ปรอทสำเร็จ ของดีจากตำนาน

มีอะไรบ้างครับ...ที่สามารถทำให้ปรอทแข็งได้ครับ...ชื่ออะไรบ้างครับ.....

 

นี่อาจจะเป็นความหมายที่แท้จริงของการทำปรอทก็ได้...

 

ว่านยาพวกนี้เป็นว่านยาในตำนานถ้าไม่มีบุญบารมีจริง ๆ ตงจะได้ยินแต่ชื่อ....

ฅนที่มักได้ครอบครองมักจะเป็นพวกที่ทำบรมีทางพุทธภูมิ...เช่น

ต้นไพรดำ,พญามุตติ,ว่านพระยาแร้งแค้น พวกนี่เคยได้ยินแต่ยังไม่เคยเห็นหมายถึงของแท้ ๆ นะ

 

ถูกต้องแล้วครับ คุณธรรมจักรความรู้ดีจริงๆ อนึ่งต้นไม้เทพธิคุณกลุ่มนี้ท่านไม่นับรวมไพลดำ งิ้วดำ ครับ เนื่องจากเอาเฉพาะต้นยาที่มีอำนาจในการซัดปรอทเป็นสำคัญ ต้นไม้เหล่านี้นับว่าหายากกว่าไพรดำครับ เป็นเสมือนต้นไม้จากฟ้าป่าหิมพานต์ที่มาอุบัติในเมืองโลก มีต้นหนึ่งที่พบอยู่บนเขาใหญ่ แต่ปัจจุบันต้นโดนพายุล้มมานานหลายปีแล้ว ต้นยาต้นนั้นชื่อว่า พระยาโลทันตี สิทธิการิยะกล่าวว่ายาสิ่งนี้ ใบเหมือนใบมะม่วง มีน้ำหยดออกจากปลายใบทุกวันเวลาทุกฤดูกาลไม่ว่าหน้าร้อน หน้าแล้ง หน้าหนาวก็บังเกิดน้ำหยาดจากปลายใบ ผู้ใดรองเอาน้ำมาหุงข้าวสำเร็จเป็นกายสิทธิ์ นำมาหุงปรอทก็สำเร็จเช่นกัน

ต้นไพรดำ เป็นว่านยาที่หายาก เมื่อมันขึ้นที่ใด ดินรอบโคนต้นจะแข็งเป็นหิน ผมเคยพบเข้าของไพรดำที่จังหวัดประจวบ เจ้าของบอกว่ามันขึ้นมาเองแต่แรกก็ไม่รู้จนกระทั่งทำบ้านใหม่ ปัจจุบันยังเก็บหัวไพรดำไว้ในผอบแก้ว รูปร่างหัวไพรดำและรากไพรดำแปลกมาก บางชิ้นคล้ายน้ำเต้า ถือว่าเป็นของมีฤทธิ์เทียบเท่าเหล็กไหล มีอำนาจทางคงกระพันเป็นเลิศ ไพรดำมีอำนาจทำให้ข้าวหุงกลายเป็นสีดำ เรียกว่าข้าวดำ กินแล้วเป็นคงกระพันชั้นเลิศ นอกจากนี้ยังมีอำนาจทางข่มและขับคุณไสย ภูติผีปีศาจอีกด้วยครับ

 

มีมากมายหลายชนิดครับ เช่นว่านช้อยนางรำ เมื่อได้ฟังเสียงเพลงใบประกอบเล็กๆจะกระดิกไปมาคล้ายมือคนกำลังรำ เอาต้นมาเคี่ยวทำให้ปรอทแข็ง ใบกระเม็งมีธาตุเหล็กในตัวมากมาต้มเคี่ยวปรอทก็แข็งตัวได้ และยังมีสูตรอีกหลายสูตรครับ แล้วจะค้นมาลงให้ได้อ่านกัน อนึ่งเรื่องว่านยาอย่างช้อยนางรำอาจารย์โยธินท่านก็นำมาใช้ทำปรอท แต่ท่านทำแล้วปรอทไม่รวมไม่แข็งตัวครับ เรื่องนี้ต้องอาศัยแรงครูช่วย และอำนาจสมาธิประกอบ อยากย้ำว่ามันไม่ใช่วิทยาศาสตร์ที่หนึ่งบวกหนึ่งแล้วได้สองเสมอ ผมเองก็เคยใช้ข้าวสุกล้างพิษปรอท เมื่อปรอทกินข้าวสุกจะคายขี้เป็นผงสากๆสีดำออกมา แต่ถ้าเราไม่มีสมาธิ ตั้งใจเกินไป ตั้งใจอ่อนไป ลองเอามากวนใหม่มันกลับไม่คายขี้ดั่งที่เราต้องการ ปรอทมันก็แปลกแบบนี้แหละครับ

 

อืมซับซ้อนดีต้องศึกษาอีกเยอะเลย.....ไม่เหมือนสายพม่าแฮะ....วิธีการทำของครูบาอาจารย์แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน...บางองค์ใช้วิชาฆ่าให้ตายก่อนแล้วเอามารวมกับผงทองแดง...แล้วเอาไปแช่น้ำปลาล้า...และน้ำอะไรอีกจำไม่ได้....แล้วเวลาใช้ให้กลืนลงไปเลยเพื่อรักษาโรค........เห็นเขาบอกว่ามีตำราด้วย....

