สิ่งเร้นลับกับสกลกับสมาธิ ขอคำอธิบายและแนะนำด้วยครับ

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย sakol2500, 29 มกราคม 2013.

  1. sakol2500

    sakol2500 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2013
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +2
    ประสพการณ์เร้นลับกับสกล ( สมาธิ พลังจิต วิญญาณ )
    ตั้งแต่เด็กๆ เคยนอนกอดหมอนข้าง วันหนึ่งหมอนข้างขาดไม่มีกอดก็เอาหมอนหนุนหัวมากอดและนอนไม่ใช้หมอน ต่อมารู้สึกตัวว่าติดกอดหมอนก็เลยเอาหมอนที่กอดออก และไม่ใช้หมอนหนุนหัว ทำให้รู้สึกเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง เลยเอามือประสานตรงหน้าอกแทนการกอดหมอน ขาเหยียดตรงและเอาข้อเท้าไขว้กันคล้ายการก่ายหมอน ทีแรกนอนตะแคง ต่อมาไม่ถนัดจึงเปลี่ยนเป็นนอนหงาย นี่แหละจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมพบกับสิ่งลี้ลับหลายอย่าง ตอนเริ่มต้นใหม่ๆบ่อยครั้งตอนนอนเหมือนกับมันมึนงงเหมือนละเมอ ภายในร่างกายบางวันมันสั่นโยกไปมา (รู้ตอนโตว่าน่าจะเป็นการปรับสมดุลย์ของร่างกาย) มันสั่นเหมือนนอนอยู่ในเปลญวนแล้วโดนแกว่งเร็วมากๆจนคล้ายตัวจะลอยหลุดออกมา ไม่รู้ว่ามันปรับเพื่ออะไร บางทีเล่นสนุ๊กนานๆ มีอาการล้า แทงอะไรไม่ลงร่างกาย ภายในก็จะสั่นแบบนี้แต่เบากว่าตอนนอน สักพักก็เกือบหายล้า มีเรี่ยวแรงดีขึ้นมากไม่รู้คนอื่นเป็นแบบนี้หรือเปล่า ก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก ช่วงนี้โดนผีอำแทบทุกอาทิตย์ แรกๆก็งงไม่รู้จะทำอย่างไรก็ดิ้นจนหลุด ช่วงหลังคิดว่าควรท่องคาถาไม่รู้จะท่องบทไหนดีเมื่อโดนผีอำอีกก็เลยท่องนะโมจบกว่าๆก็หลุด พอผมแก้ไขได้ช่วงหลังๆ ก็ไม่ค่อยเจอ ช่วงนั้นผมนอนไม่เคยสวดมนต์เลย
    ทุกวันผมจะนอนหงายกับที่นอนไม่ใช้หมอน มือประสานวางที่หน้าอก ขายืดตรงข้อเท้าไขว้กันไว้ นึกถึงหน้าอกตรงฝ่ามือที่กระเพื่อมขึ้นลงและเอาจิตจับตามจังหวะที่ขึ้นลงนั้น ถ้าใจเราคล้อยตามจังหวะนั้นได้จิตก็จะไม่รับรู้ถึงอาการขึ้นลงเหมือนกับว่ามือและหน้าอกไม่มีความรู้สึก จะรับรู้แต่เพียงลมหายใจ เราไม่ได้ท่องอะไรและไม่ได้นึกถึงลมหายใจเข้าออก แต่นึกถึงลมหายใจออกเพียงอย่างเดียว นึกเหมือนลมหายใจมันเป็นก้อน