอยู่กินกับคนที่เขาไม่รัก เช่น ลูก หรือญาติพี่น้องหรือเพื่อน โดยไม่คิดถึงใจ ว่าเขาก็มีจิตใจของเขาที่อยากจะรักชอบใคร อยากใช้ชีวิตคู่กับใคร โดยเขาอยากเลือกด้วยตัวของเขาเอง ความหวังดีอาจเป็นกรรมที่ส่งผลมาถึงเราในชาติปัจจุบันให้ไม่สมหวังในคนที่ตนรัก

    การอยู่ร่วมกับคนที่ไม่รักเพราะเหตุผลใดก็ตาม ขอให้มองในส่วนที่ดีของเขาชื่นชมในส่วนที่ดีของเขา เราอาจรู้สึกรักเขาเองในอนาคต ใจคนเราเปลี่ยนแปลงได้ (ถ้ามีลูกแล้วครอบครัวจะอบอุ่นเมื่อลูกเห็นพ่อแม่รักกัน)


    ต้องถือศีลข้อ 3 ไว้ให้หมั่น อย่าไปตามใจตนคำนึงถึงคนที่มีใจด้วย จะได้ไม่มีเวรกรรมติดภพติดชาติอีก สร้างกรรมดีทำหน้าที่สามีหรือภรรยาที่ดี เป็นพ่อแม่ที่ดีของลูก หากคู่ครองทำอะไรที่ผิดพลาดต้องรู้จักให้อภัยทาน และช่วยเหลือเขาด้วยความเมตตาเป็นที่ตั้ง เท่านี้ก็ถือว่าเป็นกรรมที่ดีแล้ว เมื่อหมดเวรหมดกรรมแล้วชาติต่อไปก็จะสมหวังในเรื่องความรักเอง


    - อยู่กับคู่ครองหรือคู่รักเป็นที่เกลียดชังหรือไม่ได้รับการยอมรับของคนทั่วไป

    กรรมนั้นมาจกในอดีตชาติอาจจะเคยเลี้ยงสัตว์เลี้ยง แต่ปล่อยให้สัตว์นั้นเที่ยวระราน ทำความเดือดร้อนให้แก่เพื่อนบ้าน ญาติสนิท มิตรสหาย ไม่ควบคุมดูแลสัตว์นั้น เอาอกเอาใจให้ความสุขแก่สัตว์นั้นๆ ในทางที่ไม่สมควร

    การคลายวิบากกรรมให้ไปสงเคราะห์สัตว์ ปล่อยสัตว์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นปลา นก เต่าหรือไถ่ชีวิตโคกระบือ และอุทิศบุญนั้นขออโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรบ่อยๆ และอุทิศบุญไปให้คู่ครองและคนที่เกลียดชังเขา ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่เรา เพื่อนเรา เจ้านายเรา หรือใครก็ตาม


    - คู่ครองเป็นพวกขัดลาภ ดวงไม่สมพงศ์กัน ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด

    มีมากมายที่หลายครอบครัวยังไม่รู้ ในการทำธุรกิจการค้ากับคู่ของตัว บางคู่นั้นเจริญรุ่งเรืองแต่บางคู่นั้น พอเอาสามีหรือภรรยาเข้ามาเกี่ยวข้อง ธุรกิจการค้านั้นมีแต่อุปสรรคหรือขาดทุนย่อยยับ ซึ่งมาจากคู่ของเราในชาตินี้นั้นมาจากคนที่ขัดขวาง เคยเป็นหนี้สิน เคยกลั่นแกล้งเอาเปรียบ จนคู่ของเรานั้นผูกใจเจ็บ คิดร้ายต่อกันโดยเป็นกรรมเก่าที่ติดตามมา กายหยาบเป็นสามีภรรยากัน กายทิพย์คิดทำลายล้างกัน

    การคลายวิบากกรรม ให้ทำการอโหสิกรรมต่อกันเสีย เอาแบบให้หมดใจไปเลยอย่ามีติดค้างกันอีก หมั่นไปทำบุญร่วมกันเพื่อเป็นบุญร่วม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการทาน การให้ ต้องทำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการให้แบบไม่คิดมาก เห็นเป็นให้ ใครมาขอความช่วยเหลือก็ให้อย่างไม่คิดเสียดาย จะเป็นการเรียกลาภเข้ามา

    ตั้งแต่หน้าแรกจนมาถึงหน้าสุดท้ายนี้ หวังว่าท่านที่มีปัญหาในเรื่องของความรักทุกรูปแบบ คงจะพอทราบแล้วถึงการแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่ท่านใดที่มีปัญหาเฉพาะเรื่องที่แก้ไม่ตก อยากจะปรึกษา ขอให้เขียนจดหมายมาตามที่อยู่สำนักพิมพ์ จะตอบให้ทุกท่านตามบุญที่ร่วมกันทำมา

    ขอให้ท่านผู้ร่วมบุญทุกท่านได้พบพานคู่บุญสมดังที่ท่านปรารถนาทุกประการถ้วนหน้ากันนะคะสาธุคะ

    อ้างอิง เคล็ดความเชื่อในเรื่องการแก้กรรมที่มาจากความรัก
     
  20. เก๋ณัฐา

    เก๋ณัฐา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    5,680
    ค่าพลัง:
    +57,773
    มหากุศลที่พลาดไม่ได้
    14 กุมภาพันธ์ 56 นี้
    เชิญร่วมเป็นเจ้าภาพถวายเจดีย์ 108 คู่
    บรรจะพระบรมสารีริกธาตุองค์ปฐม
    ประดิษฐานบนยอดเศียรพระพุทธรูปองค์ปฐม



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 กุมภาพันธ์ 2013

แชร์หน้านี้

Loading...