 

ไปเจอจากหนังสือ การทำปรอทให้บริสุทธิ์
นำปรอทมาใส่ในชามกระเบี้องเคลือบนำข้าวที่หุงสุกใหม่ๆทิ้งเอาไว้ให้เย็นแล้วนำมาใส่ให้ท่วมปรอทคลุกเคล้าข้าวสุกกับปรอทให้เข้ากัน ด้วยไม้หรือกระเบื้องเคลือบพยายามบี้บดให้ปรอทแตกตัวสัก 15 นาทีหรือจนปรอทแตกตัวเป็นเม็ดละเอียดจะเห็นว่าข้าวสุกจะติดสีดำมากมายสุดท้ายล้างด้วยน้ำสะอาดโดยการเทน้ำสะอาดใส่ลงไปล้างหลายๆครั้งแล้วถ่ายน้ำออกหรือเทน้ำออกให้ระมัดระวังตามสมควรเนื่องจากปรอทมีน้ำหนักมากจะไม่เกาะติดสิ่งใดๆการล้างออกจึงทำได้ไม่ยากนัก
นำปรอทมาแช่น้ำปลาร้าหมั่นคนสักพักหนึ่งคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้สัก 1 คืน รุ่งเช้าให้ล้างน้ำปรอทด้วยน้ำสะอาดเหมือนกับขั้นตอนแรกหลายๆครั้ง
ให้นำเอาตะใคร้ทั้งต้นทั้งใบมาตำให้ละเอียดนำไปคลุกเคล้ากับปรอทคนให้เข้ากันทิ้งไว้อีก 1 คืนนำมาล้างออกด้วยน้ำสะอาดแบบเดียวกับการล้างน้ำในขั้นตอนแรก
เอาปรอทมาแช่น้ำมะดันหรือมะกรูดหรือน้ำมะนาวหมั่นคนบ่อยๆทิ้งเอาไว้ 1 คืนวันรุ่งขึ้นให้นำไปล้างด้วยน้ำสะอาด
เสร็จแล้วนำเอามาใส่เอาไว้ในขวดแก้วปิดฝาให้แน่นเพื่อกันมิให้ปรอทดูดเอาสิ่งที่เป็นพิษเข้ามาปะปนอีกปรอทที่ได้มานี้ยังเป็นของเหลวเชื่อกันว่าปรอทที่ผ่านวิธีการกรองเอาพิษออกแล้วนี้มีความบริสุทธิ์ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์

 

หนังสือเล่มนี้เขียนโดยอาจารย์บูรพา ผดุงไทย ท่านเป็นผู้ครอบครองเหล็กไหลน้ำหนึ่งและปรอทเพชร หาดูได้ยาก การชำระโทษของสูตรอาจารย์บูรพานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งแบบคร่าวๆครับ การชำระโทษล้างพิษเหล็กไหลทำได้ยากซับซ้อนและมีหลายตำรา มีสูตรการใช้ล้างรส ๗ รสเพื่อล้างพิษ รส ทั้ง ๗ คือ รสขม ตัวยาคือฟ้าทะลายโจร รสเผ็ด คือพริก รสเค็ม คือเกลือ รสเย็นคือตะไคร้ รสมัน คือ ข้าว รสฝาดคือเปลือกมังคุด รสหวานคือน้ำผึ้ง อันนี้ให้แบบหมดเปลือกเลยนะครับ วิธรการคือเอายาแต่ละสิ่งไปแช่ปรอทอย่างละหนึ่งคืนครับ วันนี้ขอลงไว้เพียงเท่านี้ก่อนวันหน้ามาเล่าใหม่

 

การล้างพิษต้องล้างพิษแล้วทำให้ปรอทบริสุทธิ์ก่อนใช่ป่าวครับ...ถึงมาทำให้ปรอทแข็งอีกที.....เป็นคนละขั้นตอนกันใช่ป่าวครับ.....วันนี้โทรไปถามเพื่อนที่โคราช....เขาทำเรื่องว่านยาอยู่....ถามถึงต้นริดตีนปูเขาบอกว่ามีนะ....แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นต้นเีดียวกันกับในตำราหรือปล่าว...........แล้วก็มีว่านยาอีกหลายตัวที่ทำให้ปรอทแข็งได้...เขาบอกว่าจะรวบรวมมาให้เพราะ่ว่าอ่านผ่านๆไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหรก็เลยไม่ได้เก็บข้อมูลไว้มากนัก.............