พอหายใจออกพยายามดันลมร้อนบริเวณจมูกให้ออกมากับลมหายใจช้าๆ แล้วให้มาหยุดที่ปลายจมูกข้างใดข้างหนึ่ง ย้ำสำคัญมากให้ออกที่ปลายรูจมูกเพียงข้างเดียว พอสุดก็ขมิบลมหายใจไว้ที่ปลายรูจมูกเหมือนกับลมหายใจมันไปถึงปลายจมูกก่อนแล้วจิตตามไปทีหลังแทนการหายใจเข้า แล้วก็เริ่มดันลมหายใจออกมาเหมือนเดิม ก็ไม่รู้ว่ามันมีลมหายใจได้ยังไงเพราะเราไม่ได้หายใจเข้าอาจจะเป็นเพราะเราไม่ได้เอาจิตไว้ที่ลมหายใจเข้าร่างกายเลยไม่รับรู้ ทำให้เป็นจังหวะสม่ำเสมอช้าๆจนคุ้นเคยดีแล้วทำให้มันสั้นลงอีกเป็นชุดๆลมร้อนนั้นก็จะน้อยลงตามไปด้วย จนกระทั่งเหมือนไม่หายใจเลยลมร้อนก็หมด ตอนนี้จิตนิ่งไม่มีลมร้อน จะเรียกลมหายใจกลับมาใหม่ก็ได้ลมนั้นจะเป็นลมเย็นที่ทำให้รู้สึกสบายใจ แล้วทำให้นิ่งอีกจนคล่อง ต่อไปเมื่อจะฝึกสมาธิก็หายใจยาวๆครั้งหนึ่ง แล้วหายใจออกช้าก็จะเข้าถึงขั้นนี้เลย เมื่อฝึกถึงขันนี้แล้วต่อไปเราจะเอาจิตไปไว้ที่ส่วนอื่นของร่างกายก็ได้เช่น ตรงผิวหนังกลางหน้าผาก ลองหายใจเบาตรงจุดนั้นเหมือนกับผิวหนังมันหายใจแทนจมูกได้รู้สึกสนุกดี ช่วงนี้เริ่มหัดนั่งสมาธิสลับการนอน ต่อมาก็ลองมองตรงไปด้วยตาในหวังจะเห็นอะไรแปลกๆที่เขาเล่า กลัวว่าจะเห็นผีเหมือนกันแต่ชอบอ่านหนังสือประวัติพระดังๆ ชอบอ่านประวัติความสามารถพิเศษของท่านเลยมีกำลังใจทำต่อ ฝึกมองตรงไปก็เห็นแต่กลุ่มควันอยู่ตรงหน้าเป็นดวงๆออกจากหน้าผากที่เราตั้งสมาธิไว้พุ่งตรงออกไปจนหายไป ไม่เห็นมีผีหรือเห็นนรกสวรรค์สักที เอาจิตตามกลุ่มควันไปรู้สึกมันจะวูบหมดความรู้สึกไม่เห็นอภินิหารอะไรก็เลยเบื่อ ไม่ค่อยนั่งสมาธิ แต่ก็นอนทำสมาธิเหมือนเดิม ……..วันหนึ่งตอนอายุประมาณ 8 ขวบ มีแขกผ้าโพกหัวเพื่อนพ่อมาพักที่บ้าน วันนั้นตื่นแต่เช้าจะมาดูเพราะไม่เคยเห็น ยืนอยู่หน้าบ้านหันหน้าออกถนน อยู่ดีๆเหมือนเราไปอยู่อีกที่หนึ่งเป็นป่าหญ้าเตี้ยๆ มีทางเดินเล็กๆ มีทหารแต่งตัวคล้ายในหนังเดินมาประมาณ5-6คนรู้สึกเหมือนมีขี่ม้าอีกน่าจะสองคน มันนานมาแล้วจำไม่ค่อยได้ พวกนั้นก็ไม่ได้หันมามองเราเหมือนกับมองไม่เห็นเรา เห็นอยู่ประมาณครึ่งนาทีก็หายไป ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูกและก็ไม่ได้บอกใคร จะว่าตาฝาดก็ไม่น่าจะใช่ สิ่งที่เกิดขึ้นเราเห็นชัดเจนมากตาไม่ได้มัว เรื่องนี้ตอนเป็นเด็กเดินผ่านบ้านที่มีหมาดุคนเดียว มีหมาตัวใหญ่จะเข้ามากัด มันกระโจนตัวลอยเกือบถึงเราความตกใจก็ร้องอะไรออกมาคำหนึ่งจำไม่ได้หมาตกใจพลิกตัวกลับวิ่งหนีไป เรื่องนี้อาจจะมีใครคุ้มครองเราอยู่หรืออาจจะเป็นหมาตกใจเองก็ได้ แต่เราก็อาจจะตายได้ ……..เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ เป็นประสพการณ์เกือบตายเล่าให้ฟังเล่นๆ ตอนเด็กไปเล่นน้ำทะเลคนเดียว ว่ายน้ำไม่เป็นแต่ลงไปเล่นลึกๆเขย่งเท้าน้ำแค่คอ สักพักมีคลื่นมาซัดทีเดียวท่วมหัวชูมือยังไม่ถึงผิวน้ำเลย อยู่กับ สมาธิบ่อยเลยมีสติไม่ตกใจ มือตะกายสู่ผิวน้ำปล่อยตัวลอยคว่ำหน้าว่ายแบบหมาแล้วเงยหน้าขึ้นหายใจ รอดตายได้เพราะฝึกสมาธิ
    ตอนเด็กเคยเช่าพระหลวงปู่ทวดจากพวกเล่นกลมีคาถาให้ด้วย ก็คงเป็นพระปลอม แต่ใจเกิดศรัทธามากๆวันหนึ่งเกิดไม่สบาย เอาพระหลวงปู่ทวดมาตั้งแล้วอธิษฐานขอให้หายไข้ ไม่นานก็หายไข้ เรื่องนี้ไม่แน่ใจว่าเกี่ยวข้องหรือเปล่า
    เรื่องนี้ตอนเด็กเป็นงูสวัดหรืองูฟักไข่ก็ไม่รู้ หมอที่ไหนใครว่ารักษาเก่งก็ไปหาไม่ยอมหาย เป็นจนกระทั่งหัวกับหางเกือบจะชนกันอยู่แล้วห่างแค่ประมาณครึ่งนิ้วจะชนกัน มันก็ทรมานบิดคอไม่ได้แล้วไม่รู้จะพึ่งใคร นึกถึงเจ้าแม่สามมุขขึ้นมาได้ ขึ้นไปบนห้องจำไม่ได้ว่าจุดธูปหรือเปล่า อธิษฐานให้ท่านช่วย พอลงมาสักห้านาทีมีคนแนะนำให้ไปหาหมอจีนที่หนองมน ก็รักษาจนหาย ไม่รู้บังเอิญหรือเปล่าแต่ตอนนั้นใจมีศรัทธามาก
    ตอนอยู่อยุธยาเคยเข้าไปนั่งทำสมาธิที่วัด…. ผมและเพื่อนนั่งอยู่ในกลุ่มมีพระคุมอยู่ ทีแรกท่านให้นั่งทำสมาธิจะพาไปดูนรกสวรรค์ ผมนั่งแล้วเกิดลืมตาปกติก่อนเลยไม่เห็นอะไร พระท่านมาบอกทีหลังว่าห้ามลืมตาและบอกอีกว่าถ้าเห็นแสงกลมๆซึ่งคือบารมีที่เราสร้างไว้ นึกให้แสงนั้นพุ่งเข้าปาก เพื่อนผมเห็นแต่มันไม่เข้าปากแต่พุ่งเข้าตา มันตกใจเลยลืมตา แต่แสงนี้ผมเห็นตอนไปฝึกที่โคราช
    ไปฝึกงานที่โรงปูนทับกวางแก่งคอย พักอยู่บ้านพักพนักงาน คืนหนึ่งประมาณตีห้าซึ่งเป็นวันหวยออก ฝันเห็นเป็นเลขอารบิก 71 เป็นแสงคล้ายแสงดาวลอยอยู่เห็นชัดเจน ผมไม่รู้ว่าที่บ้านนั้นเขาจดหวย ได้เวลาก็ไปทำงานเลย คงเป็นเพราะผมไม่มีโชคลาภทางนี้ และอีกอย่างตอนนั้นผมรู้สึกเฉยๆกับเรื่องนี้และไม่เชื่อด้วย