ใช่ต้นนี้ป่าวครับ....ช่วยกันหาข้อมูล.....

 

สิทธิการิยะว่านพระริดตีนปู ลักษณะลำต้นเป็นเถา เป็นข้อ ๆ มีใบตามข้อละ ๕ ใบๆเล็กเท่ากับตีนปู ถ้าพบเห็นแล้วต้องการรู้ว่าว่านนี้ใช่พระริดตีนปูหรือไม่ ให้เอาว่านมาพาดบนหลังปูนา ถ้าขาปูนาหลุดว่านนี้ก็เป็นว่านที่แท้จริง สรรพคุณ เป็นยาฆ่าปรอทและเป็นทุนสิทธิ์

ไหนไหนก็พูดเรื่องว่านยาที่เป็นประเภทเทพรักษาแล้วคุณทิพย์จักรพอทราบว่านประเภทเหล่านี้ไหม

ครับ ว่านแสงมรกต ว่านตัดเงา ว่านสมิงคำราม ว่านพญาชมพูชีพ

 

คุณทิพยจักรรู้จักอ.บูรพาหรือครับ

 

รู้จักครับ ท่านโด่งดังมาตั้งแต่คอลัมน์เหนือฟ้าใต้บาดาล จากหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ต่อมาอาจารย์สุวินัยได้เขียนเรื่องของท่านลงในหนังสือชุดมังกรบูรพา เรื่องเหล็กไหล ท่านเป็นผู้ที่มีความสามารถทางจิตสูงมากท่านหนึ่งในประเทสไทย โดยมีความชำนาญด้านกสิณไฟ นอกจากนี้ท่านยังสันทัดกรณีเรื่องเหล็กไหลและปรอทวิเศษ รวมทั้งว่านยาสมุนไพร ปัจจุบันท่านกำลังทำเรื่องชาสมุนไพรอยู่ครับ

พอรู้จักท่านบ้างครับ ไม่ใช่ศิษย์ใกล้ชิดหรอก

 

ตอบเรื่องการล้างพิษปรอทนะครับ เรื่องว่านริดตีนปูคุณธรรมจักรตอบไปแล้วเรียบร้อยถูกต้องตามนั้นทุกประการ

การล้างพิษมีหลายแบบครับ การล้างพิษจัดเป็นขั้นตอนหนึ่งที่แยกจากการหุงขึ้นรูป ปรอทเหลวๆ หากนำมาล้างด้วยรส ๗ รสหรือว่านยาตามสูตรอื่นๆเช่นน้ำปลาร้าหรือข้างสุกรวมไปถึงไข่แดงต้มสุกด้วยก็ได้ ขั้นตอนนี้ไม่ทำให้ปรอทแข็งตัวแต่ประการใด เป็นการชำระโทษปรอทออกในระดับต้นครับ การกวนปรอทขึ้นรูป เป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง แบบธรรมดาสามัญใช้ตะกั่ว แบบให้เป็นทนสิทธิ์ ต้องใช้เหล็ก หรือทองแดง หรือถ้ามีฐานะดีก็ใช้เงินหรือทองคำครับ แต่หากมีวาสนาพิเศษพบต้นไม้เทพธิคุณอย่างหนึ่งอย่างใด ยางของมันสามารถทำให้ปรอทเหลวๆกลายเป็นก้อนแข็งได้โดยไม่ต้องพึ่งมวลสารอื่นใด

 

ต้นไม้เทพธิคุณคือต้นอะไรครับ........

 

ไม้เทพธิคุณตามตำราไสยศาสตร์กล่าวไว้ว่ามีด้วยกัน ประมาณ ๔๕ ชนิด ดังกล่าวมาเช่น พญาริดตีนปู พญาฟ้าคำรน สมิงคำราม ช้อยนางรำ ดาวระดาษ พญาชมพูชีพ พญารากดำ พญาคงคา พญาโลทันตี พญาโรหินี ทับสมิงคลา เป็นต้น ไม้เทพธิคุณเหล่านี้บางต้นนับเข้าเป็นว่านยากายสิทธิ์ แต่บางชนิดเป็นไม้วิเศษแยกต่างหากจากว่านยา อย่างพญาริดตีนปู ฟ้าคำรน สมิงคำราม โลทันตรเหล่านี้ไม่มีในกระบวนว่าน จัดเป็นไม้เทพธิคุณ พิเศษ มีฤทธิ์ในการชำระปรอทให้บริสุทธิ์ได้