    ตอนอยู่โคราช เคยพักที่หอซึ่งทราบภายหลังว่าร้างมาสิบปี ฝึกนั้งสมาธิวิธีใหม่คิดขึ้นเอง ดันลมร้อนออกจากจมูกวิ่งภายในร่างกายเข้าหาสะดือแล้วขมิบลมหายใจไว้ นึกให้มีลมร้อนพุ่งต่อจากสะดือพุ่งออกมานอกร่างกายโค้งเข้าหาจมูก นึกวนอยู่แบบนี้ให้ต่อเนื่องสม่ำเสมอเป็นวงกลมหรือวงรีจำไม่ได้ เห็นแสงกลมหรือคล้ายดาวหาง(ไม่แน่ใจมันนานหลายปีแล้ว)พุ่งเข้ามาหาผม แต่มันก็มาไม่ถึงซักที ผมไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อนกลัวจะมีอะไรเกิดขึ้นก็เลยหยุดนึกแล้วลืมตานอก สักพักล้มตัวลงนอนเอาผ้าห่มปิดหน้าอกไว้ ประมาณครึ่งนาทีผ้าห่มโดนกระตุกไปอยู่ปลายเท้า ตอนนั้นก็เข้าใจแล้วว่าเจออะไรอยู่ ด้วยความกลัวจึงดึงผ้าห่มมาปิดอีก แล้วก็โดนเหมือนเดิมอีกสามครั้งรวด แล้วก็เหมือนโดนผีอำก็ท่องนะโมแล้วดิ้นจบกว่าๆก็หลุด ตอนนั้นพักอยู่คนเดียวและมีสติสมบูรณ์ เป็นอะไรไม่ได้นอกจาก…..ผี…..แต่เขาก็ไม่ได้มาทำอะไรคงแค่มาลองใจหรืออาจจะมาเตือนที่เราไม่เคยสวดมนต์และแผ่เมตตาก่อนทำสมาธิ หรืออาจจะมาขอส่วนบุญก็ไม่รู้ ก็พักอยู่ที่นั้นต่อจนเรียนจบ
    ตอนบวชก็ฝึกสมาธิแบบงูๆปลาๆเหมือนเดิม วันหนึ่งเกิดเหตุการณ์ประหลาด มีคนบวชไปนั่งสวดในโบสถ์เมื่สวดเสร์จเอามือลง ก็รู้สึกว่าเอามือลงแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร สักพักพระข้างๆก็สะกิดบอกให้เอามือลง ผมก็งงก็มองที่หน้าอก อ้าว! ยังพนมมือไหว้อยู่เลย ก็เราเอาลงแล้วนี่นา
    ทำสมาธิได้ขั้นปิติสองครั้ง ครั้งแรกนั่งทำสมาธิง่วงจะหลับ ใช้ท่านอนทำสมาธิหลับไป แล้วตื่นขึ้นมาแบบมีสติ คือรู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ถ้าเป็นความฝันจะไม่รู้จักคิดรู้ตัว รู้สึกเหมือนวูบตกเหว หูอื้อ มีเสียงคนพูดว่า อย่าลืมตาแต่ไม่รู้ว่าเป็นใคร แต่ด้วยความอยากรู้เพราะไม่เคยสัมผัสมาก่อนจึงลืมตาใน (ลองหลับตาแล้วมองโดยที่หนังตายังปิดอยู่นั่นแหละตาใน) เห็นตัวเองเดินออกจากร่างที่นอนอยู่ แต่เรารู้ว่าไม่ใช่ของจริง เพราะเตียงที่นอนอยู่มีสบงปิดอยู่ แต่นี่ไม่มี ร่างกายเบาเหมือนไม่มีน้ำหนัก ลองกระโดดดูตัวก็ค่อยๆล้มลงบังคับไม่ได้ แล้วก็เข้าสู่สภาวะปกติ วันหลังถามหลวงพ่อช่วยวัดไตรมุข ท่านฝึกกสินไฟ ท่านบอกเป็นขั้นปิติ เป็นขั้นแรกๆยังไม่ใช่ของจริง ………ครั้งที่2 ตื่นขึ้นมาเหมือนกำลังจมอยู่ใต้น้ำ ก็ดิ้นรนว่ายเพื่อขึ้นสู่ผิวน้ำ สักพักก็เกิดมีสติขึ้นมา คิดได้ว่าถ้าเราจมน้ำแล้วทำไมหายใจได้ ตอนนั้นมีสติสมบูรณ์ พอคิดได้ก็กลายเป็นว่าเราเกาะขอนไม้อยู่บนผิวน้ำแล้ว แล้วก็เข้าสู่สภาวะปกติ
    ช่วงต่อมาฝึกต่อมันก็ไม่ยอมเข้า คงจะเป็นเพราะเรามีความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป เพื่อนที่ฝึกด้วยกันเห็นตัวเองเดินทะลุผนังห้องออกไป ก็น่าจะเป็นขั้นนี้เหมือนกัน เปลี่ยนแนวหันมามองเปลวเทียนก็ไม่เห็นมีอะไร ลองเพ่งดูอากาศไม่เห็นอะไร ลองมองท้องฟ้า ไม่เพ่งปรับระยะสายตามาใกล้ๆประมาณสองเมตรเห็นตัวอะไรเล็กๆ คล้ายตัวไรเต็มไปหมด ตัวของมันมีสีเหมือนแสงดาววิ่งไปมาเหมือนมีชีวิต แต่เราจับสายจ้องมองตัวใดตัวหนึ่งไม่ได้ มันวิ่งไปมาแล้วก็หายไป ตัวอื่นก็เข้ามาแทนที่ ไม่รู้คืออะไร วิธีนี้ไม่ต้องฝึกสมาธิก็น่าจะมองเห็น แต่ต้องมองตอนดวงอาทิตย์ยังไม่ตกดินและมองไปที่ท้องฟ้าโล่งๆ ตอนที่เขียนไม่ได้ฝึกสมาธิเป็นสิบปีก็ยังเห็นอยู่เลย
    วันหนึ่งขณะกำลังเดินขึ้นบันได อยู่ดีๆก็นึกว่าจะเจอใคร แล้วเขาพูดว่าอย่างไร แล้วเราตอบว่าอย่างไร แล้วเขาพูดว่าอย่างไร แล้วเราพูดว่าอย่างไร แล้วเขาพูดว่าอย่างไร เราพูดว่าอย่างไร แล้วก็เจอคนๆหนนึ่งพูดตอบโต้กับเราเหมือนที่นึกไว้ หรือว่ามันบังเอิญ

    วันหนึ่งคิดว่า ที่เราเคยเห็นตัวเราทำสมาธิแล้วเดินออกไป และที่ตัวเราสั่นๆตอนจะปรับสมดุลย์มีตัวตนหรือเปล่า เริ่มฝึกแปลกๆแบบไม่เหมือนใครอีก ลองทำสมาธิในท่านอน เอาจิตจับไว้ที่ภายในร่างกายแบบตอนที่จะเข้าสมาธิ ตอนเราทำสมาธิจะรู้สึกเหมือนภายในร่างกายว่างเบล่า แต่เราเพ่งหรือคล้ายๆเบ่งภายในร่างกายขึ้นมานิดๆ เกิดความรู้สึกว่าภายในร่างกายขยับได้นิดๆ เริ่มจากปลายเท้าเหมือนภายในร่างกายมีตัวเราอยู่อีกตัวหนึ่ง นึกให้ปลายเท้าโยกไปทางซ้ายมันก็โยกไปทางซ้าย นึกให้ไปทางขวา มาทางศีรษะ หรือโยกไปทางฝ่าเท้ามันก็ไป แต่มันโยกไปได้ไม่มากก็ติดข้อเท้า ต่อมาฝึกให้มันโยกถึงข้อเท้า ถึงหัวเข่า ถึงหัวไหล่ ถึงช่วงนี้มันโยกไปได้น้อยมันขยับได้เป็นล็อกๆคล้ายหุ่นยนต์ นึกให้ตัวพลิกไปมาได้ช้าๆโดยที่เราไม่ได้ออกแรง