 

ลูกปรอทที่ต้มจะผูกผ้าเอาไว้เพื่อเป็นการควบคุมอุณหภูมิอีกวิธีหนึ่งลูกนี้ลองแกะออกมาดูกลายเป็นปรอทเพชรไปแล้วครับ

 

ปรอทองค์นี้ใช้วิชาเข้าทองคำแท้ ใส่ทองคำไปสองสลึงครับ

 

นอกจากอาจารย์โยธินจะเชี่ยวชาญการหุงปรอทแล้ว ท่านยังช่วยเหลือผู้ที่ถูกคุณไสย ลมเพลมพัด รวมถึงการใช้วิชาเป่ารักษาโรคเริม และงูสวัสดิ์อีกด้วยครับ

อาจารย์โยธินกล่าวว่าการหุงปรอทหรือใช้วิชาต่างๆนั้นสมาธิมีความสำคัญมากอย่างน้อยที่สุดผู้ทำต้องเรียกปีติขึ้นได้และต้อง
ทำได้อย่างชำนาญ การท่องคาถาอาคมใดๆจึงสัมฤทธิ์ผลเกิดความขลังความศักดิ์สิทธิ์ อีกประการหนึ่งคือแรงครู ต้องยึดถือครูบาอาจารย์ของตนอย่างแน่วแน่ จึงสามารถทำอาคาถาคมได้ผล ถ้าไม่เชื่อครูไม่เคารพครูแล้วต่อจำคาถาได้ดีแค่ไหนท่องไปก็ไม่เกิดผลดังมที่ต้องการได้

 

เซียนสู พรหมเชยธีระ ผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นสูงศิษย์หลวงปู่เชย วัดราษฏ์บำรุง จ.ชลบุรี ท่านเป็นผู้มีตำราปรอทสำเร็จ ตามประวัติเล่าว่า มีลุงท่านนึงพยายามหุงปรอทด้วยวิชาตามตำราที่แกมีแต่ทำไม่สำเร็จ จังนำตำราหุงปรอทมาให้เซียนสู ท่านเห็นเป็นของแปลกเลยลองทำดู แต่การทำปรอทของเซียนสู ไม่ได้ทำตามตำราซะทีเดียว เพราะท่านมีความสามารถทางกสิณ ท่านใช้อำนาจจิตเพ่งปรอทเหลวๆให้แข็งเป็นก้อนได้ เป็นเรื่องที่อัศจรรย์มาก ปรอทของเซียนสูเมื่อแจกศิษย์ไปแล้วก็เสด็จหนีหายไปมาได้ หลายคนได้ไปแล้วรักษาไม่ได้เพราะคุมปรอทไม่อยู่ มีศีลไม่พอ ความน่าอัศจรรย์ของปรอทมีมากมายเกินพรรณาจริงๆครับ

 

มีหลายท่านกล่าวถึงหลวงปู่เชย และอีกหลายท่านที่ไม่เคยรู้จักแม้แต่ชื่อหรือภาพก็ไม่เคยเห็น หลวงปู่เชยเป็นพระทรงอภิญญาสมาบัติทรงปฏิสัมภิทาญาณ นั่งอยู่กลางแดด ก็ปรากฏเงาเท่ากระด้งคลุมกายท่าน นั่งกลางแจ้งตากฝนก็ไม่เปียกเป็นเงาวงรอบท่านองค์ท่าน หลวงปู่เชยพูดกับสัตว์ต่างๆได้ เช่นท่านเทข้าวที่เหลือฉันให้หนูกิน พอเรียกหนูเท่านั้น เหล่าหนูนับร้อยๆตัวก็วิ่งกรูกันเข้ามา ท่านสั่งว่าให้เข้าแถวเรียงหนึ่ง มันก็ไปวิ่งต่อแถวเรียงหนึ่งอย่างมีระเบียบ นอกจากนี้ท่านยังมีจริตทางปลูกว่านยาและรอบรู้เรื่องปรอทด้วย คราวหนึ่งท่านขึ้นต้นตาลปีนไปถึงยอดแล้วตะโกนว่ากูจะบินแล้วโว้ยๆๆ จากนั้นท่านก็เอาใบตาลทำเป็นปีกแล้วกระโดดลงมา ตกถึงพื้นท่านก็เดินเข้าที่ภาวนาหน้าตาเฉย หลายคนเชื่อว่าท่านสำเร็จปรอทด้วยเช่นกัน และมีพฤติกรรมเช่นเดียวกับหลวงพ่อโอภาสีที่ปีนขึ้นยอดเจดีย์ที่วัดบวร