มันเหมือนกับตัวข้างในของเรามันโยกไปก่อนตามที่เรานึกแล้วร่างกายภายนอกของเรามันโดนดึงให้ตามไป คือมันไม่ยอมหลุดแยกจากกัน ลองเดินขึ้นบันไดก็ไปได้ช้าๆ ผมไม่รู้ว่าที่ฝึกอยู่นี่คืออะไร แต่มันไม่ต้องอยู่นิ่งๆเหมือนทำสมาธิ มันน่าจะเป็นแนวเดียวกับที่เราพนมมือค้างในโบสถ์
    วันหนึ่งตื่นขึ้นมามีความรู้สึกว่ามีผุ้หญิงทุบหน้าอกมองไม่เห็นและจำไม่ได้ว่าลืมตาในหรือตานอก เราก็นึกอยากลองจับดู แว็บเดียวก็เหมือนร่างในของเราจับข้อมือทั้งสองข้างของเขาไว้ และเหมือนเอาเข่ายันหน้าอกเขาไว้ด้วย รู้สึกเหมือนเขาดิ้นแต่ไม่หลุด ตอนนั้นมันไม่ใช่ความฝันเรามีสติสมบูรณ์และได้ใจที่เราจับ…ได้ก็เลยอยากจะจับแบบรัดตัวให้แน่นขึ้น ก็เลยนึกคลายมือเพื่อเปลี่ยนเป็นรัดตัวเขาก็หลุดไป
    อีกครั้งบนห้องนอนเช้าวันหนึ่งอยู่ดีๆเห็นผู้ชายไม่ร็จักสูงประมาณ165ซม เดินเมาในห้อง เขาไม่ได้มองเรา ผมตกใจมากหันไปมองหัวเตียงว่ามีอะไรเป็นอาวุธได้บ้าง พอหันหลังกลับไปดูเขาหายไปแล้ว


    ช่วงหลังผมอยากลองฝึกที่ศีรษะที่ผ่านมาฝึกที่ส่วนนี้ไม่ได้ผล ฝึกไปรู้สึกเหมือนเส้นเลือดจะพองไม่ยอมหายเลยหยุดฝึกแบบนี้
    ผมมักจะมีลางสังหรณ์บ่อยๆ เช่น สร้อยขาด ซิปแตก แก้วแตก กระดุมหลุด ถ้าเกิดเรื่องพวกนี้แล้วเกิดสังหรณ์ใจมักจะมีเรื่องไม่ดีกับคนที่เรารัก
    ตอนหลังพอมีเมียหยุดฝึก เพราะตอนทำใครมาโดนตัวไม่ได้ มันเหมือนมีพลังอะไรอยูในร่างกาย พอตกใจมันพุ่งวูบอย่างรุนแรงไม่มีททิศทาง กลัวเกิดอันตราย และอีกอย่างที่ฝึกมองกลุ่มควัน วันหนึ่งขี่รถตามหลังรถยนต์อยู่ มองตามรถยนต์คันนั้นแล้วจะวูบตามต้องหยุดรถตั้งสติใหม่
    ปี2555ดวงตกมากสูญเสียหลายอย่างแทบไม่เหลืออะไร ดวงจากกราฟตกถึงเลขศูนย์ มีแต่เรื่องร้ายเข้ามาตลอด ทำอย่างไรก็ไม่ดีขึ้น กลางปีพี่สาวให้สวดชินบัญชรเคยอ่านเจอเขาบอกว่าคนดวงตกท่องแล้วจะดีขึ้นเหมือนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ผมไม่เชื่อเพราะคิดว่าแค่สวดมนต์จะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร แต่ดวงมันตกไปไม่หยุดก็ลองดู ทีแรกใช้สวดโดยการอ่าน จนกระทั่งจำได้ สวดทุกคืนวันไหนนอนดึกก็ท่องแค่นะโมสามจบ และก่อนทานอาหารเช้าเย็นเรียกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ญาติพี่น้องและผู้ที่เรานับถือที่เสียไปแล้วให้ทานอาหารก่อนเราสิบห้านาที ปรากฎว่าดวงดีขึ้นเหมือนที่เขาบอกจากหน้ามือเป็นหลังมือจริงๆ ยิ่งไส่บาตรวันเกิด เช่น เราเกิดวันพุธก็ใส่บาตรวันพุธด้วยยิ่งดีใหญ่เลย แต่ผมนอนดึกมากตอนนี้ไม่ค่อยได้ใส่บาตร หลังจากหยุดทำสมาธิไปนานเป็นสิบปี ตอนนี้เวลานอนจะเริ่มทำสมาธิอีก แต่จะไม่หวังเห็นอะไรแล้ว แค่เอาให้จิตนิ่งได้แค่ไหนไม่สนใจ
    เรื่องการนอนเอามือประสานหน้าอก หลานเอาหนังสือมาให้อ่าน เขาบอกว่าจะทำให้สูญเสียธาตุไฟ น่าจะจริงเพราะเมื่อก่อนผมเป็นหวัดง่าย รูปที่เห็น นอนบนหมอน มือประสานที่ท้อง ขาเหยียดตรงไม่ได้ไขว้กัน
    เรื่องการหายใจทำสมาธิที่เคยทำ ผมคิดว่าถ้าทำทั้งวันจะทำให้ผอม เมื่อก่อนผมหายใจเบาตลอดทั้งวันกินยังไงก็หนักแค่นี้ คนที่อยากผอมน่าจะลองหายใจเบา สังเกตดูคนอ้วนมักจะหายใจแรง ส่วนคนอ้วนก็ทำตรงข้ามกัน
    เรื่องทำสมาธิถึงจุดเหมือนไม่หายใจ ลองเอาจิตไว้ที่ผิวหนังดู เคยทดลองเวลามดกัดเพ่งจิตไว้ที่ผิวหนังตรงนั้นปานกลางให้มันชา ถ้าเอาชนะใจตัวเองได้จะหายคันและไม่เป็นตุ่มน้ำเหลืองในภายหลัง เคยได้ยินมีคนโดนเครื่องจักรตัดนิ้วขาดใช้วิธีนี้ทำให้หายปวดได้ มันสมามารถบังคับกล้ามเนื้อบริเวณใบหน้าให้ยิ้มได้ เมื่อก่อนตอนนอนผมเอาจิตไว้ที่หน้าจนหลับไป ตอนนั้นหน้าดูอ่อนมากๆ ตอนหลังหยุดทำเป็นสิบปีทำงานเคร่งเครียดหน้าดูแก่มากๆ ใครว่างๆทดลองทำดูถ้าได้ผลบอกต่อคนอื่นๆด้วย ตามเหตุผลน่าจะเป็นไปได้
    คำแนะนำ
    การทำสมาธิควรทำเป็นเวลา พอถึงเวลาที่เคยทำมันจะรู้สึกเหมือนจะเข้าสมาธิ จะทำให้ได้ผลเร็ว
    อย่ากินอาหารมาก มันทำให้อึดอัดเข้าสมาธิยาก
    สวดมนต์และแผ่ส่วนกุศลก่อนทำสมาธิ ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองเรา และเจ้ากรรมนายเวรไม่รบกวนเรา หรือรบกวนน้อยลง
    ไม่ควรอยากรู้อยากเห็น ปล่อยไปเรื่อยๆใช้เหตูผลมาวิเคราห์ทุกเรื่องทั้งทำสมาธิและชีวิตจริง
    อย่านั่งกระดิกเท้า มันทำลายสมาธิ
    ผมเขียนจากประสพการณ์ ได้แค่พื้นฐาน ถ้าทำแล้วไม่ก้าวหน้าควรปรึษาผู้รู้
    30 มกราคม 2556
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2013

แชร์หน้านี้

Loading...